แชร์

บทที่ 6

ผู้เขียน: มาแล้วก็อยู่ต่อเถอะ
“นายหญิงน้อยผู้แสนดีของบ่าว นี่มันเวลาไหนแล้ว ท่านยังจะคิดเรื่องกินอยู่อีกหรือ!”

เมื่อเสี่ยวเจาได้ยินว่านางยังคงคิดถึงหม้อเหล็กใบใหญ่นั่นอยู่ ก็ร้อนใจจนเดินวนไปวนมา

พวกคนในวังหลังเลือกปฏิบัติกับคนอื่นตามฐานะ ไม่ใช่เพิ่งจะเป็นแค่วันสองวันนี้ พอมีเรื่องไม่สบอารมณ์เข้าหน่อย ก็เอานายหญิงน้อยของนางมาเป็นที่ระบาย

ตอนนี้อุตส่าห์ได้เลื่อนตำแหน่งแล้ว ไม่ฉวยโอกาสตีเหล็กตอนร้อน แต่กลับจะมาจุดไฟทำกับข้าวตอนร้อน ๆ เนี่ยนะ???

“หากปล่อยให้อวี๋ผินได้รับความโปรดปรานขึ้นมา หางของนางได้ชี้ขึ้นฟ้าจนทิ่มหน้านายหญิงน้อยแน่เพคะ”

เจียงหวนเท้าคางมองนางอย่างเฉยเมย

“พูดจบแล้วหรือยัง?”

เสี่ยวเจาชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า

“เช่นนั้นก็รีบไปยกหม้อเหล็กมาเถอะ”

เสี่ยวเจาแทบจะมืดไปแปดด้าน เหตุใดนายหญิงน้อยของนางถึงได้ดื้อรั้นพูดอะไรก็ไม่ฟังเช่นนี้!

เจียงหวนกลับแหงนหน้ามองฟ้าแล้วถอนหายใจ ตอนนี้นางถูกกักบริเวณ จะให้ทำอย่างไรได้อีก?

จะให้ร้องไห้ฟูมฟายไปอ้อนวอนฮั่วหลินอย่างนั้นหรือ?

เกรงว่าน้ำมูกน้ำตายังไม่ทันได้เช็ดให้แห้ง ผ้าแพรขาวคงได้มาพันรอบคอตายเสียก่อน

“ไหน ๆ ก็ออกไปไม่ได้แล้ว สู้เติมท้องให้อิ่มก่อนดีกว่า”

ขณะพูด นางก็หยิบขนมจากในจานขึ้นมาอีกชิ้นแล้วยัดเข้าปาก จนแก้มตุ่ยเหมือนกระรอกที่กำลังแอบกินอาหาร

เสี่ยวเจายังคงทำหน้าเศร้า มองเจียงหวนตาแป๋ว

เจียงหวนจึงต้องใช้ไม้ตายสุดท้าย

“ถ้าข้ากินไม่อิ่ม ผอมโซจนดูซูบซีดแล้ว อวี๋ผินจะไม่หัวเราะจนปากจะฉีกถึงหูเลยหรือ?”

“พอฝ่าบาททอดพระเนตรเห็นว่าข้างกายมีหญิงแก่หน้าโทรมอยู่คนหนึ่ง เกิดไม่พอพระทัยขึ้นมาแล้วสั่งให้ข้าไปอยู่ตำหนักเย็น ชีวิตครึ่งหลังของพวกเราสองคนก็จบสิ้นกันพอดี”

ปากพูดไปอย่างนั้น แต่ในใจเจียงหวนกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น

นางไม่ได้อยากจะได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้เลยแม้แต่น้อย!

ชาติที่แล้วดูละคร ในวังหลังมีสตรีมากมายเท่าไรที่ต้องตายเพราะแย่งชิงความโปรดปราน ส่วนนางก็เป็นแค่คนที่อยากใช้ชีวิตไปวัน ๆ

แก่งแย่งชิงดีในวัง?

ไม่ ๆ ๆ นั่นไม่เหมาะกับนาง!

ทางที่ดีที่สุดคือให้ฮ่องเต้ลืมนางไปให้หมดสิ้น ปล่อยให้นางอยู่ในตำหนักเล็ก ๆ แห่งนี้ ทุกวันได้ไปทำอาหารกินกับเสี่ยวเจาที่ครัวเล็ก แค่นี้นางก็พอใจมากแล้ว!

สายตาของเสี่ยวเจาสั่นไหว ถูกเจียงหวนเกลี้ยกล่อมจนใจอ่อน ในที่สุดก็ยอมพาเจียงหวนไปดูหม้อเหล็กที่นางเฝ้ารอคอย

ทันทีที่เข้าครัวเล็ก เจียงหวนก็รู้สึกสบายใจดุจปลาได้น้ำ นางมองหม้อเหล็กที่เสี่ยวเจาซื้อกลับมาแล้ว รู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง

“เสี่ยวเจา เจ้าไปอุ้มห่านอ้วน ๆ มาตัวหนึ่ง วันนี้ข้าจะทำห่านตุ๋นในหม้อเหล็ก”

เสี่ยวเจาได้ยินแล้วก็รีบวิ่งออกไปอย่างคล่องแคล่ว ไม่นานก็อุ้มห่านอ้วนกลมกลับมาหนึ่งตัว

เจียงหวนรับห่านมา บิดคอห่านเบา ๆ จัดการถอนขน ผ่าท้อง ควักเครื่องในออกมาอย่างคล่องแคล่ว ท่าทางชำนาญราวกับเป็นแม่ครัวมาหลายปี

“พระสนม ฝีมือของท่านถ้าไปอยู่ข้างนอกวัง รับรองว่าเปิดภัตตาคารหรูได้สบายเลยเพคะ”

ดวงตาของเสี่ยวเจาเป็นประกาย แทบจะเข้าไปช่วยไม่ทัน ได้แต่อยู่ข้าง ๆ และกล่าวชื่นชมไม่หยุดปาก

เจียงหวนรู้สึกดีใจอยู่ไม่น้อย มือก็ขยับอย่างรวดเร็ว

ก่อนที่จะทะลุมิติเข้ามาในนิยาย นางก็เลี้ยงดูตัวเองเป็นอย่างดี

จะลำบากใครก็ช่างเถอะ แต่ปากท้องตัวเองต้องมาก่อน

หม้อเหล็กถูกเผาบนเตาไฟจนแดงฉาน เจียงหวนเทน้ำมันงาสองสามช้อนลงไป น้ำมันเดือดปุด ๆ อยู่ในหม้อ

นางเทชิ้นห่านที่หั่นไว้ลงไปในหม้อ ใช้ตะหลิวผัดไปมา เนื้อห่านส่งเสียง “ฉ่า ๆ ” อยู่ในหม้อ กลิ่นหอมเริ่มฟุ้งกระจายไปทั่วครัว

หนึ่งเค่อต่อมา เจียงหวนเปิดฝาหม้อ ห่านตุ๋นหม้อเหล็กที่ร้อนระอุส่งกลิ่นหอมชวนน้ำลายสอ นางตักห่านตุ๋นใส่ชามใบใหญ่ แล้วโรยหน้าด้วยผักชีซอย

“กินข้าวได้!”

นับตั้งแต่เจียงหวนทะลุมิติเข้ามาในนิยาย ก็มักจะพาเสี่ยวเจามาดื่มกินด้วยกันอยู่บ่อยครั้ง เสี่ยวเจาก็คุ้นเคยกับการเปลี่ยนแปลงของเจียงหวนในช่วงนี้แล้ว

นางตักข้าวสวยมาสองชาม นั่งลงที่โต๊ะเตี้ยในครัวแล้วกินข้าวกับเจียงหวน

เสี่ยวเจารีบคีบเนื้อห่านขึ้นมาหนึ่งชิ้น แล้วกัดเข้าไปหนึ่งคำ

“นายหญิงน้อย เนื้อห่านนี้นุ่มมากเลยเพคะ!”

เจียงหวนก็คีบเนื้อห่านขึ้นมาหนึ่งชิ้น กัดเข้าไปเบา ๆ

เนื้อห่านสดใหม่นุ่มชุ่มฉ่ำ มันฝรั่งและแครอทก็นุ่มละมุนเข้าเนื้อ น้ำซอสเข้มข้นกลมกล่อม

ต้องเป็นอาหารจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือบ้านเราถึงจะกินอร่อย!

“ห่านตุ๋นหม้อเหล็กนี่ ช่วยให้หายอยากจริง ๆ ” เจียงหวนถอนหายใจอย่างพึงพอใจ

เสี่ยวเจากินข้าวคำหนึ่งกับข้าวคำหนึ่ง กินอย่างเอร็ดอร่อยจนแก้มตุ่ย “พระสนมเพคะ ห่านตุ๋นหม้อเหล็กที่ท่านทำนี้ หากฝ่าบาทได้ลองชิม จะต้องทรงโปรดแน่ ๆ เพคะ!”

เมื่อนึกถึงเสียงในใจของฮ่องเต้ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เจียงหวนก็ก้มหน้าก้มตากัดเนื้อห่านคำใหญ่เข้าไปอีกคำ

แม้แต่ข้าวร้อน ๆ ยังไม่ได้กิน ท้องก็ว่างอยู่ตลอดเวลา

อันที่จริง การเป็นฮ่องเต้ก็ไม่ได้ดีอะไรนักหนา

สองนายบ่าวนั่งอยู่ที่โต๊ะเตี้ย กินไปคุยไปอย่างสบายอารมณ์

อีกด้านหนึ่ง อวี๋ผินที่ได้พูดคุยกับฮ่องเต้เพราะบัวลอยถ้วยเดียว ก็ไม่มีอารมณ์จะไปสนใจเจียงหวนอีก เอาแต่คิดว่าจะทำอย่างไรถึงจะได้รับความโปรดปรานมากยิ่งขึ้น

วันรุ่งขึ้น ฟ้าเพิ่งจะสาง อวี๋ผินก็ให้ชุ่ยอิงปรนนิบัติล้างหน้าแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย ไม่พูดพร่ำทำเพลง ก็พาคนมุ่งหน้าไปยังห้องครัวอย่างกระตือรือร้น

บรรดานางกำนัลในครัวเห็นดังนั้น ก็รีบวางมือจากงานของตน แล้วคุกเข่าลงทำความเคารพ

“บ่าวคารวะอวี๋ผิน”

อวี๋ผินเชิดคางขึ้น ไม่แม้แต่จะชายตามองพวกนาง เห็นได้ชัดว่าไม่อยากจะพูดคุยกับคนพวกนี้ด้วยซ้ำ

ชุ่ยอิงก้าวไปข้างหน้า โบกมือให้เหล่านางกำนัลในครัว “เอาละ พวกเจ้าออกไปให้หมด”

เมื่อนายหญิงมีคำสั่ง เหล่านางกำนัลจะกล้าไม่ฟังได้อย่างไร รีบขานรับแล้วออกจากห้องครัวไปทันที

ในห้องครัวเหลือเพียงอวี๋ผินและชุ่ยอิงสองคน ก่อนหน้านี้อวี๋ผินก็เคยมาทำอาหารที่นี่แล้ว จึงพอจะรู้ว่าวัตถุดิบเก็บไว้ที่ไหน

นางสั่งให้ชุ่ยอิงนำแป้งข้าวเหนียวมา ล้างมือของตนเองจนสะอาด แล้วก็เริ่มลงมือทำบัวลอย

ชุ่ยอิงเห็นดังนั้นก็รีบกล่าวว่า “พระสนมเพคะ ท่านสูงศักดิ์เพียงนี้ เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ให้บ่าวทำดีกว่านะเพคะ”

“ไม่ได้” อวี๋ผินส่ายหน้าอย่างแน่วแน่

นี่คืออนาคตของนาง จะให้คนอื่นทำนางไม่วางใจ

เมื่อนึกถึงปฏิกิริยาของฮ่องเต้ตอนที่นางนำบัวลอยไปถวายเมื่อวานนี้ มุมปากของอวี๋ผินก็ยกสูงขึ้น ในใจรู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง

“ฝ่าบาททรงโปรดบัวลอยที่ข้าทำ แน่นอนว่าข้าต้องลงมือทำด้วยตนเอง มีเพียงทำเช่นนี้ จึงจะแสดงถึงความจริงใจของข้าได้”

“พระสนมตรัสได้ถูกต้องที่สุดเพคะ” ชุ่ยอิงยืนยิ้มประจบอยู่ข้าง ๆ “ฝีมือของบ่าวจะไปเทียบกับพระสนมได้อย่างไร เป็นบ่าวที่โง่เขลาเองเพคะ”

อวี๋ผินอารมณ์ดี จึงไม่ถือสาหาความกับชุ่ยอิง เอาแต่จดจ่ออยู่กับการทำบัวลอย

นางเทแป้งข้าวเหนียวลงในชามอย่างไม่ค่อยชำนาญนัก เติมน้ำอุ่นในปริมาณที่พอเหมาะ แล้วใช้มือนวดช้า ๆ ไม่นานบัวลอยลูกเล็ก ๆ ก็ปั้นเสร็จเรียบร้อย

ชุ่ยอิงคอยเป็นลูกมืออยู่ข้าง ๆ ไม่ลืมที่จะเอ่ยชม

“ฝีมือของพระสนมช่างประณีตบรรจงนัก แม้แต่การปั้นบัวลอยยังงดงามถึงเพียงนี้”

อวี๋ผินอารมณ์ดี มือก็ขยับเบาขึ้นเรื่อย ๆ หนึ่งเค่อต่อมา บัวลอยถ้วยหนึ่งก็ทำเสร็จออกมาจากหม้อ

นางยกบัวลอยที่ต้มเสร็จแล้ว จากนั้นกลับไปแต่งหน้าทำผมที่ห้องอีกครั้ง ก่อนจะเดินตามชุ่ยอิงมุ่งหน้าไปยังตำหนักหย่างซิน

หวังเต๋อกุ้ยเมื่อทราบความประสงค์ของอวี๋ผิน ก็เข้าไปทูลรายงานต่อฮั่วหลิน

ฮั่วหลินเพียงแค่เหลือบพระเนตรขึ้นเล็กน้อย สีพระพักตร์เย็นชาและเฉยเมย

เขาเพิ่งจะเสร็จสิ้นจากการว่าราชการ ยังไม่ได้เสวยอะไรเลย อวี๋ผินมาได้ถูกเวลาพอดี!

“ให้เข้ามา”

อวี๋ผินที่อยู่หน้าประตูได้รับคำอนุญาต ก็จัดปอยผมข้างหูของตนเอง รับบัวลอยมาจากมือของชุ่ยอิง แล้วบิดสะโพกเดินเข้าไปในประตูด้วยท่าทางเย้ายวน

“ฝ่าบาท หม่อมฉันได้ต้มบัวลอย เปลี่ยนไส้ใหม่แล้วเพคะ เมื่อนึกว่าฝ่าบาทเพิ่งจะเสร็จสิ้นจากการว่าราชการ ยังไม่ได้เสวยอะไร จึงรีบนำมาถวายทันที”

ฮั่วหลินพยักพระพักตร์เบา ๆ พยักพเยิดไปทางหวังเต๋อกุ้ย

หลังจากที่หวังเต๋อกุ้ยใช้เข็มเงินทดสอบทีละอย่างแล้ว จึงค่อยยกไปถวายเบื้องพระพักตร์ฮั่วหลิน

“เชิญฝ่าบาทเสวยพ่ะย่ะค่ะ”

ฮั่วหลินรับถ้วยเล็กมา ครั้งนี้บัวลอยดูใหญ่กว่าครั้งที่แล้วอยู่บ้าง

เขาตักบัวลอยขึ้นมาหนึ่งลูกใส่เข้าพระโอษฐ์

ไส้หวานเกินไป แป้งก็หนาไปหน่อย

เจียงหวนเป็นอะไรไป เหตุใดถึงทำแบบขอไปทีมากขึ้นทุกวัน?

ถึงแม้จะไม่โปรด แต่เพราะหิวมาตลอดทั้งเช้า ฮั่วหลินก็ยังทรงเสวยบัวลอยสองสามลูกในถ้วยลงไปจนหมด

“พอใช้ได้”

ยังคงเป็นคำวิจารณ์สองคำที่ราบเรียบไร้ความรู้สึกเช่นเดิม แต่กลับทำให้อวี๋ผินยิ่งมั่นใจมากขึ้น

ฝ่าบาททรงโปรดบัวลอยจริง ๆ แถมยังเป็นบัวลอยที่นางทำเองกับมือ มิฉะนั้นเหตุใดจึงไม่เห็นฝ่าบาทตรัสถึงเจียงหวนเลย

“ฝ่าบาททรงโปรดก็ดีแล้วเพคะ”

สายตาของอวี๋ผินฉายแววยินดีเล็กน้อย มุมปากยกยิ้มกว้างกว่าเดิม

ที่แท้การจะได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทนั้นช่างง่ายดายถึงเพียงนี้ ดูท่าว่านางจะต้องพยายามให้มากขึ้น ทำอาหารให้ฝ่าบาทเสวยเยอะ ๆ เสียแล้ว
อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 191

    “สกปรกแล้ว” น้ำเสียงพลันแหบแห้งการเคลื่อนไหวของอายีน่าถึงกับหยุดชะงักไปในทันที ราวกับถูกน้ำร้อนลวกมือ ก่อนจะรีบชักมือกลับมาทันควัน แก้มทั้งสองข้างพลันแดงก่ำขึ้นมาโดยมิอาจควบคุมได้“ก็แค่อาภรณ์ชุดหนึ่งเท่านั้น...”อายีน่าเบือนหน้าหนี ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว ทว่า หัวใจกลับเต้นรัวราวกับเสียงกลองที่ดังกระทบแก้วหูฮั่วอวิ๋นสิงเพียงส่งหัวเราะออกมาเบา ๆ หากแต่เขาเคลื่อนตัวไปโดนบาดแผลเข้าทำเอาเจ็บเสียจนสะดุ้งเฮือกออกมา“จิ๊ ๆ... เจ้าหน้าแดงหรือ?”“ใคร... ผู้ใดหน้าแดงกัน เป็นเพราะแดดส่องลงมาต่างหาก!”ท่าทางของอายีน่าคล้ายกับลูกแมวถูกเหยียบหางก็ปาน พลางลุกขึ้นมาด้วยความเร็วไว ก่อนจะกรูถอยหลังไปสองก้าว“เจ้า... เจ้าใส่ยาเอาเองเถิด ข้าไปล่ะ”อายีน่าพลันหยิบตลับยายัดใส่เข้าไปในมือของฮั่วอวิ๋นสิง ก่อนจะพาสาวใช้อีกสองคนวิ่งหนีไปอย่างสุดชีวิตยามที่นั่งรถม้ากลับวังหลวงนั้น หัวใจของอายีน่าที่เต้นระรัวก็คล้ายกับว่าจะค่อย ๆ สงบลงม่านรถม้าที่กั้นเสียงความวุ่นวายจากภายนอกเอาไว้นั้น หลงเหลือเอาไว้แต่เพียงเสียงลมหายใจของอายีน่าที่หอบหืด พร้อมทั้งกลิ่นคาวเลือดที่ติดอยู่บนแขนเสื้อนา

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 190

    ฮั่วอวิ๋นสิงส่งเสียงร้องในลำคอ รอยแผลอาบเลือดพลันปรากฏบนขมับเลือดสีแดงสดทะลักออกมา ไหลอาบไปตามแนวแก้มราวกับห้วงเวลาได้หยุดนิ่งลง ณ วินาทีนี้ เสียงคำรามด่าทอมากมายเงียบหายไปทันทีผู้ติดตามสองคนของฮั่วอวิ๋นสิงรีบชักกระบี่ออกมาทันที พวกเขายืนคุ้มกันอยู่ด้านหน้าฮั่วอวิ๋นสิง พร้อมกับตะโกนเสียงกร้าว“พวกอันธพาลสามหาว ท่านนี้คือเซียวเหยาอ๋องของต้าเหลียงเรา พวกเจ้ากล้าทำร้ายท่านอ๋อง ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่หรือไม่?”เหล่าผู้ลี้ภัยตื่นตะลึงเมื่อได้ยินว่าฮั่วอวิ๋นสิงเป็นท่านอ๋อง พวกเขาเริ่มร่นถอยกลับไป ชายฉกรรจ์ที่เป็นผู้นำตกใจจนหน้าซีด รีบคุกเข่าลงไปทันทีแต่ทว่า อายีน่าไม่มีเวลาสนใจเรื่องเหล่านี้โลกทั้งใบของนางราวกับเหลือเพียงแผ่นหลังของคนที่ยืนบังอยู่ตรงหน้านาง และเลือดสีแดงสดที่ไหลอาบขมับเขาเท่านั้นเลือดสีแดงสดนั่น ช่างบาดตานางเหลือเกินหัวใจของอายีน่าราวกับถูกมือที่มองไม่เห็นบีบรัดไว้แน่น รู้สึกปวดแปลบไปหมด“ฮั่วอวิ๋นสิง!”เสียงของนางทั้งสั่นเทาและแตกตื่นโดยที่แม้แต่นางก็ยังไม่รู้ตัว นางยกแขนเสื้อของตนขึ้นปิดมาแผลที่ขมับของเขาโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย“ท่านเป็นเช่นไรบ้าง? เจ็บห

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 189

    “โอ๊ย” ขอทานน้อยล้มลงไปบนพื้น ถ้วยเก่าๆ ในมือกลิ้งไปอีกทางอายีน่ายันกิ่งไม้ด้านข้างโดยสัญชาตญาณ จึงค่อยหยัดยืนได้อย่างมั่นคงเหตุการณ์นี้มิได้เอิกเกริกมากนัก ทว่ากลับเสียงดังมากพอที่จะทำให้กลุ่มคนหน้าวัดแตกตื่นฮั่วอวิ๋นสิงเงยหน้ามองมา สายตาคมปราบ เขามองเห็นเงาร่างอันคุ้นเคยที่อยู่หลังต้นไม้ใหญ่ได้ในพริบตาสายตาสองคู่สบประสานกันอายีน่ามีสีหน้าแตกตื่นลนลาน ฮั่วอวิ๋นสิงตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด ไม่นานดวงตาดอกท้อก็มีรอยยิ้มเบ่งบานขึ้นมาเขาตักข้าวต้มให้ผู้ลี้ภัยที่อยู่ตรงหน้า ก่อนจะวางตะหลิวและเดินตรงมาทางอายีน่า“โอ้ นี่มิใช่…”ฮั่วอวิ๋นสิงเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า จงใจลากเสียงยาวๆ สายตามองวนเวียนอยู่ที่การแต่งกายด้วยอาภรณ์ธรรมดาของอายีน่าหนึ่งรอบ“คุณหนูน้อยจากตระกูลใดกัน หลงทางมาหรือ?”อายีน่ารู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว นางฝืนทำเป็นเชิดคางขึ้น“ขะ… ข้าออกมาเดินเล่น มิได้หรือ? กลับเป็นท่านอ๋อง ไม่อยู่ท่องกลอนวาดรูปฟังดนตรีอยู่ในจวน วิ่งมาทำตัวเป็นพ่อครัวอยู่หน้าวัดร้างเช่นนี้ หาดูได้ยากยิ่ง”ฮั่วอวิ๋นสิงไม่โกรธ กลับยิ้มอย่างใจกว้าง“ข้าออกท่องเที่ยวไปทั่วทุกหนแห่ง จะออกมาสำรวจความเป็นอ

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 188

    พยับเมฆจากเหตุสงครามทางทิศใต้มิพียงแต่แผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งราชสำนัก แต่ยังค่อยๆ ลุกลามไปถึงเมืองหลวงด้วยข่าวที่พ่ายสงครามโบยบินไปสู่ครัวเรือนของราษฎรราวกับติดปีก ปลุกปั่นจิตใจผู้คนให้อกสั่นขวัญหายสิ่งที่ตามมาก็คือ มีผู้ลี้ภัยเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ คนเหล่านั้นสวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง พาคนในครอบครัวมาด้วย พวกเขาหลบหนีมาจากอำเภอข้างเคียงที่ถูกเพลิงสงครามแผดเผา บ้างก็มารวมตัวกันที่นอกเมืองหลวง บ้างก็รวมตัวอยู่ในวัดร้างที่ตั้งอยู่บริเวณใกล้เคียงประตูเมืองอายีน่าถูกขังไว้ในเมืองหลวง เส้นทางกลับแคว้นถูกตัดขาดเพราะเพลิงสงคราม ข่าวสารจากทางราชวงศ์โม่เป่ยก็น้อยลงทุกวัน เนื้อความในจดหมายล้วนบอกให้นางลี้ภัยและรออย่างสบายใจอยู่ที่นี่ไปก่อนชีวิตในวังแม้สุขสบายไร้กังวล ทว่าก็ไม่ต่างจากกรงทองคำที่ชวนให้รู้สึกหงุดหงิดใจครั้นยามบ่ายคล้อยของวันนี้ผ่านไป ในที่สุดนางก็ทนไม่ไหว เปลี่ยนไปใส่อาภรณ์รัดรูปสีพื้นที่ไม่สะดุดตา พาหญิงรับใช้โม่เป่ยที่แต่งกายแบบเดียวกันออกจากวังไปด้วยสองคน ตั้งใจว่าจะออกไปสูดอากาศที่ตลาดทัศนียภาพนอกเมืองแตกต่างจากในเมืองซึ่งเป็นระเบียบเรียบร้อยค่อนข้างมากถนนหนทางสกปรกไม่เป็นร

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 187

    “พระสนมโปรดระงับโทสะ บ่าวสืบรู้มาเช่นนี้จริงๆ นะเพคะ เมื่อคืนการหารือในห้องทรงพระอักษรถึงดึกดื่น มีเพียงแม่ทัพหลินและฝ่าบาท ฝ่าบาทมิได้สั่งให้ผู้ใดอยู่ปรนนิบัติจริงๆ เพคะ”“มิได้สั่งให้ผู้ใดอยู่ปรนนิบัติ?” เจียกุ้ยเฟยเอ่ยย้ำคำพูดนี้ด้วยน้ำเสียงรอดไรฟัน แฝงไว้ด้วยแววเย้ยหยันและไม่เชื่อ “เช่นนั้นเกิดอะไรขึ้นกับฝ่าบาทในท้องพระโรงช่วงเช้า?”หลานเวยตกใจจนวิญญาณแทบออกจากร่าง นางก้มหัวต่ำกว่าเดิม“บ่าวยังสืบรู้มาอีกว่าวันนี้ตอนที่ฟ้ายังไม่ทันสว่าง ท่านผู้นั้นจากตำหนักเว่ยยางได้ถือกล่องอาหารไปรอที่หน้าห้องทรงพระอักษรด้วยตนเอง รอจนกระทั่งแม่ทัพหลินกลับไป”แววตาของเจียกุ้ยเฟยแปรเปลี่ยนเป็นมืดมนน่ากลัวยิ่งกว่าเดิม ราวกับเข็มอาบยาพิษเสียงของหลานเวยสั่นจนแทบพูดไม่เป็นคำ “นางมิได้เข้าไป เป็นหวังกงกงถือกล่องอาหารเข้าไป จากนั้น… จากนั้นฝ่าบาทก็ทรงเสวยมื้อเช้า ยามประชุมช่วงเช้าในท้องพระโรงจึงได้… จึงได้…”นางมิกล้าพูดคำนั้นออกมาจริงๆ“จึงได้อารมณ์เบิกบานยิ่งนัก! ใช่หรือไม่?”เสียงของเจียกุ้ยเฟยแหลมจนแหบแห้ง นางลุกพรวดขึ้นยืน เล็บมือที่ทาน้ำยาทาเล็บสีแดงสดกำขอบโต๊ะเครื่องแป้งไว้แน่น กระดูกข้อต่

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 186

    การประชุมช่วงเช้าจบลงอย่างมีประสิทธิภาพ ท่ามกลางความสงบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเหล่าขุนนางเดินเรียงแถวออกจากท้องพระโรง ใบหน้าแสดงออกถึงความโชคดีราวกับเพิ่งรอดพ้นจากความตายมาได้ ขณะเดียวก็ยังมีความสงสัยที่มิอาจไขข้อข้องใจได้พวกเขากระซิบกระซาบกันถึงเรื่องสีหน้าท่าทางที่แตกต่างจากเดิมของฝ่าบาทในวันนี้ฮั่วหลินมิได้สนใจเสียงกระซิบกระซาบของเหล่าขุนนาง เขาก้าวเท้าออกจากตำหนักจินหลวน เตรียมจะกลับไปสะสางราชกิจที่คั่งค้างในห้องทรงพระอักษรต่อ ทว่าเสียงที่แฝงไว้ด้วยความยียวนอย่างชัดเจนเสียงหนึ่งกลับดังมาจากด้านหลัง“แหม วันนี้พระพักตร์ฝ่าบาทมีสง่าราศีอย่างมากเชียวนะ หรือว่าทรงได้ยาวิเศษใดมาถนอมพระวรกายงั้นหรือพะย่ะค่ะ?”ผู้พูดก็คือฮั่วอวิ๋นสิง เขาแต่งกายด้วยชุดราชการประจำตำแหน่งชินอ๋อง[1] มือโบกพัดพับกระดูกหยกไปมา พลางจ้องพิจารณาฮั่วหลินตั้งแต่หัวจรดเท้า รอยยิ้มเย้าแหย่ฮั่วหลินได้ยินเช่นนั้นฝีเท้าก็ชะงักหยุด ตวัดแววตาเย็นชามองไปที่เขา“เสด็จอาว่างมากหรือ?” น้ำเสียงไม่สูง แต่กลับแสดงถึงบารมีของฮ่องเต้ไว้อย่างชัดเจน ซึ่งสามารถทำให้ขุนนางที่ยังเดินไปได้ไม่ไกลมากนักต่างก็หดคอ และรีบเร่งฝีเท

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status