แชร์

บทที่ 7

ผู้เขียน: มาแล้วก็อยู่ต่อเถอะ
หลังจากกลับตำหนักแล้ว อวี๋ผินก็เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ ตอนกลางวันนางก็ทำอาหารอีกสองสามอย่างส่งไปให้ฮ่องเต้

รสชาติธรรมดา แต่ก็ดีกว่าตรงที่เป็นอาหารร้อน ๆ !

คีบคำนี้ก็เป็นกับข้าวร้อน ๆ คีบคำนั้นก็เป็นกับข้าวร้อน ๆ !

ฮั่วหลินทรงยื่นตะเกียบไปคีบไม่หยุด เสวยอย่างสง่างามและเชื่องช้า

ต้องอย่างนี้สิ เขาเป็นถึงฮ่องเต้ผู้มีอำนาจสูงสุดในการปกครองแว่นแคว้น มีแต่อาหารในคุกเท่านั้นแหละที่เย็นชืด!

อวี๋ผินยิ้มอย่างอ่อนโยน “ฝ่าบาทเพคะ หากพระองค์ทรงโปรด คืนนี้หม่อมฉันจะลงมือเตรียมเครื่องเสวยให้พระองค์ด้วยตนเองนะเพคะ”

ฮั่วหลินทรงลดสายพระเนตรลง เป็นเพราะเขาไม่เคยเรียกอวี๋ผินมาเข้าเฝ้าเลย นางถึงได้จงใจเล่นตัวกับเขา ไม่ยอมแสดงฝีมือที่แท้จริงออกมา?

เมื่อนึกถึงบัวลอยที่เจียงหวนทำในวันนั้น ฮั่วหลินก็อยากจะลองชิมดูว่า อวี๋ผินผู้ที่สามารถสอนเจียงหวนได้นั้น จะมีฝีมือดีเลิศเพียงใด

ฮั่วหลินทรงวางตะเกียบลง ใช้ผ้าที่ขันทีส่งมาให้เช็ดพระหัตถ์

“คืนนี้ เจ้ามาที่ตำหนักหย่างซิน”

เมื่ออวี๋ผินได้ยินดังนั้น ในใจก็รู้สึกดีใจจนแทบคลั่ง แต่บนใบหน้ายังคงรักษากิริยาสำรวมไว้ ขานรับเสียงเบา “เพคะ ฝ่าบาท”

...

ไม่นาน ม่านราตรีก็มาเยือน

อวี๋ผินสวมชุดชาววังที่งดงามหรูหรา ชายกระโปรงปักลวดลายสลับซับซ้อน แต่เนื้อผ้ากลับบางเบาอย่างยิ่ง จนสามารถมองเห็นผิวด้านในได้ราง ๆ

นางยืนอยู่หน้ากระจกทองสัมฤทธิ์ แต่งหน้าอย่างพิถีพิถัน เพื่อที่จะได้แสดงด้านที่งดงามที่สุดของตนเองให้ฮั่วหลินได้ทอดพระเนตร

“พระสนม ท่านช่างงดงามเหลือเกินเพคะ ฝ่าบาทจะต้องทรงโปรดอย่างแน่นอน” ชุ่ยอิงยืนอยู่ข้าง ๆ เอ่ยชมไม่หยุดปาก

อวี๋ผินยิ้มเล็กน้อย สายตาฉายแววภาคภูมิใจ

“ชุ่ยอิง ไปยกซี่โครงผัดเปรี้ยวหวานจานนั้นมา” อวี๋ผินออกคำสั่ง น้ำเสียงแฝงไปด้วยความเด็ดขาดที่ไม่อาจปฏิเสธ

ชุ่ยอิงรับคำทันที ยกซี่โครงผัดเปรี้ยวหวานสีแดงฉ่ำวาวจานหนึ่งเข้ามา

อาหารจานนี้เป็นสิ่งที่อวี๋ผินตั้งใจเตรียมให้ฮั่วหลินเป็นพิเศษ ไม่เพียงแต่เลือกใช้ซี่โครงชั้นดี ยังเติมเครื่องปรุงรสสูตรพิเศษลงไปด้วย หวังว่าจะทำให้ฮั่วหลินพอพระทัย

เมื่อทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้ว ขันทีจากกรมวังฝ่ายในก็มาถึง ประกาศเรียกอวี๋ผินให้ไปถวายตัว

อวี๋ผินรับเสื้อคลุมจากมือของชุ่ยอิง มาคลุมผิวที่มองเห็นอยู่รำไรไว้ใต้เสื้อคลุม จากนั้นจึงถือกล่องอาหารตามขันที มุ่งหน้าไปยังตำหนักหย่างซิน

ระหว่างทาง อารมณ์ของอวี๋ผินก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มอย่างมั่นใจ ราวกับได้มองเห็นความสำเร็จในคืนนี้แล้ว

ภายในตำหนักหย่างซินอบอวลไปด้วยกลิ่นอำพันทะเล ขณะที่อวี๋ผินถือกล่องอาหารก้าวข้ามธรณีประตู นางก็จงใจถอดเสื้อคลุมออก แล้วยังดึงเสื้อตัวนอกที่เป็นผ้าโปร่งลงอีกครึ่งนิ้ว

วันนี้นางตั้งใจอบร่ำด้วยเครื่องหอมเหอฮวนที่ดินแดนฝั่งตะวันตกส่งมาเป็นเครื่องบรรณาการ กลิ่นหอมหวานเลี่ยนผสมกับกลิ่นซี่โครงผัดเปรี้ยวหวาน อบอวลจนหวังเต๋อกุ้ยยังอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว

“ฝ่าบาท~” อวี๋ผินลากเสียงยาว เดินโยกย้ายส่ายสะโพกมาอยู่เบื้องหน้าฮั่วหลิน

“หม่อมฉันลงมือทำซี่โครงผัดเปรี้ยวหวานด้วยตนเอง ฝ่าบาทลองชิมดูสิเพคะ?”

ขณะที่เลื่อนจานกระเบื้องไปเบื้องหน้า ร่างอันอรชรของอวี๋ผินก็ไม่ทันระวัง

น้ำซอสกระเด็นลงบนฎีกา ทำให้ตัวอักษรสองสามตัวบนนั้นย้อมเป็นสีน้ำตาลเข้ม

ฮั่วหลินขมวดพระขนงอย่างแทบจะไม่ให้ใครสังเกตได้ ภายใต้แสงเทียนริบหรี่ ดวงพระเนตรที่ดำสนิทราวกับน้ำหมึกคู่นั้นมองไม่ออกว่าทรงรู้สึกเช่นไร

เมื่อจ้องมองซี่โครงที่มันวาวจานนั้น ขมับของเขาก็เต้นตุบ ๆ

เขาวางฎีกาลง เอนกายไปด้านหลัง พิงกับเก้าอี้ไม้แดง

อวี๋ผินนี่ไปตกท่อระบายน้ำแล้วใช้เครื่องหอมอาบน้ำสิบรอบหรืออย่างไร?

เหม็นจนปวดหัวไปหมดแล้ว!

แต่ว่า...

สายพระเนตรของฮั่วหลินเหลือบไปเล็กน้อย จับจ้องอยู่ที่ชามซี่โครงผัดเปรี้ยวหวานอย่างเย็นชา

ฝีมือที่ดีกว่าเจียงหวน มันเป็นอย่างไรกันแน่?

เห็นแก่อาหาร ฮั่วหลินก็อดทนแล้วอดทนอีก หยิบตะเกียบขึ้นมา คีบซี่โครงชิ้นหนึ่ง แล้วกัดเข้าไป

เนื้อหมูที่เคลือบด้วยน้ำเชื่อมและมีกลิ่นคาวระเบิดออกในพระโอษฐ์ ลูกกระเดือกของฮั่วหลินขยับขึ้นลงอย่างยากลำบากสองครั้ง

ต่อมรับรสถูกโจมตีอย่างรุนแรง จนดวงพระเนตรพลอยเบิกค้างไปด้วย

นี่มันของที่คนทำขึ้นมาได้จริง ๆ หรือ?

นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เจอของที่รสชาติแย่กว่าข้าวเย็นชืดของห้องเครื่องเสียอีก สตรีผู้นี้เป็นนักฆ่าหรือไร?

สวรรค์! เราทำผิดอะไรไป? เหตุใดจึงต้องมารับความทุกข์ทรมานเช่นนี้!

ทว่าอวี๋ผินกลับไม่รู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อย ปลายนิ้วของนางไต่ขึ้นมาถึงเข็มขัดหยกของฮั่วหลินแล้ว

“ฝ่าบาททรงเหนื่อยล้าจากราชกิจ มิสู้ให้หม่อมฉันนวดพระอังสาให้ดีหรือไม่...” นางจงใจโน้มตัวลงมา เสื้อบริเวณไหล่เลื่อนหลุด เผยให้เห็นเสื้อชั้นในสีชมพูครึ่งหนึ่งจากคอเสื้อที่หลวมโพรก

แปะ...

ตะเกียบงาช้างถูกฟาดลงบนโต๊ะ ไม่หนักไม่เบา แต่เสียงกลับดังชัดเจนอย่างยิ่ง

ฮั่วหลินค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน แสงจันทร์และแสงเทียนสาดส่องผสมผสานกัน ขับเน้นให้พระวรกายที่สูงใหญ่อยู่แล้ว ยิ่งดูสง่างามและน่าเกรงขามมากขึ้น

อวี๋ผินไม่ทันตั้งตัว สบเข้ากับดวงพระเนตรที่เย็นเยียบของเขา ก็ตกใจจนตัวสั่น

อาการตัวสั่นนั้นกลับทำให้จานซี่โครงผัดเปรี้ยวหวานบนโต๊ะคว่ำลง น้ำซอสกระเด็นไปทั่ว ทิ้งรอยด่างดวงไว้บนอาภรณ์ของนาง

“หวังเต๋อกุ้ย”

ฮั่วหลินไม่แม้แต่จะทอดพระเนตรนาง ทรงสะบัดแขนเสื้อแล้วหันหลังให้ น้ำเสียงราบเรียบ แต่กลับแฝงไปด้วยความอำมหิต

“เอาของสกปรกนี่ทั้งคนทั้งจานโยนออกไป”

อวี๋ผินตกใจจนหน้าซีดเผือด ไม่เข้าใจว่าเหตุใดฮ่องเต้จึงเปลี่ยนสีพระพักตร์กะทันหันเช่นนี้

“ฝ่าบาท! ฝ่าบาทโปรดอภัยด้วย หม่อมฉันไม่ทราบว่าทำสิ่งใดให้ฝ่าบาททรงกริ้ว...”

นางคลานเข้าไปใกล้ฮั่วหลิน ยื่นมือออกไปหมายจะคว้าฉลองพระองค์ของฮั่วหลิน เพื่อรั้งเขาไว้

ฮั่วหลินทรงสะบัดชายฉลองพระองค์ ถอยหลังไปหนึ่งก้าวอย่างเฉยเมย ขมับเริ่มมีเส้นเลือดปูดขึ้นมาเล็กน้อย

“ไม่ออกไป อยากจะตายอยู่ที่นี่หรือ?”

น้ำเสียงนี้เด็ดขาดนัก อวี๋ผินคว้าได้เพียงความว่างเปล่า เมื่อได้ยินคำขาดสุดท้าย ก็ได้แต่นิ่งงันอยู่ตรงนั้น ใบหน้าขาวซีด ตัวสั่นระริก

ฮั่วหลินไม่มีความสงสารแม้แต่น้อย “หวังเต๋อกุ้ย หูหนวกหรือ?”

หวังเต๋อกุ้ยตัวสั่นงันงก ขานรับไม่หยุด แล้วรีบเรียกคนเข้ามา

อวี๋ผินตกใจจนเดินไม่เป็น สุดท้ายจึงถูกหมอม่อรับใช้ร่างใหญ่สองคนหิ้วปีกแล้วลากออกจากตำหนักหย่างซินไป

มวยผมของนางหลุดลุ่ย ชุดกระโปรงผ้าไหมเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำซอส รองเท้าปักข้างหนึ่งก็ไม่รู้ว่าหลุดหายไปตอนไหน

มีขันทีเฝ้ายามตอนกลางคืนถือโคมไฟเดินผ่านมา แสงไฟที่ไม่สว่างนักกลับส่องให้เห็นสภาพอันน่าสมเพชของนางได้อย่างชัดเจน

เรื่องราวนี้อึกทึกครึกโครมเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น ยังเกิดขึ้นในวังที่ทุกการเคลื่อนไหวล้วนมีคนจับตามองอยู่แล้ว

วันรุ่งขึ้น ข่าวต่าง ๆ เกี่ยวกับการถวายตัวของอวี๋ผินก็แพร่สะพัดไปทั่ว

“ได้ยินหรือยัง? ซี่โครงของอวี๋ผินทำเอาฝ่าบาททรงคลื่นไส้จนอาเจียนเลยนะ!”

“ไม่ใช่แค่นั้นนะ ว่ากันว่านางถอดเสื้อผ้าเพื่อยั่วยวน จึงถูกฝ่าบาทขับไล่ออกไปอย่างรุนแรง!”

“ฝ่าบาทไม่ทรงโปรดปรานวังหลังมานานแล้ว แต่นางกลับคิดว่าตนเองเป็นข้อยกเว้น น่าสงสารจริง ๆ ”

...

ตำหนักรองฝั่งตะวันตก เจียงหวนกำลังย่างมันเทศด้วยไฟถ่าน เสี่ยวเจาที่อยู่ข้าง ๆ เล่าเรื่องอย่างออกรสออกชาติ สีหน้าดีใจจนเก็บไม่อยู่

“ฮ่า ๆ ๆ นายหญิงน้อย บ่าวยังได้ยินมาอีกว่าตอนที่อวี๋ผินถูกลากกลับตำหนัก เสื้อตัวนอกที่เป็นผ้าโปร่งของนางยังถูกเกี่ยวจนขาดไปหลายแห่ง สภาพน่าสมเพชเหลือเกินเพคะ”

เจียงหวนได้แต่จุดเทียนไว้อาลัยให้อวี๋ผินในใจ

บอกหน่อยเถิด จะหาเรื่องใครไม่หาเรื่อง ดันไปหาเรื่องฮ่องเต้ที่อารมณ์แปรปรวนเอาแน่เอานอนไม่ได้ผู้นั้น นี่ไม่ใช่หาเรื่องใส่ตัวหรอกหรือ?

เจียงหวนไม่เข้าใจ นางเอาแต่ย่างมันเทศต่อไป

“เรื่องพวกนี้เจ้าพูดให้ข้าฟังก็พอแล้ว แต่อย่าให้คนนอกได้ยินเป็นอันขาด”

เดี๋ยวจะถูกนำไปสร้างเรื่องอีก นางยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกหลายปีนะ...

เสี่ยวเจายิ้มร่าพลางขานรับ “นายหญิงน้อยวางใจเถิด บ่าวรู้ว่าควรทำอย่างไร”

ส่วนอีกด้านหนึ่ง ฮั่วหลินไม่ได้อารมณ์ดีเหมือนสองนายบ่าวคู่นั้นเลย

เขาหิวจนปวดท้องบิด แต่บนโต๊ะกลับมีเพียงพระกระยาหารเจที่เย็นชืดกองอยู่

ใบผักสีเหลืองเหี่ยวแช่อยู่ในน้ำแกงขุ่น ๆ เต้าหู้ก็มีสีขาวอมเทาอย่างน่าประหลาด ส่วนเนื้อสัตว์ก็มีเพียงน้อยนิด

เขาเป็นฮ่องเต้! เหตุใดจึงต้องเสวยแต่ของพวกนี้!

เงินที่คนในห้องเครื่องได้รับทุกวัน เอาไปให้หมากินหมดแล้วหรือไร?

หรือว่ามีคนยักยอกเงินในท้องพระคลัง ยักยอกจนแม้แต่จะทำอาหารร้อน ๆ ให้เขาสักมื้อก็ยังทำไม่ได้!

ฮั่วหลินนวดขมับ

อดทนคีบผักขึ้นเสวย รสชาติจืดชืดจนแทบจะถือตะเกียบเงินในพระหัตถ์ไว้ไม่ไหว

ในหัวของเขาค่อย ๆ ปรากฏภาพบัวลอยที่เจียงหวนถือในคืนนั้น

ผ่านไปหลายวันแล้ว ร่างกายของเจียงหวนน่าจะหายดีแล้วกระมัง?

เขาสามารถเรียกเจียงหวนมาอีกครั้งได้แล้วใช่หรือไม่
อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 191

    “สกปรกแล้ว” น้ำเสียงพลันแหบแห้งการเคลื่อนไหวของอายีน่าถึงกับหยุดชะงักไปในทันที ราวกับถูกน้ำร้อนลวกมือ ก่อนจะรีบชักมือกลับมาทันควัน แก้มทั้งสองข้างพลันแดงก่ำขึ้นมาโดยมิอาจควบคุมได้“ก็แค่อาภรณ์ชุดหนึ่งเท่านั้น...”อายีน่าเบือนหน้าหนี ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว ทว่า หัวใจกลับเต้นรัวราวกับเสียงกลองที่ดังกระทบแก้วหูฮั่วอวิ๋นสิงเพียงส่งหัวเราะออกมาเบา ๆ หากแต่เขาเคลื่อนตัวไปโดนบาดแผลเข้าทำเอาเจ็บเสียจนสะดุ้งเฮือกออกมา“จิ๊ ๆ... เจ้าหน้าแดงหรือ?”“ใคร... ผู้ใดหน้าแดงกัน เป็นเพราะแดดส่องลงมาต่างหาก!”ท่าทางของอายีน่าคล้ายกับลูกแมวถูกเหยียบหางก็ปาน พลางลุกขึ้นมาด้วยความเร็วไว ก่อนจะกรูถอยหลังไปสองก้าว“เจ้า... เจ้าใส่ยาเอาเองเถิด ข้าไปล่ะ”อายีน่าพลันหยิบตลับยายัดใส่เข้าไปในมือของฮั่วอวิ๋นสิง ก่อนจะพาสาวใช้อีกสองคนวิ่งหนีไปอย่างสุดชีวิตยามที่นั่งรถม้ากลับวังหลวงนั้น หัวใจของอายีน่าที่เต้นระรัวก็คล้ายกับว่าจะค่อย ๆ สงบลงม่านรถม้าที่กั้นเสียงความวุ่นวายจากภายนอกเอาไว้นั้น หลงเหลือเอาไว้แต่เพียงเสียงลมหายใจของอายีน่าที่หอบหืด พร้อมทั้งกลิ่นคาวเลือดที่ติดอยู่บนแขนเสื้อนา

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 190

    ฮั่วอวิ๋นสิงส่งเสียงร้องในลำคอ รอยแผลอาบเลือดพลันปรากฏบนขมับเลือดสีแดงสดทะลักออกมา ไหลอาบไปตามแนวแก้มราวกับห้วงเวลาได้หยุดนิ่งลง ณ วินาทีนี้ เสียงคำรามด่าทอมากมายเงียบหายไปทันทีผู้ติดตามสองคนของฮั่วอวิ๋นสิงรีบชักกระบี่ออกมาทันที พวกเขายืนคุ้มกันอยู่ด้านหน้าฮั่วอวิ๋นสิง พร้อมกับตะโกนเสียงกร้าว“พวกอันธพาลสามหาว ท่านนี้คือเซียวเหยาอ๋องของต้าเหลียงเรา พวกเจ้ากล้าทำร้ายท่านอ๋อง ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่หรือไม่?”เหล่าผู้ลี้ภัยตื่นตะลึงเมื่อได้ยินว่าฮั่วอวิ๋นสิงเป็นท่านอ๋อง พวกเขาเริ่มร่นถอยกลับไป ชายฉกรรจ์ที่เป็นผู้นำตกใจจนหน้าซีด รีบคุกเข่าลงไปทันทีแต่ทว่า อายีน่าไม่มีเวลาสนใจเรื่องเหล่านี้โลกทั้งใบของนางราวกับเหลือเพียงแผ่นหลังของคนที่ยืนบังอยู่ตรงหน้านาง และเลือดสีแดงสดที่ไหลอาบขมับเขาเท่านั้นเลือดสีแดงสดนั่น ช่างบาดตานางเหลือเกินหัวใจของอายีน่าราวกับถูกมือที่มองไม่เห็นบีบรัดไว้แน่น รู้สึกปวดแปลบไปหมด“ฮั่วอวิ๋นสิง!”เสียงของนางทั้งสั่นเทาและแตกตื่นโดยที่แม้แต่นางก็ยังไม่รู้ตัว นางยกแขนเสื้อของตนขึ้นปิดมาแผลที่ขมับของเขาโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย“ท่านเป็นเช่นไรบ้าง? เจ็บห

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 189

    “โอ๊ย” ขอทานน้อยล้มลงไปบนพื้น ถ้วยเก่าๆ ในมือกลิ้งไปอีกทางอายีน่ายันกิ่งไม้ด้านข้างโดยสัญชาตญาณ จึงค่อยหยัดยืนได้อย่างมั่นคงเหตุการณ์นี้มิได้เอิกเกริกมากนัก ทว่ากลับเสียงดังมากพอที่จะทำให้กลุ่มคนหน้าวัดแตกตื่นฮั่วอวิ๋นสิงเงยหน้ามองมา สายตาคมปราบ เขามองเห็นเงาร่างอันคุ้นเคยที่อยู่หลังต้นไม้ใหญ่ได้ในพริบตาสายตาสองคู่สบประสานกันอายีน่ามีสีหน้าแตกตื่นลนลาน ฮั่วอวิ๋นสิงตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด ไม่นานดวงตาดอกท้อก็มีรอยยิ้มเบ่งบานขึ้นมาเขาตักข้าวต้มให้ผู้ลี้ภัยที่อยู่ตรงหน้า ก่อนจะวางตะหลิวและเดินตรงมาทางอายีน่า“โอ้ นี่มิใช่…”ฮั่วอวิ๋นสิงเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า จงใจลากเสียงยาวๆ สายตามองวนเวียนอยู่ที่การแต่งกายด้วยอาภรณ์ธรรมดาของอายีน่าหนึ่งรอบ“คุณหนูน้อยจากตระกูลใดกัน หลงทางมาหรือ?”อายีน่ารู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว นางฝืนทำเป็นเชิดคางขึ้น“ขะ… ข้าออกมาเดินเล่น มิได้หรือ? กลับเป็นท่านอ๋อง ไม่อยู่ท่องกลอนวาดรูปฟังดนตรีอยู่ในจวน วิ่งมาทำตัวเป็นพ่อครัวอยู่หน้าวัดร้างเช่นนี้ หาดูได้ยากยิ่ง”ฮั่วอวิ๋นสิงไม่โกรธ กลับยิ้มอย่างใจกว้าง“ข้าออกท่องเที่ยวไปทั่วทุกหนแห่ง จะออกมาสำรวจความเป็นอ

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 188

    พยับเมฆจากเหตุสงครามทางทิศใต้มิพียงแต่แผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งราชสำนัก แต่ยังค่อยๆ ลุกลามไปถึงเมืองหลวงด้วยข่าวที่พ่ายสงครามโบยบินไปสู่ครัวเรือนของราษฎรราวกับติดปีก ปลุกปั่นจิตใจผู้คนให้อกสั่นขวัญหายสิ่งที่ตามมาก็คือ มีผู้ลี้ภัยเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ คนเหล่านั้นสวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง พาคนในครอบครัวมาด้วย พวกเขาหลบหนีมาจากอำเภอข้างเคียงที่ถูกเพลิงสงครามแผดเผา บ้างก็มารวมตัวกันที่นอกเมืองหลวง บ้างก็รวมตัวอยู่ในวัดร้างที่ตั้งอยู่บริเวณใกล้เคียงประตูเมืองอายีน่าถูกขังไว้ในเมืองหลวง เส้นทางกลับแคว้นถูกตัดขาดเพราะเพลิงสงคราม ข่าวสารจากทางราชวงศ์โม่เป่ยก็น้อยลงทุกวัน เนื้อความในจดหมายล้วนบอกให้นางลี้ภัยและรออย่างสบายใจอยู่ที่นี่ไปก่อนชีวิตในวังแม้สุขสบายไร้กังวล ทว่าก็ไม่ต่างจากกรงทองคำที่ชวนให้รู้สึกหงุดหงิดใจครั้นยามบ่ายคล้อยของวันนี้ผ่านไป ในที่สุดนางก็ทนไม่ไหว เปลี่ยนไปใส่อาภรณ์รัดรูปสีพื้นที่ไม่สะดุดตา พาหญิงรับใช้โม่เป่ยที่แต่งกายแบบเดียวกันออกจากวังไปด้วยสองคน ตั้งใจว่าจะออกไปสูดอากาศที่ตลาดทัศนียภาพนอกเมืองแตกต่างจากในเมืองซึ่งเป็นระเบียบเรียบร้อยค่อนข้างมากถนนหนทางสกปรกไม่เป็นร

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 187

    “พระสนมโปรดระงับโทสะ บ่าวสืบรู้มาเช่นนี้จริงๆ นะเพคะ เมื่อคืนการหารือในห้องทรงพระอักษรถึงดึกดื่น มีเพียงแม่ทัพหลินและฝ่าบาท ฝ่าบาทมิได้สั่งให้ผู้ใดอยู่ปรนนิบัติจริงๆ เพคะ”“มิได้สั่งให้ผู้ใดอยู่ปรนนิบัติ?” เจียกุ้ยเฟยเอ่ยย้ำคำพูดนี้ด้วยน้ำเสียงรอดไรฟัน แฝงไว้ด้วยแววเย้ยหยันและไม่เชื่อ “เช่นนั้นเกิดอะไรขึ้นกับฝ่าบาทในท้องพระโรงช่วงเช้า?”หลานเวยตกใจจนวิญญาณแทบออกจากร่าง นางก้มหัวต่ำกว่าเดิม“บ่าวยังสืบรู้มาอีกว่าวันนี้ตอนที่ฟ้ายังไม่ทันสว่าง ท่านผู้นั้นจากตำหนักเว่ยยางได้ถือกล่องอาหารไปรอที่หน้าห้องทรงพระอักษรด้วยตนเอง รอจนกระทั่งแม่ทัพหลินกลับไป”แววตาของเจียกุ้ยเฟยแปรเปลี่ยนเป็นมืดมนน่ากลัวยิ่งกว่าเดิม ราวกับเข็มอาบยาพิษเสียงของหลานเวยสั่นจนแทบพูดไม่เป็นคำ “นางมิได้เข้าไป เป็นหวังกงกงถือกล่องอาหารเข้าไป จากนั้น… จากนั้นฝ่าบาทก็ทรงเสวยมื้อเช้า ยามประชุมช่วงเช้าในท้องพระโรงจึงได้… จึงได้…”นางมิกล้าพูดคำนั้นออกมาจริงๆ“จึงได้อารมณ์เบิกบานยิ่งนัก! ใช่หรือไม่?”เสียงของเจียกุ้ยเฟยแหลมจนแหบแห้ง นางลุกพรวดขึ้นยืน เล็บมือที่ทาน้ำยาทาเล็บสีแดงสดกำขอบโต๊ะเครื่องแป้งไว้แน่น กระดูกข้อต่

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 186

    การประชุมช่วงเช้าจบลงอย่างมีประสิทธิภาพ ท่ามกลางความสงบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเหล่าขุนนางเดินเรียงแถวออกจากท้องพระโรง ใบหน้าแสดงออกถึงความโชคดีราวกับเพิ่งรอดพ้นจากความตายมาได้ ขณะเดียวก็ยังมีความสงสัยที่มิอาจไขข้อข้องใจได้พวกเขากระซิบกระซาบกันถึงเรื่องสีหน้าท่าทางที่แตกต่างจากเดิมของฝ่าบาทในวันนี้ฮั่วหลินมิได้สนใจเสียงกระซิบกระซาบของเหล่าขุนนาง เขาก้าวเท้าออกจากตำหนักจินหลวน เตรียมจะกลับไปสะสางราชกิจที่คั่งค้างในห้องทรงพระอักษรต่อ ทว่าเสียงที่แฝงไว้ด้วยความยียวนอย่างชัดเจนเสียงหนึ่งกลับดังมาจากด้านหลัง“แหม วันนี้พระพักตร์ฝ่าบาทมีสง่าราศีอย่างมากเชียวนะ หรือว่าทรงได้ยาวิเศษใดมาถนอมพระวรกายงั้นหรือพะย่ะค่ะ?”ผู้พูดก็คือฮั่วอวิ๋นสิง เขาแต่งกายด้วยชุดราชการประจำตำแหน่งชินอ๋อง[1] มือโบกพัดพับกระดูกหยกไปมา พลางจ้องพิจารณาฮั่วหลินตั้งแต่หัวจรดเท้า รอยยิ้มเย้าแหย่ฮั่วหลินได้ยินเช่นนั้นฝีเท้าก็ชะงักหยุด ตวัดแววตาเย็นชามองไปที่เขา“เสด็จอาว่างมากหรือ?” น้ำเสียงไม่สูง แต่กลับแสดงถึงบารมีของฮ่องเต้ไว้อย่างชัดเจน ซึ่งสามารถทำให้ขุนนางที่ยังเดินไปได้ไม่ไกลมากนักต่างก็หดคอ และรีบเร่งฝีเท

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status