4
พระองค์ก็ไม่ต่างจากสตรีตั้งครรภ์
โจ๊กผักของนางเสร็จพร้อมพระอาทิตย์ยามเช้าขึ้นพอดี เสี่ยวหรงเดินตามมาจนถึงห้องเครื่องหลังไปที่ห้องนอน แต่ทหารของท่านอ๋องบอกว่าพระชายาออกมาจากห้องนอนนานแล้ว จึงเดินมาตามเผื่อผู้เป็นนายจะมีสิ่งใดให้รับใช้
“พระชายา มาทำสิ่งใดในนี้หรือเพคะ อยากกินสิ่งใดเหตุใด้ไม่ใช้บ่าวทำ”
“ข้ามาเตรียมอาหารเช้าให้ท่านอ๋อง”
“เหตุใดต้องทำเองเล่าเพคะ ที่จวนอ๋องก็มีพ่อครัว” สาวน้อยตรงหน้าถามเรื่อยเปื่อยด้วยความสงสัย จวนอ๋องก็ใช่ว่าจะขาดบ่าวไพร่เหตุใดพระชายาเช่นนางต้องลงมือทำเอง จริงอยู่ที่เพียงเท่านี้ไม่ได้ลำบากเท่าไรแต่ยามนี้นายของนางมิใช่คุณหนูรองตระกูลฉีอีกแล้ว แต่เป็นถึงพระชายาอ๋องอันที่มีชื่อเสียง
“พ่อครัวก็รู้เพียงว่าทำอย่างไรให้อาหารรสดี แต่ไม่รู้ว่าทำอย่างไรอาหารจึงช่วยรักษาโรคได้” พระชายาฉีกล่าวกับสาวใช้ด้วยใบหน้าอ่อนโยน ไม่ได้นึกหงุดหงิดที่ถูกถามจี้ไปมาเช่นนี้
“พระชายารู้หรือเพคะ”
“รู้สิ หากไม่รู้ข้าจะมาทำสิ่งใดในนี้ ไปเถอะยกอาหารตามข้ามา” สั่งเสร็จก็ปัดมือสองสามทีแล้วเดินออกไปจากห้องเครื่อง โดยมีเสี่ยวหรงยกถาดไม้ที่มีชามโจ๊กผักวางอยู่
“ถวายบังคมท่านอ๋อง”
“ไม่ต้องมากพิธี อย่างไรข้าก็มองไม่เห็น”
“ท่านอ๋องมีสิ่งใดจะสั่งหรือพ่ะย่ะค่ะ” จื่ออี้ยืนหลังตรงก้มหน้าเล็กน้อยรอฟังว่าผู้เป็นนายจะสั่งสิ่งใด เขารีบเปิดประตูเข้ามาหลังได้ยินอ๋องอันเรียกหา ไม่รู้เหตุใดวันนี้ท่านอ๋องจึงตื่นเร็วกว่าทุกวัน
“พระชายาไปที่ใด” เดิมทีคิดว่าไม่คุ้นชินที่มีผู้อื่นร่วมเตียงคงนอนไม่หลับ ไหนจะสัญชาตญาณการระวังตัวเมื่ออยู่กับผู้อื่น แต่กลายเป็นหลับเสียเต็มที่จึงได้ตื่นเร็วกว่าทุกวัน
แขนยาวเผลอขยับไปจนชิดขอบเตียงด้านนอก จึงรู้ว่ายามนี้ภรรยาที่เพิ่งแต่งมาไม่อยู่บนเตียงเสียแล้ว
“หม่อมฉันอยู่นี่ ท่านอ๋องเรียกหามีสิ่งใดหรือเพคะ” จื่ออี้ยังไม่ได้ให้ความกระจ่างใดแก่ผู้เป็นนาย นายหญิงก็เข้ามา นางเดินเข้ามาด้วยสีหน้าสดใส อ่อนโยน แต่ช่างน่าเสียดายที่ผู้เป็นสามีกลับไม่มีโอกาสได้เห็น
“ไม่มี ข้าเพียงสงสัยว่าเหตุใดพระชายาจึงหายไป ตัวข้ามองไม่เห็นทำได้เพียงสอบถามผู้อื่นเท่านั้น”
“ตอนนี้ไม่เห็น อีกไม่นานก็เห็น ท่านอ๋องไม่ต้องกังวล”
“พระชายา...” เสียงทุ้มร้องเรียกแผ่วเบา จื่ออี้นึกอยากเอ่ยห้ามพระชายาที่พูดเรื่องเมื่อครู่ ก่อนหน้านี้หมอหลวงได้กล่าวเอาไว้ว่าดวงตานี้โอกาสจะกลับมามองเห็นน้อยเหลือเกิน เพราะเหตุนี้งานสมรสจึงได้ถูกจัดขึ้นรวดเร็ว แต่กลับถูกอ๋องอันยกมือห้ามไว้เสียก่อน
“เจ้าจะรักษาให้ข้าได้หรืออย่างไร”
“ต้องได้สิเพคะ”
“ดวงตานี้แม้แต่หมอหลวงยังไม่กล้ารับปากว่ามันจะกลับมามองเห็นได้อีก สิ่งใดทำให้เจ้ามั่นใจเช่นนี้กันพระชายา”
“หม่อมฉันเองก็เป็นหมอ และเป็นหมอที่มีจรรยาบรรณสุด ๆ เช่นนี้หากบอกว่าได้ต้องได้เพคะ”
“สุด ๆ?”
“แปลว่ามีจรรยาบรรณมากนักเพคะ” อ๋องอันไม่ตอบเพียงพยักหน้า แย้มยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปาก นางกล่าวเช่นนี้เขาย่อมต้องเชื่อนางทำให้เห็นมาก่อนนี้แล้วว่านางช่วยเขาได้จริง
“เจ้าไปที่ใดมา เหตุใดตื่นเช้านัก”
“ชินเพคะ”
“ชิน?”
“คุ้นเคยเพคะ หม่อมฉันมักตื่นเช้าเพื่อไปเก็บสมุนไพรจึงตื่นเช้าเช่นนี้ พอตื่นแล้วไม่มีสิ่งใดทำอีกอย่างไม่อยากกวนท่านอ๋อง จึงไปที่ห้องเครื่อง ทำอาหารเช้าให้พระองค์เสวย หิวหรือยังเพคะ”
“เหตุใดต้องทำเอง บ่าวไพร่ในจวนไม่พอให้เจ้าเรียกใช้หรืออย่างไร” อ๋องอันตรัสถาม มิได้รู้สึกว่านางทำสิ่งใดผิดเพียงสงสัยว่านางมีความจำเป็นใดจึงทำเองเช่นนี้
“หากต้องอธิบายก็คงยาวยิ่งนัก ไปนั่งก่อนเถอะเพคะ”
“จื่ออี้” อ๋องอันพยักหน้าอีกครั้งก่อนจะเรียกหาองครักษ์ ยกฝ่ามือขึ้นมารอให้จื่ออี้ยื่นแขนมาเพื่อเป็นผู้นำทาง องครักษ์หนุ่มน้อยผู้นั้นเดินเข้าหาท่านอ๋องพลางยกท่อนแขนแข็งแรงหมายจะให้อ๋องอันได้ใช้พยุง
“จื่ออี้ไม่เป็นไร ข้าเอง” นางขัดขึ้นเดินเข้าหาเข้า ใช้มือซ้ายตนเองจับข้อมือซ้ายเขาแผ่วเบา มือขวาโอบรอบเอวเขาเอาไว้ พอเขาเดินไปยังโต๊ะฝั่งซ้ายของห้องบรรทม นางพยุงเขาราวกับสตรีท้องโตใกล้คลอดอย่างไรอย่างนั้น
“ถ้าใช้เท้าพระองค์ก้าวไปอีกสิบเก้าคงถึง แต่หากใช้เท้าหม่อมฉันคงเกือบยี่สิบก้าว”
“เจ้าคิดว่าข้าเป็นสตรีท้องแก่หรืออย่างไร”
“พระองค์ก็ไม่ต่างจากสตรีตั้งครรภ์หรอกเพคะ”
“เหตุใดจึงไม่ต่าง” อ๋องอันตรัสถามผู้เป็นภรรยาขณะที่ค่อย ๆ ก้าวไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า สาวใช้และทหารองครักษ์ล้วนยืนมองสองสามีภรรยาที่กำลังเดินคู่กันไป ไม่เอ่ยทักสิ่งใดเพียงยืนมองยืนฟังอย่างเงียบ ๆ
เสี่ยวหรงคิดในใจอ๋องอันนี้มิได้เป็นบุรุษน่ากลัว โหดร้าย เฉกเช่นผู้คนร่ำลือเลย เสียดายเพียงยามนี้พระองค์มองไม่เห็น หากไม่แล้วพระชายาของนางคงไม่ต้องกลัวผู้อื่นกลั่นแกล้งอีก
“พระองค์ก็ทรงเป็นผู้ป่วยเช่นเดียวกับพวกนาง”
“เหตุใดจึงเหมือนกัน สตรีท้องก็เป็นเพียงสตรีท้อง พวกนางป่วยอย่างไร”
“พวกนางล้วนป่วยทางร่างกายเพคะ ยามตั้งครรภ์บางคนเวียนหัว บางคนอาเจียน บางคนเจ็บป่วยจนต้องนอนอยู่กับเตียงไปหลายเดือนแต่พวกนางยอมเจ็บป่วยเพื่อบุตรในครรภ์ พระองค์เองก็ป่วยเพื่อบ้านเมืองนี้เพคะ ข้างหน้าเป็นพื้นต่างระดับ ยกเท้าสูงหน่อยเพคะ” แม้ปากจะพูดคุยกับเขาอยู่ แต่นางกลับไม่ลืมดูความปลอดภัยของเขาเลย ไม่ต้องมองตนเองผ่านคันฉ่องก็รู้ว่าตนเองยิ้มกว้างเพียงใด น่าเอ็นดูเป็นเพียงคำพูดเดียวที่เขาคิดได้เมื่ออยู่ใกล้นาง นอกจากพูดเก่งน้ำเสียงนางยังน่าฟัง
คำพูดนี้ของนางทำให้ภาพที่เคยดำมืดของเขาดูคล้ายมีแสงสว่างส่อง ไม่รู้ว่าผู้อื่นเป็นเช่นกันหรือไม่ แต่หลังมองไม่เห็นเขาเกิดความรู้สึกเหนื่อยหน่ายท้อใจยิ่งนัก ผู้ที่เคยกวัดแกว่งดาบกระบี่ในสนามรบอย่างเขา ต้องอุดอู้ใช้ชีวิตอยู่ในห้องบรรทมเพียงเท่านั้น
ดูเหมือนงานสมรสนี้จะมีข้อดีมากกว่าที่เขาคิดเอาไว้...
28สตรีใดที่ท่านหลงรัก“เห็นอยู่กับตาว่าเจ้าคือฉีอ้ายฉิง เหตุใดจึงกล่าวเช่นนั้น” ชายหนุ่มถามอย่างสงสัย ไม่รู้เหตุใดชายาตนเองจึงพูดจาแบบนี้ ถามผู้ที่เคยพบล้วนต้องบอกว่านางคือฉีอ้ายฉิงบุตรตระกูลฉีเป็นแน่“เดิมทีฉีอ้ายฉิงถูกฉีอ้ายเหม่ยบุตรสาวคนโตทำร้ายจนสิ้นใจภายในจวน และหม่อมฉันตายจากที่อื่นก็เลยเข้ามาอยู่ในร่างนางแทน เช่นนั้นข้าจึงจำไม่ได้ว่าเคยช่วยท่านเอาไว้ เพราะผู้ที่ช่วยพระองค์ไม่ใช่หม่อมฉัน แต่เป็นนาง”“...”“หม่อมฉันฟื้นขึ้นมาวันที่ต้องเข้าพิธีสมรส จนได้เจอกับพระองค์ คราแรกกังวลใจไม่น้อยที่อยู่ ๆ ต้องเข้าพิธีกับผู้ที่มีชื่อเสียงโหดร้ายเช่นท่าน แต่เมื่อแต่งแล้วจึงรู้ว่าท่านไม่ได้เป็นดั่งที่ชาวบ้านร่ำลือ”“...”“ที่หม่อมฉันช่วยพระองค์ก็เพื่อให้ตนเองได้อยู่อย่างไม่ลำบาก จนไม่นานมานี้ได้รับรู้ว่าที่พระองค์ดีกับหม่อมฉันเพราะทรงจำได้ว่าฉีอ้ายฉิงเคยช่
27เรื่องเหลือเชื่อนี้“โชคดีจริง ๆ ที่ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมอุปสรรคเยอะแยะเหมือนในละคร ไม่งั้นตายแน่เลย เนาะไอ้จิ๋วของแม่” หญิงสาวพึมพำกับตนเองเบาๆ ขณะนั่งหน้าคันฉ่องบานใหญ่ เรื่องนี้ยังไม่มีผู้ใดรู้นางไม่กล้าบอกเพราะกลัวว่าจะไม่มีผู้ใดเชื่อเรื่องเหลือเชื่อนี้เสียงเรียกแผ่วเบาหน้าประตูทำให้นางลุกไปดู หยินซูหยางหรือมารดาแท้ ๆ ของฉีอ้ายฉิงคนเก่า นางมาอยู่ที่จวนอ๋องได้เกือบหนึ่งเดือนแล้วเพราะตระกูลฉีถูกเนรเทศจากเมืองหลวงหลังถูกโบย“ท่านแม่มีอันใดหรือเจ้าคะ”“แม่ไม่ได้พูดคุยกับเจ้ามานานจึงอยากมาพูดคุยด้วยสักหน่อย เป็นอย่างไรบ้าง ยังอาเจียนอยู่หรือไม่”“ท่านแม่เชิญเข้ามาก่อนเถอะเจ้าค่ะ” หยินซูหยางเดินตามบุตรสาวเข้าไปนั่งเก้าอี้ในห้อง อ๋องอันยามนี้คงอยู่ในวังเพื่อวางเรื่องการป้องกันเมืองกับไท่จื่อ นางรินชาให้มารดาแล้วยิ้มให้อย่างอ่อนโยน แม้ไม่ใช่บุตรแท้ ๆ แต่อย่างไรยามนี้นางก็เป็นฉีอ้
26โอกาสสุดท้ายของการกลับตัวไท่จื่อเบิกตาโตมองผู้คนที่เดินเข้ามาภายในโถงร้านค้าเก่าแห่งนี้ ภายนอกมีคนของเขาเฝ้าอยู่ด้านนอกหลายคนรวมถึงองครักษ์ประจำตัว แต่เมื่อเห็นผู้ที่เดินเข้ามาเป็นคนสุดท้ายจึงรู้ว่าเพราะเหตุใดองค์จักรพรรดิทรงเดินเข้ามาด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ไม่มีอารมณ์ใดปะปนอยู่เลย ร่างกายเย็นวูบชาไปทั่วทั้งร่างไม่นึกเลยว่าองค์จักรพรรดิจะเสด็จเองเช่นนี้ แต่เขากลับไม่รู้เลย“อ้ายฉิงเป็นอย่างไรบ้าง”“หม่อมฉันไม่เป็นไรเพคะ เพียงรู้สึกอับชื้นจึงหายใจไม่สะดวกเท่านั้น” น้ำเสียงหวานใสบอกกับผู้เป็นสามี ใบหน้ายิ้มแย้มไม่ได้โกรธเคืองหรือตื่นกลัวอันใด“ลูกถวายบังคมเสด็จพ่อ เหตุใดเสด็จพ่อจึงเสด็จมาเองเช่นนี้” องค์ไท่จื่อหันไปพูดกับฮ่องเต้ด้วยน้ำเสียงเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด คงกังวลว่าจะถูกกล่าวโทษที่ทำเรื่องเช่นนี้ หรืออาจกังวลว่าฮ่องเต้ทรงรู้สิ่งใดมาบ้าง“ถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ”
25ผู้ที่อยู่เบื้องหลัง“เช่นนั้นก่อนตายข้าจะสงเคราะห์ให้” เขาพูดจบก็แหวกม่านหมวกออกทั้งสองฝั่ง เผยให้เห็นใบหน้าโหดเหี้ยม นางไม่คุ้นเคยใบหน้านี้แม้แต่น้อย ไม่เคยเห็นสักครั้งเดียว“แม้จะเห็นหน้าท่านเช่นนี้ข้าก็ไม่รู้อยู่ดีว่าท่านเป็นผู้ใด อยากจะพูดก็พูดเถอะ หากไม่แล้วก็เชิญทำตามใจ” สิ่งที่เอ่ยออกไปนางไม่ได้จงใจยั่วยุแต่นางคิดเช่นนั้นจริง ๆ อย่างไรนางก็เคยตายมาแล้วครั้งหนึ่ง แม้ไม่ได้อยากตายก็ตาม ครั้งนี้ก็เช่นกันเมื่อฟ้าลิขิตให้ตายผู้ใดเล่าจะรอดนางพูดจบก็เงยหน้ามองเขาอีกครั้งด้วยแววตานิ่งไม่หวั่นไหว ถามว่ากลัวหรือไม่นางย่อมต้องกลัว แต่จะให้อ้อนวอนขอชีวิตก็คงไม่มีประโยชน์อันใด“ยิ่งเห็นสายตาราวกับไม่กลัวสิ่งใดของเจ้า ทำให้ข้ายิ่งนึกถึงคนผู้นั้นยิ่งนัก ข้าเคยให้โอกาสเจ้าเลือกแล้วที่จะไม่รักษาอ๋องอัน แต่เจ้าดื้อรั้นและดื้อดึง”“อย่างที่ท่านกล่าวมา ข้าทั้งดื้อรั้นและดื้อดึงต่อให้ท่านจะฆ่
24มีเวลาให้พักมากพอ“ขอแสดงความยินดีกับพระชายา พระองค์ทรงตั้งครรภ์ได้สองเดือนแล้วพ่ะย่ะค่ะ” นางยกมือกุมขมับตนเองทันที เป็นหมอแท้ ๆ แต่กลับไม่ทันได้คิดเรื่องนี้เลย มัวแต่ใช้เวลาดูแลผู้อื่นจนลืมสังเกตตนเอง“ขอบคุณท่านหมอ เชิญท่านหมอเถอะ ข้าขอพักเสียหน่อย”“กระหม่อมทูลลา” รายงานเสร็จหมอก็ออกไปจากรถม้าให้นางได้อยู่ตามลำพัง ไม่ได้สั่งยาหรือมอบเทียบยาใดให้เพราะเห็นว่านางอ่อนเพลียจึงปลีกตัวออกมาให้ได้พักผ่อน“ตัวจิ๋วเดียวก็สร้างเรื่องเลยนะ ถ้าอยากมาเกิดจริง ๆ อย่าให้แม่ทรมานนักสิ” นางพึมพำกับตนเองพร้อมกับลูบหน้าท้องแบนราบแผ่วเบาแล้วผล็อยหลับไป“ท่านหมอพระชายาเป็นอย่างไรบ้าง”“ขอแสดงความยินดีกับท่านอ๋อง พระชายาทรงตั้งครรภ์ได้สองเดือนแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ดวงตาคมเบิกกว้างตกใจกับสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่ไม่น้อย ริมฝีปากยกยิ้มกว้างอย่างไม่รู้ตัว
23ป่วยแล้วหรือไม่“เสด็จพี่ เช่นนั้นผู้บงการนี้”“แม้จะไม่อยากคิด แต่ข้าคิดว่าคงเป็นคนผู้เดียวกับที่เจ้าคิด บัดนี้มีหลักฐานแต่ยังขาดพยาน อาจจะไม่ใช่ก็ได้ ต้องหาคนผู้นั้นให้เจอเราจึงจะได้คำตอบ” น้ำเสียงราบเรียบ เขาให้จื่ออี้ตามหาผู้ที่จับตัวฉีอ้ายฉิงในวันนั้น แม้จะยังไม่พบแต่ไม่นานต้องพบแน่ คนผู้นั้นเองก็คงไม่อยากตาย“หากมีสิ่งใดที่ข้าพอช่วยได้”“ย่อมต้องมีเรื่องรบกวนเจ้าในภายหน้าเป็นแน่” คนเจ็บยิ้มมุมปากขึ้นมาทันที เมื่อได้ยินผู้เป็นพี่ชายบอกว่าต้องมีโอกาสใช้งานเขาแน่นอน เพราะไม่ได้ถูกเลี้ยงดูด้วยกันองค์ชายสามจึงมีแบบอย่างเป็นองค์ชายรองมาโดยตลอด ไม่ว่าองค์ชายรองจะทำอย่างไรจะเป็นอย่างไร เขาล้วนพยายามพัฒนาตนเองอยู่เสมอ เพื่อที่ในสักวันจะได้คอยช่วยพี่ชายออกรบในสนามรบได้หลังได้ยินว่าเขาจะต้องไปช่วยอ๋องอันบรรเทาทุกข์ที่เซียงโจวก็ดีใจมาก คิดตลอดคืนว่าจะพูดคุยกับพี่ชายอย่างไรดีแต่จน
22ภัยพิบัติคลี่คลายชายหนุ่มผละออกมาด้วยใบหน้าเสียดาย ท่าทางงอแงราวลูกสุนัขถูกห้ามกินไก่ น่าขบขันไม่น้อย ยามนี้เขาไม่ใช่แม่ทัพแห่งเทียนมิ่งแล้ว“เช่นนั้นวันนี้ข้าจะปล่อยเจ้าไปก่อน แต่เจ้าหนีไม่พ้นตลอดไปหรอก รู้หรือไม่พระชายา” น้ำเสียงหยอกเย้าเอ่ยคาดโทษผู้เป็นภรรยา แล้วเดินออกจากห้องไปเขาต้องการจัดการเรื่องราวภัยพิบัติให้เสร็จภายในห้าวันนี้ เพราะต้องรีบกลับเมืองหลวงเพื่อหาหลักฐานของผู้อยู่เบื้องหลัง มีแต่ทำเช่นนี้เขาและนางจึงจะได้อยู่ด้วยกันโดยไม่ต้องกังวลสิ่งใด“คนบ้ากล้ามาขู่กัน ชิ” เสียงพึมพำปนความขัดเขินดังออกมาจากริมฝีบาง นางรีบล้มตัวนอนลงทันที ไม่ต้องเถียงกับใครอีกแล้ว นางเหนื่อยจนตาจะปิดอยู่แล้ว แต่เหตุใดจึงเหนื่อยมากถึงเพียงนี้กันองค์ชายสามหลับไปถึงสองวันกว่าจะฟื้นตื่นขึ้นมา สถานการณ์ภัยพิบัติเริ่มคลี่คลาย ผู้ที่บาดเจ็บได้รับการรักษาอย่างดี ยาและอาหารที่ขอจากเมืองหลวงก็มาถึงแล้ว บ้านเร
21เรื่องนี้บอกผู้อื่นไม่ได้เมื่อนางพูดเขาจึงเริ่มสังเกตุว่าตอนนี้ตนเองมองเห็นทุกอย่างได้ชัดเจน รวมถึงใบหน้างดงามอ่อนหวานของผู้เป็นภรรยาด้วย“ข้ามองเห็นได้ชัดนักอ้ายฉิง” ถึงจะเห็นว่าภายในห้องบรรทมมีสิ่งของหรูหราอยู่กี่ชิ้น แต่ก็ไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มสนใจแม้แต่น้อย ที่แท้ใบหน้าของสตรีข้างกายเขากลับงดงามถึงเพียงนี้ หากเขาไม่อาจกลับมามองเห็นแล้ว นี่ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก“เช่นนี้ก็ดียิ่งเพคะ ในที่สุดพระองค์ก็ทรงมองเห็น หม่อมฉันเองก็รักษาคำมั่นสัญญาว่าจะรักษาพระองค์ได้แล้ว”“เรื่องนี้ยิ่งต้องขอบคุณเจ้าที่คอยดูแลปรนนิบัติข้าเป็นอย่างดี หากไม่ใช่เพราะเจ้าไม่รู้ว่าชีวิตนี้จะกลับมามองเห็นอีกหรือไม่” สองมือหนากุมมือนางขึ้นมาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แววตาจริงจังสดใสที่นางไม่เคยรู้สึกถึงมันมาก่อน ทำให้นางพลอยเคลิ้บเคลิ้มไปกับรอยยิ้มแสนหวานตรงหน้าเช่นกัน“พระองค์จะบอกเรื่องนี้กับผู้อื่นหรือไม่”
20พ้นข้อกล่าวหาฉีอ้ายฉิงใช้เวลาในการรักษาองค์ชายสามอยู่เกือบหนึ่งชั่วยาม โชคดีขององค์ชายที่มีดนี้ไม่ได้ถูกอวัยวะใดจนบาดเจ็บหนัก หลังดึงมีดออกตรง ๆ เลือดก็ไม่ได้ไหลมากเกินไปจนอยู่ในอันตรายอย่างที่กังวล นางใช้เส้นผมของตนเองร้อยกับเข็มเงินในปิ่นของมารดา เย็บปากแผลที่ฉีกออกให้ติดกันแม้เท้าตนเองจะไม่สามารถใช้ได้อย่างไม่เต็มที่ แต่นางมีปณิธานแน่วแน่ว่าจะไม่ยอมให้ผู้มีพระคุณต้องตายภายใต้การรักษาของตน สุดท้ายจึงอดทนกัดฟันรักษาเขาจนเสร็จได้“จื่ออี้หากองค์ชายฟื้นให้คนไปตามข้า ยามนี้อย่าให้ผู้ใดรบกวนองค์ชาย หากพระองค์ฟื้นแล้วหิวก็อย่าเพิ่งให้กินสิ่งใด ข้าขอไปพักสักหน่อย” หญิงสาวสั่งองครักษ์ของสวามีเสร็จก็หันไบอกแก่หมอท้องถิ่นผู้นั้น พูดจบก็เดินจากไปโดยมีผู้เป็นสามีคอยประคอง เขามองเห็นไม่ชัดนางเดินได้ไม่เต็มที่ ช่างเป็นภาพที่ดียิ่งนักนางเหนื่อยล้าจนลืมไปแล้วว่าตนเองมีบาดแผลที่เท้ายังไม่ทันได้รักษา ผู้เป็นสามีเองก็รู้เพียงว่านางเจ็