เสียงของพระที่เงียบงัน
บ้านหลังเล็กใต้เขาตะวันตก อยู่ห่างจากศาลาเงาไปครึ่งวันเดินเท้า ไม่มีระฆัง ไม่มีแท่น ไม่มีธูปสักดอก
แต่ภายในบ้านไม้หลังนั้น มีโต๊ะหนึ่งตัว ตะเกียงน้ำมันหนึ่งดวง และสมุดวางเรียงอยู่สิบห้าเล่ม — หน้าปกเป็นเพียงผ้าขี้ริ้วพันไว้ ไม่ต่างจากผ้าพันแผลของคนเจ็บ
ฮากุโร่ไม่ได้พูดอะไรเลย นับแต่เขาก้าวเข้าสู่บ้านนั้น
“วันที่ข้าฟังชื่อของคนตาย โดยไม่ต้องรู้ว่าพวกเขาเคยเป็นอะไร…”
สมุดนั้น…เป็นบันทึกของพระคันริว
หญิงชราในบ้านนั้น…เคยเป็นพระลูกวัดของโฮเซ็นจิ
“เขียนไว้หมดเลยหรือ” ฮากุโร่ถามเบา ๆ ในที่สุด
อุเมะพยักหน้า ช้า ๆ
“เล่มนี้เขาเขียนไว้ หลังจากเผาตำราเล่มสุดท้าย”
ฮากุโร่เปิดดู
“เมื่อไม่เหลืออะไรให้เทศน์
จึงเริ่มเรียนรู้การฟัง”
สมุดนั้น…ไม่ใช่เพียงบันทึกของพระ
ฮากุโร่อ่านต่อ…ช้า ๆ ทีละหน้า
“ข้ารู้ว่าการสวดคือการรักษา
แต่ข้าพบว่า การฟัง คือการรักษาโดยไม่ล่วงละเมิด”
“เด็กบางคนพูดชื่อพ่อแม่โดยไม่ร้องไห้
แต่ข้าร้อง…เพราะข้าเคยสวดให้ศพคนมากมาย
โดยไม่เคยรู้จักชื่อพวกเขาเลย”
“ในเสียงของคนอื่น ข้าพบตัวเองอีกครั้ง
ไม่ใช่ในคำสวด
แต่ในความเงียบระหว่างคำพูด”
ฮากุโร่วางสมุดลง เขาหลับตา
“เขาฟังมาก…จนตัวเองกลายเป็นความเงียบ…”
อุเมะหัวเราะเบา ๆ
หลังเผาตำรา คันริวไม่ได้หายไปจากโลก
มีหญิงหม้ายผู้หนึ่ง เดินข้ามเขาสามลูกมา
คันริวเปิดอ่านกลอนนั้น
“เสียงของเขาไม่ใช่ของข้า
ข้าจึงให้มันอยู่ในโลก…โดยไม่ตีความ”
อีกวันหนึ่ง
เขาบอกว่า…อยากให้ชื่อของแม่ที่ตายตอนคลอดเขา
แต่เขาไม่รู้ชื่อแม่
คันริวไม่ถามต่อ
เด็กชายพูดว่า…
“เธอเคยร้องเพลงไร้คำ…ตอนข้าร้องไห้ในท้อง”
คันริวเขียนบรรทัดนี้ลงในสมุด
“เสียงแรกที่เด็กชายจำได้ คือเสียงที่ไม่มีคำ
และนั่น…คือชื่อของแม่เขา”
วันหนึ่ง
“เมื่อฟังจนครบทุกเสียง
ข้าจึงรู้ว่าไม่มีเสียงใดควรถูกลืม
แม้จะไม่ศักดิ์สิทธิ์…มันก็เป็นของมนุษย์”
และหลังจากนั้น
แต่ยังคงฟัง
อุเมะบอกกับฮากุโร่ว่า
“จงส่งสมุดของข้าให้กับคนที่เคยสวดมาก่อน
เพื่อเขาจะได้รู้ว่า บทใหม่…ไม่ต้องเริ่มด้วยคำ แต่อาจเริ่มด้วยการฟัง”
ฮากุโร่มองสมุดสิบห้าเล่มตรงหน้า
เขาเคยเป็นขุนศึก
วันนี้
คืนสุดท้ายนั้น
เขาไม่ได้พูดอะไร
และเมื่อดวงตะวันลับลงหลังเขา
“ข้าอยากเขียนบันทึกเล่มแรกของข้า…
ที่ไม่มีชื่อข้าเลย แต่เต็มไปด้วยชื่อคนอื่น”จบบท: เสียงของพระที่เงียบงัน
“พระที่ล้มแท่นของตน”พระบางคนเผาตำราเก่า และฟังเสียงเด็กแทน“เมื่อศรัทธาถูกใช้เพื่อปิดหูบางคนจึงเลือกปิดตำรา...เพื่อเปิดใจ”วัดโฮเซ็นจิในหุบเขาตะวันตกเฉียงเหนือของโยะริมิยะเสียงระฆังทองแดงหนักเจ็ดร้อยชั่ง เคยดังก้องทุกเช้าค่ำเรียกชาวบ้านให้สวดตามสั่นเตือนให้พระผู้ถือบาตรเดินตามระเบียบก้องเตือนให้คนในศาสนจักรจำได้ว่า“คำข้างในตำรา...ศักดิ์สิทธิ์กว่าเสียงใด”แต่วันหนึ่งเสียงระฆังเงียบไม่มีใครตีไม่มีเสียงสวดมีเพียงกลิ่นควันจากกระดาษที่ถูกเผาพระที่เคยเทศน์จนเลือดเปื้อนหมึกชื่อของเขาคือ “คันริว”ในวัยหนุ่ม เขาเคยจารึกบทสวดด้วยเลือดตนเองเชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์คือสิ่งที่ต้องบูชา ไม่ใช่ตั้งคำถามเขาเคยลงโทษพระลูกวัดที่ออกเสียงผิดเคยตราหน้าเด็กที่ถามว่า “ทำไมบทสวดไม่พูดชื่อพ่อแม่ข้าเลย”แต่เขาก็เป็นคนเดียวในวัดที่ทุกคืน…จะออกไปนั่งใต้ต้นสนเขียนสิ่งที่ไม่อยู่ในตำรา“เสียงที่แม่ร้องไห้”“ชื่อของคนที่ถูกฝังโดยไม่มีใครพูดถึง”“เสียงหัวเราะของเด็กที่ตายโดยไม่มีพิธี”เขาไม่เคยเผยสิ่งที่เขียนจนกระทั่งคืนหนึ่ง...ฝนตกเด็กที่เดินฝ่าฝนเข้าวัด โดยไม่ไหว้พระเด็กชายอายุราวแปดขวบชื่อ "อิโตะ"
แผ่นดินที่ไม่มีตำราเมื่อพื้นที่ที่ไม่มีศาสนจักรเข้าถึง เริ่มจัดพิธีฟังแทนศาสนา“เมื่อบทสวดไม่อาจเข้าถึงผู้คนก็เริ่มฟังกันเองโดยไม่ต้องอ้างคำใดในตำรา”กลางทุ่งอาเคะฮะ แคว้นที่ไม่มีชื่อบนแผนที่แผ่นดินแห่งนี้เคยถูกเรียกว่า "เขตต้องสาป" โดยศาสนจักร เพราะเป็นพื้นที่ที่ไม่เคยสร้างศาลา ไม่เคยมีแท่นสวด และไม่มีพระรูปใดตั้งรกรากยาวนานพอจะจารึกบทบูชาให้ถาวรแต่ในปีแห่งเงาเดินกลา
พิธีจำที่ไม่มีผู้สั่ง— คนทั่วแผ่นดินเริ่มร่วมพิธีจำชื่อผู้ตายแบบไม่มีลำดับชั้นแผ่นดินโยะริมิยะไม่เคยมีเสียงสวดที่ไหลจากทุ่งสู่พระราชวังไม่เคยมีเสียงชื่อชาวนาถูกเอ่ยในที่ที่เจ้าเมืองเคยยืนไม่เคยมีใครกล้าจดจำ “คนที่ไม่มีชื่อ” อย่างเปิดเผย…จนกระทั่งค่ำคืนหนึ่งในต้นฤดูใบไม้ร่วงเมื่อสายลมเย็นพัดมาจากทิศเหนือ และฝุ่นจากพายุฤดูแล้งยังไม่ทันจางมีหญิงชราในหมู่บ้านอิซานะ นั่งอยู่หน้ากองฟืนที่ยังไม่จุดลูบสมุดเก่าเล่มหนึ่ง แล้วพูดขึ้นกลางวงว่า“คืนนี้...ข้าจะอ่านชื่อสามีของข้าที่ศพเขาไม่เคยมีใครเผาให้…เพราะไม่มีใครมาฟัง”ไม่มีพระ ไม่มีเจ้าเมือง ไม่มีผู้อาวุโสมีเพียงคนในหมู่บ้านนั่งเงียบ ฟังเสียงคนชราสะอื้นจากนั้น เด็กชายคนหนึ่งก็ค่อย ๆ หยิบสมุดฟังเล่มใหม่มาเขียนชื่อของ “อาคิระ” — พ่อของเขา ที่เคยหายไปกลางป่าระหว่างทางไปตลาดไม่มีใครสั่งให้ทำไม่มีตำราบอกให้พูดไม่มีเสียงระฆังเริ่มพิธีแต่เมื่อดวงจันทร์ครึ่งดวงขยับพ้นยอดไผ่เสียงชื่อผู้ตายเริ่มถูกอ่านเรียงต่อกัน โดยผู้เป็นลูก ผู้เป็นภรรยา หรือแม้แต่เพื่อนบ้านที่ไม่เคยรู้ว่าคนตายนั้นมีชื่อจริงว่าอะไรมันเริ่มที่หมู่บ้านหนึ่งแล้วต่อมา มี
ผู้เงียบที่เริ่มพูด- เมื่อคนเงียบในตระกูลใหญ่กลายเป็นผู้นำใหม่ในสายลมเย็นของฤดูใบไม้ร่วงต้นปีที่ 17 แห่งยุคโยะริมิยะใหม่เสียงกระดิ่งไม้ของศาลาฟังในหมู่บ้านซุยโฮดังขึ้นอย่างอ่อนโยนไม่ใช่เพื่อเรียกให้ฟังเทศน์ ไม่ใช่เพื่อเริ่มพิธีศักดิ์สิทธิ์แต่เพื่อแจ้งว่ามีเด็กคนหนึ่ง…เริ่มจดประโยคแรกในสมุดฟังเวียนเล่มใหม่ศาลานั้นไม่มีแท่นบูชา ไม่มีคนควบคุม ไม่มีเสื้อผ้าศักดิ์สิทธิ์แต่มีคนมากกว่าสี่สิบคน นั่งเงียบพร้อมกัน โดยไม่มีใครบอกให้ทำเด็กผู้นั้นชื่อว่า "ริสึ"เขาไม่ใช่คนในตระกูลใหญ่ ไม่เคยถูกสอนให้นำแต่เป็นคนเดียวในหมู่บ้านที่จำชื่อของหญิงชราที่เพิ่งตายได้ครบถ้วนแม้หญิงชรานั้นจะไม่มีหลาน ไม่มีลูกหลงเหลือและศาสนจักรไม่ยอมจัดพิธีให้ผู้ไม่มีตระกูลริสึยืนหน้าศาลามือสั่นเทาแต่พูดอย่างมั่นคง:“ข้าขอให้เราจำเธอ…แม้เธอไม่มีใครเหลือให้จำเพราะถ้าชื่อของเธอเงียบหายวันหนึ่งชื่อของพวกเราก็จะหายไปเช่นกัน”ในห้องใต้ดินของตระกูลยามาโนะขณะเดียวกัน ที่แคว้นกลางของโยะริมิยะในห้องใต้ดินลับของตระกูลยามาโนะ — หนึ่งใน 12 ตระกูลใหญ่หญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่หน้าสมุดฟังที่ไม่มีชื่อผู้เขียนดวงตาของนางมืดแน
บทที่ไม่มีผู้เขียนสมุดฟังถูกเวียนเขียนโดยไม่ลงชื่อในเช้าวันหนึ่งที่ไร้หมอก...ศาลาหลังใหม่ในหมู่บ้านอิซุระเต็มไปด้วยเสียงกระซิบ แต่ไม่มีใครพูดเสียงดังเด็กหญิงคนหนึ่งเปิดสมุดอ่านชื่อแม่ของเพื่อน แล้วปิดตาไว้ครู่หนึ่งไม่มีพิธีไม่มีใครสั่งให้ทำและที่สำคัญ…ไม่มีใครบอกว่าต้องเขียนอะไรสมุดฟังเล่มนั้น วางอยู่กลางศาลาใครจะเขียนก็ได้จะเขียนแค่ชื่อจะวาดรูปหรือจะเล่าเรื่องบางอย่างก็ได้ที่ข้างปก…มีเพียงคำเดียวที่ถูกเขียนไว้ในหมึกจาง“เพื่อผู้ที่ไม่มีใครเขียนถึง”เสียงที่ไม่มีเจ้าของความเปลี่ยนแปลงไม่ได้เริ่มจากเสียงใหญ่โตแต่มาจากการเวียนกันอ่าน…เวียนกันเขียน…เวียนกันฟังเมื่อไม่กี่เดือนก่อน สมุดฟังยังเป็นของ “ใครบางคน”อิโตะมีสมุดของเขาซาโยะมีเล่มของพ่อฮากุโร่เคยถือสมุดที่เขียนชื่อศัตรูแต่ตอนนี้ ทุกสมุดกลายเป็นสมุดเดียวกันไม่มีผู้เขียนไม่มีคนถือครองไม่มีแม้กระทั่งลายเซ็นเด็กคนหนึ่งจะเขียน แล้วทิ้งไว้คนถัดไปก็จะเติมเรื่องของตนแล้วส่งให้คนอื่นบางครั้งสมุดก็หายไปเป็นสัปดาห์แต่วันหนึ่ง…มันจะกลับมา พร้อมชื่อใหม่หนึ่งชื่อ และเรื่องเล่าใหม่หนึ่งเรื่องศาลาในหมู่บ้านอิซุระจึงกลา
บ้านที่ไม่มีประตู - เด็กสร้างศาลาฟังใหม่ที่ทุกคนเข้าได้หุบเขาตะวันตกของโยะริมิยะ เคยเป็นพื้นที่ต้องห้ามของศาสนจักรแต่วันนี้ กลายเป็นที่แรกที่มี “บ้าน” หลังหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่บ้านของใครคนใดคนหนึ่งไม่มีประตูไม่มีระฆังไม่มีแท่นมีเพียงเสาสี่ต้น หลังคาฟาง และพื้นดินเปล่าตรงกลางปูเสื่อไม้ไผ่สานหยาบ ๆ วางสมุดฟังเล่มหนึ่ง ซึ่งหน้าแรกยังว่างเปล่าและมีป้ายไม้เก่าเขียนไว้ด้วยลายมือเด็กว่า:“ศาลาฟัง – ไม่มีผู้นำ ไม่มีผู้อนุญาต”พวกเขาไม่ได้รอใครให้สั่งไม่ได้ขอพระรูปใดมาเปิดพิธีไม่ได้ถือธงตระกูล หรือสัญลักษณ์ทางศาสนาพวกเขาคือกลุ่มเด็กสิบสองคนจากหมู่บ้านรอบนอกบางคนเคยเป็นลูกกำพร้าที่พ่อแม่ถูกประหารโดยคำสั่งศาสนจักรบางคนเป็นหลานของผู้ถูกลืมบางคนเคยเขียนชื่อคนตายด้วยดินเพราะไม่มีหมึกและวันนี้ พวกเขามีหมึกพอมีมือที่สั่นแต่แน่นพอมีใจที่ยังจำ“เราจะไม่เปิดประตู…เพราะเราไม่เคยปิด”— ยามาโกะ, เด็กหญิงคนหนึ่งที่เขียนป้ายเสียงแรกในศาลาฟัง“ท่านเคยได้ยินชื่อ ฮานาโกะหรือไม่?”เสียงของเด็กชายชื่อโคจิ เอ่ยขึ้นกลางวงไม่มีใครตอบไม่มีใครรู้ว่าเธอคือใครแต่ทุกคนฟัง“เธอเป็นคนที่เคยให้ขนมฉันโดยไม่ถ