ในหุบเขาทางตะวันตกเฉียงเหนือของแผ่นดินโยะริมิยะ
แต่ในวันที่พระรูปหนึ่งเดินลงจากแท่น
เสียงไฟที่แตกเปรี๊ยะ…เงียบกว่าการสวดพันบท
เขาชื่อว่า คันริว
ในสมัยหนุ่ม คันริวเป็นผู้เทศน์ที่เข้มงวดที่สุดในโฮเซ็นจิ
แต่เขาก็เป็นคนเดียวที่ทุกคืน…นั่งอยู่ใต้ต้นสน นอกหอ
และจดสิ่งที่ไม่อยู่ในตำรา
“เสียงที่แม่ร้องไห้”
เขาไม่เคยพูดถึงสมุดเล่มนั้นกับใคร
เด็กคนนั้นชื่อว่า อิโตะ
เขาไม่คำนับพระ ไม่ยกมือไหว้
“ข้าไม่ต้องการให้ใครสวดให้พ่อข้า…เพราะพวกท่านไม่รู้จักชื่อของเขา”
เสียงนั้น ทำให้คันริวหยุดเขียนทันที
เด็กไม่ตอบ
อิโตะเปิดหน้าแรก
“เขาชอบเสียงแมลงตอนใกล้รุ่ง”
“เขาเคยทำรองเท้าไม้ให้แม่แต่ขนาดผิดทุกครั้ง”
“เขาร้องเพลงแปลก ๆ เวลาฝนตก”
ไม่มีเสียงสวด
แต่คันริวร้องไห้…
คืนนั้น คันริวเดินเข้าไปในหอเก็บตำรา
เด็กน้อยตกใจ
“ทำไมพระเผาคำศักดิ์สิทธิ์?”
คันริวตอบว่า
“เพราะข้าเพิ่งพบคำศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ ในคืนนี้…
และมันไม่มีอยู่ในเล่มไหนเลย”
หลังจากนั้น ไม่กี่วัน
ไม่มีบท
พวกเขาเริ่มจดชื่อ
และในค่ำคืนหนึ่ง
“ข้าไม่ใช่พระอีกต่อไป
ข้าเป็นผู้ฟัง”
เมื่อข่าวของพระเผาตำรา และฟังเด็กแพร่ไป
คันริวไม่โต้เถียง
“ข้าฟังชื่อของเธอด้วยเช่นกัน
แม้ข้าไม่เคยรู้จักเธอ
เพราะข้ารู้ว่าไม่มีใครควรตายโดยไม่มีคนฟัง”
ผู้สอบสวนคนนั้นเดินกลับไป โดยไม่พูดอะไร
คำว่า “พระ” เริ่มเปลี่ยนความหมาย
และวัดที่ถูกสั่งปิด
เด็กที่เคยกลัววัด
เขียนชื่อ
คันริวเพียงนั่งข้าง ๆ
สมุดฟังเล่มแรกของอิโตะ กลายเป็น “ตำรา” เล่มแรกที่ไม่เคยถูกเรียกว่าตำรา
แต่มันเปลี่ยนคนได้
หลายปีต่อมา
เขาตอบด้วยรอยยิ้ม
“ข้ารู้แล้วว่าไฟไม่ได้ทำลายคำศักดิ์สิทธิ์
มันเพียงเปิดทางให้ข้าได้ฟังคำที่ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่า…
คำที่เอ่ยจากใจ ไม่ใช่จากตำรา”
และในวินาทีนั้น
พระที่ล้มแท่นของตน — พระบางคนเผาตำราเก่าและฟังเสียงเด็กแทนในหุบเขาทางตะวันตกเฉียงเหนือของแผ่นดินโยะริมิยะมีวัดหนึ่งที่ชื่อว่า โฮเซ็นจิเป็นวัดไม้สูงเจ็ดชั้น ตั้งอยู่กลางผืนป่ามีระฆังทองแดงหนักเจ็ดร้อยชั่งมีตำราสวดร้อยกว่าเล่มมีพระผู้เฒ่าสามสิบรูปและคำสวดที่เหมือนกันหมดทุกเช้าเย็นแต่ในวันที่พระรูปหนึ่งเดินลงจากแท่นเอื้อมมือหยิบตำราหนึ่งมา…และวางมันลงในกองเพลิงตรงลานกลางวัดเสียงไฟที่แตกเปรี๊ยะ…เงียบกว่าการสวดพันบทพระที่ไม่สวดอีกต่อไปเขาชื่อว่า คันริวในสมัยหนุ่ม คันริวเป็นผู้เทศน์ที่เข้มงวดที่สุดในโฮเซ็นจิเขาสามารถท่องตำราสิบสามเล่มโดยไม่หยุดเขาเคยคัดลอกบทสวดด้วยหมึกดิบทุกคืนจนมือช้ำเขาเคยลงโทษพระลูกวัดที่ออกเสียงผิดด้วยการไม่ให้สวดหนึ่งสัปดาห์แต่เขาก็เป็นคนเดียวที่ทุกคืน…นั่งอยู่ใต้ต้นสน นอกหอและจดสิ่งที่ไม่อยู่ในตำรา“เสียงที่แม่ร้องไห้”“คำสุดท้ายของเด็กที่ไม่มีพ่อแม่”“ชื่อที่ถูกลืมในพิธีศพ”“เรื่องเล่าในความเงียบที่ไม่มีใครอยากฟัง”เขาไม่เคยพูดถึงสมุดเล่มนั้นกับใครจนกระทั่งเด็กชายคนหนึ่งปีนข้ามกำแพงวัดมาในคืนฝนตกเด็กที่ไม่ต้องการให้ใครสวดให้พ่อเด็กคนนั้นชื่อว่า
แผ่นดินที่ไม่มีตำรา – พื้นที่ที่ไม่มีศาสนจักรเข้าถึงเริ่มจัดพิธีฟังแทนศาสนาในแผ่นดินที่หมึกของตำราไม่เคยเปื้อนในหมู่บ้านที่พระไม่เคยสวดถึงในหุบเขาที่เสียงระฆังไม่เคยเดินทางไปถึงนั่นคือจุดเริ่มต้นของ “ศรัทธาที่ไม่มีตำรา”หรือที่คนบางกลุ่มเรียกกันเบา ๆ ว่า...“พิธีฟัง”หมู่บ้านอิวาเระ — ดินแดนที่ไม่เคยมีแท่นบูชาหมู่บ้านอิวาเระอยู่ลึกในหุบเขาโซเซ็นต้องข้ามหินร้อยลูก ต้องเดินผ่านป่าไร้ทางไม่มีวัดไม่มีศาลเจ้าไม่มีพระไม่มีธงตระกูลมีเพียงกระท่อนไม้สิบห้าหลัง กับเสียงลมที่โหยหวนในคืนฝนตกแต่เมื่อข่าวของ “สมุดฟัง” แพร่ไปทั่วแคว้นหญิงชราคนหนึ่งในหมู่บ้าน — โยรุมิ — ตัดสินใจใช้ผ้าเก่าเย็บเป็นเล่มสมุดบนหน้าปก นางเขียนว่า“สำหรับชื่อที่ไม่มีใครฟังอีกแล้ว”ไม่มีพิธีเปิดไม่มีโฆษณาไม่มีคำประกาศจากตระกูลไม่มีบทสวดเริ่มพิธีแต่ในคืนเดือนดับชาวบ้านสิบหกคนรวมตัวกันใต้ต้นสนเก่าและเริ่มอ่านชื่อของคนที่จากไปในจังหวะที่ไม่เท่ากันในเสียงที่สั่นในอารมณ์ที่เปลือยเปล่าเด็กชายผู้ไม่เคยเห็นพระเด็กคนหนึ่งชื่อ “ชิน”อายุสิบขวบเขาไม่รู้ว่าพระคืออะไรไม่รู้ว่าพิธีกรรมต้องทำอย่างไรรู้เพียงว่าแม
พิธีจำที่ไม่มีผู้สั่ง – คนทั่วแผ่นดินเริ่มร่วมพิธีจำชื่อผู้ตายแบบไม่มีลำดับชั้นฤดูใบไม้ผลิในปีที่เรียกกันภายหลังว่า “ปีแห่งการฟัง” มิได้มาพร้อมเสียงนกร้อง หรือการเบ่งบานของซากุระเช่นทุกคราแต่มันเริ่มด้วยเสียงเรียกชื่อคนตายเสียงที่ไม่มีบทไม่มีผู้นำไม่มีธงและไม่มีคำสั่งลมจากภูเขาเหนือในหุบเขาอันห่างไกลทางตอนเหนือของแคว้นยามาโนะมีหมู่บ้านที่ไม่มีแม้แต่ชื่ออยู่บนแผนที่แต่กลับมีโต๊ะไม้เก่า ๆ ตัวหนึ่งตั้งอยู่กลางลานเปล่าบนโต๊ะวางสมุดเล่มหนึ่ง ปกหนังสีเข้ม ขอบลุ่ยเช้าของวันนั้นหญิงชราในชุดทอมือสีน้ำหม่นเดินมาช้า ๆเธอเปิดสมุดเขียนชื่อของน้องชายที่ถูกสังหารเมื่อห้าสิบปีก่อนแล้ววางดอกไม้แห้งหนึ่งดอกจากนั้น...ก็เดินกลับบ้าน โดยไม่พูดอะไรบ่ายวันนั้น เด็กวัยสิบสามเดินมาจากอีกหมู่บ้านเขียนชื่อของแม่ที่ไม่เคยพบแล้วนั่งอ่านชื่อทั้งหมดในสมุดเบา ๆ คนเดียวและเมื่อดวงจันทร์ลอยเหนือเงาไม้...โต๊ะนั้นเต็มไปด้วยดอกไม้ที่ไม่มีใครรู้ว่าใครวางแต่ทุกดอกมีความหมายเท่ากันต่อให้วางด้วยมือที่เคยจับดาบหรือมือที่เคยล้างจานการเดินทางของสมุดภายในสัปดาห์เดียวโต๊ะแบบเดียวกันผุดขึ้นในอีกสามสิบหม
"ผู้เงียบที่เริ่มพูด” – คนเงียบในตระกูลใหญ่กลายเป็นผู้นำใหม่ลมฤดูหนาวร่วงผ่านยอดไม้ในเขตตะวันออกของแคว้นยามาโนะ เสียงของสายลมยังไม่ดังเท่าเสียงในใจคนที่กำลังเปลี่ยนไปณ ปราสาทฮิรายามะ ปราสาทที่สูงตระหง่านกลางหุบเขา เคยเป็นหนึ่งในศูนย์กลางของอำนาจเก่า ภายใต้การปกครองของตระกูลอาโออิ — ตระกูลที่ภายนอกดูแข็งแกร่งไม่ยอมเปลี่ยนแปลง แต่ภายใน…เริ่มแตกร้าวโดยไม่มีใครกล้าเอ่ยชายหนุ่มนามว่า อาโออิ อาคินาริเขาเป็นบุตรคนรองของผู้นำตระกูลไม่มีตำแหน่งในสภาไม่มีบทบาทในกองทัพไม่มีเสียงในพิธีใหญ่และที่สำคัญ…ไม่มีใครเคยเห็นเขาพูดเกินสามคำในที่สาธารณะเขาคือ “คนเงียบ” แห่งตระกูลอาโออิแต่เมื่อเงาเริ่มเดินกลางเมืองเมื่อสมุดที่ไม่มีชื่อกลายเป็นสมบัติประจำหมู่บ้านและเมื่อเสียงของเด็กๆ แทรกซึมเข้าสู่ห้องที่เคยปิดตาย…เสียงของผู้เงียบ…เริ่มก้องดังกว่าธงใด เงาที่ไม่มีใครฟังอาคินาริเติบโตมาท่ามกลางคำสั่งของพี่ชายและกฎของบิดาเขาฝึกดาบตั้งแต่ห้าขวบอ่านตำราศาสนจักรตั้งแต่เจ็ดขวบและเรียนรู้วิธีไม่พูดตั้งแต่อายุเก้าขวบเพราะในบ้านของเขา การแสดงความเห็นถือเป็นความอ่อนแอการตั้งคำถามคือการทรยศและการพูดถ
“บทที่ไม่มีผู้เขียน” – สมุดฟังถูกเวียนเขียนโดยไม่ลงชื่อเมื่อเสียงไม่ต้องการเครดิต…แต่มุ่งหวังจะถูกฟังลมฤดูใบไม้ร่วงพัดผ่านศาลาฟังในหมู่บ้านอุซึมิแผ่นไม้ที่เปลือยเปล่าไร้เครื่องตกแต่งกลายเป็นจุดรวมของผู้คนหลากวัยที่เข้ามา—บางคนเงียบบางคนกระซิบและบางคน…เขียนลงไปในสมุดเล่มหนึ่งสมุดที่ไม่เคยมีชื่อเจ้าของและไม่เคยมีใครอ้างว่าเขียนคนแรกมันคือ “สมุดฟัง”สมุดเล่มเดียวที่วางอยู่กลางศาลาทุกคนมีสิทธิ์เขียน แต่ไม่มีใครลงชื่อมันคือบทที่ไม่มีผู้เขียนและมันกำลังกลายเป็นพิธีกรรมใหม่ของยุคที่ไม่มีคำสั่งเสียงที่ไร้เจ้าของ เริ่มเขียนเรื่องที่ทุกคนกลัวจะพูดข้อความแรกในสมุดคือลายมือหยาบ ๆ “ข้าคือผู้ที่เคยเผาบ้านคนอื่น เพราะมีพระสั่งให้ทำตอนนี้ข้าเห็นหน้าลูกเขาทุกคืนในฝันข้าไม่ได้ต้องการให้อภัยข้าแค่อยากให้ชื่อเขายังอยู่ในโลกนี้”บรรทัดถัดมาเป็นลายมือเล็ก ๆ ที่แค่เขียนว่า “ขอบคุณ...ที่เขียนแทนข้าข้าคือเด็กคนนั้น”ไม่รู้ใครเขียนก่อนไม่รู้ใครตอบไม่มีชื่อไม่มีอายุไม่มีคำลงท้ายแต่เมื่อใครสักคนเดินเข้ามานั่งลงหน้าสมุดพลิกอ่านแล้วเริ่มเขียนด้วยตนเอง…ศาลาฟังที่ไม่มีผู้นำ แต่มีคนต่อ
“แผ่นดินที่ไม่ต้องสวด – เมื่อการฟังกลายเป็นวิธีอยู่ร่วม”โลกไม่ได้เปลี่ยนด้วยสงครามแต่มันเปลี่ยน…เพราะผู้คนฟังกันมากพอจนไม่ต้องรบรุ่งอรุณแห่งฤดูที่สามไม่มีเสียงระฆังศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีประกาศิตจากศาสนจักร ไม่มีธงตระกูลใดโบกไหวแต่ทั่วแผ่นดินกลับตื่นขึ้นพร้อมกัน—ด้วยเสียงของกันและกัน“ข้าจำได้ว่าเขาชื่อโทมิสุ เขาเคยสอนเด็ก ๆ ซ่อมรองเท้า...”“น้องสาวข้า ชื่ออาเคะ เธอเคยพูดว่าเสียงหัวเราะของแม่ดังที่สุดในเมือง...”เสียงเหล่านั้นเบา…แต่ลึกราวกับรากไม้ที่หยั่งลงไปในดินที่เคยแห้งผากจากเลือดและคำสั่งณ จัตุรัสกลางแห่งอิวะซากิ ศูนย์กลางเก่าของอำนาจและสงครามวันนี้กลายเป็นที่รวมของผู้ไม่ต้องการอำนาจ แต่ต้องการความหมายไม่มีเวที ไม่มีเจ้าภาพ ไม่มีลำดับการพูดทุกคนต่างยกสมุดขึ้น...และพูดชื่อคนที่เคยถูกลืม คนที่ไม่มีบทสวดรองรับ คนที่ไม่มีศพให้ฝังในมุมเงาหนึ่งของจัตุรัสฮากุโร่นั่งพิงเสากลางหินร่างของเขายังพันด้วยผ้าพันแผลเก่าแต่ดวงตาเบิกกว้างเหมือนดวงจันทร์ที่สว่างในคืนไร้ไฟข้างกายเขา สมุดเล่มหนึ่งเปิดค้างไว้ข้อความในหน้ากระดาษไม่ได้เขียนด้วยหมึก แต่คือรอยนิ้วเปื้อนดินเด็กคนหนึ่งในเมืองท