Home / รักโบราณ / “เจ้าสาวของขุนศึกเงา” / บทที่ 121: พระที่ล้มแท่นของตน

Share

บทที่ 121: พระที่ล้มแท่นของตน

Author: mafath9
last update Last Updated: 2025-07-05 20:18:40

พระที่ล้มแท่นของตน — พระบางคนเผาตำราเก่าและฟังเสียงเด็กแทน

ในหุบเขาทางตะวันตกเฉียงเหนือของแผ่นดินโยะริมิยะ

มีวัดหนึ่งที่ชื่อว่า โฮเซ็นจิ

เป็นวัดไม้สูงเจ็ดชั้น ตั้งอยู่กลางผืนป่า

มีระฆังทองแดงหนักเจ็ดร้อยชั่ง

มีตำราสวดร้อยกว่าเล่ม

มีพระผู้เฒ่าสามสิบรูป

และคำสวดที่เหมือนกันหมดทุกเช้าเย็น

แต่ในวันที่พระรูปหนึ่งเดินลงจากแท่น

เอื้อมมือหยิบตำราหนึ่งมา…

และวางมันลงในกองเพลิงตรงลานกลางวัด

เสียงไฟที่แตกเปรี๊ยะ…เงียบกว่าการสวดพันบท


พระที่ไม่สวดอีกต่อไป

เขาชื่อว่า คันริว

ในสมัยหนุ่ม คันริวเป็นผู้เทศน์ที่เข้มงวดที่สุดในโฮเซ็นจิ

เขาสามารถท่องตำราสิบสามเล่มโดยไม่หยุด

เขาเคยคัดลอกบทสวดด้วยหมึกดิบทุกคืนจนมือช้ำ

เขาเคยลงโทษพระลูกวัดที่ออกเสียงผิดด้วยการไม่ให้สวดหนึ่งสัปดาห์

แต่เขาก็เป็นคนเดียวที่ทุกคืน…นั่งอยู่ใต้ต้นสน นอกหอ

และจดสิ่งที่ไม่อยู่ในตำรา

“เสียงที่แม่ร้องไห้”

“คำสุดท้ายของเด็กที่ไม่มีพ่อแม่”

“ชื่อที่ถูกลืมในพิธีศพ”

“เรื่องเล่าในความเงียบที่ไม่มีใครอยากฟัง”

เขาไม่เคยพูดถึงสมุดเล่มนั้นกับใคร

จนกระทั่งเด็กชายคนหนึ่งปีนข้ามกำแพงวัดมาในคืนฝนตก


เด็กที่ไม่ต้องการให้ใครสวดให้พ่อ

เด็กคนนั้นชื่อว่า อิโตะ

อายุแค่แปดขวบ

เปียกปอนจนเทียนในวัดดับไปสองดวงเมื่อเขาก้าวเข้ามา

เขาไม่คำนับพระ ไม่ยกมือไหว้

เพียงแค่นั่งลงตรงหน้าแท่นบูชา

แล้วพูดว่า

“ข้าไม่ต้องการให้ใครสวดให้พ่อข้า…เพราะพวกท่านไม่รู้จักชื่อของเขา”

เสียงนั้น ทำให้คันริวหยุดเขียนทันที


“แล้วเจ้าจะให้ใครสวดแทน?”

เด็กไม่ตอบ

แต่ล้วงสมุดเก่า ๆ ออกมา

มันเป็นสมุดฟัง — หนึ่งในเล่มที่ถูกคัดลอกและส่งต่อในหมู่บ้านรอบนอก

อิโตะเปิดหน้าแรก

เริ่มอ่านชื่อพ่อของตน

จากนั้นจึงเริ่มพูดเรื่องเล็ก ๆ ที่ไม่มีวันเข้าไปอยู่ในตำรา

“เขาชอบเสียงแมลงตอนใกล้รุ่ง”

“เขาเคยทำรองเท้าไม้ให้แม่แต่ขนาดผิดทุกครั้ง”

“เขาร้องเพลงแปลก ๆ เวลาฝนตก”

ไม่มีเสียงสวด

ไม่มีการเคาะไม้

ไม่มีเสียงพรจากพระ

แต่คันริวร้องไห้…

เสียงของเด็กน้อยทะลุแท่น

เจาะทุกคำที่เขาเคยเทศน์

ทำลายทุกบทที่เขาเคยท่อง


ไฟที่ไม่เผาแค่กระดาษ

คืนนั้น คันริวเดินเข้าไปในหอเก็บตำรา

หยิบบทสวดที่เขาเคยจดเองด้วยเลือดตนเองเมื่อวัยหนุ่ม

และหย่อนมันลงในกองเพลิงตรงลานวัด

เด็กน้อยตกใจ

ถามว่า

“ทำไมพระเผาคำศักดิ์สิทธิ์?”

คันริวตอบว่า

“เพราะข้าเพิ่งพบคำศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ ในคืนนี้…

และมันไม่มีอยู่ในเล่มไหนเลย”


เมื่อพระเริ่มฟังแทนเทศน์

หลังจากนั้น ไม่กี่วัน

พระอีกสามรูปในโฮเซ็นจิ

ที่เคยเห็นพิธีฟังเงาในหมู่บ้านรอบนอก

เริ่มตั้งวงนั่งกับชาวบ้านในตอนกลางคืน

ไม่มีบท

ไม่มีแท่น

ไม่มีชุดครอง

มีเพียงสมุด

และเสียง

พวกเขาเริ่มจดชื่อ

เริ่มถามเด็ก ๆ ว่าเคยจำใครได้

เริ่มปล่อยให้ความทรงจำของชาวบ้านเป็นพิธีแทนการเทศน์

และในค่ำคืนหนึ่ง

คันริวประกาศกลางลานว่า

“ข้าไม่ใช่พระอีกต่อไป

ข้าเป็นผู้ฟัง”


ศาสนจักรส่งคนมา

เมื่อข่าวของพระเผาตำรา และฟังเด็กแพร่ไป

ศาสนจักรกลางส่งผู้แทนมาสอบสวน

มีคำสั่งให้ปิดวัด

มีคำสั่งให้กักบริเวณพระที่ “แปรพักตร์”

คันริวไม่โต้เถียง

เพียงเขียนชื่อแม่ของผู้สอบสวนลงในสมุดฟัง

และยื่นให้ดู

“ข้าฟังชื่อของเธอด้วยเช่นกัน

แม้ข้าไม่เคยรู้จักเธอ

เพราะข้ารู้ว่าไม่มีใครควรตายโดยไม่มีคนฟัง”

ผู้สอบสวนคนนั้นเดินกลับไป โดยไม่พูดอะไร


จากพระที่สวดกลายเป็นผู้เงี่ยหู

คำว่า “พระ” เริ่มเปลี่ยนความหมาย

ในหมู่บ้านรอบนอก

“พระ” ไม่ใช่ผู้สอน

แต่คือผู้ฟังคนแรก

คือคนที่เปิดพื้นที่ให้เด็ก ๆ

คือคนที่นั่งข้างหลังสุด ไม่ใช่บนแท่น

และวัดที่ถูกสั่งปิด

กลับกลายเป็น “ศาลาฟัง” ที่มีคนมาเยือนมากกว่าวัดใดในแคว้น


เสียงของเด็ก แทนแท่นของพระ

เด็กที่เคยกลัววัด

กลัวพระ

กลัวตำรา

เริ่มเดินเข้ามาพร้อมสมุดฟังในมือ

เขียนชื่อ

เล่าเรื่อง

และไม่มีใครสั่งให้หยุด

คันริวเพียงนั่งข้าง ๆ

เงียบ…แต่ไม่เงียบงัน


สมุดฟังที่เขียนด้วยใจ

สมุดฟังเล่มแรกของอิโตะ กลายเป็น “ตำรา” เล่มแรกที่ไม่เคยถูกเรียกว่าตำรา

ไม่มีคำศักดิ์สิทธิ์

ไม่มีบทบูชา

มีเพียงชื่อ

และความทรงจำ

แต่มันเปลี่ยนคนได้


คำพูดสุดท้ายของพระที่ล้มแท่นของตน

หลายปีต่อมา

เมื่อคันริวแก่จนเดินไม่ไหว

เขาถูกถามว่า เสียใจไหมที่เผาตำรา?

เขาตอบด้วยรอยยิ้ม

“ข้ารู้แล้วว่าไฟไม่ได้ทำลายคำศักดิ์สิทธิ์

มันเพียงเปิดทางให้ข้าได้ฟังคำที่ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่า…

คำที่เอ่ยจากใจ ไม่ใช่จากตำรา”


และในวินาทีนั้น

แม้เสียงระฆังจะเงียบ

แม้บทสวดจะไม่ดัง

แต่ในศาลาที่ไม่มีแท่น

มีคนเกือบร้อย...กำลังฟังชื่อของใครบางคน

ที่ถูกพูดออกมา…โดยไม่มีใครอนุญาต

จบบทพระที่ล้มแท่นของตน — พระบางคนเผาตำราเก่าและฟังเสียงเด็กแทน

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • “เจ้าสาวของขุนศึกเงา”   บทที่ 129: พระที่ล้มแท่น

    “พระที่ล้มแท่น” พระบางคนเผาตำราเก่า และฟังเสียงเด็กแทน “เมื่อศรัทธาถูกใช้เพื่อปิดหู บางคนจึงเลือกปิดตำรา...เพื่อเปิดใจ” วัดโฮเซ็นจิในหุบเขาตะวันตกเฉียงเหนือของโยะริมิยะ เสียงระฆังทองแดงหนักเจ็ดร้อยชั่ง เคยดังก้องทุกเช้าค่ำ เรียกชาวบ้านให้สวดตาม สั่นเตือนให้พระผู้ถือบาตรเดินตามระเบียบ ก้องเตือนให้คนในศาสนจักรจำได้ว่า “คำข้างในตำรา...ศักดิ์สิทธิ์กว่าเสียงใด” แต่วันหนึ่ง เสียงระฆังเงียบ ไม่มีใครตี ไม่มีเสียงสวด มีเพียงกลิ่นควันจากกระดาษที่ถูกเผา พระที่เคยเทศน์จนเลือดเปื้อนหมึก ชื่อของเขาคือ “คันริว” ในวัยหนุ่ม เขาเคยจารึกบทสวดด้วยเลือดตนเอง เชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์คือสิ่งที่ต้องบูชา ไม่ใช่ตั้งคำถาม เขาเคยลงโทษพระลูกวัดที่ออกเสียงผิด เคยตราหน้าเด็กที่ถามว่า “ทำไมบทสวดไม่พูดชื่อพ่อแม่ข้าเลย” แต่เขาก็เป็นคนเดียวในวัด ที่ทุกคืน…จะออกไปนั่งใต้ต้นสน เขียนสิ่งที่ไม่อยู่ในตำรา “เสียงที่แม่ร้องไห้” “ชื่อของคนที่ถูกฝังโดยไม่มีใครพูดถึง” “เสียงหัวเราะของเด็กที่ตายโดยไม่มีพิธี” เขาไม่เคยเผยสิ่งที่เขียน จนกระทั่งคืนหนึ่ง...ฝนตก เด็กที่เดินฝ่าฝนเข้า

  • “เจ้าสาวของขุนศึกเงา”   บทที่ 128: แผ่นดินที่ไม่มีตำรา

    แผ่นดินที่ไม่มีตำราเมื่อพื้นที่ที่ไม่มีศาสนจักรเข้าถึง เริ่มจัดพิธีฟังแทนศาสนา“เมื่อบทสวดไม่อาจเข้าถึงผู้คนก็เริ่มฟังกันเองโดยไม่ต้องอ้างคำใดในตำรา”กลางทุ่งอาเคะฮะ แคว้นที่ไม่มีชื่อบนแผนที่แผ่นดินแห่งนี้เคยถูกเรียกว่า "เขตต้องสาป" โดยศาสนจักร เพราะเป็นพื้นที่ที่ไม่เคยสร้างศาลา ไม่เคยมีแท่นสวด และไม่มีพระรูปใดตั้งรกรากยาวนานพอจะจารึกบทบูชาให้ถาวรแต่ในปีแห่งเงาเดินกลา

  • “เจ้าสาวของขุนศึกเงา”   บทที่ 127: พิธีจำที่ไม่มีผู้สั่ง

    พิธีจำที่ไม่มีผู้สั่ง— คนทั่วแผ่นดินเริ่มร่วมพิธีจำชื่อผู้ตายแบบไม่มีลำดับชั้นแผ่นดินโยะริมิยะไม่เคยมีเสียงสวดที่ไหลจากทุ่งสู่พระราชวังไม่เคยมีเสียงชื่อชาวนาถูกเอ่ยในที่ที่เจ้าเมืองเคยยืนไม่เคยมีใครกล้าจดจำ “คนที่ไม่มีชื่อ” อย่างเปิดเผย…จนกระทั่งค่ำคืนหนึ่งในต้นฤดูใบไม้ร่วงเมื่อสายลมเย็นพัดมาจากทิศเหนือ และฝุ่นจากพายุฤดูแล้งยังไม่ทันจางมีหญิงชราในหมู่บ้านอิซานะ นั่งอยู่หน้ากองฟืนที่ยังไม่จุดลูบสมุดเก่าเล่มหนึ่ง แล้วพูดขึ้นกลางวงว่า“คืนนี้...ข้าจะอ่านชื่อสามีของข้าที่ศพเขาไม่เคยมีใครเผาให้…เพราะไม่มีใครมาฟัง”ไม่มีพระ ไม่มีเจ้าเมือง ไม่มีผู้อาวุโสมีเพียงคนในหมู่บ้านนั่งเงียบ ฟังเสียงคนชราสะอื้นจากนั้น เด็กชายคนหนึ่งก็ค่อย ๆ หยิบสมุดฟังเล่มใหม่มาเขียนชื่อของ “อาคิระ” — พ่อของเขา ที่เคยหายไปกลางป่าระหว่างทางไปตลาดไม่มีใครสั่งให้ทำไม่มีตำราบอกให้พูดไม่มีเสียงระฆังเริ่มพิธีแต่เมื่อดวงจันทร์ครึ่งดวงขยับพ้นยอดไผ่เสียงชื่อผู้ตายเริ่มถูกอ่านเรียงต่อกัน โดยผู้เป็นลูก ผู้เป็นภรรยา หรือแม้แต่เพื่อนบ้านที่ไม่เคยรู้ว่าคนตายนั้นมีชื่อจริงว่าอะไรมันเริ่มที่หมู่บ้านหนึ่งแล้วต่อมา มี

  • “เจ้าสาวของขุนศึกเงา”   บทที่ 126: ผู้เงียบที่เริ่มพูด

    ผู้เงียบที่เริ่มพูด- เมื่อคนเงียบในตระกูลใหญ่กลายเป็นผู้นำใหม่ในสายลมเย็นของฤดูใบไม้ร่วงต้นปีที่ 17 แห่งยุคโยะริมิยะใหม่เสียงกระดิ่งไม้ของศาลาฟังในหมู่บ้านซุยโฮดังขึ้นอย่างอ่อนโยนไม่ใช่เพื่อเรียกให้ฟังเทศน์ ไม่ใช่เพื่อเริ่มพิธีศักดิ์สิทธิ์แต่เพื่อแจ้งว่ามีเด็กคนหนึ่ง…เริ่มจดประโยคแรกในสมุดฟังเวียนเล่มใหม่ศาลานั้นไม่มีแท่นบูชา ไม่มีคนควบคุม ไม่มีเสื้อผ้าศักดิ์สิทธิ์แต่มีคนมากกว่าสี่สิบคน นั่งเงียบพร้อมกัน โดยไม่มีใครบอกให้ทำเด็กผู้นั้นชื่อว่า "ริสึ"เขาไม่ใช่คนในตระกูลใหญ่ ไม่เคยถูกสอนให้นำแต่เป็นคนเดียวในหมู่บ้านที่จำชื่อของหญิงชราที่เพิ่งตายได้ครบถ้วนแม้หญิงชรานั้นจะไม่มีหลาน ไม่มีลูกหลงเหลือและศาสนจักรไม่ยอมจัดพิธีให้ผู้ไม่มีตระกูลริสึยืนหน้าศาลามือสั่นเทาแต่พูดอย่างมั่นคง:“ข้าขอให้เราจำเธอ…แม้เธอไม่มีใครเหลือให้จำเพราะถ้าชื่อของเธอเงียบหายวันหนึ่งชื่อของพวกเราก็จะหายไปเช่นกัน”ในห้องใต้ดินของตระกูลยามาโนะขณะเดียวกัน ที่แคว้นกลางของโยะริมิยะในห้องใต้ดินลับของตระกูลยามาโนะ — หนึ่งใน 12 ตระกูลใหญ่หญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่หน้าสมุดฟังที่ไม่มีชื่อผู้เขียนดวงตาของนางมืดแน

  • “เจ้าสาวของขุนศึกเงา”   บทที่ 125: บทที่ไม่มีผู้เขียน

    บทที่ไม่มีผู้เขียนสมุดฟังถูกเวียนเขียนโดยไม่ลงชื่อในเช้าวันหนึ่งที่ไร้หมอก...ศาลาหลังใหม่ในหมู่บ้านอิซุระเต็มไปด้วยเสียงกระซิบ แต่ไม่มีใครพูดเสียงดังเด็กหญิงคนหนึ่งเปิดสมุดอ่านชื่อแม่ของเพื่อน แล้วปิดตาไว้ครู่หนึ่งไม่มีพิธีไม่มีใครสั่งให้ทำและที่สำคัญ…ไม่มีใครบอกว่าต้องเขียนอะไรสมุดฟังเล่มนั้น วางอยู่กลางศาลาใครจะเขียนก็ได้จะเขียนแค่ชื่อจะวาดรูปหรือจะเล่าเรื่องบางอย่างก็ได้ที่ข้างปก…มีเพียงคำเดียวที่ถูกเขียนไว้ในหมึกจาง“เพื่อผู้ที่ไม่มีใครเขียนถึง”เสียงที่ไม่มีเจ้าของความเปลี่ยนแปลงไม่ได้เริ่มจากเสียงใหญ่โตแต่มาจากการเวียนกันอ่าน…เวียนกันเขียน…เวียนกันฟังเมื่อไม่กี่เดือนก่อน สมุดฟังยังเป็นของ “ใครบางคน”อิโตะมีสมุดของเขาซาโยะมีเล่มของพ่อฮากุโร่เคยถือสมุดที่เขียนชื่อศัตรูแต่ตอนนี้ ทุกสมุดกลายเป็นสมุดเดียวกันไม่มีผู้เขียนไม่มีคนถือครองไม่มีแม้กระทั่งลายเซ็นเด็กคนหนึ่งจะเขียน แล้วทิ้งไว้คนถัดไปก็จะเติมเรื่องของตนแล้วส่งให้คนอื่นบางครั้งสมุดก็หายไปเป็นสัปดาห์แต่วันหนึ่ง…มันจะกลับมา พร้อมชื่อใหม่หนึ่งชื่อ และเรื่องเล่าใหม่หนึ่งเรื่องศาลาในหมู่บ้านอิซุระจึงกลา

  • “เจ้าสาวของขุนศึกเงา”   บทที่ 124: บ้านที่ไม่มีประตู

    บ้านที่ไม่มีประตู - เด็กสร้างศาลาฟังใหม่ที่ทุกคนเข้าได้หุบเขาตะวันตกของโยะริมิยะ เคยเป็นพื้นที่ต้องห้ามของศาสนจักรแต่วันนี้ กลายเป็นที่แรกที่มี “บ้าน” หลังหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่บ้านของใครคนใดคนหนึ่งไม่มีประตูไม่มีระฆังไม่มีแท่นมีเพียงเสาสี่ต้น หลังคาฟาง และพื้นดินเปล่าตรงกลางปูเสื่อไม้ไผ่สานหยาบ ๆ วางสมุดฟังเล่มหนึ่ง ซึ่งหน้าแรกยังว่างเปล่าและมีป้ายไม้เก่าเขียนไว้ด้วยลายมือเด็กว่า:“ศาลาฟัง – ไม่มีผู้นำ ไม่มีผู้อนุญาต”พวกเขาไม่ได้รอใครให้สั่งไม่ได้ขอพระรูปใดมาเปิดพิธีไม่ได้ถือธงตระกูล หรือสัญลักษณ์ทางศาสนาพวกเขาคือกลุ่มเด็กสิบสองคนจากหมู่บ้านรอบนอกบางคนเคยเป็นลูกกำพร้าที่พ่อแม่ถูกประหารโดยคำสั่งศาสนจักรบางคนเป็นหลานของผู้ถูกลืมบางคนเคยเขียนชื่อคนตายด้วยดินเพราะไม่มีหมึกและวันนี้ พวกเขามีหมึกพอมีมือที่สั่นแต่แน่นพอมีใจที่ยังจำ“เราจะไม่เปิดประตู…เพราะเราไม่เคยปิด”— ยามาโกะ, เด็กหญิงคนหนึ่งที่เขียนป้ายเสียงแรกในศาลาฟัง“ท่านเคยได้ยินชื่อ ฮานาโกะหรือไม่?”เสียงของเด็กชายชื่อโคจิ เอ่ยขึ้นกลางวงไม่มีใครตอบไม่มีใครรู้ว่าเธอคือใครแต่ทุกคนฟัง“เธอเป็นคนที่เคยให้ขนมฉันโดยไม่ถ

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status