Accueil / รักโบราณ / เจ้าสาวประมุขหุบเขามืด / 4.ไม่ปรารถนาสะใภ้ที่เป็นลูกอนุ

Share

4.ไม่ปรารถนาสะใภ้ที่เป็นลูกอนุ

last update Dernière mise à jour: 2025-06-20 20:24:35

4.ไม่ปรารถนาสะใภ้ที่เป็นลูกอนุ

“ใช่เจ้าค่ะ ข้าคิดว่าซูหนี่ของเราเหมาะสมกับตำแหน่งว่าที่ลูกสะใภ้ใหญ่ของซีฮันอ๋องมากที่สุดแล้วเจ้าค่ะ” เจียวเหมยเมื่อเห็นผู้เป็นสามีคล้อยตาม นางจึงเอ่ยคำพูดที่น่าเชื่อถือลงไปอีก อย่างน้อยหากบุตรสาวได้แต่งเข้าจวนอ๋องนางก็จะพลอยมีหน้ามีตาตามไปด้วย

“ไม่ได้นะเจ้าคะท่านพี่!”

ซินหยางแย้งขึ้น หากเปลี่ยนตัวว่าที่ลูกสะใภ้ก็เท่ากับว่าเสวียนหนี่ต้องถูกส่งตัวไปหุบเขาอูยาเป็นแน่นอน นางรู้ดีว่าผู้เป็นสามีหลงใหลในลาภยศ ไม่ได้รู้สึกรักหรือหวงแหนบุตรสาวเลยแม้แต่น้อย มีเพียงระยะหลังมานี้ที่เขามาทำดีกับพวกนางสองแม่ลูกเพราะรู้ว่าซีฮันอ๋องโปรดปรานเสวียนหนี่ถึงขั้นอยากได้มาเป็นสะใภ้

“ท่านพี่ ท่านจะเปลี่ยนตัวไม่ได้เป็นอันขาด อย่าให้ลูกของเราต้องไปหุบเขาอูยาเลยนะเจ้าคะ ข้าขอร้อง... ท่านพี่ได้โปรด!”

ซินหยางคลานเข่าเข้าไปกอดขาของสามีเอาไว้แน่น นางร้องไห้อ้อนวอนขอร้องเขาอย่างน่าสงสาร ในใจของนางรู้สึกเป็นห่วงลูกสาวยิ่งนัก ทว่ามู่เฉินกลับไม่ได้รู้สึกเห็นใจหรือเกิดความสงสารแม้แต่น้อย สีหน้าของเขาบึ้งตึงก่อนจะสะบัดนางออกด้วยความรำคาญ สตรีอ่อนแอและโง่เขลาอย่างซินหยางไม่คู่ควรให้เขาต้องใส่ใจเลยสักนิด

“ทำแบบนั้นไม่ได้หรอก ก่อนหน้านี้ข้าได้พูดคุยกับท่านอ๋องไปบ้างแล้ว” มู่เฉินถอนหายใจเฮือกใหญ่ ทำเอาสองแม่ลูกต่างหันมองหน้ากันอย่างฉงน

“หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ หนี่เอ๋อร์ของเราขาดคุณสมบัติอันใดไปอย่างนั้นหรือ?” เจียวเหมยถามด้วยความเป็นกังวล

“ท่านอ๋องไม่ปรารถนาลูกสะใภ้ที่เกิดจากลูกอนุ” มู่เฉินมีสีหน้าลำบากใจ เดิมทีเขาเองก็อยากให้ซูหนี่ได้แต่งเข้าจวนอ๋องมากกว่า เพราะบุตรสาวคนรองเป็นเด็กฉลาด อีกทั้งยังมีนิสัยทะเยอทะยานไม่ต่างจากเขาเลยสักนิด ดังนั้นหากนางได้กลายเป็นสะใภ้แผนการของเขาก็คงราบรื่นกว่านี้

“อะไรนะเจ้าคะ ท่านอ๋องไม่ต้องการว่าที่ลูกสะใภ้ที่เกิดจากอนุ?” นางทวนคำเสียงแผ่ว มันจะเป็นเช่นนั้นไปได้อย่างไร ซูหนี่ของนางเพียบพร้อมหมดทุกอย่าง ไฉนเรื่องมันถึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้

เจียวเหมยกัดริมฝีปากตัวเองจนเจ็บแปลบ พลางเงยหน้ามองบุตรสาวซึ่งมีอาการไม่ต่างกัน ยิ่งเมื่อได้เห็นสีหน้าโล่งใจของอีกฝ่าย นางก็ยิ่งรู้สึกคับแค้นใจที่พวกมันสองคนแม่ลูกกำลังจะได้ดี แต่กระนั้นนางก็ไม่สามารถกรีดร้องหรือโวยวายได้เลย

เสวียนหนี่หลับไปนานถึงสามวันเต็ม และยังไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นขึ้นมา ซินหยางเมื่อเห็นบุตรสาวหลับใหลนานเกินไปเช่นนี้ จึงทำให้นางเริ่มเกิดความกังวลใจ แม้กระทั่งหมอยังไม่สามารถตอบได้ว่าบุตรสาวของนางทำไมถึงยังไม่ฟื้น

มู่เฉินร้อนใจจนแทบนั่งไม่ติด เขารู้สึกกระสับกระส่ายเดินไปเดิมมาในห้องของบุตรสาวหลายรอบ พลันสายตาทอดมองเห็นซินหยางกำลังใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดฝ่ามือให้ลูกเขาก็พาลโมโหใส่นางอีกจนได้

“จนป่านนี้แล้วเสวียนหนี่ยังไม่ฟื้นอีก หากท่านอ๋องเปลี่ยนใจไม่อยากได้เสวียนหนี่ไปเป็นสะใภ้ข้าจะให้เจ้าชดใช้

ฮูหยินใหญ่”

ระบายอารมณ์จนสาแก่ใจแล้วมู่เฉินก็เดินออกจากห้องไป ซินหยางทำได้เพียงนั่งก้มหน้ารับฟังไม่กล้าโต้เถียงเขาสักครึ่งคำ ภายในใจของนางนั้นมีวูบหนึ่งที่คิดโทษตัวเองไม่ผิดไปจากคำพูดเขา เป็นเพราะนางนั้นดูแลลูกได้ไม่ดีลูกถึงได้รับอันตรายเกือบสิ้นชีพ ซินหยางลูบปอยผมของลูกสาวตัวน้อยอย่างอาวรณ์

จู่ ๆ น้ำตาก็ไหลออกมาด้วยความรู้สึกอัดอั้นเสียใจ แต่เมื่อนางฟุบหน้าลงกับฝ่ามือตนเองทันใดนั้นมือเล็กก็ค่อย ๆ เอื้อมมาแตะที่ตัวนาง ซินหยางรีบหันกลับมามองร่างที่นอนอยู่บนเตียงก็พบกับดวงตาใสซื่อของเสวียนหนี่กำลังจ้องมองมาที่นาง

“เสวียนหนี่ ลูกฟื้นแล้ว! ในที่สุดเจ้าก็ฟื้นแล้ว” ซินหยางอุทานออกมาอย่างดีใจ จากนั้นนางก็พร่ำขอโทษบุตรสาวไม่หยุด ทว่าเด็กหญิงกลับเอาแต่นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา จนคนเป็นแม่รู้สึกแปลกใจ

“เสวียนหนี่เจ้าเป็นอันใดไป” นางกล่าวขึ้นอย่างร้อนรน

“...”

“ส... เสวียนหนี่ เหตุใดเจ้าถึงไม่พูดกับแม่! หรือว่า... ใครอยู่ข้างนอกไปตามหมอมาที”

ราวหนึ่งก้านธูปต่อมา...

“นางเป็นอย่างไรบ้างท่านหมอ”

มู่เฉินเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล หลังจากที่ท่านหมอตรวจดูอาการของบุตรสาวเสร็จ แต่ทว่าท่านหมอกลับส่ายศีรษะไปมาเล็กน้อย พลางทำสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก เมื่อได้ตรวจดูอาการป่วยของคุณหนูอย่างละเอียด แต่ก็ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด

นางคล้ายกับคนเป็นใบ้ไม่สามารถเอื้อนเอ่ยคำใดออกมาได้ เห็นเพียงริมฝีปากที่ขยับแต่ไม่อาจเปล่งเสียงออกมาให้ผู้ใดได้ยิน อาจจะเป็นเพราะผลข้างเคียงจากการได้รับพิษแมงมุมสือยี่

เหยียนจึงทำให้นางพูดไม่ได้ ดูจากร่างกายภายนอกนางดูเป็นปกติดีมาก เว้นเสียแต่รอยที่ถูกกัดบริเวณปลายนิ้วชี้ข้างซ้ายยังปรากฎจุดสีแดงหนึ่งจุดไม่ได้จางหายไป

“นาง เอ่อ.. ข้าเองก็ไม่ทราบสาเหตุเช่นกันว่าทำไมนางถึงพูดไม่ได้”

“พะ พูดไม่ได้... นี่หมายความว่านางจะเป็นใบ้ไปตลอดชีวิตเลยอย่างนั้นรึ”

ได้ยินดังนั้น จากที่ซินหยางดีใจเหลือล้นว่าลูกสาวได้ฟื้นขึ้นมาแล้วยามนี้หัวใจของซินหยางเหมือนร่วงหล่นลงพื้นตามเดิม สุดแสนเวทนาลูกสาวที่ฟื้นขึ้นมาแล้วกลับพูดไม่ได้เฉกเช่นคนปกติ เสวียนหนี่อายุยังน้อยอยู่แท้ ๆ เหตุใดต้องมาเจอวิบากกรรมมากมายถึงเพียงนี้

“ทำไม! ทำไมเรื่องร้าย ๆ เช่นนี้ไม่เกิดขึ้นกับข้าแทน”

นางพึมพำตัดพ้อโชคชะตาทำให้ประโยคเหล่านี้ไปเข้าหูผู้เป็นสามี แทนที่เขาจะเห็นใจนางกลับโกรธนางเพิ่มเป็นทวี

“ถูกแล้ว ทำไมไม่เป็นเจ้าแทน ทำไมต้องเป็นเสวียนหนี่... ลูกกลายเป็นใบ้อย่างนี้แล้วท่านอ๋องยังจะอยากได้เป็นสะใภ้อีกหรือ บัดซบที่สุด!”

“ไม่ถึงตลอดชีวิตหรอกขอรับ” หมอแย้งขึ้น มู่เฉิน

ค่อย ๆ หันกลับไปมองอย่างมีความหวัง

“นางอาจเป็นเพียงช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น... แต่! แต่ข้าก็ไม่สามารถตอบได้ว่านางจะหายกลับมาเป็นปกติเมื่อใด”

“จริงหรือ”

“ขอรับ อาจจะเป็นหนึ่งวัน หนึ่งเดือน หรืออาจมากหรือน้อยกว่านั้น เอ่อ หรืออาจจะสิบปี ยี่สิบปี ข้าเองก็สุดจะหยั่งรู้”

“แบบนั้นไม่ได้! ถ้าเป็นแบบนั้นท่านอ๋องต้องไม่ยอมรับนางแน่ หากนางถึงวัยต้องแต่งออกไปแล้วยังพูดไม่ได้อยู่อีกข้าจะทำอย่างไรดี”

เวลานั้นท่ามกลางความไม่สบายใจของผู้เป็นบิดามารดา ด้านเจียวเหมยเองก็ได้จูงมือลูกทั้งสองเข้ามาเยี่ยมเยือน เมื่อนางเห็นสีหน้าตึงเครียดของมู่เฉินนางก็รู้ได้โดยทันทีว่ามีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น

“มีอะไรหรือเจ้าคะ ข้าได้ข่าวว่าเสวียนหนี่ฟื้นแล้วเหตุใดท่านพี่กับฮูหยินใหญ่ถึงได้ทำหน้าเหมือนไม่ยินดี”

“เสวียนหนี่พูดไม่ได้”

“ตายจริง!”

เจียวเหมยอุทานเสียงสูงเหมือนตกอกตกใจ แต่ภายในใจของนางนั้นรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง นางดันหลังซูหนี่ไปใกล้ ๆ เตียงแล้วเอ่ยขึ้น

“ช่างน่าสงสารเสียจริง ซูหนี่ดูน้องเจ้าสิ ต่อไปนี้เจ้าต้องทำหน้าที่ดูแลน้องของเจ้าให้ดี น้องช่างอาภัพนัก อายุเท่านี้ต้องเผชิญวิบากกรรมยิ่งกว่าผู้ใหญ่ โธ่! ลูกเสวียนหนี่” พูดจบแล้วนางก็บีบน้ำตาหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาสะบัดต่อหน้าซินหยางเพื่อเป็นการเยาะเย้ยแล้วบรรจงซับน้ำตาที่ไม่มีไหลออกมาสักหยด

“ขออภัยเจ้าค่ะฮูหยินใหญ่ เป็นเพราะข้าสงสารเสวียน

หนี่ไม่อาจหักห้ามใจกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลได้เลย”

“เอาเถิด.. ทุกคนในที่นี้ต่างก็เวทนานาง”

มู่เฉินวางมือบนไหล่เจียวเหมยเพื่อปลอบประโลม การปฏิบัติต่อภรรยาทั้งสองของเขาช่างต่างกันราวกับฟ้ากับเหว เมื่อหันไปพูดกับเจียวเหมยเขาใช้น้ำเสียงนิ่มนวลเห็นอกเห็นใจ แต่ถ้าหากคนผู้นั้นคือซินหยางทุกคำที่เอ่ยออกจากปากล้วนเป็นถ้อยคำตำหนิติฉินและด่าทอระบายอารมณ์ทั้งสิ้น

“ถ้าเช่นนั้น... เรื่องที่ท่านอ๋องทาบทามลูกเสวียนหนี่ไว้จะมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่เจ้าคะ”

“ในเมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว ข้าเองก็คงต้องลองคุยกับท่านอ๋องให้พิจารณาซูหนี่ดูอีกครั้ง ข้าจะไม่ยอมให้เรื่องจบลงแบบนี้แน่”

“จริงหรือเจ้าคะ”

รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าเจียวเหมยอย่างไรก็ปกปิดไม่มิด นางไม่อาจหุบยิ้มได้เพราะคิดว่าตนเองน่าจะสมปรารถนาแล้ว แต่การจะให้มู่เฉินไปเจรจาโดยที่นางไม่ต้องออกแรงช่วยซูหนี่เลยเกรงว่าคงจะนิ่งนอนใจเกินไป อย่างไรนางต้องหาแผนการรับรองเอาไว้จะได้ไม่พลาดเป้า

เจียวเหมยคิดเองเออเองว่าที่ซีฮันอ๋องปฏิเสธลูกสาวตนในครั้งแรกเรื่องที่ซูหนี่เป็นลูกอนุนั้นแค่ส่วนหนึ่ง แต่นางก็อุตส่าห์คิดเข้าข้างตนเองว่าหากซีฮันอ๋องได้เห็นความงดงามและความน่ารักของลูกสาวตนอาจจะเปลี่ยนใจได้

“แล้วเสวียนหนี่ล่ะเจ้าคะ”

“ให้นางรักษาตัวไปก่อนก็แล้วกัน ภาวนาต่อโชคชะตาขอให้นางหายเป็นปกติในเร็ววัน”

ที่มู่เฉินพูดทิ้งท้ายไว้ เจียวเหมยแปลความหมายได้ว่าเขาอาจยังอยากรอให้เสวียนหนี่หายเป็นปกติเสียก่อนค่อยไปคุยกับซีฮันอ๋องอย่างเป็นทางการ เห็นเช่นนั้นแล้วเจียวเหมยจึงอยู่ติดเรือนไม่ได้ เช้าวันรุ่งขึ้นนางได้พาซินแสผู้หนึ่งเข้ามาในจวนแล้วเดินเข้ามาหามู่เฉินที่กำลังนั่งทำหน้ากลุ้มใจอยู่ในห้องอ่านตำรา

ซินแสที่เจียวเหมยพามาแต่งกายด้วยอาภรณ์สีขาว อายุของเขานั้นเทียบได้เท่ากับพ่อเฒ่าวัยใกล้ฝั่งหนวดเคราขาวหงอก ใช้ไม้เท้าพยุงตอนเดินและสะพายย่ามที่ข้างในเต็มไปด้วยตำราโบราณท่าทางดูน่าเชื่อถือ เจียวเหมยลงทุนควักเงินในถุงผ้าตนเองเพื่อว่าจ้างซินแสรายนี้มาเฉพาะกิจด้วยเงินค่าจ้างที่สมน้ำสมเนื้อ

“ท่านพี่เจ้าคะ”

“มีอะไร”

“ท่านนี้คือซินแสเจิ้ง ข้าเห็นว่าช่วงนี้ตระกูลฉู่มีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นมากมายข้าจึงเชิญซินแสเจิ้งมาตรวจดูดวงชะตาของคนในบ้าน หากเกิดอะไรขึ้นมาจะได้มีแนวทางระวังตัว" เจียวเหมยพูดขึ้น

“เจ้าคิดเช่นนั้นหรือ”

"เจ้าค่ะ เมื่อคืนนี้ข้ารู้สึกเป็นกังวลจนนอนไม่หลับ อีกทั้งยังเป็นห่วงเสวียนหนี่ด้วย... คิดไปแล้วนางช่างน่าสงสารเหลือเกิน สิ่งที่ข้าพอจะทำเพื่อนางได้เห็นทีจะมีเพียงเรื่องนี้เท่านั้น ให้ซินแสตรวจดวงชะตานาง เราเองที่เป็นพ่อเป็นแม่จะได้รู้ไปว่าเสวียนหนี่จะหมดวิบากกรรมเมื่อใด นางจะได้หายแล้วกลับมาใช้ชีวิตเหมือนเด็กปกติ"

“เจ้าช่างมีเมตตาต่อนางนัก ห่วงใยใส่ใจเสวียนหนี่เสียยิ่งกว่าแม่แท้ ๆ ของนางเสียอีก เอาเถิด! ไหน ๆ เจ้าเองก็อยากช่วยเหลือนางด้วยใจบริสุทธิ์ เช่นนั้นก็จงพาซินแสผู้นี้ไปตรวจดูดวงชะตาเสวียนหนี่เถิด”

“เจ้าค่ะ”

Continuez à lire ce livre gratuitement
Scanner le code pour télécharger l'application

Latest chapter

  • เจ้าสาวประมุขหุบเขามืด   43.จดหมายจากทางไกล (จบ)

    จดหมายจากทางไกล (จบ)“ฮูหยินเจ้าคะเมื่อเช้านี้คนเฝ้าประตูหุบเขานำจดหมายและของมาฝากให้ฮูหยินเจ้าค่ะ บอกว่าได้มาจากขบวนพ่อค้าผ่านทาง”สาวใช้วางจดหมายไว้บนโต๊ะแล้วก็เดินออกจากห้องไปเงียบ ๆ ข้างจดหมายนั้นยังมีกล่องไม้ขนาดไม่ใหญ่มากเสวียนหนี่เปิดกล่องไม้ดูข้างในพบว่าเป็นผ้าบุหนาพันห่อบางสิ่งไว้อย่างดี สัมผัสยังชุ่มชื้นคล้ายกับว่ามีการพรมน้ำไว้ตลอดเวลา เมื่อนางเปิดผ้าห่อออกเห็นว่าสิ่งของข้างในคือกิ่งพันธุ์ของพืชชนิดหนึ่งจึงรีบคลี่จดหมายออกดู เนื้อความข้างในจดหมายได้เขียนบรรยายไว้ว่า…ข้าถึงแคว้นฉินอย่างปลอดภัยแล้วระหว่างทางมาแคว้นฉินข้าได้รู้จักกับพ่อค้าผู้หนึ่ง เขามีโรงย้อมอยู่ในเขตอำเภอเล็ก ๆ และได้รับข้าเข้าทำงานที่โรงย้อม หวังว่าจากนี้ชีวิตของข้าจะพบกับความสงบสุขอย่างที่เจ้าเคยกล่าวไว้ สิ่งที่ข้าฝากมาในกล่องคือกิ่งพันธุ์ฝูเถาพืชชนิดนี้ที่แคว้นฉินมีราคาแพงมาก เจ้าชอบเพาะปลูก ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเจ้าจะพึงพอใจข้าซื้อกิ

  • เจ้าสาวประมุขหุบเขามืด    42.ปรารถนาให้ดอกไม้งามได้ผลิบาน

    ปรารถนาให้ดอกไม้งามได้ผลิบาน“ข้าหวังเพียงว่าจากนี้ไปเจ้าจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างดีและมีความสุข ไม่ใช่แค่เจ้าที่คิดว่าข้าเป็นเหมือนคนในครอบครัวแต่ข้าเองก็คิดอย่างนั้น…ข้าอยากเห็นเจ้ามีความสุข”คำพูดคำจาของถานถานฟังแล้วต่างจากเดิมมาก เขาไม่ใช่ตาแก่ไร้สาระของนางอีกต่อไปแล้วเขาพูดสิ่งดี ๆ เพื่อคนอื่นก็เป็นเช่นกันแต่น้อยครั้งนักที่ถานถานจะเอ่ยวาจาได้ตรงกับใจอย่างนี้ส่วนมากเขามักจะเฉไฉและวางท่าคิดอย่างไรก็ไม่เคยแสดงออกอย่างเปิดเผย"แล้วเจ้าเด็กวุ่นวายนั่น""หมายถึงเพียนเพียนน่ะหรือเจ้าคะ อย่าห่วงเลย ตอนนี้ได้คุณหนูฟางจิงดูแลคุณหนูทั้งสอนหนังสือและเรื่องต่าง ๆ ให้นางอย่างดี เพียนเพียนจะต้องเติบโตได้ดีแน่เอาไว้ว่าง ๆ ข้าจะพานางไปเยี่ยมเยือนท่านที่ไร่นะเจ้าคะ" "อืมงั้นข้าไปละนะ ข้างในนี้ต้องเป็นของดีแน่ ๆ คิดแล้วน้ำลายไหล"เขาชูถุงผ้าขึ้นพลางหัวเราะร่า

  • เจ้าสาวประมุขหุบเขามืด    41.คำขอร้องของหลีเหว่ย

    คำขอร้องของหลีเหว่ยไม่จำเป็นต้องหลบหลังพุ่มไม้อีกต่อไปแล้วครั้งนี้เขาเดินอย่างองอาจเข้าไปในเรือน เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าฟางจิงจึงได้หันกลับมามองยังต้นเสียงเห็นว่าคนที่มาคือหลีเหว่ยนางก็เกิดความสงสัยเป็นอย่างมากวันสำคัญเช่นนี้เขาควรจะเฉลิมฉลองอยู่ที่เรือนหลักกับคนอื่น ๆ นานแล้วที่นางและเขาไม่ได้เจอกันเลย ครั้งล่าสุดเห็นจะเป็นตอนที่ปิดล้อมจับห่าวอู๋ แต่ก็แค่เห็นผ่านตาเพียงเท่านั้นไม่ได้มีการพูดคุยกันสักครึ่งคำก่อนที่ฟางจิงจะถูกรถม้าทับเขาและนางมีความสนิทสนมกันที่สุดแทบจะเรียกได้ว่าสนิมเทียบเท่าผู้เป็นพี่ชายแท้ ๆหลังจากที่อี้เฉินถูกส่งให้ไปศึกษาที่สำนักศึกษาตี้จิวแล้วหลีเหว่ยก็ติดตามไปเป็นสหายร่วมเรียนฟางจิงและเขาก็ค่อย ๆ ห่างเหินกันไปตามกาลเวลาพอสำเร็จการศึกษาหวนคืนหุบเขานางก็ตีตัวออกหากเขาไปเรื่อย ๆไม่สนิทสนมอย่างเดิมแล้วจนปัจจุบันเหมือนคนเคยคุ้นที่อาศัยร่วมจวนเดียวกัน“นานมาแล้วที่ไม่ได้ไปมาหาสู่กัน วัน

  • เจ้าสาวประมุขหุบเขามืด    40.คำตอบของอี้เฉิน

    คำตอบของอี้เฉิน“ไปหาเจี่ยนถานถานมาเป็นอย่างไรบ้าง" อี้เฉินถามคำพูดของพ่อค้าสองคนนั้นยังก้องอยู่ในหู เสวียนหนี่จึงยังไม่ทันได้ฟังที่เขาพูด นางเอาแต่นั่งเหม่อลอยใช้ตะเกียบเขี่ยเส้นบะหมี่วนอยู่ในชาม พอเห็นว่าอีกคนไม่ตอบคำถามเขาจึงเรียกชื่อนางซ้ำให้ดังขึ้น“เสวียนหนี่”“เจ้าคะ”หญิงสาวสะดุ้งเล็กน้อยเงยหน้ามองบุรุษที่นั่งอยู่ตรงข้ามกัน“ไม่หิวหรือ"“อ๋อข้ายังไม่หิวเจ้าค่ะ”“อย่างนี้นี่เองเช่นนั้นเรากลับจวนกันเถอะ”กลับถึงจวนตระกูลหงก็ใกล้ตะวันตกดิน ที่ศาลาเห็นหลีเหว่ยและโม่โฉวกำลังนั่งเล่นหมากล้อม พวกเขาได้ลุกขึ้นยืนมองมาทางเสวียนหนี่และอี้เฉินด้วยแววตาสงสัยคาดไม่ถึงว่าจะมีโอกาสได้เห็นทั้งคู่เดินเคียงกันมา"กลับมาแล้วหรือขอรับ"หลีเหว่ยทักทาย ประมุขหนุ่มมองตอบเพียงเท่านั้นแล้วเดินตรงเข้าไปในเรือน“เจ้ายังไม่กลับเรือนกุ้ยเ

  • เจ้าสาวประมุขหุบเขามืด   39.เกิดอะไรกับห่าวอู๋

    เกิดอะไรกับห่าวอู๋สีหน้าของฟางจิงดูสลดลงโม่โฉวบอกกับอี้เฉินว่าความพิการทางร่างกายของนางไม่ได้หนักหนา สิ่งที่ทำให้นางยังไม่สามารถลุกขึ้นมายืนหยัดได้นั้นเกี่ยวข้องกับเรื่องของจิตใจไม่ว่าพี่ชายจะเสาะแสวงหาแพทย์ที่เก่งกาจเพียงใดมารักษาก็ไม่เป็นผลฟางจิงไม่ให้ความร่วมมือนางหวาดกลัวที่จะลุกขึ้นเดินอีกครั้งเสียงเย้ยหยันของผู้คนในอดีตที่ผ่านมาทำให้นางไม่กล้าลุกขึ้นสู้นางกลัวความผิดพลาดกลัวว่าหากลุกขึ้นมาใหม่แล้วต้องล้มลงไปอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็จะต้องอับอาย"รักษาเถิดกลัวไปไยพี่จะคอยอยู่ข้าง ๆ เจ้าเอง""...ข้าใช้ชีวิตเช่นนี้ก็พอใจดีอยู่แล้ววันนี้ข้ารู้สึกเวียนหัวขอตัวพักเอาแรงสักงีบ"ทุกครั้งที่พูดเรื่องบำบัดรักษาฟางจิงก็มักจะเลี่ยงตลอดอี้เฉินเองก็อ่อนใจเต็มทีเขามองตามร่างของน้องสาวที่เคลื่อนรถเข็นเข้าไปในเรือนแล้วถอนหายใจกลัดกลุ้ม ไม่รู้ว่าในระหว่างที่เขามองตามฟางจิงอยู่นั้นเสวียนหนี่เดินมาทางด้านหลังเขาตั

  • เจ้าสาวประมุขหุบเขามืด    38.ส่งซูหนี่

    ส่งซูหนี่“พี่สาวเจ้ามาลาข้าแล้ว”เมื่อวานนี้ซูหนี่ได้เข้ามาหาเขา แล้วก็แสดงเจตนาว่าอยากออกจากหุบเขา ดังนั้นอี้เฉินจึงพูดขึ้นเพื่ออยากรู้ว่าเสวียนหนี่ทราบเรื่องนี้แล้วหรือยัง พอได้ฟังนางแสดงสีหน้าจริงจังขึ้นมาทันที“ข้าไม่ได้ไล่นางไปนะเจ้าคะ แล้วก็ไม่ได้ตีนางด้วย”“ข้าก็ไม่ได้บอกว่าเจ้าไล่หรือตีนางเสียหน่อย”ท่าทางรีบร้อนแก้ต่างให้ตนเองของนางทำให้ดูลุกลนจนเกินไปอี้เฉินทำหน้าเหมือนผู้ใหญ่กำลังดุเด็กแล้วพูดต่อ“แต่ถึงเจ้าไม่ไล่ข้าก็ไล่นางออกไปอยู่ดี”หญิงสาวพูดไม่ออกเดิมทีอี้เฉินก็ไม่ไว้หน้าผู้ใดอยู่แล้วยิ่งเป็นซูหนี่ที่เคยอยู่ฝ่ายเดียวกันกับห่าวอู๋มาก่อนก็ไม่ต้องคาดหวังว่าเขาจะไว้ไมตรีด้วยความที่ชายหนุ่มมองคนขาดตั้งแต่แรกเริ่มจึงไม่ได้ให้ความเชื่ออกเชื่อใจใครโดยง่ายหากไม่คาดหวังก็จะไม่ผิดหวังเขาเชื่ออย่างนั้นเป็นมิตรได้วันหนึ่งก็อาจเปลี่ยนไปเป็นศัตรู หรือบางรายเป็นศ

Plus de chapitres
Découvrez et lisez de bons romans gratuitement
Accédez gratuitement à un grand nombre de bons romans sur GoodNovel. Téléchargez les livres que vous aimez et lisez où et quand vous voulez.
Lisez des livres gratuitement sur l'APP
Scanner le code pour lire sur l'application
DMCA.com Protection Status