“นี่มึงตามสืบเรื่องนี้โดยที่ไม่ได้บอกกู” ปีแสงพูดในขณะที่สายตามองหน้าเอกสารที่เกี่ยวกับคดีการถูกยิงของพ่อเขา“โทษทีว่ะ แต่กูจำเป็นต้องทำ ตอนที่น้องมาขอร้องให้กูช่วย น้องน่าสงสารมากนะเว้ย ถ้าน้องมันไม่ผิดก็ไม่ควรเจออะไรแบบนี้”ปีแสงใช้ศาลเตี้ยในการตัดสิน ซึ่งมันโหดเหี้ยมและยังผิดจรรยาบรรณ จึงทำให้หมอเวชหักห้ามใจที่จะนิ่งดูดายไม่ได้“มึงไม่เชื่อที่กูพูด?”“ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อ แต่อยากได้ข้อกระจ่าง”“นี่มึงเป็นหมอหรือเป็นนักสืบวะ?” ข้อมูลที่หมอเวชให้เขาดู มันละเอียดครบถ้วน เจาะลึกไปจนถึงปืนที่เรติกาใช้ยิง และกระสุนที่เจาะโหนกแก้มของพ่อเขามันคนละรุ่นกัน แต่ปีแสงก็ยังไม่ปักใจเชื่อในสิ่งที่เห็น“กูจ้างนักสืบให้ช่วยหาหลักฐานและข้อมูลเพิ่มเติม แต่มันก็เปล่าประโยชน์ เมื่อสองสัปดาห์ก่อน ข้อมูลที่กูได้มามันหายไปจากห้องทำงาน แล้ววันนี้มันกลับมาพร้อมกับข้อมูลและหลักฐานใหม่ อย่างปืนที่ใช้ยิงกับกระสุนที่เหยื่อถูกยิง แค่นี้ก็บ่งบอกแล้วนะว่าน้องเรย์ไม่ได้ยิงพ่อมึง”“แล้วจะแน่ใจได้ยังไงว่าหลักฐานที่มึงได้มาอันใหม่ไม่ใช่หลักฐานเท็จ แล้วถ้าไม่ใช่เรติกา คนร้ายตัวจริง
เรติกาหรี่ตาลงมองปีแสงอย่างครุ่นคิด รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของเขาทำให้เธอหวาดระแวง ปีแสงเลื่อนใบหน้าคมคายขึ้นไปจ้องมองใบหน้าสวยหวานใกล้ ๆ หญิงสาวฉีกยิ้มกลบเกลื่อนความรู้สึกกลัว แต่หารู้ไม่ว่ารอยยิ้มนั้นมันทำให้ใครบางคนเกิดความต้องการอย่างพุ่งกระฉูด“ไปอัลตราซาวนด์กัน” เจ้าของคำพูดอ้าแขนกว้างทำท่าให้เขาอุ้ม หมายจะไปอัลตราซาวนด์“ครั้งนี้ฉันจะอัลตราซาวนด์แบบสอดใส่” มือหนาสอดเข้าไปใต้ชายกระโปรงชุดคลุมท้องที่ยาวเหนือเข่าเรติกาค่อย ๆ ลดแขนลงในนาทีต่อมา พร้อมกับรอยยิ้มที่เริ่มจะจางหายไปจากใบหน้า ร่างกายของเธอเริ่มสั่นเทาเมื่อปลายนิ้วลูบไล้ต้นขาเรียบเนียนพยายามปลุกเร้าอารมณ์“ฉันว่าฉันง่วงนอน” เมื่อเห็นท่าไม่ค่อยดีเธอจึงรีบบ่ายเบี่ยง ก่อนดวงตาคู่สวยจะเบิกโพลงด้วยความตกใจเมื่อชายหนุ่มโน้มเข้ามาประกบจูบอย่างไม่ทันตั้งตัว ทำให้เธอหายใจเข้าออกอย่างติดขัด เธอไม่ได้ขัดขืนเขาแต่อย่างใด และพยายามจูบตอบกลับไปอย่างเงอะงะ“จูบไม่เป็น?” ปีแสงเอ่ยถาม หลังจากที่ถอนจูบออกจากปากอวบอิ่มในนาทีต่อมา ถึงเธอจะพยายามจูบกลับแต่ก็ปิดปากตัวเองไว้แน่นเรติกามองหน้าชายหนุ่มนิ่ง ๆ ความรู้สึกประหลาดมากมายก่อตัวขึ้นมาในจิตใจค
ปีแสงแพ้ผู้หญิงขี้อ้อน อ้อนมัน! แล้วมันจะเป็นทาสน้องเรย์เรติกาคิดทบทวนในสิ่งที่หมอเวชได้บอกกับเธอ คำพูดของเขามันเชื่อถือได้แค่ไหนกันแต่ก็นะ เธอไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว หากโดนหมอจอมปลิ้นปล้อนหลอก หรือหากปีแสงไม่ชอบ เธอก็แค่โดนเขากระชากหัวออกเท่านั้น เมื่อคิดได้อย่างนั้นหญิงสาวจึงเกยหน้ามองชายหนุ่มพร้อมคลี่ยิ้มหวานออกมา ในขณะที่ปีแสงประคองใบหน้าของเธอไว้หลวม ๆ ก่อนจะยกมือมาอังหน้าผากวัดอุณหภูมิ ชายหนุ่มมองหน้าของเธออย่างครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกประหลาดใจในท่าทางที่เปลี่ยนไปของคนตรงหน้า“เป็นอะไร”“เป็นที่อยู่อาศัยของปีศาจน้อย” เรติกาพูดแล้วยิ้มหวาน ก่อนจะหุบยิ้มทันควันเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าปีแสงคงไม่ค่อยชอบใจนักที่เธอเรียกลูกของเขาแบบนั้น “ฉะ...ฉันหมายถึงลูกของนาย ฉันเป็นที่อยู่อาศัยของลูกนาย”เรติกาพูดเสียงออดอ้อน พยายามเอาใจเขาสุดฤทธิ์ แม้ในใจจะแย้งอยู่ตลอดว่าเด็กในท้องก็ลูกของเธอเหมือนกัน ใบหน้าสวยซุกไซ้หน้าท้องแกร่งพร้อมลุ้นอยู่ในใจว่าเขาจะกระชากหัวเธอออกไหมโดนไอ้เพื่อนชั่วมันหลอกให้ทำอะไรหรือเปล่าวะเนี่ยถึงหญิงสาวจะนิสัยหัวรุนแรงและแอบร้าย แต่เสี้ยวหนึ่งในจิตใจเขากลับมองเห็นควา
“ดูสิคะ ใครมาหา” ป้าทิพย์เอ่ยพูดในตอนที่เรติกากำลังวางแก้วน้ำลงบนโต๊ะเลื่อน หลังจากที่เพิ่งรับประทานอาหารเช้าเสร็จสรรพเป็นหมอเวชกับหมอนนท์ที่กำลังเดินเข้ามาภายในห้อง ขณะที่ป้าทิพย์เลื่อนโต๊ะอาหารเก็บเข้าที่เข้าทางและเดินเลี่ยงออกไป“มาทำไม!” เรติกาพูดเสียงเกรี้ยวกราดในตอนที่หมอเวชกับหมอนนท์เดินเข้ามาหาเธอใกล้ ๆ หญิงสาวแสดงสีหน้ากระเง้ากระงอดอย่างไม่ปิดบัง“พี่หมอแวะมาเยี่ยมน้องเรย์กับตัวน้อยครับ” หมอเวชพูดออกมาโดยไม่ได้ใส่ใจในท่าทางกะบึงกะบอนของเธอ รู้ดีว่าหญิงยังคงโกรธเคืองเขาไม่หาย แม้จะผ่านมานานหลายเดือน“ใครอยากเจอหน้าพวกคุณไม่ทราบ” พูดจบประโยคเธอก็เบือนหน้าหนีสองหนุ่ม หมอนนท์มองหน้าหญิงสาวอย่างรู้สึกผิดเพราะเคยทำให้เธอต้องเจ็บ“น้องเรย์ยังงอนพี่หมออยู่เหรอคะ”“ไม่ได้งอน!”“โกรธเหรอ”“ไม่ได้โกรธ!”“งั้น...”“เกลียด!” เธอตะโกนใส่หน้าจิตแพทย์หนุ่มด้วยพยางค์เดียว หมอเวชไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านในท่าทางเกรี้ยวกราดของเธอ ก่อนจะหันมามองหน้าเพื่อนรัก โดยที่หมอนนท์ตอบกลับด้วยการยักไหล่ให้“ทำยังไงถึงจะหายเกลียด”“ไม่หาย!” เรติกาเมินเฉยต่อความช่วยเหลือจากชายหนุ่ม คนนิสัยกะล่อนปลิ้นปล้อน เธอไ
“ฉันไม่รู้สึกปวดหัวเลย ไม่เลยสักนิด”“แน่ใจ?” ปีแสงถามย้ำอีกครั้ง ในขณะที่ตรวจอาการของเธอเบื้องต้นหลังจากฟื้นคำถามมากมายที่ชายหนุ่มซักถามไม่หยุดหย่อน เธอไม่มีทางบอกความจริงกับเขาหรอก ปีแสงจะไม่มีทางได้เยาะเย้ยเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า เรติกาเชิดหน้าพลางเก็บกดความรู้สึกเจ็บปวดไว้ให้ลึกที่สุด “ฉันว่าฉันง่วงนอนมากกว่าอาการปวดหัวบ้าบอพวกนั้นนะ”ปีแสงมองเธอกลับมานิ่ง ๆ เขารู้ว่าเธอยังเจ็บอยู่ แม้จะพยายามแสดงสีหน้าให้ดูเรียบเฉย แต่ดวงตาของเธอมันกลับปิดซ่อนความรู้สึกไม่มิด แพทย์หนุ่มไม่ได้ถามอะไรไปมากกว่านั้น เพราะรู้ดีว่าเรติกาหงุดหงิดง่าย เดี๋ยวเธอจะพาลรำคาญ และอาการของเธออาจจะแย่ไปกันใหญ่เรติกาค่อย ๆ ทิ้งตัวลงนอนอย่างเนิบนาบ ในตอนที่ปีแสงกำลังเก็บอุปกรณ์การแพทย์ คนตัวเล็กพลิกตัวนอนตะแคงอย่างอิสระ เพราะเขาไม่ได้พันธนาการเธอเอาไว้ “ฉันอยากนอน คิดว่าลูก...ของนายก็น่าจะอยากพักผ่อนเหมือนกัน” คำพูดของเธอทำให้คนฟังรู้สึกเจ็บปวด ปีแสงมองเรติกาที่นอนหันหลังให้ด้วยแววตาที่สั่นระริก ก่อนจะขึ้นไปทิ้งตัวนอนซ้อนหลังของหญิงสาวอย่างถือวิสาสะ มือหนาสวมกอดเธอไว้หลวม ๆ “อื้อ~ นี่ปล่อยนะ ฉันอึดอัด!” เรติกาพยายา
วันเวลาล่วงเลยผ่านไป ไม่รู้ว่าด้วยความบังเอิญหรือเพราะอะไร ทำให้ปีแสงได้เจอเรติกาอีกครั้ง เขาจดจำเด็กผู้หญิงคนนั้นได้ขึ้นใจ แต่สถานการณ์และสิ่งที่รอบข้างดันไม่เป็นใจเอาเสียเลย เพราะเขานั่งอยู่บนรถกับคนของพ่อ ซึ่งพวกเขาไม่มีทางปล่อยให้ปีแสงลงจากรถไปไหนแน่ ไม่อย่างนั้นจะเกิดเหตุการณ์วุ่นวายเฉกเช่นทุกครั้ง ปีแสงหยิบกล้องตัวโปรดจากกระเป๋าเป้มาถ่ายรูปของเธอเอาไว้ ซึ่งมันโชคดีเหมาะเจาะเพราะว่ารูปที่ปีแสงได้เป็นช่วงที่เธอฉีกยิ้มออกมาพอดี และก็ทำให้หมอเวชกับหมอนนท์เจอภาพนั้นในเวลาต่อมา...เขาไม่ได้ใส่ใจในคำแซวของเพื่อนรักสักเท่าไหร่หรอก แต่ไม่ค่อยชอบใจที่เพื่อนทั้งสองมาวุ่นวายกับของใช้ส่วนมากกว่า ปีแสงยอมเล่าเรื่องที่เจอกับเรติกาครั้งแรกให้ทั้งคู่ฟังเมื่อโดนเซ้าซี้มากเกินไปเวลาผ่านไปหลายปีหลังจากที่ปีแสงเรียนจบแพทย์ เขาได้ทำงานอยู่โรงพยาบาลเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่ง และแยกออกมาอยู่ตัวคนเดียวในคฤหาสน์หลังโต เขาได้รับอิสระอย่างเต็มที่ ผู้เป็นพ่อไม่ได้มาก้าวก่ายชีวิตของเขาอีก ไม่กี่ปีต่อมา... ปีแสงได้พบกับเรติกาอีกครั้ง เธอนั่งอยู่คนเดียวหน้าห้องฉุกเฉิน สีหน้าดูกลัวและวิตกกังวล เธอเบ้ปากทำท่าเหมือ