คนทั้งหมดเดินทางเข้ามาเมืองถงหวางอย่างรวดเร็ว ก่อนหน้าที่จะเดินทางมา เซวียนซานหลางได้ให้องค์รักษ์ของตนมาสำรวจลู่ทางของที่นี่เรียบร้อยแล้ว อาต่งองค์รักษ์ของเขาได้ซื้อบ้านเล็กๆหลังหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ในตลาด เป็นร้านของอดีตเถ้าแก่ร้านขายอาหาร แต่เพราะในเมืองถงหวางเกิดเรื่องมากมาย เถ้าแก้ร้านจึงย้ายออกไปอยู่เมืองอื่นพร้อมกับบุตรสาวของตน
บ้านหลังนี้ไม่เล็กและไม่ใหญ่จนเกินไปพอให้พักกันได้สบายๆ เพื่อไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกต เซวียนซานหลางจึงให้มู่หลานเฟินพักอยู่ในห้องเดียวกัน และยังตั้งกฎกับนางว่าห้ามล้ำเส้นเขา ไม่อย่างนั้นดาบในมือของเขาอาจจะพลาดพลั้งบั่นคอนางขาดได้ มู่หลานเฟินลอบเบ้ปาก เขาจะหลงตนเองเกินไปแล้วกระมัง นางมีหรือจะอยากเข้าใกล้เขาขนาดนั้น แค่หายใจร่วมกันยังแทบจะหายใจไม่ออก นี่ต้องมาอยู่ร่วมห้องกันอีก ไม่รู้ว่าอีกนานเท่าใดกว่าจะไขคดีจบสิ้น นางอึดอัดจะตายอยู่แล้ว
ด้านเซวียนเจ๋อนั้นก็พักอยู่อีกห้องหนึ่งใกล้ๆกับลั่วเหมย เพราะเซวียนซานหลางสั่งห้ามไม่ให้เขาแต่งเป็นบุรุษ เขาจึงต้องยืมเสื้อผ้าของลั่วเหมยมาสวมใส่ โชคดีที่ตัวของเขาผอมบางจึงใส่เสื้อผ้าของลั่วเหมยได้ ลั่วเหมยถึงกับหมดอาลัยตายอยาก ไม่คิดไม่ฝันว่าชีวิตนี้จะต้องมาถูกคุณชายรองแย่งเสื้อผ้าสวมใส่!
เมื่อมาลงหลักปักฐานที่นี่แล้ว แน่นอนว่าย่อมมาอยู่เฉยๆไม่ได้ ในเมื่อซื้อร้านค้ามาแล้วจะไม่ทำการค้าก็คงจะน่าสงสัยไม่น้อย เมื่อปรึกษาหารือกันแล้ว ก็ได้ความว่ามู่หลานเฟินจะทำอาหารขายสักสองสามอย่าง นางชอบทำอาหารเป็นอย่างมาก เซวียนซานหลางเองก็ไม่ได้ขัดข้องอัน
ที่เหนือความคาดหมายก็คือ เสิ่นเหวยอันเปิดร้านสุราอยู่ตรงข้ามกับร้านขายอาหารของนาง เขาเองก็ปลอมตัวเป็นพ่อค้าเหลาสุรา ทำตัวเสเพลกลมกลืนกับชาวบ้านได้อย่างไม่น่าเชื่อ
คืนแรกที่พักในเมืองถงหวาง มู่หลานเฟินไม่ค่อนคุ้นชินเท่าใดนัก หูของนางมักจะได้ยินเสียงแปลกประหลาด อีกทั้งจมูกน้อยๆก็ยังได้กลิ่นที่ไม่ชวนประสงค์ลอยละล่องมาตามสายลม
ความลับหนึ่งที่นางไม่เคยบอกใครเลยก็คือ นางมีประสาทสัมผัสการรับกลิ่นและการได้ยินอย่างดีเยี่ยม ได้มาจากไหนน่ะหรือ ก็ได้มาจากการเกิดเป็นเจ้าสุนัขในชาติก่อนๆนั่นอย่างไรเล่า
ไม่รู้ว่าควรนับเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้ายกันแน่ กลิ่นอะไรที่มนุษย์ทั่วไปสัมผัสไม่ได้ แต่มู่หลานเฟินกลับได้กลิ่นทั้งหมด รวมไปถึงเสียงประหลาดๆพวกนั้นด้วย
เมืองถงหวางยามกลางวันชาวบ้านยังคงปกติ ออกมาค้าขายทำการค้ากันอย่างที่เคยทำ แต่เมื่อยามราตรีกาลมาเยือน เหล่าชาวบ้านต่างพากันปิดบ้านเงียบ บนถนนทั้งสายแทบจะกลายเป็นเมืองร้าง ราวกับอยู่คนละโลกอย่างไรอย่างนั้น
เรื่องที่มีหญิงสาวถูกสังหารอย่างน่าหวั่นเกรงนั่น มู่หลานเฟินได้รับรู้รายละเอียดจากเซวียนซานหลางมาบ้าง เมื่อตอนบ่ายหลังจากที่จัดการเรื่องในร้านเสร็จแล้ว นางก็แกล้งทำทีออกไปเดินเล่นรอบเมือง ได้ยินชาวบ้านพูดกันว่า ที่เจ้าสาวหลายคนเกิดเรื่องก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเพราะอาถรรพ์จากวิญญาณของหญิงสาวนางหนึ่ง เมื่อนางเข้าไปสอบถามชาวบ้านแรกเริ่มยังคงไม่ยอมเล่า แต่นางมีวิธีีสนทนาพาทีกับพวกเขา ไม่นานจึงได้ฟังเรื่องเล่ามาเรื่องหนึ่ง
ชาวบ้านเล่าว่าเมื่อหนึ่งปีก่อน บุตรสาวของพ่อค้าขายหมูคนหนึ่งกำลังจะแต่งงานกับชายคนรัก แต่อยู่ๆนางก็ได้รู้ว่าแท้จริงชายที่ตนรักมีภรรยาอยู่แล้ว ภรรยาของเขามาอาละวาดเอาเรื่องนางจนนางอับอายและเสียใจ ซ้ำชายคนนั้นยังเลือกภรรยา เคราะห์ซ้ำกรรมซัด นางเกิดตั้งครรภ์ ไม่มีคนรับผิดชอบ จึงคิดสั้น นางสวมชุดแต่งงานที่ตัดเย็บเองกับมือและแขวนคอตายที่ท้ายหมู่บ้าน นางจากไปด้วยใจที่อาฆาตแค้นเต็มเปี่ยม กลายเป็นวิญญาณอาฆาตที่มาคร่าชีวิตของสตรีที่เข้าพิธีแต่งงานและนั่งรออยู่ในห้องหอ เพราะไม่ต้องการให้สตรีเหล่านั้นสมหวังเหมือนกับนาง
เมื่อกลับมาถึงบ้านมู่หลานเฟินก็เล่าเรื่องนี้ให้เซวียนเจ๋อและลั่วเหมยได้ฟัง คนทั้งสองเมื่อฟังจบก็ถึงกับขนลุกซู่ แต่มู่หลานเฟินกลับไม่หวาดกลัวเท่าใดนัก นางใช้ชีวิตมาหลายชาติ พบเจอเรื่องราวมามากมาย เรื่องวิญาณหรือผีสางไม่ใช่ว่านางไม่เชื่อ แต่จะต้องเชื่ออยู่บนเหตุผลที่จับต้องได้ และที่สำคัญเรื่องนี้มันมีช่องโหว่อยู่ไม่น้อยเลย
นางเคยตามบิดาที่เป็นหวูโจ้วไปผ่าศพในชาติก่อนที่จะมาที่นี่ พอจะมีความรู้อยู่บ้าง แม้จะเพียงน้อยนิดแต่หากได้เห็นสภาพศพของสตรีเหล่านั้นเองกับตา นางจะต้องรู้ได้แน่ว่าสาเหตุการตายของพวกนางมาจากสิ่งใด
เวลาล่วงเลยมาถึงกลางดึกแล้ว มู่หลานเฟินนอนพลิกไปพลิกมา เซวียนซานหลางที่นอนไม่หลับเช่นกันพลันหันมามองนางด้วยแววตาเฉยชา ก่อนหน้านี้มู่หลานเฟินบอกว่าให้เขานอนเตียง ส่วนนางนอนพื้นได้ แม้ว่าเขาจะไม่ชอบหน้านางเพียงใด แต่การที่ปล่อยให้สตรีน้อยนางหนึ่งลงไปนอนที่พื้นนั้นไม่ใช่เรื่องที่บุรุษควรจะกระทำ
"เจ้านอนพลิกไปพลิกมาด้วยเหตุใดกัน พลิกตัวจนเสียงเตียงลั่นเอี๊ยดอ๊าดเช่นนี้มันรบกวนการนอนของผู้อื่นรู้ตัวหรือไม่"
เมื่อได้ยินอย่างนั้นมู่หลานเฟินจึงหันมามองเซวียนซานหลาง ก่อนจะผุดลุกขึ้นมานั่งบนเตียงและเอ่ยกับเขา
"ซื่อจื่อ วันนี้ข้าออกไปเดินเล่นมาและได้รู้เรื่องหนึ่งเข้า"
"เรื่องใด?"
เซวียนซานหลางเอ่ยถามอย่างรำคาญใจ แต่มู่หลานเฟินกลับไม่ทันสังเกตเห็นแววตาที่ฉายความรำคาญของเขา หญิงสาวเล่าเรื่องทั้งหมดที่ได้ยินมาให้เขาฟังอย่างไม่มีตกหล่นแม้แต่คำเดียว
"มันน่าแปลกประหลาดเกินไป เรื่องนี้มีช่องโหว่หลายจุด ข้าอยากเห็นศพของสตรที่ถูกฆ่าเหล่านั้น เผื่อจะได้เบาะแสเพิ่มขึ้น"
เซวียนซานหลางลุกขึ้นมานั่งและใช้สายตาคมปราดพินิจมองมู่หลานเฟิน ตอนนี้นางยกมือขึ้นมาเท้าคางตนพลางทำท่าทางครุ่นคิด ท่าทีของนางตอนนี้ดูเอาจริงเอาจังไม่เหมือนแต่ก่อน อีกทั้งเรื่องเล่าพวกนั้นก็ยังดูมีพิรุธมากจริงๆ
ใช่ว่าเซวียนซานหลางจะไม่ตามสืบ เรื่องที่มู่หลานเฟินเล่ามาล้วนตรงกับที่เขาเและเสิ่นเหวยอันสืบรู้มาเช่นเดียวกัน มันมีช่องโหว่จริงๆ
ก่อนหน้านี้ศพของสตรีเหล่านั้นถูกฝังไปหมดแล้ว ทำให้เขายังไม่ได้เห็นศพพวกนั้นเองกับตา ย่อมยังไม่อาจตัดสินใจอันใดได้
มู่หลานเฟินย่นหัวคิ้วพลางเอ่ย
"มันน่าแปลกจริงๆ ซื่อจื่อ ท่านจะจะทำอย่างไรต่อไป"
เซวียนซานหลางมองมู่หลานเฟินเล็กน้อย
"ทำตัวให้เป็นปกติ ทำตัวให้กลมกลืนกับชาวบ้าน แล้วสังเกตท่าทีของทุกคน จากนั้นค่อยหาฤกษ์ยามเข้าพิธีวิวาห์"
มู่หลานเฟินเมื่อได้ยินก็หันขวับมามองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างรวดเร็ว
"จะแต่งงานกันจริงๆหรือ"
"เพียงแค่เรื่องหลอกลวงเอาไว้จับคนร้าย เจ้าอย่าได้ดีใจจนเกินเหตุไป"
"หน้าตาข้าเหมือนคนดีใจหรือ?"
เซวียนซานหลางไม่เอ่ยตอบ เขาทิ้งกายลงนอนและไม่สนใจมู่หลานเฟินอีก มู่หลานเฟินเองก็คร้านจะพูดคุยกับเขา นางจึงล้มต้วลงนอนเช่นเดียวกัน อาจเพราะแปลกที่ทางอีกทั้งหูและจมูกยังสัมผัสได้ถึงสิ่งแปลกปลอม จึงทำให้นางนอนไม่หลับ กว่าจะข่มตาหลับได้ก็เกือบรุ่งสาง
เช้าวันนี้มู่หลานเฟินยังคงเปิดร้านตามปกติ เซวียนเจ๋อที่แต่งกายเป็นสตรีสร้างรอยยิ้มให้กับนางไม่น้อย เขาไม่ได้ทำตัวเป็นภาระ อีกทั้งดูเหมือนจะชื่นชอบไม่น้อยเลยที่ได้ช่วยนางทำอาหาร นับว่าเป็นลูกมือของมู่หลานเฟินได้ดี
"หรานหร่าน ฝีมือการทำอาหารของเจ้ายอดเยี่ยมมากเลย กลับเมืองหลวงแล้วเจ้าจะต้องสอนข้าด้วยนะ ข้าน่ะมีความฝันว่าอยากเปิดร้านอาหาร"
"ได้สิ ข้าจะสอนท่าน"
มู่หลานเฟินยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะจัดร้านและเปิดขายอาหารตามปกติ เช้าวันนี้เซวียนซานหลางออกไปข้างนอกตั้งแต่เช้าตรู่ นางไม่รู้ว่าเขาไปที่ไหนเช่นกัน
"แม่นาง เอาเนื้อตุ๋นน้ำแกงหนึ่งถ้วย"
เมื่อได้ยินว่ามีลูกค้าเข้าร้านมู่หลานเฟินจึงรีบไปต้อนรับ พบว่าเป็นสตรีน้อยนางหนึ่งที่เดินเข้ามาในร้านด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม การแต่งกายของนางงดงามไม่เหมือนกับชาวบ้านธรรมทั่วไป
"ได้ รอสักครู่นะแม่นาง"
มู่หลานเฟินจัดการตักอาหารให้นาง หญิงสาวนางนั้นยิ้มแย้มอารมณ์ดี และยังชวนมู่หลานเฟินสนทนาอย่างสนิทสนม
"ได้ยินว่าร้านของเจ้าเพิ่งมาเปิดใหม่ เจ้ามาจากที่ไหนหรือ"
"อ้อ ข้ามาจากทางใต้น่ะ บังเอิญว่าข้าหนีตามคนรักมา บ้านของพวกเราสองคนไม่ยอมรับความรักครั้งนี้ พวกเราจึงพากันมาตั้งรกรากที่นี่ รอให้ทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้ว ก็ค่อยจัดงานมงคล เป็นสามีภรรยากันอย่างถูกต้องตามประเพณี"
มู่หลานเฟินเล่าเรื่องนี้ได้อย่างไม่มีพิรุธ เซวียนซานหลางกำชับนางนักหนาว่าหากมีคนมาถามก็จงบอกไปตามที่เขาสั่ง มู่หลานเฟินเองก็ท่องจำได้จนขึ้นใจ ผู้ใดมาถามนางก็ตอบเหมือนเดิมไม่มีตกหล่นแม้เพียงประโยคเดียว
หญิงสาวนางนั้นยิ้มอ่อนโยน พลางเอ่ย
"พวกเจ้าสองสามีภรรยาช่างมีความรักลึกซึ้งต่อกันยิ่งนัก ข้าดีใจด้วยนะ อ้อ ข้ามีนามว่าอาหลิน เป็นบุตรสาวของท่านเจ้าเมือง หากพวกเจ้ามีเรื่องอะไรลำบากใจก็ไปบอกท่านพ่อข้าได้ที่จวนเสมอ"
"ขอบคุณแม่นางมาก ข้าชื่อหรานหร่าน ยินดีที่ได้รู้จักเจ้านะ ไว้มาอุดหนุนร้านข้าบ่อยๆเล่า"
"ได้เลย"
อาหลินยิ้มอ่อนโยน ก่อนจะยื่นมือมารับกล่องใส่อาหารมาจากมู่หลานเฟิน ในขณะที่นางกำลังจะกลับ ก็บังเอิญพบกับเซวียนซานหลางที่เดินเข้ามาในร้านพอดี ทันที่ได้เห็นเขา อาหลินก็มองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยแววตาเป็นประกาย
นานมากแล้วที่นางไม่ได้สัมผัสถึงความรักใคร่ชอบพอต่อบุรุษเช่นนี้
“น้องหญิง วันนี้ขายดีหรือไม่"
เซวียนซานหลางเดินเข้ามาหามู่หลานเฟินพร้อมเอ่ยถามนางอย่างอ่อนโยน มู่หลานเฟินแม้จะรู้สึกขนลุกกับการแสดงที่แสนแนบเนียนของเขาแต่นางก็ตอบรับอย่างไม่ให้มีพิรุธ
“ขายดีเจ้าค่ะท่านพี่ ท่านมาเหนื่อยๆ เข้ามานั่งพักเร็วเข้า”
นั่งพักแล้วก็หาชาดื่มเอง หาดื่มไม่ได้ก็กระหายน้ำตายไปเสีย!
แน่นอนว่านางไม่ได้พูดออกไปทำได้เพียงลอบด่าเขาในใจเพียงเท่านั้น
อาหลินที่เห็นเช่นนั้นก็มองออกถึงความสัมพันธ์ของคนทั้งสองได้ในทันที เมื่อออกมาจากร้านแล้วนางจึงสอบถามเอาจากชาวบ้านละแวกนั้น จึงได้ทราบว่าชายหนุ่มรูปงามผู้นี้มีนามว่าอาซาน เป็นสามีของหรานหร่าน
ความผิดหวังวาบผ่านในดวงตาของอาหลิน แต่เพียงครู่เดียวก็หายไป นางรีบหันหลังเดินจากไปทันที
เวลาล่วงเลยมาจนถึงยามเย็นร้านก็ปิดลง เซวียนซานหลาง มู่หลานเฟินและเซวียนเจ๋อนั่งกินมื้อเย็นด้วยกัน เป็นเซวียนซานหลางที่เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาเสียก่อน
"วันนี้เจ้าพบเจอคนน่าสงสัยบ้างหรือไม่"
มู่หลานเฟินส่ายหน้าไปมาเล็กน้อย ก่อนจะนึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้
“ข้ารู้สึกว่าในเมืองถงหวางมีบางอย่างแปลกประหลาดไม่น้อย"
"แปลกเช่นไร"
"กลางดึกข้ามักจะได้ยินเสียงเหมือนสตรีร่ำไห้ เสียงนกแปลกๆร้อง อีกทั้งยังได้กลิ่นประหลาดชวนอาเจียน”
"กลิ่นอันใด"
"เลือด"
"เลือดหรือ?"
แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้เข้าห่ำหั่นกับศัตรูเพื่อปิดจบสงครามฉากนี้นี้ ก็ได้ยินเสียงเกือกเท้าม้าดังกึกก้อง คนทั้งสามหันมาสบตากันอีกครั้ง ในดวงตาฉายแววเคร่งเครียดหรือนี่จะเป็นกำลังเสริมของชนเผ่าทุ่งหญ้า?ยังไม่ทันได้คิดสิ่งใดให้มากความเซวียนซานหลางก็เห็นว่ากองทหารของแคว้นทุ่งหญ้าที่ยืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้าแตกแถวออกเป็นวงกว้าง ศีรษะของแม่ทัพเผาทุ่งหญ้าร่วงกระเด็นตกลงบนพื้นดวงตาเบิกโพลงเหมือนไม่อยากจะเชื่อว่าตนจะถูกสังหาร"ฆ่าทิ้งให้หมด!"เซวียนซานหลางมองไปเบื้องหน้า ก่อนที่ดวงตาของเขาจะแดงก่ำตอนนี้มู่หลานเฟิรกำลังควบอยู่บนหลังม้าด้วยท่วงท่าองอาจ มือหนึ่งจับบังเหียน มือหนึ่งถือหอกเอาไว้ในมือ ปลายด้ามหอกอาบย้อมไปด้วยโลหิตสีแดงสด นางสวมชุดเกราะรวบผมขึ้นสูง ดวงตามั่นคงหนักแน่นไม่หวาดหวั่น ทุกทีที่นางควบม้าพาดผ่าน ล้วนมีทหารของชนเผ่าทุ่งหญ้าล้มตายราวกับใบไม้ร่วงเสิ่นเหวยอันและซูอวี้เฉิงเมื่อได้เห็นเช่นนั้นก็ตื่นตระหนกไม่น้อย เดิมทีพวกเขารู้ว่านางมีความสามารถ แต่ไม่คิดว่าจะองอาจเยี่ยงแม่ทัพใหญ่ผู้เจนจัดสงครามในสนามรบเช่นนี้มู่หลานเฟินหันมามองบุรุษทั้งสามคน ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่องอาจ
เมื่อเรื่องราวคลี่คลายแล้ว ทุกคนจึงเกินทางกลับมาที่เมืองหลวง เมื่อกลับมาถึงก็ได้ทราบข่าวร้ายก่อนหน้านี้เซวียนชินอ๋องติดสุราจนเมามาย ทำให้สุขภาพไม่สู้ดีจนถึงขึ้นล้มป่วยลง อีกทั้งยังได้รับความกระทบกระเทือนจิตใจเนื่องจากรู้ข่าวว่าอวี้หลิงปลิดชีพตนเองตายจากไป แม้ปากจะบอกว่าเกลียดชังนางย่ แต่เมื่อนางตายจากไปจริงๆ เขากลับทำใจไม่ได้ สุดท้ายจึงดื่มเหล้าหนักมากขึ้นเรื่อยๆ จนสุขภาพทรุดหนักลงเรื่อยๆ จวบจนทนไม่ไหวและตรอมใจตายตามอวี้หลิงไปก่อนจากเขาไม่ได้สั่งเสียสิ่งใดกับบุตรชายทั้งสองคน เอาแต่เหม่อลอยเรียกหาอวี้หลิงและอดีตพระชายาซึ่งก็คือมารดาของเซวียนซานหลาง จวบจนวาระสุดท้ายท่านพ่อของพวกเขาสองคนก็คิดถึงแต่ตนเอง ไม่เคยคิดถึงบุตรชายเลยแม้แต่น้อยงานศพของเซวียนชินอ๋องถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายเมื่อบิดาตายจากไป ตำแหน่งชินอ๋องย่อมตกเป็นของเซวียนซานหลางโดยชอบธรรม ส่วนเซวียนเจ๋อนั้นเขาไม่อยากจะรับตำแหน่งใดทั้งสิ้น เขาอยากเป็นเพียงคุณชายเจ้าสำราญที่ได้ใช้ชีวิตตามใจของตนด้านวังหลวงเองก็ไม่สู้ดีเท่าใดนัก ฮ่องเต้เซวียนจงอาการไม่สู้ดีขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งยังไม่ม่ีทายาทสืบทอด เหล่าขุนนางต่างหวาดหวั่นใจยิ่งน
วันคืนก็ผ่านไปเช่นนี้ จนกระทั่งสุขภาพของมู่หลานเฟินดีขึ้นมาก และเซวียนซานหลางก็สะสางธุระแล้วเสร็จและกลับมาเมืองหลวงพอดี นางจึงบอกเรื่องนี้กับเขาและตัดสินใจกลับบ้านเดิมสักครั้งจวนตระกูลอวี้เป็นตระกูลคหบดี พวกเขาเป็นคนเมืองจินหลิงซึ่งอยู่ห่างจากเมืองหลวงไปไม่ไกลเท่าใดนัก นับว่าเป็นครอบครัวที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองจินหลิงแล้ว พวกเขาทำการค้าหลายอย่าง หลายปีมานี้กิจการก้าวหน้า เพราะมีน้าสาวและสามีของนางคอยดูแลวันแรกที่มู่หลานเฟินกลับไปถึง ก็พบว่าพวกเขามีท่าทีแปลกประหลาดจริงๆ เหมือนไม่อยากต้อนรับ ราวกับมีบางอย่างปิดบังนางอย่างไรอย่างนั้น แต่่เพราะมู่หลานเฟินต้องการสืบความจริง นางจึงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นท่าทีนั้นของพวกเขาและยังบอกอีกว่าอยากจะพักอยู่ที่นี่สักระยะเพราะมีเรื่องจะมาแจ้งทุกคน นางเดินทางมาครั้งนี้นำสมบัติมาด้วยหลายหีบบอกว่าเป็นของที่นางเก็บสะสมเอาไว้ แต่ตอนนี้ถูกไล่ออกจากจวนอ๋องแล้วไร้หนทางไปจึงต้องกลับมาบ้านเดิม อวี้หลันมองหลานสาวตนเองด้วยแววตาที่่อ่อนโย แต่ภายในใจกลับเย้ยหยัน ตอนนี้อวี้หลิงถูกขับออกจากจวนอ๋องไปอยู่ที่วัด นางเองไม่ได้สนใจพี่สาวเท่ามดนักเดิมทีพวกนางก็เป็นพี่น้อง
เรื่องราวสะเทือนขวัญทั้งหมดที่เกิดขึ้น สร้างคลื่นลมใหญ่หลวงให้กับราชสำนักเป็นอย่างมาก เหล่าราษฎรต่างหวาดหวั่น ต้องใช้เวลาร่วมหลายเดือนกว่าที่คราวจะเงียบหายไปหลังจากเกิดเรื่อง เซวียนชินอ๋องก็กลายเป็นคนเมามาย และวาดใส่คนอื่นไปทั่วทั้งจวน โดยเฉพาะกับมู่หลานเฟิน เขาเอาโทสะทั้งหมดไปลงที่นาง บอกว่านาและป้าของนางคือตัวซวย อีกทั้งยับขับไล่นางออกจากจวนอ๋อง เซวียนซานหลางและเซวียนเจ๋อเองก็ปวดหัวไม่น้อยแต่มู่หลานเฟินกลับไม่ได้โกธร นางเข้าใจเรื่องราวได้อย่างกระจ่างแจ้ง เมื่ออวี้หลิงสิ้นอำนาจแล้ว นางย่อมไม่อาจอยู่ที่จวนอ๋องได้อีก และนางเองก็ไม่อยากจะสร้างปัญหาให้เขาเพิ่ม จึงปรึกษากับเขาว่าจะไปหาซื้อบ้านใหม่อยู่ เปิดร้านขายอาหาร เพราะของมีค่าที่ได้รับพระราชทานมาก่อนหน้านี้ก็ยังมีเหลืออยู่ไม่น้อย แรกเริ่มเซวียนซานหลางไม่เห็นด้วย แต่ม่หลานเฟินกลับเอ่ยโน้มน้าวเขาอย่างใจเย็น เขาจึงยอมตามใจนางเซวียนซานหลางหาบ้านหลังหนึ่งได้ มันตั้งอยู่ในตลาดสามารถทำมาค้าขายได้ เซวียนเจ๋อเป็นห่วงน้องสาวอยากตามมาอยู่ด้วย แต่มู่หลานเฟินบอกว่านางอยู่ได้ชีวิตที่ยากกำบากไม่ใช่ว่านางไม่เคยพานพบ ใช้ชีวิตมาหลายชาติพบเจอความทุ
เซวียนซานหลางและมู่หลานเฟินรีบวิ่งมาที่เรือนของอวี้หลิงอย่างรวดเร็ว เมื่อมาถึงภาพตรงหน้าก็ทำให้พวกเขาถึงกับหน้าซีดเผือดตอนนี้เซวียนเจ๋อกำลังนอนอยู่บนเตียงเขากระอักโลหิตออกมาไม่หยุด ใบหน้าหล่อเหลาซีดเผือดจนน่าหวาดหวั่น ลมหายใจก็รวยรินราวกับจะขาดเสียให้ได้ เซวียนซานหลางที่เห็นสภาพน้องชายตนที่ย่ำแย่ถึงเพียงนี้ก็ตื่นตระหนกรีบสั่งให้คนไปตามหมอหลวงมาอย่างเร่งด่วน มู่หลานเฟินเข้าไปประคองญาติผู้พี่ของตนเอง ดวงตาของนางแดงกล่ำ ก่อนจะเอ่ย"เซวียนเจ๋อ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ไปได้ ท่านดื่มยาพิษเข้าไปได้อย่างไรกัน"เซวียนเจ๋อเงยหน้ามามองมู่หลานเฟินอย่างอ่อนแรง ก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อย เขาไม่ตอบอันใด เพียงมองไปที่มารดาของตนด้วยแววตาที่เย็นชาห่างเหินก่อนหน้านี้ท่านแม่ดูผิดปกติเป็นอย่างยิ่ง นางดูเหมือนครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา เขาจึงจับตาดูนางและพบว่านางกำลังวางแผนจะสังหารพี่ใหญ่ของเขาอีกครั้งเซวียนเจ๋อรู้สึกผิดหวังในตัวมารดาเป็นอย่างมาก เดิมทีเขาคิดว่าท่านแม่จะสามารถปล่อยวางความโลภในใจได้แล้ว แต่มันกลับไม่ใช่เลยแม้แต่น้อย ท่านแม่ยังคงมีจิตใจริษยามักใหญ่ใฝ่สูงท่านแม่คิดอาศัยช่วงชุลมุนวางยาพิษพี่ใหญ่ เขาที
ด้านมู่หลานเฟินตอนนี้ก็ถูกโซ่ตรวนพันธนาการมือเท้าเอาไว้ นางได้กลิ่นสมุนไพรเข้มข้นสายหนึ่งที่ฉุนจนแทบแสบจมูก มันเป็นกลิ่นเดียวกับที่ได้กลิ่นจากศพในรูปปั้นเทพธิดา อีกทั้งบนโต๊ะยังมียันต์หลายแผ่นวางเอาไว้"สวีเจี๋ย เราต้องรีบทำพิธีแล้ว ไม่อย่างนั้นจะเลยฤกษ์ยามดี หลังจากนางตายก็เอาร่างนางหล่อเป็นรูปปั้นของเทพธิดา มอบนางเป็นเครื่องบูชายัญให้เทพปีศาจ เอาล่ะ ข้าจะเร่งขอพร ท่านก็รีบสังหารนาง จากนั้นก็ผ่าท้องนางและเอายันต์ขอพรยัดใส่เข้าไปพร้อมสมุนไพร""ได้เลย"ราชครูสวีรับคำ ด้านเฉินฮองเฮาก็นั่งลงเบื้องหน้าแท่นบูชาที่ตั้งอยู่ในห้องลับ ก่อนจะเอ่ยขอพรอย่างตั้งใจ"ท่านเทพปีศาจ ข้าได้นำเทพธิดามาสังเวยให้ท่านแล้ว หวังว่าท่านจะพอใจ เมื่อท่านพอใจแล้วก็ได้โปรดอำนวยอวยพระให้เซวียนจิ้น บุตรชายของข้าแข็งแรงโดยเร็ว ให้เขาได้ครองราชย์ยอย่างราบรื่น ไร้กังวลด้วยเถิด"มู่หลานเฟินมองภาพเบื้องหน้าด้วยแววตาที่วูบไหว นางพอจะเข้าใจเรื่องราวได้แล้วราชครูสวีและเฉินฮองเฮาดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์พิเศษต่อกัน หรือว่าองค์ชายน้อยผู้นั้นจะ...ยังไม่ทันที่นางจะได้คิดสิ่งใดต่อ ก็พบกับสวีเมิ่งเหยาที่วิ่งเข้ามา ราชครูสวีและเ