ท้ายที่สุดแล้วเซวียนซานหลางก็จำต้องให้มู่หลานเฟินติดตามไปด้วยอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
เรื่องการสืบคดีนับว่าเป็นงานราชการลับที่ฝ่าบาททรงมอบหมายให้ เพราะอย่างนี้เซวียนซานหลางจึงไม่ได้บอกกับผู้ใดแม้กระทั่งบิดาของตน อีกทั้งยังกำชับมู่หลานเฟินอีกด้วยว่าห้ามนางปากเปราะ หลายวันมานี้มู่หลานเฟินแทบจะกระดิกตัวทำสิ่งใดไม่ได้ เพราะมีคนของเขาจับตาดูนางอยู่ตลอดเวลา
หลายวันต่อมา เซวียนซานหลางบอกกับเซวียนชินอ๋องว่าเขามีเรื่องด่วนต้องไปจัดการที่นอกเมืองหลวง อีกทั้งจะออกครั้งนี้เดินทางไปนานเสียหน่อยไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อใด และยังต้องการให้สาวใช้ติดตามไปคอยรับใช้สักคนสองคนเพื่อดูแลเรื่องความเป็นอยู่ หากจะไปหาซื้อสาวใช้ที่นอกเมืองหลวงเกรงว่าจะทำงานไม่ได้เรื่องเท่าสาวใช้ที่ได้รับการฝึกฝนในจวนใหญ่ อวี้หลิงเมื่อได้ทราบเรื่องก็รีบไปบอกกับเซวียนชินอ๋องว่าอยากให้มู่หลานเฟินติดตามไปคอยดูแลเซวียนซานหลางด้วย เซวียนชินอ๋องเองก็ตกปากรับคำ อย่างไรเขาก็อยากให้บุตรชายแต่งงานกับมู่หลานเฟินอยู่แล้ว เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาจึงไปบอกเรื่องนี้กับบุตรชายทันที
เซวียนซานหลางเมื่อได้ฟังก็แสร้งทำทีเป็นคัดค้านเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าไม่เป็นผลเขาจึงยอมตกปากรับคำ อวี้หลิงลอบยิ้มเยาะหยันในใจอย่างลิงโลด โดยที่ไม่ได้ล่วงรู้เลยว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นแผนการของเขาทั้งสิ้น
ด้วยนิสัยของอวี้หลิงแล้วจะต้องทำทุกทางเพื่อยัดเยียดมู่หลานเฟินให้ตามเขาไปจนได้แน่นอน
ด้านมู่หลานเฟินนั้นเมื่อได้ทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นก็ถึงกับถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย คนอย่างเซวียนซานหลางทำสิ่งใดไม่เคยทิ้งพิรุธ ครั้งนี้ท่านป้าของนางเองต่างหากที่ตามเขาไม่ทัน
เซวียนเจ๋อที่ได้ยินว่ามู่หลานเฟินจะต้องติดตามเซวียนซานหลางไปนอกเมืองก็รีบมากำชับนางหลายประโยคให้ทำตัวดีดี ทางที่ดีอย่าได้ไปยั่วโทสะพี่ใหญ่ของเขา และยังบอกอีกว่ารู้สึกเสียใจที่ไม่ได้ตามไปด้วย เพราะเซวียนซานหลางไม่อนุญาต
กลางดึกคืนนั้นก่อนจะออกเดินทาง อวี้หลิงมาหานาง พร้อมกับมอบยาห่อหนึ่งให้กับนาง มู่หลานเฟินมองยาห่อนั้นด้วยแววตาฉงนสงสัย ก่อนจะเอ่ยถาม
“นี่คือยาใดหรือ"
อวี้หลิงยกยิ้มมุมปากและเอ่ยตอบ
"เจ้ากับซื่อจื่อเดินทางไปด้วยกันย่อมหลีกเลี่ยงที่จะใกล้ชิดกันไม่ได้ นี่คือยานอนหลับ เจ้าจงหาทางเอาให้เขาดื่มจากนั้นก็ลอบสังหารเขาเสีย อย่าให้เขามีชีวิตรอดกลับมาเมืองหลวงได้อีก"
มู่หลานเฟินเมื่อได้ยินอย่างนั้นก็เขวี้ยงห่อยาลงไปบนพื้น ก่อนจะเอ่ยกับอวี้หลิงด้วยน้ำเสียงเย็นชา
"ท่านป้า เดิมทีข้าคิดว่าท่านจะล้มเลิกความคิดเหลวไหลพวกนี้ไปแล้วเสียอีก"
"ข้าไม่มีวันล้มเลิกความคิดนี้ ตราบใดที่เซวียนซานหลางยังมีชีวิตอยู่ ข้าและลูกของข้ารวมถึงเจ้าจะต้องไม่มีวันอยู่อย่างสงบสุข"
"ข้าไม่ทำ! ท่านเอามันคืนไปเถอะ"
"หรานหร่าน!"
“ออกไปเถอะเจ้าค่ะ!”
อวี้หลิงส่งเสียงเหอะก่อนจะเดินออกจากห้องไป มู่หลานเฟินถึงกับหน้านิ่วคิ้วขมวด แต่นางคร้านจะสนใจ รีบจัดเก็บข้าวของ ไม่ได้นึกถึงเรื่องของอวี้หลิงอีก เมื่อจัดของเสร็จแล้วก็สั่งให้ลั่วเหมยนำออกไปวางเอาไว้ที่นอกห้องเพื่อที่พรุ่งนี้จะได้ขนขึ้นรถม้าสะดวก
อวี้หลิงรอโอกาศจนถึงช่วงกลางดึก ทุกคนหลับแล้ว นางจึงเอายานอนหลับห่อนั้นมามอบให้กับลั่วเหมยสาวใช้ของมู่หลานเฟิน อีกทั้งยังกำชับอีกว่าหากทำสำเร็จ ลั่วเหมยจะสุขสบาย แต่ถ้าหากว่าทำไม่สำเร็จ พี่สาวของลั่วเหมยที่ทำงานรับใช้อยู่ที่เรือนใหญ่จะต้องถูกโบยจนตาย!
ลั่วเหมยหวาดหลัวจนตัวสั่นเทิ้มทำได้เพียงพยักหน้ารับและเก็บห่อยานั้นมาไว้กับตัว ตัดสินใจว่าจะลงมือวางยาเซวียนซานหลางแทนมู่หลานเฟินเจ้านายของตน
เช้าวันต่อมา มู่หลานเฟินก็ติดตามเซวียนซานหลางออกจากเมืองหลวง คนทั้งสองเดินทางมาตั้งแต่เช้ามืดพร้อมสาวใช้ติดตามมาเพียงไม่กี่คน เมืองหลวงในตอนเช้ายังเงียบสงบไม่วุ่นวายย่อมเดินทางได้สะดวก มู่หลานเฟินนั่งอยู่ในรถม้า ส่วนเซวียนซานหลางนั้นควบม้าอยู่ข้างๆ รถม้าของนาง
มู่หลานเฟินยื่นมือไปเลิกผ้าม่านรถม้าให้เปิดออก และมองเซวียนซานหลางที่ควบม้าอยู่ข้างๆ วันนี้ชายหนุ่มสวมชุดชาวบ้านธรรมดา ก่อนออกเดินทางเขายังให้คนส่งชุดหญิงสาวชนบทมาให้นางหนึ่งชุดก่อนจะแวะที่โรงเตี๊ยมนอกเมืองเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า
ด้านเสิ่นเหวยอันนั้นคาดว่าคงจะออกเดินทางตามมาทีหลัง
เซวียนซานหลางรับรู้ได้ว่ามีสายตาคู่หนึ่งกำลังจับจ้องมองตน จึงหันมามองก่อนจะพบว่าเป็นมู่หลานเฟินที่กำลังจ้องมองเขาด้วยความสนใจ ดวงตาของนางงดงามเป็นประกาย หญิงสาวตรงหน้าไม่ได้ส่งสายตายั่วยวนหรือแทะโลมเขาเลยแม้แต่น้อย แต่กลับมองเขาด้วยสายตาชื่นชมอย่างเปิดไม่มิด จนเขาเริ่มประหม่า
"จะมองอีกนานหรือไม่"
มู่หลานเฟินเมื่อได้ยินก็ยิ้มตาหยี
"ซื่อจื่อ ยามที่ท่านแต่งตัวธรรมดาเช่นนี้ดูเข้าถึงง่ายและจับต้องได้มากกว่า หล่อเหลากว่าตอนที่ท่านแต่งชุดสีดำแสนเย็นชานั่นเสียอีก"
เซวียนซานหลางปรายตามองมู่หลานเฟิน ก่อนจะเอ่ย
"เป็นสตรีกลับเอ่ยวาจาแทะโลมบุรุษ หน้าไม่อาย"
มู่หลานเฟินเมื่อได้ฟังก็กรอกตาไปมาคราหนึ่ง
"แทะโลมอันใดกัน ข้าแค่ชื่นชมท่าน ช่างเถอะ ท่านมันคนในดำคับแคบอยู่แล้ว ข้าเสียอารมณ์จริงๆเชียว เดิมทีคิดจะแบ่งซาลาเปาไส้เนื้อที่กัดแล้วมีน้ำที่ตุ๋นด้วยเนื้อไหลเยิ้มในปากให้ท่านสักลูก แต่ได้ยินท่านพูดแบบนี้แล้วข้าไม่แบ่งให้ดีกว่า เชิญหิวตายไปเถอะ เชอะ!"
เซวียนซานหลางหมดคำจะกล่าว เขาส่งเสียงเหอะออกมา พลางคิดในใจว่าผู้ใดสนซาลาเปาน้ำเนื้อไหลเยิ้มอันใดนั่นของนางกัน
แต่ระหว่างทางเหมือนว่าเขาจะตาลาย ถึงได้มองเห็นต้นไม้ใบหญ้ากลายเป็นซาลาเปาไส้เนื้อน้ำ ไหลเยิ้มๆอยู่ตลอดเวลา!
เดินทางอยู่ครึ่งค่อนวัน ในที่สุดก็มาถึงหมู่บ้านถงหวาง หมู่บ้านถงหวางตั้งอยู่ในเมืองถงหวาง อยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวงเท่าใดนัก ชื่อหมู่บ้านและชื่อเมืองใช้ชื่อเดียวกัน ตอนนี้เขาและนางกำลังยืนอยู่หน้าประตูทางเข้าเมือง รถม้าที่นั่งมาได้ถูกเอาไปซ่อนไว้เรียบร้อยแล้ว รวมถึงสาวใช้ที่ติดตามมาด้วยก่อนหน้านี้ก็ถูกส่งไปที่โรงเตี้ยมแห่งหนึ่ง เซวียนซานหลางให้คนคอยจับตาดูพวกนางเอาไว้ มีเพียงลั่วเหมยและสาวใช้อีกนางหนึ่งที่ติดตามมาด้วย อีกทั้งสาวใช้นางนั้นยังเอาแต่ก้มหน้าก้มตาไม่กล้าเอ่ยวาจาอันใด ตอนนี้เซวียนซานหลางและมู่หลานเฟินไม่มีเวลาสนใจสาวใช้นางนี้เท่าใดนัก
ชายหนุ่มหันมามองมู่หลานเฟิน ก่อนจะเอ่ย
"ต่อไปนี้ห้ามเรียกข้าว่าซื่อจื่อ"
"เช่นนั้นให้เรียกว่าอันใด"
เซวียนซานหลางเมื่อถูกถามกลับก็มีท่าทางกระอักกระอ่วนใจ ก่อนจะดึงตัวมู่หลานเฟินเข้าหาตน ลั่วเหมยและสาวใช้อีกคนที่เห็นเช่นนั้นก็รีบก้มหน้างุดไม่กล้ามองเจ้านายทั้งสองของตน
"เรียกท่านพี่"
"ห๊ะ ท่านว่าอันใดนะ ข้าได้ยินไม่ชัด"
เซวียนซานหลางพยายามระงับโทสะไม่ให้ชักมีดสั้นขึ้นมาฟันหูของมู่หลานเฟินทิ้ง
"พวกเรามาเพื่อสืบคดี เจ้าและข้าจะต้องปลอมตัวเป็นคู่รักที่หนีตามกันมาและตั้งใจมาลงหลักปักฐานแต่งงานกันที่นี่ เจ้าต้องเรียกข้าว่าท่านพี่"
"ให้ตายเถอะขนลุกเสียจริง วิธีอื่นที่ดีกว่านี้ไม่มีแล้วหรือ?"
นางเอ่ยพร้อมกับทำท่าทีขนลุกขนชันเสียเต็มประดา แต่เมื่อเงยหน้าไปเห็นสายตาอำมหิตของเซวียนซานหลางที่ส่งมาหญิงสาวก็รีบเอ่ยประจบประแจงเขาทันที
"ดีมาก วิธีนี้ดีมาก สุดยอดมากเจ้าค่ะ ท่านพี่ ท่านพี่ของข้า"
เอ่ยจบนางก็รีบยื่นสองมือไปกอดแขนเขาทันที เซวียนซานหลางปรายตามองมือน้อยขาวนวลเนียนที่กอดแขนเขาแน่นเหมือนปลาหมึกก็เริ่มมีโทสะ แต่ไม่ได้สลัดนางออกแต่อย่างใด
ในขณะที่คนทั้งสองกำลังจะเดินเข้าไปในหมู่บ้าน สาวใช้น้อยที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาก็เดินชนลั่วเหมยจนนางเกือบล้มหน้าคะมำ ลั่วเหมยโมโหมากจึงหันไปด่านางทันที
“เจ้านี่มันเป็นอันใดกัน เดินไม่ดูทาง ตาบอดหรือไร!"
เซวียนซานหลางและมู่หลานเฟินหันขวับไปมอง ภาพตรงหน้าทำเอามู่หลานเฟินถึงกับสะดุ้งโหยง
สาวใช้น้อยที่แต่งหน้าทาปากเหมือนนางเอกงิ้วอีกทั้งยังถักผมเปียสองข้างยาวลงมาถึงเอว ท่าทางรึก็เก้ๆกังๆ ตัวรึก็สูงมาก ท่าเดินก็แปลกประหลาดนั่นมัน…
ใช่เซวียนเจ๋อหรือไม่!
เซวียนซานหลางมองเพียงปราดเดียวก็จำได้ในทันทีว่าเป็นน้องชายตน เขาจ้องเซวียนเจ๋อเขม็ง เซวียนเจ๋อเมื่อถูกจับได้ก็ยิ้มตาหยี ก่อนจะใช้มือใหญ่สองข้างของตนถลกชายกระโปรงขึ้นมาเหนือหัวเข่าและเดินเข้ามาหาพี่ชายอย่างประหม่า
"ฮือๆ พี่ใหญ่ท่านอย่าตีข้าเลย เพราะข้าเป็นห่วงพวกท่านจึงแอบตามมา ท่านดูสภาพข้าสิ"
เซวียนซานหลางยกมือนวดหว่างคิ้ว รู้สึกว่าปวดหัวจนแทบจะระเบิดออกมา เขาหันมามองเซวียนเจ๋ออีกคราก่อนจะยกยิ้มเย็นชา
"ในเมื่อมาแล้วก็สวมชุดสาวใช้นี่ไปจนกว่าข้าจะทำเรื่องที่ต้องทำสำเร็จ เจ้าแต่งแบบนี้ก็งามดีเหมือนกัน ข้ารู้สึกเหมือนได้น้องสาวอีกคน จำไว้ แต่งเช่นนี้จนกว่าจะกลับเมืองหลวง อย่าได้แต่งเป็นบุรุษเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นข้าจะตีเจ้าให้ขาหักเลยคอยดู!"
เซวียนเจ๋อ "..."
แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้เข้าห่ำหั่นกับศัตรูเพื่อปิดจบสงครามฉากนี้นี้ ก็ได้ยินเสียงเกือกเท้าม้าดังกึกก้อง คนทั้งสามหันมาสบตากันอีกครั้ง ในดวงตาฉายแววเคร่งเครียดหรือนี่จะเป็นกำลังเสริมของชนเผ่าทุ่งหญ้า?ยังไม่ทันได้คิดสิ่งใดให้มากความเซวียนซานหลางก็เห็นว่ากองทหารของแคว้นทุ่งหญ้าที่ยืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้าแตกแถวออกเป็นวงกว้าง ศีรษะของแม่ทัพเผาทุ่งหญ้าร่วงกระเด็นตกลงบนพื้นดวงตาเบิกโพลงเหมือนไม่อยากจะเชื่อว่าตนจะถูกสังหาร"ฆ่าทิ้งให้หมด!"เซวียนซานหลางมองไปเบื้องหน้า ก่อนที่ดวงตาของเขาจะแดงก่ำตอนนี้มู่หลานเฟิรกำลังควบอยู่บนหลังม้าด้วยท่วงท่าองอาจ มือหนึ่งจับบังเหียน มือหนึ่งถือหอกเอาไว้ในมือ ปลายด้ามหอกอาบย้อมไปด้วยโลหิตสีแดงสด นางสวมชุดเกราะรวบผมขึ้นสูง ดวงตามั่นคงหนักแน่นไม่หวาดหวั่น ทุกทีที่นางควบม้าพาดผ่าน ล้วนมีทหารของชนเผ่าทุ่งหญ้าล้มตายราวกับใบไม้ร่วงเสิ่นเหวยอันและซูอวี้เฉิงเมื่อได้เห็นเช่นนั้นก็ตื่นตระหนกไม่น้อย เดิมทีพวกเขารู้ว่านางมีความสามารถ แต่ไม่คิดว่าจะองอาจเยี่ยงแม่ทัพใหญ่ผู้เจนจัดสงครามในสนามรบเช่นนี้มู่หลานเฟินหันมามองบุรุษทั้งสามคน ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่องอาจ
เมื่อเรื่องราวคลี่คลายแล้ว ทุกคนจึงเกินทางกลับมาที่เมืองหลวง เมื่อกลับมาถึงก็ได้ทราบข่าวร้ายก่อนหน้านี้เซวียนชินอ๋องติดสุราจนเมามาย ทำให้สุขภาพไม่สู้ดีจนถึงขึ้นล้มป่วยลง อีกทั้งยังได้รับความกระทบกระเทือนจิตใจเนื่องจากรู้ข่าวว่าอวี้หลิงปลิดชีพตนเองตายจากไป แม้ปากจะบอกว่าเกลียดชังนางย่ แต่เมื่อนางตายจากไปจริงๆ เขากลับทำใจไม่ได้ สุดท้ายจึงดื่มเหล้าหนักมากขึ้นเรื่อยๆ จนสุขภาพทรุดหนักลงเรื่อยๆ จวบจนทนไม่ไหวและตรอมใจตายตามอวี้หลิงไปก่อนจากเขาไม่ได้สั่งเสียสิ่งใดกับบุตรชายทั้งสองคน เอาแต่เหม่อลอยเรียกหาอวี้หลิงและอดีตพระชายาซึ่งก็คือมารดาของเซวียนซานหลาง จวบจนวาระสุดท้ายท่านพ่อของพวกเขาสองคนก็คิดถึงแต่ตนเอง ไม่เคยคิดถึงบุตรชายเลยแม้แต่น้อยงานศพของเซวียนชินอ๋องถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายเมื่อบิดาตายจากไป ตำแหน่งชินอ๋องย่อมตกเป็นของเซวียนซานหลางโดยชอบธรรม ส่วนเซวียนเจ๋อนั้นเขาไม่อยากจะรับตำแหน่งใดทั้งสิ้น เขาอยากเป็นเพียงคุณชายเจ้าสำราญที่ได้ใช้ชีวิตตามใจของตนด้านวังหลวงเองก็ไม่สู้ดีเท่าใดนัก ฮ่องเต้เซวียนจงอาการไม่สู้ดีขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งยังไม่ม่ีทายาทสืบทอด เหล่าขุนนางต่างหวาดหวั่นใจยิ่งน
วันคืนก็ผ่านไปเช่นนี้ จนกระทั่งสุขภาพของมู่หลานเฟินดีขึ้นมาก และเซวียนซานหลางก็สะสางธุระแล้วเสร็จและกลับมาเมืองหลวงพอดี นางจึงบอกเรื่องนี้กับเขาและตัดสินใจกลับบ้านเดิมสักครั้งจวนตระกูลอวี้เป็นตระกูลคหบดี พวกเขาเป็นคนเมืองจินหลิงซึ่งอยู่ห่างจากเมืองหลวงไปไม่ไกลเท่าใดนัก นับว่าเป็นครอบครัวที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองจินหลิงแล้ว พวกเขาทำการค้าหลายอย่าง หลายปีมานี้กิจการก้าวหน้า เพราะมีน้าสาวและสามีของนางคอยดูแลวันแรกที่มู่หลานเฟินกลับไปถึง ก็พบว่าพวกเขามีท่าทีแปลกประหลาดจริงๆ เหมือนไม่อยากต้อนรับ ราวกับมีบางอย่างปิดบังนางอย่างไรอย่างนั้น แต่่เพราะมู่หลานเฟินต้องการสืบความจริง นางจึงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นท่าทีนั้นของพวกเขาและยังบอกอีกว่าอยากจะพักอยู่ที่นี่สักระยะเพราะมีเรื่องจะมาแจ้งทุกคน นางเดินทางมาครั้งนี้นำสมบัติมาด้วยหลายหีบบอกว่าเป็นของที่นางเก็บสะสมเอาไว้ แต่ตอนนี้ถูกไล่ออกจากจวนอ๋องแล้วไร้หนทางไปจึงต้องกลับมาบ้านเดิม อวี้หลันมองหลานสาวตนเองด้วยแววตาที่่อ่อนโย แต่ภายในใจกลับเย้ยหยัน ตอนนี้อวี้หลิงถูกขับออกจากจวนอ๋องไปอยู่ที่วัด นางเองไม่ได้สนใจพี่สาวเท่ามดนักเดิมทีพวกนางก็เป็นพี่น้อง
เรื่องราวสะเทือนขวัญทั้งหมดที่เกิดขึ้น สร้างคลื่นลมใหญ่หลวงให้กับราชสำนักเป็นอย่างมาก เหล่าราษฎรต่างหวาดหวั่น ต้องใช้เวลาร่วมหลายเดือนกว่าที่คราวจะเงียบหายไปหลังจากเกิดเรื่อง เซวียนชินอ๋องก็กลายเป็นคนเมามาย และวาดใส่คนอื่นไปทั่วทั้งจวน โดยเฉพาะกับมู่หลานเฟิน เขาเอาโทสะทั้งหมดไปลงที่นาง บอกว่านาและป้าของนางคือตัวซวย อีกทั้งยับขับไล่นางออกจากจวนอ๋อง เซวียนซานหลางและเซวียนเจ๋อเองก็ปวดหัวไม่น้อยแต่มู่หลานเฟินกลับไม่ได้โกธร นางเข้าใจเรื่องราวได้อย่างกระจ่างแจ้ง เมื่ออวี้หลิงสิ้นอำนาจแล้ว นางย่อมไม่อาจอยู่ที่จวนอ๋องได้อีก และนางเองก็ไม่อยากจะสร้างปัญหาให้เขาเพิ่ม จึงปรึกษากับเขาว่าจะไปหาซื้อบ้านใหม่อยู่ เปิดร้านขายอาหาร เพราะของมีค่าที่ได้รับพระราชทานมาก่อนหน้านี้ก็ยังมีเหลืออยู่ไม่น้อย แรกเริ่มเซวียนซานหลางไม่เห็นด้วย แต่ม่หลานเฟินกลับเอ่ยโน้มน้าวเขาอย่างใจเย็น เขาจึงยอมตามใจนางเซวียนซานหลางหาบ้านหลังหนึ่งได้ มันตั้งอยู่ในตลาดสามารถทำมาค้าขายได้ เซวียนเจ๋อเป็นห่วงน้องสาวอยากตามมาอยู่ด้วย แต่มู่หลานเฟินบอกว่านางอยู่ได้ชีวิตที่ยากกำบากไม่ใช่ว่านางไม่เคยพานพบ ใช้ชีวิตมาหลายชาติพบเจอความทุ
เซวียนซานหลางและมู่หลานเฟินรีบวิ่งมาที่เรือนของอวี้หลิงอย่างรวดเร็ว เมื่อมาถึงภาพตรงหน้าก็ทำให้พวกเขาถึงกับหน้าซีดเผือดตอนนี้เซวียนเจ๋อกำลังนอนอยู่บนเตียงเขากระอักโลหิตออกมาไม่หยุด ใบหน้าหล่อเหลาซีดเผือดจนน่าหวาดหวั่น ลมหายใจก็รวยรินราวกับจะขาดเสียให้ได้ เซวียนซานหลางที่เห็นสภาพน้องชายตนที่ย่ำแย่ถึงเพียงนี้ก็ตื่นตระหนกรีบสั่งให้คนไปตามหมอหลวงมาอย่างเร่งด่วน มู่หลานเฟินเข้าไปประคองญาติผู้พี่ของตนเอง ดวงตาของนางแดงกล่ำ ก่อนจะเอ่ย"เซวียนเจ๋อ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ไปได้ ท่านดื่มยาพิษเข้าไปได้อย่างไรกัน"เซวียนเจ๋อเงยหน้ามามองมู่หลานเฟินอย่างอ่อนแรง ก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อย เขาไม่ตอบอันใด เพียงมองไปที่มารดาของตนด้วยแววตาที่เย็นชาห่างเหินก่อนหน้านี้ท่านแม่ดูผิดปกติเป็นอย่างยิ่ง นางดูเหมือนครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา เขาจึงจับตาดูนางและพบว่านางกำลังวางแผนจะสังหารพี่ใหญ่ของเขาอีกครั้งเซวียนเจ๋อรู้สึกผิดหวังในตัวมารดาเป็นอย่างมาก เดิมทีเขาคิดว่าท่านแม่จะสามารถปล่อยวางความโลภในใจได้แล้ว แต่มันกลับไม่ใช่เลยแม้แต่น้อย ท่านแม่ยังคงมีจิตใจริษยามักใหญ่ใฝ่สูงท่านแม่คิดอาศัยช่วงชุลมุนวางยาพิษพี่ใหญ่ เขาที
ด้านมู่หลานเฟินตอนนี้ก็ถูกโซ่ตรวนพันธนาการมือเท้าเอาไว้ นางได้กลิ่นสมุนไพรเข้มข้นสายหนึ่งที่ฉุนจนแทบแสบจมูก มันเป็นกลิ่นเดียวกับที่ได้กลิ่นจากศพในรูปปั้นเทพธิดา อีกทั้งบนโต๊ะยังมียันต์หลายแผ่นวางเอาไว้"สวีเจี๋ย เราต้องรีบทำพิธีแล้ว ไม่อย่างนั้นจะเลยฤกษ์ยามดี หลังจากนางตายก็เอาร่างนางหล่อเป็นรูปปั้นของเทพธิดา มอบนางเป็นเครื่องบูชายัญให้เทพปีศาจ เอาล่ะ ข้าจะเร่งขอพร ท่านก็รีบสังหารนาง จากนั้นก็ผ่าท้องนางและเอายันต์ขอพรยัดใส่เข้าไปพร้อมสมุนไพร""ได้เลย"ราชครูสวีรับคำ ด้านเฉินฮองเฮาก็นั่งลงเบื้องหน้าแท่นบูชาที่ตั้งอยู่ในห้องลับ ก่อนจะเอ่ยขอพรอย่างตั้งใจ"ท่านเทพปีศาจ ข้าได้นำเทพธิดามาสังเวยให้ท่านแล้ว หวังว่าท่านจะพอใจ เมื่อท่านพอใจแล้วก็ได้โปรดอำนวยอวยพระให้เซวียนจิ้น บุตรชายของข้าแข็งแรงโดยเร็ว ให้เขาได้ครองราชย์ยอย่างราบรื่น ไร้กังวลด้วยเถิด"มู่หลานเฟินมองภาพเบื้องหน้าด้วยแววตาที่วูบไหว นางพอจะเข้าใจเรื่องราวได้แล้วราชครูสวีและเฉินฮองเฮาดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์พิเศษต่อกัน หรือว่าองค์ชายน้อยผู้นั้นจะ...ยังไม่ทันที่นางจะได้คิดสิ่งใดต่อ ก็พบกับสวีเมิ่งเหยาที่วิ่งเข้ามา ราชครูสวีและเ