เข้าสู่ระบบน่าเสียดายที่ยามนั้นดวงตาของหลี่เสวี่ยซินมองไม่เห็น จึงไม่อาจอ่านจดหมายฉบับนั้นด้วยตาตนเอง หญิงตรงหน้ายอบกายลงแช่มช้า เสียงแหลมกระซิบเบาทว่ากลับเจือไปด้วยความคำพูดเสียดแทงใจ “เขาให้เจ้าเขียนหนังสือหย่าซะ”
จากรอยยิ้มดีใจก็เลือนหายในพริบตา ความเสียใจระคนผิดหวังถาโถมเข้าใส่ดุจดั่งคลื่นลูกใหญ่ซัดสาด “มะ…ไม่มีทาง ท่านพี่ไม่มีทางทำเช่นนั้น”
“จะไม่มีทางได้อย่างไร ท่านพี่เทียนเฉินมีข้าแล้ว ส่วนเจ้าแม้แต่ฐานะสาวใช้ก็ไม่คู่ควร ลงนามในหนังสือหย่าแล้วไสหัวกลับบ้านเดิมของเจ้าไปเสีย อย่ามาเป็นตัวถ่วงของตระกูลลั่ว” หวางเหยาโยนหนังสือหย่าลงตรงหน้าหลี่เสวี่ยซิน
มือเรียวสั่นระริกคว้ากระดาษเนื้อหยาบสะเปะสะปะ “โอ๊ย”
หลี่เสวี่ยซินร้องเสียงหลง เมื่อจู่ ๆ หลังมือของนางก็ถูกพื้นแข็งกระด้างจากรองเท้าบดขยี้ลงมา หวางเหยาหัวเราะเสียงเย็น “นังตาบอด เจ้าไร้ความสามารถเพียงนี้คิดว่าท่านพี่เทียนเฉินจะยังเก็บเจ้าเอาไว้รึ ฝันลม ๆ แล้ง ๆ”
หลี่เสวี่ยซินสับสนจนพูดไม่ออก นางไม่ร้องโวยวายทว่าภายในใจร้าวระบมดุจถูกเข็มนับพันหมื่นเล่มค่อย ๆ ทิ่มแทงลงไป เท้าที่เหยียบลงเมื่อครู่ขยับออก แต่ยังทิ้งร่องรอยความปวดร้าวเอาไว้
“อึ้งอะไรของเจ้า นังตาบอด จะลงนามดี ๆ หรือให้ข้าตัดนิ้วของเจ้าแล้วเอาเลือดประทับ”
หลี่เสวี่ยซินกลืนก้อนที่จุกขึ้นกลางลำคอลงไป หญิงสาวแค่นหัวเราะเสียงกังวาน น้ำสีใสหลั่งลงสองข้างแก้มทว่ากลับไร้ซึ่งเสียงสะอื้น
“ท่านป้า นังตาบอดนี่เสียสติไปแล้วเจ้าค่ะ หัวเราะน่าเกลียดเยี่ยงนี้คงอยากท้าทายท่าน”
ลั่วเหมิงมารดาของลั่วเทียนเฉินยืนมองเหตุการณ์อยู่ไม่ห่าง ทั้งที่สะใภ้ของตนถูกผู้อื่นข่มเหงก็ยังนิ่งฟังไม่ขยับ แต่เดิมนางก็ไม่เคยเห็นด้วยกับการแต่งงานของบุตรชายและลูกสาวนายกองยศต้อยต่ำอยู่แล้ว ในเมื่อลั่วเทียนเฉินพาหวางเหยาเข้าบ้าน แม้ยังอธิบายสถานะของสตรีผู้นี้ไม่ชัดเจน ทว่าก็นับเป็นโอกาสทองที่นางจะได้เฉดหัวลูกสะใภ้ไร้ความสามารถผู้นี้ออกจากจวนตระกูลลั่วเสีย
ลั่วเหมิงเหยียดยิ้ม “ลูกชายของข้าไม่ต้องการเจ้าแล้ว ยังหน้าด้านอยู่ต่ออีกหรือ อ้อ…กินอยู่ตระกูลลั่วสุขสบายจนเคยตัว เลยไม่อยากกลับตระกูลหลี่ที่แม้แต่แผ่นกระเบื้องยังแทบไม่มีคุ้มกะลาหัวรึ”
หลี่เสวี่ยซินขบฟันแน่น กำปั้นทั้งสองระริกสั่น “คิดว่าข้าอาลัยตระกูลเส็งเคร็งของท่านนักหรือ ในเมื่อเขาต้องการหย่า ข้าก็จะลงนามให้ แต่สักวันข้าจะต้องกลับมาทวงคืนทุกสิ่ง ข้าจะต้องรู้ความจริงจากปากของเขาให้ได้”
“ฮ่า ฮ่า ปากดีจริง ๆ เจ้าดูมั่นใจเสียเหลือเกินว่าจะมีโอกาสนั้น” หวางเหยากระซิบเสียงเย็น “หากเจ้าชักเท้าขึ้นมาจากยมโลกได้ ข้าก็ยินดีรับการทวงคืนของเจ้า หึ!”
“ท่านหญิง”
“…”
“ท่านหญิง”
“…”
“ท่านหญิงเจ้าคะ!!” สองสาวใช้ประสานเสียง
หลี่เสวี่ยซินหลุดจากภวังค์ “ว่าอย่างไร เล่าถึงไหนแล้ว”
หลิวอี้เอ่ย “ท่านหญิงเมื่อครู่ท่านนิ่งไปนานมาก บ่าวตกใจแทบแย่ ท่านกลับไปที่เตียงก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ ตอนนี้โอสถก็เหมือนจะเย็นชืดไปแล้วด้วย เรื่องเล่าไว้ต่อวันหลังเถิดเจ้าค่ะ”
เมื่อครู่หลี่เสวี่ยซินเผลอนึกไปถึงเรื่องราวแต่กาลก่อน จิตใจจึงหลุดลอยไปไกลลิบ ภาพทุกอย่างที่ปรากฏยังคงชัดเจนราวกับว่ามันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
“ได้”
หลี่เสวี่ยซินเพิ่งรู้ตัวทีเดียวว่าตนนั่งแหมะลงบนพื้นเย็นเยียบเป็นนานสองนาน ร่างกายของหนิงเสวี่ยซินบอบบางอ่อนแอกว่ารางเดิมของนางมาก หลี่เสวี่ยซินจึงรู้สึกว่ากำลังถูกความเหน็บหนาวเสียดแทงเข้าไปจนลึกยันกระดูก
“ท่านหญิงตัวเย็นมากเจ้าค่ะ เร็วเข้าเจ้าค่ะเดี๋ยวไม่สบาย” หม่าเซียวตกใจ เร่งคว้าผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างให้คนบนเตียง
ส่วนหลิวอี้ก็ยื่นเตาอุ่นมือส่งให้ หลี่เสวี่ยซินเอื้อมรับ ริมฝีปากสีกุหลาบยกยิ้มจนดวงตาเกิดรูปพระจันทร์เสี้ยว “ขอบใจนะ”
“ท่านหญิง คืนนี้พักก่อนเถิดนะเจ้าคะ ล่วงเข้ายามไฮ่ [1] แล้วด้วย ประเดี๋ยวจะป่วยอีก พรุ่งนี้อดไปเที่ยวเล่นกับคุณชายฮั่วนะเจ้าคะ” หลิวอี้เป็นห่วง
หลี่เสวี่ยซินเลิกคิ้ว “เขาบอกหรือไม่จะมายามใด”
“น่าจะยามซื่อ [2] นะเจ้าคะ เวลานี้ปกติคุณชายฮั่วจะมาเยี่ยมท่านหญิงเสมอ”
หลี่เสวี่ยซินครุ่นคิด “เช่นนั้นพรุ่งนี้เราตื่นกันเช้าหน่อย ข้าอยากไปไหว้พระแต่เช้า”
“หา…แล้วคุณชาย…”
“ไม่ ข้าไม่อยากพบเขา เอาตามนี้ เราขึ้นเขาไปไหว้พระที่วัดหมิงหลันกัน”
“หา…วัดหมิงหลันหรือเจ้าคะ แต่ที่นั่นแทบไม่มีคนขึ้นไปสักการะแล้ว ถึงมีก็น้อยมาก ๆ เมื่อก่อนท่านหญิงไม่เคยไปที่นั่นเลย เราไปไหว้พระที่วัดเทียนอู่ดีหรือไม่เจ้าคะ” หลิวอี้ทัดทาน
เพราะเส้นทางไปวัดหมิงหลันเต็มไปด้วยก้อนหินดินทราย เกรงว่ากว่าจะไปถึง เส้นผมของพวกนางคงเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำเพราะฝุ่นจับหัว หนำซ้ำวัดแห่งนี้ยังตั้งอยู่ใกล้กับหอระฆังต้องสาปอีกด้วย
“ข้าอยากไปที่นั่น ไม่ต้องมากความ ข้าวก็กินแล้ว โอสถก็ดื่มเรียบร้อย พรุ่งนี้ออกเดินทางยามเฉิน [3] ก็แล้วกัน”
หลี่เสวี่ยซินสะบัดผ้าห่มคลุมตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าเสียงดังพรึบ
หลิวอี้ยกมือเกาศีรษะ ส่วนหม่าเซียวก็ส่ายหน้าพลางทอดถอนใจ ทั้งสองค่อย ๆ ย้ายร่างออกไปด้านนอกอย่างเงียบเชียบ
หลิวอี้กระซิบเสียงเบา “อาเซียวเจ้ารู้สึกว่าท่านหญิงแปลกไปหรือไม่”
“เจ้าเองก็รู้สึกหรือ”
หลิวอี้พยักหน้าหงึกหงัก
หม่าเซียวขมวดคิ้วแน่น “ข้าว่าเราคงคิดมากไปเอง ท่านหญิงหลับไปเป็นปีก็ต้องนิสัยสับสนบ้าง”
“แต่…ท่านหญิงรู้ได้อย่างไรว่าบนหุบเขามีวัดหมิงหลัน สิบห้าปี รวมปีนี้ก็สิบหกปีแล้ว ท่านหญิงจะไปไหว้พระแค่ที่วัดเทียนอู่เท่านั้น เจ้าลืมไปแล้วรึ”
หม่าเซียวตาโต “จริงด้วย! แล้วเหตุใดอยู่ ๆ ท่านหญิงต้องอยากไปที่นั่นให้ได้”
หลิวอี้ส่ายหน้าสิ้นหวัง “ข้าเองก็ไม่รู้”
^ยามไฮ่ ยามไฮ่ (亥时) คือช่วงเวลา 21:00 น. ถึง 23:00 น. ตามการแบ่งเวลาแบบจีนโบราณ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เชื่อกันว่าร่างกายควรได้รับการพักผ่อนและอบอุ่น
^ยามซื่อ" (巳時) เป็นหนึ่งในสิบสองยามของระบบการนับเวลาแบบจีนโบราณ ซึ่งตรงกับช่วงเวลา 9:00 น. ถึง 11:00 น. ในปัจจุบัน. ตามความเชื่อของคนจีนโบราณ ยามซื่อเป็นช่วงเวลาที่งูลอกคราบและออกมาหาอาหาร
^ยามเฉิน (辰時) ตามระบบการนับเวลาแบบจีนโบราณ คือ ช่วงเวลา 7:00 น. ถึง 9:00 น. ในระบบนี้ 1 ชั่วยามจะเท่ากับ 2 ชั่วโมง
“มากันจนได้สินะ” เสียงเล็กสั่นเครือแว่วมาตามสายลม บ่งบอกได้ว่าคนผู้นี้เป็นสตรี และอายุของนางคงไม่น้อยแล้วชายหนุ่มทั้งสองชะงัก ลั่วเทียนเฉินลดมือลงแช่มช้า เขาแตะกระบี่ข้างกายเอาไว้อย่างระแวดระวัง ตลาดมืดแห่งนี้มีเรื่องราวเร้นลับมากมายที่ยากคาดเดา ไม่ว่าจะด้วยการตบตาก็ดี หรือเรื่องจริงก็ช่าง อย่างไรเสียก็นับว่าเป็นสถานที่ไร้ซึ่งกฎหมายในการปกครองลั่วเทียนเฉินจำใจตอบรับการร่วมเดินทางจากสหายอีกหนึ่งเพราะไม่อยากเสียเวลา คนผู้นั้นจะเป็นใครไปเสียอีกหากไม่ใช่ฮั่วเหวินหลงฝ่ามือกว้างยื่นแตะลงบนหลังมือของลั่วเทียนเฉิน นัยน์ตาคมกริบตวัดมองเข้ม ก่อนอีกฝ่ายจะชักมือกลับพลางยิ้มยียวนฮั่วเหวินหลงกระซิบ “ใจเย็นหน่อย”สายตาดุจมีดดาบของลั่วเทียนเฉินทำให้ฮั่วเหวินหลงต้องเร่งถอยห่าง “หากท่านเคยมาก็คงรู้กฎของที่นี่ แม้ไม่อยู่ภายใต้การปกครองตามหลักมนุษยธรรม แต่ก็มิได้สนับสนุนการนองเลือด”ลั่วเทียนเฉินแค่นยิ้ม “ดูเหมือนใต้เท้าฮั่วชำนาญมากทีเดียว คงมาเยือนสถานที่ประหลาดนี้บ่อยสิท่า”“เกรงว่าคงไม่น้อยไปกว่าท่าน ว่าหรือไม่”“ฮ่า ฮ่า ผู้มีวา
ซวี่หนิงพยักหน้าทิ้งความเคืองขุ่นลงชั่วขณะ “ก็เวลาที่ซินซินตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก ใต้เท้าลั่วคนนี้มาช่วยนางไว้ได้ตลอด ข้าว่าพวกเขาจะต้องมีบุพเพต่อกันเป็นแน่”ฮั่วเหวินหลงเงียบ เขากำลังไตร่ตรอง และพยายามปะติดปะต่อเรื่องราวทุกอย่าง ซวี่หนิงเห็นเขาไร้ปฏิกิริยาก็คิดว่าฮั่วเหวินหลงไม่อาจตัดใจจากสหายตนได้นางเอนตัวลงนอน แสร้งถอนหายใจดัง “เคยได้ยินคำนี้หรือไม่ มาก่อนมาหลังไม่สำคัญ อยู่ที่ว่าคนในใจนั้นคือใคร ท่านก็อย่าคิดมากเลย ถอนหมั้นได้ก็หมั้นใหม่ได้”เสียงของซวี่หนิงประหนึ่งลมสายหนึ่งสำหรับเขา มันดังลอดเข้าหูซ้ายและทะลุผ่านหูขวา สิ่งที่ฮั่วเหวินหลงสนใจในตอนนี้คือ วันที่ลั่วเทียนเฉินเข้าไปพบหนิงโหวต่างหาก“หรือว่าเขาจะเป็นคนของหนิงโหวแล้ว” ฮั่วเหวินหลงพึมพำ“ท่านว่าอะไรนะ” ซวี่หนิงได้ยินอีกฝ่ายใจลอยทั้งยังขมุบขมิบอยู่ผู้เดียวจึงเอ่ยถาม ดูเหมือนฮั่วเหวินหลงกำลังจิตใจปั่นป่วนดุจถูกมะนาวสดบีบใส่บาดแผลแต่นั่นจะสำคัญอะไร นางเองก็เคยเจ็บช้ำเพราะคนตรงหน้ามิใช่หรือ ให้เขาได้เรียนรู้ความเจ็บปวดสักหน่อยจะได้รู้รสชาติ “ชิ เช่นนั้นข้าว่าข้ากลับจวนดีกว่า”
“ซินซิน!”ซวี่หนิงเบิกตาโพลง ลมหายใจหนักหน่วงถี่กระชั้น “ข้าอยู่ที่ไหน?”ขมับทั้งสองข้างกำลังแข่งกันเต้นรัวไม่หยุด ไม่ทันขยับยกมือขวาขึ้น ก็ต้องพบกับความประหลาดใจระลอกใหญ่เจ้าของใบหน้าเกลี้ยงเกลาดั่งหยกเนื้อละเอียดกำลังฟุบหลับอยู่ไม่ห่าง หนำซ้ำมือของนางยังถูกเขากุมเอาไว้จนแน่น“ฮั่วเหวินหลง เขามาอยู่นี่ได้อย่างไร” ซวี่หนิงคิดทบทวนย้อนกลับไปไม่กี่ชั่วยามก่อน ไม่นานก็เข้าใจสถานการณ์ชัดขึ้น“เช่นนั้นซินซินเล่า นางจะเป็นอย่างไรบ้าง” ซวี่หนิงค่อย ๆ เลื่อนมือของตนออกจากการเกาะกุม มือเนียนนุ่มจับปลายนิ้วเรียวแข็งกระด้างยกออกทีละนิ้ว กว่าจะสลัดออกได้ก็ทำเอาหอบหญิงสาวย่องเบาลงจากเตียง ทว่าด้วยอาการบาดเจ็บที่ขาเป็นเหตุให้ร่างระหงทรุดฮวบลงบนพื้น “โอ๊ย”เสียงโอดครวญเมื่อครู่สะท้อนเข้าหูฮั่วเหวินหลงจนปลายนิ้วขยับ ครั้นไม่เห็นว่าชายหนุ่มตกใจตื่น ซวี่หนิงจึงผ่อนหายใจโล่งอก จากนั้นพยุงร่างเดินขากะเผลกห่างออกมา ไม่ทันก้าวข้ามกรอบประตูเสียงทุ้มพลันกระแอมขัด“จะไปไหน”ซวี่หนิงตกใจจนตัวแข็ง“เดินแทบไม่ไหวก็ยังดื้ออีก เจ
หลี่เสวี่ยซินเข้าใจเจตนาของเขา การต่อต้านจึงยุติ ลั่วเทียนเฉินตั้งใจล้างมือให้นางต่อไปเงียบเชียบมีเพียงเสียงจากฝนที่ทำให้จิตใจของคนทั้งสองไหวสะท้าน หลี่เสวี่ยซินสลัดความคิดฟุ้งซ่านทิ้ง“ท่านทำเช่นนี้ฮูหยินของท่านอาจไม่พอใจ”ลั่วเทียนเฉินขบขัน นัยน์ตาคมกริบช้อนขึ้นมองตอบ “หากเป็นท่านหญิงนางอาจจะไม่ว่าก็ได้ ว่าหรือไม่”หลี่เสวี่ยซินอึ้งงัน เมื่อครู่นางเห็นบางอย่างฉายวาบอยู่ในประกายตาของเขา มือเรียวชักกลับทันควัน “ไม่ต้องล้างแล้ว ข้าดีขึ้นมากแล้ว”ลั่วเทียนเฉินมองมือและลำคอระหงที่ยังแดงก่ำ มุมปากของเขาขยับเล็กน้อย “รับไปสิ”ชายหนุ่มยื่นขวดกระเบื้องเคลือบขนาดเล็กและถุงน้ำสะอาดส่งให้หลี่เสวี่ยซินเฉไฉ “ข้าหายแล้ว ไม่จำเป็น”“จะทำเอง หรือจะให้ข้าทำให้”หญิงสาวกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ เร่งคว้าของจากมือชายหนุ่มทันควัน ครั้นหลุบตามองขวดกระเบื้องเคลือบในมือ แววตาของนางพลันระริกไหวอย่างเห็นได้ชัด แม้เกิดขึ้นเพียงพริบตา ทว่าลั่วเทียนเฉินกลับเห็นอย่างชัดเจน“ยาแก้แพ้หรือ เหตุใดท่านถึงยังพกยาแก้แพ้เอาไว้”“พูดราวกับรู้ว่าเ
หลี่เสวี่ยซินถอนสายตากลับ มือที่ชะงักเมื่อครู่ขยับต่อ นางทำราวกับว่าคำพูดที่หลุดออกจากปากของลั่วเทียนเฉินไม่มีสิ่งใดแอบแฝง แท้จริงหลี่เสวี่ยซินกำลังเก็บอาการตระหนกตื่นซึ่งผุดขึ้นภายในใจ“แน่นอนว่าข้าก็คือซินซิน ซินซินเป็นนามรองของข้า”มือเรียวหยิบแพรพกออกมา จากนั้นก็ใช้มันพันแผลเพื่อห้ามเลือดให้เขา ลั่วเทียนเฉินมิได้ละสายตาจากนาง เขาจับจ้ององคาพยพของหญิงสาวต่อไปเงียบ ๆใบหน้างามแหงนขึ้นแช่มช้าเพราะสัมผัสถึงความเงียบที่ผิดปกติ “หน้าข้ามีสิ่งใดติดหรือ หรือว่าใต้เท้าลั่วอยากให้ข้าเป็นใคร”ริมฝีปากได้รูปกระตุกเล็กน้อย ลั่วเทียนเฉินแสร้งทอดถอนใจ “ข้าคงคิดมากไปเองจริง ๆ ท่านหญิงก็แค่คล้ายคนที่ข้ารู้จัก”“อ้อ…เช่นนี้เอง ท่านอย่าฟุ้งซ่านเกินไปจะดีกว่า ไม่รู้ว่าแส้ของเขาอาบยาพิษไว้หรือไม่”ลั่วเทียนเฉินพยักหน้า เขามองแพรพกซึ่งถูกผูกปมเอาไว้ด้วยดวงตาเป็นประกาย นอกจากฝีเข็มที่คุ้นตาแล้วการผูกผ้ายังคล้ายกันไม่ผิดเพี้ยน“ตะวันจะลับขอบฟ้าแล้ว หากไม่รีบกลับท่านหญิงจะเสียหาย ดูท่ามือของข้าเจ็บเอาการ มิทราบท่านหญิงจะช่วยควบม้าแทนข้าได้หรือไม่”
หลี่เสวี่ยซินที่แสร้งเชื่อฟังยอมกลับเข้าไปด้านในรถม้าแต่โดยดี หญิงสาวหันรีหันขวางก่อนจะปลดถุงหอมออกมาจากข้างเอวตน เพราะเมื่อก่อนมักถูกรังแกอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นด้านในถุงหอมของนางจึงมักใส่ปิงเพี่ยน [1] ห่อด้วยกระดาษอย่างหนาเพื่อป้องกันการระเหยเอาไว้ด้วยระหว่างที่รถม้ายังเคลื่อนตัวก็ปลดสร้อยลูกปัดออกมาโปรยเอาไว้ตามรายทางเป็นระยะ แม้เบื้องหลังนั้นไร้ร่องรอยการติดตามแล้ว ทว่าการไม่ทำอะไรเลยมิเท่ากับตัดพ้อให้ชีวิตหรือครั้งนี้หลี่เสวี่ยซินไม่มีทางยอมแพ้ต่อโชคชะตาเด็ดขาด ถึงไม่รู้ว่าการแบกรับหน้าที่บุตรีเพียงคนเดียวของหนิงโหวดุจใช้มือต้านพายุลูกใหญ่หรือไม่ ทว่าหลี่เสวี่ยซินก็จะฝืนตั้งรับอย่างสุดกำลังดูเหมือนว่ารถม้าจะเริ่มชะลอตัวแล้ว คนผู้นี้ใจกล้าวรยุทธ์เลิศล้ำ เขาลงมือผู้เดียวได้อย่างเฉียบขาด กระนั้นขอเพียงนางซื้อเวลาเพิ่มมาอีกหน่อย บางทีอาจมีใครโผล่มาช่วยก็เป็นได้หลี่เสวี่ยซินใช้จังหวะนี้ออกมาจากด้านใน เสียงเคลื่อนไหวของนางทำให้เขารู้ตัว ชายร่างสูงลุกพรวด คว้าแขนเล็กเอาไว้แน่น“คิดทำอะไร”







