JIN JIN : รอบนี้ไปบ้านเด็กกำพร้า ฉันแอบถามพี่รหัสมาแล้ว
ระริน ไม่ใช่ ละลิน : ไปค่า ไม่พลาด
ระริน ไม่ใช่ ละลิน : รักเด็ก อยากเลี้ยงเด็ก
JIN JIN : เด็กแบบไหนคะ
ระริน ไม่ใช่ ละลิน : เด็กทุกแบบค่ะ เด็กโตยิ่งดี
JIN JIN : พักเรื่องผู้ชายก่อนนะคะมุง วันก่อนเมาหยั่งหมา
ฉันแอบขำกับข้อความที่พวกนั้นคุยกันในกลุ่มแชทของพวกเราสามคน เพราะตอนนี้มือยังไม่ว่างจะตอบเลยได้แต่อ่านข้อความที่พวกมันคุยเล่นกัน
JIN JIN : ไปไหมน้ำค้าง อ่านไม่ตอบ
ระริน ไม่ใช่ ละลิน : ไม่ใช่แชทผู้ชาย เพื่อนดองก่อนค่ะ!
NAMKHANG : (ทำขนมช่วยยายอยู่จ้า สาวๆ อ่านแล้ว รับรู้แล้ว โอเคนะ)
ฉันใช้นิ้วที่ยังไม่เปื้อนน้ำตาลจิ้มลงไปบนหน้าจอมือถือรุ่นเก่าๆ ของตัวเองแล้วกดส่งข้อความเสียง ลำพังมันก็จะพังมิพังอยู่แล้วเลยต้องจิ้มเบาๆ หลายทีเพราะยังไม่มีเงินจะซื้อหรอก เครื่องนี้ยายซื้อให้ตั้งแต่ตอนเรียนอยู่มอสี่แล้ว
JIN JIN : อยากไปช่วย อยากไปเที่ยวบ้านน้ำค้างคนสวยจังเลยค่ะ
ระริน ไม่ใช่ ละลิน : เห็นแก่กิน เรื่องช่วยอย่ามาพูด
ฉันหัวเราะกับข้อความของพวกมันที่เถียงกันไปมา พลางทำไส้ขนมให้ยายไปด้วย ทำไส้แค่อย่างเดียวแต่ยายเอาไปทำขนมได้หลากหลายเลย ถ้าเป็นตลาดนัดตอนเช้าในช่วงวันหยุดรับรองว่าขายหมดทุกครั้งไม่เคยเหลือกลับบ้าน
“ทำเสร็จแล้วเก็บให้ยายด้วยนะเดี๋ยวมดขึ้น แล้วก็มาเก็บใบตองให้ยายหน่อย”
“ค่า~”
ฉันขานรับแล้วทำงานของตัวเองให้เสร็จตามที่ยายสั่ง ช่วยยายเก็บกวาดเรียบร้อยแล้ว พอสามทุ่มก็เข้าห้องนอน แต่ยังไม่ได้นอนหรอกเพราะอยู่ๆ ก็มีสายโทรเข้าจากใครบางคนโทรเข้ามาขัดจังหวะก่อนที่หัวจะถึงหมอนด้วยซ้ำ
(...)
“...ฮัลโหล ใครคะ”
ฉันกดรับสายแล้วรอให้อีกฝ่ายพูดแต่ปลายสายกลับเงียบกริบจนต้องเอ่ยทักไปแทน ฉันเกือบจะกดวางสายเมื่ออีกฝ่ายยังคงเงียบ แต่อยู่ๆ เขาก็พูดขึ้น เสียงเข้มนั้นทำให้ฉันต้องขมวดคิ้วเพราะเท่าที่จำได้ฉันไม่เคยให้เบอร์ตัวเองกับคนที่ไม่รู้จัก
(เธอ...)
“คะ คุณเป็นใคร”
(เจ้าของรถที่เธอต้องรับผิดชอบ)
พอได้ยินคำตอบฉันแทบอยากกดวางสายใจจะขาด แต่จิตใต้สำนึกที่มันมีความเป็นคนดีอยู่นั้นห้ามเอาไว้ อีกอย่างเขามีข้อมูลของฉันทั้งหมดแถมยังยึดบัตรนักศึกษาของฉันไปอีก
จริงอยู่ว่ามันสามารถไปขอทำใหม่ได้แต่วันนั้นฉันพูดไปแล้วว่าถ้าตัวเองไม่รับผิดชอบให้ตามมาจากที่อยู่นั้นได้เลย ซึ่งข้อมูลบนบัตรนั้นมันก็เป็นข้อมูลจริงทุกอย่าง เผลอๆ จะทำให้คนอื่นเดือดร้อนไปด้วย โดยเฉพาะยาย
“คะ...คุณ เจ้าของรถวันนั้น”
(อืม)
“หนูต้องชดใช้ให้เท่าไหร่คะ แต่บอกก่อนว่าหนูยังเรียนอยู่ ถ้ามันมากมายหนูคงไม่มีปัญญาจ่าย ถ้าสองสามพันไหวอยู่”
(สองสามพัน?)
น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาจากปลายสายมันบ่งบอกอารมณ์ได้หลายอย่าง ทั้งตกใจ ทึ่ง หรืออาจกำลังโมโหอยู่ด้วย วินาทีนั้นฉันรู้สึกได้ว่าเรื่องนี้มันคงไม่จบง่ายๆ แน่ ทั้งๆ ที่เกือบจะลืมไปแล้วเพราะเขาไม่ติดต่อมาเลยตั้งสามวัน
“ค่ะ ตอนนี้หนูมีเงินแค่นี้ บ้านหนูจน”
(เธอทำคนอื่นเดือนร้อนแล้วจะปัดความรับผิดชอบเหรอ)
“ไม่ใช่ไม่รับผิดชอบ แต่หนูบอกว่ามีแค่นี้ ถ้ามากกว่านี้จ่ายไม่ไหว”
จะทำยังไงได้ล่ะ ในเมื่อฉันไม่มีจริงๆ ไม่อยากบอกเรื่องนี้กับยายด้วยเพราะฉันไม่อยากให้ยายต้องคิดมากและมาลำบากเพราะตัวเอง แค่เรื่องน้าอิฐก็น่าปวดหัวพอแล้ว
(ฉันไม่ได้อยากฟังปัญหาชีวิตใคร แต่เธอต้องมารับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เธอทำให้รถฉันพัง)
“คุณก็ไม่ได้เป็นอะไรนี่คะ รถก็แค่ถลอกไม่ใช่เหรอ” ฉันเดาว่าอย่างนั้นเพราะวันนั้นเขาพุ่งไปหาโพรงหญ้าเท่านั้นเอง
(หึ เธอรู้ไหมว่ารถมันราคาเท่าไหร่ ค่าซ่อมห้าหมื่นฉันจะเก็บกับเธอแค่สองหมื่น เธอต้องหามาจ่ายไม่อย่างนั้นเธอเดือดร้อนแน่)
“สองหมื่น เลยเหรอ...”
(อืม วันจันทร์ตอนเช้าฉันจะไปหาเธอที่คณะ หาเงินมารับผิดชอบด้วย)
“...”
(ถ้าเธอตุกติก บอกเลยว่าเธอไม่รอด)
“อย่ามาข่มขู่นะ บอกก่อนว่าหนูไม่มีให้คุณหรอก ถ้าจะให้จ่ายก็ต้องรอ หนูต้องทำงานพาร์ทไทม์มาจ่ายให้”
(บอกพ่อแม่เธอดิวะ อย่ามาโกหกว่าไม่มี หรือไม่ได้ ฉันเป็นคนเสียหายให้ธอจ่ายไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ)
“หนูไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ ไม่มีเงินสองหมื่นที่คุณอยากได้ อีกอย่างค่าซ่อมมันเท่าไหร่หนูยังไม่ได้เห็นเลย คุณมาหลอกเอาเงินหรือเปล่า”
(กูมาเจอกับคนแบบไหนวะเนี่ย) เขาสบถแล้วบ่นกับใครสักคนที่อยู่ด้วยกันนั้นก่อนจะกรอกเสียงผ่านปลายสายเข้ามาต่อว่า (วันจันทร์มาเจอกันหน่อย จะเอายังไงค่อยว่า แต่ฉัน ต้อง ได้ เงิน!)
ฉันกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอเมื่อเขาย้ำคำพูดนั้นแล้วก็ตัดสายไป คำพูดของเขาแน่นอนว่าไม่ใช่แค่ขู่แน่ๆ ถึงแม้ไม่รู้ว่าเขาเป็นใครแต่ฉันสัมผัสได้ถึงความมีอำนาจบางอย่าง
--------------
ขู่เก่งอย่างนี้ เห็นอีกทีตอนจบก้มหัวให้เมียหม้ดดด
อย่าลืมกดหัวใจ กดติดตาม และเพิ่มเข้าชั้นด้วยน้า
ที่ห้องของพี่ฟิวส์ยังมีเสื้อผ้าของเขาที่ฉันลืมทิ้งไว้เมื่อหลายเดือนก่อนอยู่สองถึงสามชุด แล้วเขาก็เก็บมันไว้ในตู้เสื้อผ้าของตัวเองอย่างดี แถมยังบอกว่ารอให้เจ้าของมันมาใส่ทุกวัน ไม่รู้ไปดูหนังรักเรื่องไหนมาถึงได้ทำตัวหวานเลี่ยนอยู่ตลอดเวลา“หาอะไรคะ”ฉันถามเมื่อเห็นว่าพี่ฟิวส์เดินไปเดินมา เปิดลิ้นชักหาอะไรบางอย่างไม่ยอมพูดจา ตอนนี้เขาเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ผมก็ยังไม่แห้งส่วนฉันเป่าจนแห้งแล้วระหว่างรอพี่ฟิวส์อาบน้ำ“เดี๋ยวพี่มานะ” เขาไม่ตอบคำถามฉันแล้วก็เดินไปหยิบเสื้อยืด ก่อนจะเดินออกไปจากห้องให้กลายเป็นคำถามใหม่เกิดขึ้นรออยู่เป็นสิบนาทีพี่ฟิวส์ก็กลับเข้ามาในห้องเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่สายตาฉันมันดันเหลือบไปเห็นกล่องอะไรบางอย่างที่อยู่ตรงกระเป๋ากางเกงนอนขายาวของเขาเข้าพลันหัวใจดวงน้อยที่เต้นสม่ำเสมออยู่ก็ขยับจังหวะเร็วขึ้นจนน่าตกใจไอ้พี่ฟิวส์มันคิดไม่ดี!“ไปไหนมา” ฉันแกล้งถาม ถ้าตอนนี้ห้องมันสว่างคงเห็นแล้วว่าหน้าฉันแดงอยู่เพราะมันร้อนมากจนเหงื่อผุดตรงขมับทั้งที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำ“เอาของห้องเพื่อน”“ของอะไรเวลานี้” ก็รู้อยู่แล้วแต่อยากรู้นักพี่ฟิวส์มันจะเฉไฉไปยังไง“ถามเยอะกลัวจะไปหาผู้หญิ
ตอนที่ 25 บอกรักNC (ตอนจบ)“เมาขนาดนี้กลับแล้วไหม”“ไม่ พี่ฟิวส์อยากกลับก็กลับไปเลย คนกำลังสนุก” ฉันพยายามจะลุกขึ้นแม้สติตัวเองจะเหลือเพียงครึ่ง“ทำไมดื่มจนเมาขนาดนี้วะ”ฉันไม่ได้ฟังสิ่งที่เขาพูดพยายามจะลุกขึ้นจากโซฟาตัวนั้นแต่คนที่นั่งโอบอยู่ด้านหลังก็ไม่ยอมให้ลุก จนฉันเริ่มหงุดหงิดหันไปมองเขาอย่างหาเรื่อง“พี่ฟิวส์!”“ถ้าไม่กลับก็นั่งดื่มตรงนี้ ดี ๆ ”ฉันถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่เมื่อไม่ได้ดั่งใจตัวเอง จำยอมต้องนั่งอยู่ตรงนั้นโดยมีพี่ฟิวส์นั่งโอบอยู่ด้านหลัง เลยถือโอกาสนั้นใช่ตัวเขาเป็นที่พักพิงไปซะ“ถ้าไม่ไหวก็กลับ”“กลับอาไร เค้กยังไม่ได้เป่า...เลย~”“วันเกิดเพื่อนไม่ใช่วันเกิดเรา” พี่ฟิวส์ขำแล้วยกแก้วของตัวเองขึ้นมาดื่ม แล้วพี่ไมเนอร์ก็ลากยัยระรินมานั่งอีกคน“พากลับแล้วไหม กูก็ไม่คิดว่าจะพากันพังขนาดนี้”“ยอมกลับที่ไหน ดื้อ!” คำพูดนั้นเขาพูดกรอกหูฉันจนต้องเอี้ยวตัวหันไปมองคนที่นั่งคร่อมกันอยู่ด้านหลังแต่พอกันไปเจอกับหน้าพี่ฟิวส์ที่ก้มลงมาจนจมูกแทบชิดกัน เขาใช้โอกาสนั้นขยับใบหน้าลงมาเพียงนิดเดียว ประกบริมฝีปากของฉันท่ามกลางผู้คนที่อยู่รอบตัวฉันโดยไม่อายว่าจะมีใครมองมา“อื้อ~ หยุดเลย”
เราแยกกันตรงนั้นแล้วฉันก็กลับหอยัยจินไปกินข้าว อาบน้ำและแต่งตัว ในหัวก็คิดอยู่ตลอดคิดภาพตอนที่พี่ฟิวส์หายไปเป็นเดือน ติดต่อกันไม่ได้ ไม่เห็นหน้าไม่ได้ยินเสียงเขา ฉันจะเป็นยังไง“แกเป็นอะไรไปเพื่อน ไม่สบายเหรอ” เสียงของยัยจินเรียกสติของฉันให้กลับมา หลังจากที่มันล่องลอยไปไกล“เปล่า”“ฉันเห็นแกนั่งใจลอยมาหลายรอบแล้ว มีเรื่องอะไรให้คิดมากอีก” เพื่อนสนิทถามอย่างนั้น มันก็คงจะดูออกว่าฉันกำลังทำตัวผิดปกติ“ยัยจิน…” ฉันเริ่มเล่าเรื่องที่พี่ฟิวส์จะไปทำงานให้มันฟังครั้งนั้นที่ได้ยินเขาพูดมันก็รู้สึกโหวงเหวงในใจ คิดว่าคงไม่เป็นไร ถึงจะอยู่ห่างกันแต่ยังไงพี่ฟิวส์ก็ยังต้องกลับขึ้นฝั่งแล้วได้เจอกันอยู่ดี แต่พอได้ยินครั้งนี้แล้วมันรู้สึกไม่ดีเลย มันกลัวไปหมดความคิดที่ว่าไม่อยากไปขัดขวางความเจริญก้าวหน้าของเขามันเลือนหายไปทุกที ความเห็นแก่ตัวของฉันมันเริ่มมีมากขึ้นเรื่อย ๆ จนน่าสมเพช“แกไม่อยากให้เขาไปทำไมไม่พูดตรง ๆ ล่ะน้ำค้าง”“ถ้าพูดแบบนั้นฉันจะดูเป็นเด็กเกินไปไหมจิน อีกอย่างเรายังไม่ได้ตกลงเป็นแฟนกัน” ฉันรู้สึกได้ว่าหัวใจมันเริ่มเต้นรัวด้วยความกลัว“โอ๊ย ทุกวันนี้มันก็คือแฟนแล้วไหม ไม่ใช่ก็ใกล้
ตอนที่ 24 ไม่อยากห่างไกลฉันกลับมาทำงานให้แม่ของพี่ฟิวส์อีกครั้งหลังจากที่ใช้อารมณ์ ขอยกเลิกไปตอนนั้น ดีเท่าไหร่ที่ท่านยังเอ็นดูฉันมากขนาดนี้ ถ้าเป็นคนอื่นคงโกรธกันไปแล้วในตอนแรกฉันตั้งใจว่าจะทำงานช่วงหลังเลิกเรียน แต่พี่ฟิวส์แนะนำว่าช่วยยายทำขนมขายหน้าโรงงานคงดีกว่าเพราะจะได้ไม่หนักที่ต้องเรียนและทำงานไปด้วย เรื่องเรียนที่ว่าจะดรอปก็ถูกพับเอาไว้หลังจากที่ชีวิตเริ่มลงตัวขึ้นบวกกับได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนและพี่ฟิวส์ที่ตอนนี้เรียนจบแล้ว“ยัยค้าง!” ระรินเดินมาจากหลังตึก มาหาพวกเราที่รออยู่ใต้ตึกเรียนวิชาแรกของเราวันนี้เริ่มตอนเก้าโมงแต่เพราะวันนี้มีงานที่ต้องส่งอาจารย์หลายคนถึงได้มารอกันก่อนเพราะบางคนต้องมาปรึกษาเพื่อน หนึ่งในนั้นก็มีพวกเรา“รีบอะไรขนาดนั้นยัยระริน เพิ่งจะแปดโมงครึ่ง”“ไม่ได้รีบเพราะเรื่องนั้น”“มีเรื่องอะไรอีก” ยัยจินขมวดคิ้วถาม เพราะที่ผ่านมามันก็มีแต่เรื่องวุ่นวายของฉันทั้งนั้น“เรื่องนังเมย์” ยัยระรินพูดแล้วยิ้มเหมือนสะใจอะไรบางอย่างก่อนที่มันจะเล่าก่อนหน้านี้พี่เมย์โดนจับจริงและเป็นไปตามที่พวกพี่ฟิวส์ต้องการ ช่วงแรก ๆ พ่อและแม่ของพวกหล่อนมาคุยกับพี่ฟิวส์ให้เจ
ยอมรับว่าฉันเคยโกรธยายจนไม่อยากคุยไม่อยากเห็นหน้า ที่ยายช่วยน้าอิฐจนทำให้พวกเราลำบากกันหมด แต่สุดท้ายก็มีแต่ยายกับน้ำหนาวที่คอยอยู่เคียงข้างฉันตลอดช่วงชีวิตของฉันตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้ ลองคิดว่าวันหนึ่งที่ไม่มียายฉันก็แทบจะไม่เหลืออะไรในชีวิตอีกแล้ว“ยายดูก็รู้ว่าเขามีเงิน แต่เรารู้จักเขาดีไหม เขาดีกับเราหรือเปล่าลูก ยายไม่ได้หมายถึงเรื่องเงินเขาแต่ความใส่ใจกับสิ่งที่เขาพูดเขาแสดงออกกับเรามันทำให้เรารู้สึกดีหรือแย่”“ค่ะ พี่ฟิวส์เขาดีกับค้างหลายเรื่อง” เรื่องที่เคยคิดไม่ดีก็คงไม่บอกยาย เพราะไม่อยากให้ยายมองไม่ดี “แต่ค้างก็กำลังศึกษาอยู่”ต่อไปนี้ก็คงต้องก้าวเดินอย่างระวัง ไม่ไว้ใจและให้ใจใครง่าย ๆ เหมือนอย่างที่ผ่านมา ต่อให้เราจะรู้สึกดีกับใครมากแค่ไหน เพราะสุดท้ายเราก็ไม่รู้เลยว่าอีกคนเขาจะรู้สึกกับเรายังไง เรื่องที่ผ่านมามันกลับไปแก้ไขไม่ได้แล้ว ก็คงต้องปล่อยมันไว้แค่ข้างหลัง“ถ้าเขาเป็นคนดียายก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่อย่ารีบ ค่อย ๆ ดูกันไป”“ค่ะ” ฉันตอบรับแล้วยิ้มส่งให้ยายไม่นานนักพี่ฟิวส์กับน้ำหนาวก็กลับมา ยายทำกับข้าวสองสามอย่างเลี้ยงพี่ฟิวส์ที่ช่วยมาซ่อมห้องให้ สายตาที่ยายมองพี่ฟิวส์
ตอนที่ 23 หัวใจดวงเดียวที่มีพี่ฟิวส์พาฉันไปทำแผลที่ห้องพยาบาลซึ่งอยู่ในโรงยิมของมหาวิทยาลัย อยู่ไม่ไกลจากคณะเรามากนัก รอยแผลมีบนหน้าที่มีรอยเล็บทั้งจิกทั้งข่วน ตามแขนและขาที่เป็นรอยถลอกและมีเลือดออก“ตรงนั้นมีกล้องใช่ไหมไอ้ไมน์” พี่ฟิวส์ก้มหน้าทำแผลให้ สีหน้าของเขาเรียบเฉย ฉายแววความโกรธอย่างที่เคยเห็นเมื่อวันนั้น แต่เขานิ่งจนน่ากลัวกว่านั้นเสียอีก“มี กูบอกให้ยามจัดการแล้ว”“ขอลุงมึงช่วยหน่อย เดี๋ยวพวกกูจะไปโรงพัก ข้อหาทำร้ายร่างกายกูจะไม่ยอมความ ไม่ไกล่เกลี่ย”“อืม เดี๋ยวกูจัดการให้”ฉันได้แต่เงียบฟังที่พวกพี่เขาพูดกัน ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องของกฎหมายแต่เท่าที่ฟังพี่คือถ้าเป็นเหตุแบบนี้ตำรวจจะทำแค่เป็นข้อหาทะเลาะวิวาทเพื่อให้เรื่องมันจบ ๆ ไป แต่ถ้าเราที่ถูกไม่ยอมความก็สามารถส่งเรื่องฟ้องศาลได้ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วคนที่โดนทำร้ายก็จะไม่ทำเพราะต้องเสียเงินอีกมากมายแต่พี่ฟิวส์บอกจะทำให้เรื่องถึงศาล เพื่อให้พวกนั้นมันเสียประวัติและให้ลุงของพี่ไมเนอร์ช่วย เพราะเราจะผิดหรือถูกขึ้นอยู่กับสำนวนที่ตำรวจเป็นคนเขียนขึ้นตอนที่เราไปแจ้งความสังคมมันอยู่ยากเพราะแบบนี้สินะ ถ้าไม่มีเส้นสายก็เท่ากับผิดทั้ง