ตามเสียงรับสั่งของฮ่องเต้ เหล่าองครักษ์ก็ขับไล่ผู้ลี้ภัยเหล่านั้นออกไปในขณะนั้นเอง ชายผู้หนึ่งในชุดเจ้าหน้าที่ทางการก็วิ่งเข้ามา และคุกเข่าลงหน้ารถม้าเสียงดัง “ตึง”“กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาท!“ฝ่าบาท ขอท่านได้โปรดปล่อยผู้ลี้ภัยเหล่านี้เถิด!“พวกเขาล้วนเป็นคนที่ขยันหมั่นเพียร!“กระหม่อมยินดีเอาศีรษะบนคอเป็นประกันว่า ตั้งแต่ที่พวกเขาเข้ามาในเมืองลี่หย่วน ก็ไม่เคยทำ...”คำพูดยังเอ่ยไม่ทันจบ ผ้าม่านรถม้าก็ถูกเปิดขึ้นภายใต้สายตาอันน่าเกรงขามของจักรพรรดิ ผู้คนภายนอกต่างก็คุกเข่าลงเซียวอวี้มองดูเจ้าหน้าที่ที่อยู่บนพื้นคนผู้นี้ เขาจำได้คือนายอำเภอที่เขาเลือกเอง---ฉวีเต้ายางไม่รู้ว่าเป็นจอหงวนของปีใด และยังเป็นลูกที่กตัญญูด้วยตอนที่เขาจะส่งคนมายังเมืองชายแดน บรรดาขุนนางต่างหวาดกลัวที่จะถูกเลือก มีเพียงฉวีเต้ายางเด็กหนุ่มคนนี้ที่เป็นฝ่ายก้าวออกมาฉวีเต้ายางริมฝีปากสั่นเทา ดูออกว่าสุขภาพของเขาไม่ดีนัก ใบหน้าซีดไร้เลือดฝาด“ฝ่าบาท กระหม่อมขอให้ท่านทรงผ่อนผันด้วยเถิด”เซียวอวี้ทำราวกับไม่ได้ยิน ปล่อยผ้าม่านลงมา ปิดกั้นคำวิงวอนของฉวีเต้ายางที่อยู่ด้านนอก“เดินทางต่อ ไปโรงพักแรม
สำหรับเซียวอวี้แล้ว การเก็บภาษีของเมืองฝานหลูคล้ายกับเพิ่มดอกไม้บนผ้าทอลวดลาย ทำให้สิ่งที่ดีอยู่แล้วดียิ่งขึ้นเท่านั้นทว่าสำหรับเซียวม่อ กลับเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งนี่เกี่ยวข้องกับเขาว่าจะได้รับจากในนั้นมากน้อยเพียงใดเพราะในภายภาคหน้า เงินเหล่านี้จะเป็นค่าเบี้ยหวัดทหารในการก่อกบฏของเขา!นี่เซียวอวี้กำลังตัดเส้นทางการเงินของเขา!เซียวม่อไม่อาจทนได้แม้แต่น้อย จึงลุกขึ้นทันที โดยไม่สนใจแผลเก่าบนตัวที่ยังไม่หายดี“ข้าต้องไปพบฝ่าบาท! ท่านหยวน ท่านไปกับข้า!”หยวนตั๋วตอบรับไปตามสถานการณ์ ดวงตาที่หลุบต่ำลง ซ่อนความมืดมัวเอาไว้หากข่มกลั้นไม่ได้เพียงนี้ จะทำการใหญ่ได้อย่างไรทว่า ในฐานะเป็นหมากของแคว้นตงซาน เซียวม่อเป็นเช่นนี้ ก็เพียงพอแล้วทั้งสองมาถึงโรงพักแรมทหารที่เฝ้าคุ้มกันอยู่ที่โรงพักแรมบอกพวกเขาว่า“ฝ่าบาทมิได้ประทับอยู่ในโรงพักแรม”เซียวม่อกัดฟันกรอดนี่เซียวอวี้ตั้งใจจะไม่พบเขากระมัง!ตกลง เช่นนั้นก็ไปที่ว่าการเซียวอวี้ทำเช่นนี้ เจ้าหน้าที่เหล่านั้นจะไม่มีความเห็นได้อย่างไร?ผลงานของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ล้วนต้องพึ่งพาราษฎร!ณ ที่ว่าการที่นี่กลับไม่มีใครกล้
เฟิ่งจิ่วเหยียนเก็บก้อนหินนั้นเอาไว้ก่อนนางถามเซียวอวี้: “เอกสารราชการจัดการเสร็จหมดแล้วหรือเพคะ?”เซียวอวี้เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม“ผู้ลี้ภัยต้องการที่อยู่อาศัย แต่ท่าทีเช่นนี้ เรารับไม่ได้”ถูกต้องเช่นนี้ถูกเป่ยเยี่ยนตบตาเข้าให้แล้วเขาจะยอมทนอยู่เฉย ๆ เช่นนี้ได้อย่างไร?เฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยอย่างไม่รีบร้อน“ตอนนี้เป่ยเยี่ยนเป็นแคว้นอาณานิคมของหนานฉี ไม่สามารถปฏิเสธแคว้นแม่ได้”ในดวงตาของเซียวอวี้เผยให้เห็นรอยยิ้ม“ยังคงเป็นเจ้าที่เข้าใจความคิดเรามากที่สุด”เขาก็มีความคิดเช่นนี้เหมือนกันบาปกรรมที่เป่ยเยี่ยนสร้างไว้ ก็ควรให้เป่ยเยี่ยนมาชดใช้แม้เขาจะเมตตาเพียงใด ก็จะมีให้เฉพาะราษฎรของแคว้นตนเท่านั้นผู้ลี้ภัยเหล่านั้น เดิมทีก็มิได้เป็นคนของที่นี่ เหตุใดเขาถึงต้องสิ้นเปลืองเงินทองในคลังหลวงและกำลังความคิด เพื่อไปจัดหาที่อยู่ให้พวกเขาด้วยต้องตระหนักได้ว่า เงินทองจำนวนนี้สามารถนำไปใช้ในด้านอื่น เพื่อให้ราษฎรของแคว้นตนมีชีวิตที่ดีขึ้นวันรุ่งขึ้นเซียวอวี้จึงสั่งการทันที ให้ส่งผู้ลี้ภัยเหล่านั้นกลับไปยังเป่ยเยี่ยนเมื่อคำสั่งนี้ออกมา ผู้คนมีปฏิกิริยาแตกต่างกันผู้ลี้ภ
บรรพบุรุษตระกูลสวีดูแลสำนักคุ้มภัยสืบทอดกันมาหลายรุ่น ตอนนี้มาถึงรุ่นของสวีไท่ฉาง ก็หวังว่าจะสามารถทำให้กิจการเจริญรุ่งเรืองได้ไม่คาดคิดว่าจะถูกสำนักคุ้มภัยที่เพิ่งเปิดใหม่ดึงตัวผู้คุ้มกันไป และแย่งชิงโอกาสทำการค้าเขาทำตามคำเตือนของเฟิ่งจิ่วเหยียน ลงมือจัดการกับสำนักคุ้มภัยที่มาด้วยเจตนาร้ายเหล่านั้น มิใช่เพียงเพื่อกิจการของตนเอง แต่เพื่อสหายร่วมอาชีพที่ยังคงยืนหยัดอยู่ด้วยเช่นกันด้วยเหตุนี้ สำนักคุ้มภัยหลายแห่งต่างยินดีร่วมมือกับตระกูลสวี เพื่อจะปกป้องตนเองพวกเขาจงใจไม่บังคับให้ผู้คุ้มกันอยู่ต่อ กระทั่งว่าแกล้งทำทีเป็นไล่ผู้คุ้มกันที่เหลือออกไป ให้พวกเขาไปสำนักคุ้มภัยที่ให้ค่าจ้างสูง ๆผู้คุ้มกันเหล่านี้กลายเป็นเส้นสายให้กับพวกเขา ช่วยพวกเขาสืบหาเรื่องราวสกปรกของสำนักคุ้มภัยฝ่ายตรงข้ามผลจากการสืบหาครั้งนี้ ก็ได้สืบพบข้อมูลบางอย่างจริง ๆหลังจากสวีไท่ฉางทราบเรื่อง จึงรีบมาแจ้งกับเฟิ่งจิ่วเหยียนทันที“ในเมืองมีสำนักคุ้มภัยแห่งหนึ่งชื่อว่า ‘สำนักคุ้มภัยหลินหย่วน’ งานที่พวกเขาคุ้มกัน ส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับแคว้นตงซาน“ผู้คุ้มกันที่ข้าน้อยส่งไปได้พบว่า สิ่งที่บรรจุอยู่ในลังเห
“ฝ่าบาท ข้างกายฉู่อ๋องมีท่านหยวนผู้หนึ่ง ตอนนี้ก็ยังสืบไม่พบประวัติและภูมิหลังของคนผู้นี้พ่ะย่ะค่ะ”เมื่อฟังเฉินจี๋เอ่ยจบ เซียวอวี้หาได้ตำหนิสายลับเหล่านั้นไม่เพราะอย่างไรนี่ก็เพิ่งจะหนึ่งวันเท่านั้นหากฝ่ายตรงข้ามมีเจตนาปกปิด ก็มิใช่เรื่องง่ายที่จะสืบพบได้“ให้จับตาดูจวนฉู่อ๋องต่อไป”“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!”อย่างไรเซียวม่อก็เป็นคนในราชวงศ์ เมื่อจัดการเรื่องต่าง ๆ ก็ดูมีระเบียบแบบแผนด้วยการจัดการของเขา ราษฎรที่ส่งคืนบ้านเรือนก็มีเพิ่มขึ้นตามคำโบราณที่ว่า มังกรยิ่งใหญ่ไม่อาจข่มงูเจ้าถิ่นได้แม้ว่าเซียวอวี้จะเป็นถึงจักรพรรดิ แต่เมื่อมาถึงเมืองฝานหลูเป็นครั้งแรก ก็ย่อมไม่อาจแสดงอำนาจได้เต็มที่ต่างจากเซียวม่อ ความสลับซับซ้อนต่าง ๆ ในเมือง เขาเข้าใจเป็นอย่างดีภายใต้แรงกดดันอย่างหนัก ราษฎรจำนวนมากจึงเป็นฝ่ายยอมมอบตัวกับทางการการที่พวกเขายึดครองบ้านเรือนของผู้อื่น ตามกฎหมายแล้วก็ควรได้รับโทษเหล่าเจ้าหน้าที่ทางการยังไม่ทราบท่าทีของผู้ที่อยู่เบื้องบนอย่างแน่ชัด จึงไม่กล้าตัดสินใจโดยพลการพวกเขาต้องการไปที่โรงพักแรมเพื่อขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้ จะได้ไม่ทำผิดพลาดยังมีเจ้าหน้าที่ทางการ
เพียงวันเดียวสั้น ๆ เท่านั้น ทางการได้ติดประกาศแจ้งเตือน ผู้คนหลายกลุ่มมารวมตัวกันอยู่หน้าป้ายประกาศ สีหน้าแตกต่างกันไป “นี่เขียนว่าอะไร?” “สรุปอย่างง่าย ๆ คือ ทางการได้ตรวจพบทุกสิ่งแล้ว ผู้ที่ยึดครองบ้านและที่ดินของผู้อื่นอยู่ จะต้องตามหาเจ้าของเดิมและส่งคืนภายในสามวัน มิเช่นนั้นจะต้องโทษจำคุก!” “ร้ายแรงขนาดนั้นเชียว?” เอ่ยจบ พลันมีคนรู้สึกแค้นเคือง “อาศัยอยู่ในบ้านของคนอื่นโดยไม่ลงทุน ตอนนี้ถูกสั่งให้คืนพวกเขาไป นั่นเรียกว่าร้ายแรงหรือ?” มิใช่บ้านเรือนทั้งหมดในเมือง ที่ถูกยึดครอง ยังมีคนที่มีสติ และนึกรังเกียจผู้ลี้ภัยเหล่านี้มานานแล้ว สิ่งของที่ขโมยมา จะหวงแหนไว้เองได้หรือ? ท่ามกลางฝูงชน มีหลายคนที่ใบหน้าซีดเซียว พวกเขาเดินจับกลุ่มกันไป ดูสามัคคีไม่น้อย “ทำอย่างไรดี? ต้องส่งคืนภายในสามวัน มิเท่ากับพวกเราจะถูกไล่ออกจากเมืองฝานหลูหรอกหรือ?”“ต้องคิดหาวิธีแก้ไข ภรรยาของข้าใกล้จะคลอดลูกแล้ว จะให้นอนกลางดินกินกลางทรายไม่ได้…” “ก็นั่นน่ะสิ ลูกชายของข้าจะแต่งงานเดือนหน้า หากบ้านถูกยึดไป ครอบครัวฝ่ายหญิงจะต้องปฏิเสธการแต่งงานแ