แสงจันทร์สีนวลสาดส่องลงมาต้องพื้นป่าที่มืดมิด ต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาบดบังท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว ทว่าแสงสว่างริบหรี่นั้นก็เพียงพอที่จะเผยให้เห็นเงาร่างสองร่างที่กำลังก้าวเดินอย่างเชื่องช้า อิจิพยุงร่างที่อ่อนล้าของเขาไปตามทาง ส่วน ฮารุ เดินเคียงข้างด้วยสีหน้าเคร่งเครียด การต่อสู้ครั้งก่อนทิ้งร่องรอยบาดแผลไว้บนแขนของอิจิ แม้ฮารุจะทำแผลให้เขาแล้ว แต่บาดแผลลึกนั้นก็ยังคงส่งผลให้การเคลื่อนไหวของเขาไม่คล่องตัวนัก
หลังจากที่ได้เห็นภาพนิมิตอันน่าสะพรึงกลัวในศาลเจ้า และได้พบผ้ายันต์โบราณผืนแรก พวกเขาก็ตัดสินใจเดินทางต่อไปยังอีกหมู่บ้านหนึ่งที่อิจิจำได้ว่าเคยมีบันทึกเก่าแก่กล่าวถึงตำนานของผ้ายันต์คล้ายคลึงกัน ผ้ายันต์ที่อาจเป็นกุญแจสำคัญในการหยุดยั้งหายนะที่จะเกิดขึ้น “นายยังไหวแน่นะอิจิ?” ฮารุถามด้วยน้ำเสียงกังวล เมื่อสังเกตเห็นอิจิสะดุดก้อนหินเล็กๆ “ไหวสิ… แค่นี้ไม่เป็นอะไรหรอก” อิจิฝืนยิ้ม พยายามแสดงความแข็งแกร่งออกมา “ที่สำคัญคือเราต้องไปให้ถึงหมู่บ้านนั้นให้เร็วที่สุด ก่อนที่มันจะสายเกินไป” ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้ง มีเพียงเสียงฝีเท้าที่ย่ำไปบนใบไม้แห้ง และเสียงลมพัดกระทบยอดไม้เท่านั้นที่ดังขึ้นเป็นระยะๆ บรรยากาศรอบตัวเริ่มหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ ราวกับมีบางสิ่งกำลังจับจ้องพวกเขาจากความมืดมิด “ฉันรู้สึกไม่ดีเลยอิจิ… เหมือนมีใครบางคนกำลังตามเรามา” ฮารุพึมพำ น้ำเสียงแผ่วเบา อิจิชะงักฝีเท้า เขาหันไปมองรอบตัว สัญชาตญาณของนักรบเตือนเขาถึงอันตรายที่มองไม่เห็น แรงกดดันที่คล้ายกับเงาปีศาจเมื่อคืนนี้เริ่มก่อตัวขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้มันมาพร้อมกับกลิ่นคาวเลือดจางๆ ที่ลอยมาตามลม “มันอยู่ใกล้ๆ นี่แหละ” อิจิกระซิบ เขากระชับดาบในมือแน่นขึ้น “ระวังตัวไว้ให้ดีนะฮารุ…” ยังไม่ทันที่อิจิจะพูดจบ เสียงคำรามต่ำลึกก็ดังขึ้นจากทางด้านหลังของพวกเขา มันไม่ใช่เสียงคำรามที่คุ้นเคย แต่เป็นเสียงที่เต็มไปด้วยความแค้นและความกระหายเลือด ฟิ้ว! บางสิ่งบางอย่างพุ่งเข้าใส่พวกเขาจากด้านหลังด้วยความเร็วเหนือแสง อิจิหันขวับกลับไปทันที สิ่งที่เขาเห็นคือเงาร่างขนาดใหญ่ที่กำลังจะฟาดฟันกรงเล็บคมกริบเข้าที่กลางหลังของฮารุ เคร้ง! อิจิยกดาบขึ้นป้องกันได้ทันท่วงที เสียงโลหะปะทะกันดังกึกก้อง สะเก็ดไฟแลบแปลบปลาบไปทั่ว แรงปะทะมหาศาลทำให้อิจิถึงกับเซถลาไปด้านหน้าหลายก้าว ฮารุถูกแรงกระแทกกระเด็นไปด้านข้างอย่างแรง โชคดีที่เธอไม่ได้รับบาดเจ็บโดยตรง แต่ก็ล้มลงไปกองกับพื้น “ฮารุ! เธอเป็นอะไรไหม?!” อิจิตะโกนถามด้วยความตกใจ “ฉัน… ฉันไม่เป็นไร!” ฮารุตอบเสียงสั่น เธอพยุงตัวเองลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ดวงตาจับจ้องไปยังเงาปีศาจที่ยืนอยู่ตรงหน้า เงาปีศาจตัวนี้แตกต่างจากตัวก่อนๆ ที่พวกเขาเคยเจอ รูปร่างของมันบิดเบี้ยวยิ่งกว่าเดิม คล้ายกับร่างที่ประกอบขึ้นจากกิ่งไม้ที่บิดงอและหนามแหลมคม มันสูงใหญ่และเต็มไปด้วยออร่าสีแดงก่ำ ดวงตาของมันเรืองแสงสีเลือด แสดงออกถึงความเกรี้ยวกราดที่ยากจะควบคุม “มันไม่ใช่ตัวเดิม… แต่มันดูบ้าคลั่งกว่า!” อิจิพูดขึ้น น้ำเสียงของเขาบ่งบอกถึงความเหนื่อยล้า “และมันตั้งใจจะจัดการเราให้ตาย” เงาปีศาจไม่รอช้า มันพุ่งเข้าใส่พวกเขาอีกครั้ง กรงเล็บที่ยาวและคมกริบของมันฟาดฟันเข้าใส่อิจิอย่างไม่ยั้ง การเคลื่อนไหวของมันรวดเร็วและไม่อาจคาดเดาได้ อิจิรับมือด้วยความยากลำบาก บาดแผลที่แขนเริ่มฉีกขาด เลือดไหลซึมออกมามากกว่าเดิม “แกจะไม่มีทางแตะต้องฮารุได้!” อิจิคำราม เขาใช้ดาบปัดป้องการโจมตีอย่างสุดกำลัง แต่การที่เขาบาดเจ็บทำให้ความเร็วและพลังของเขาลดลงไปมาก ฉัวะ! ในจังหวะที่อิจิพลาด เงาปีศาจก็ใช้กรงเล็บเฉือนเข้าที่สีข้างของเขาอย่างจัง เสื้อผ้าขาดวิ่น เลือดพุ่งกระฉูดออกมาจากบาดแผล อิจิเซถลาไปชนกับต้นไม้ใหญ่ ร่างกายทรุดลงไปกองกับพื้นอย่างช้าๆ “อิจิ!” ฮารุร้องลั่นด้วยความตกใจและหวาดกลัว เธอรีบวิ่งเข้าไปหาเขา “นายบาดเจ็บหนักเลยนะ!” “ไม่… ไม่เป็นไร…” อิจิไอออกมาเป็นเลือด เขาพยายามยันตัวเองขึ้น แต่ก็ทำได้ยาก บาดแผลที่สีข้างลึกและกว้างจนน่ากลัว เงาปีศาจไม่ปล่อยโอกาส มันพุ่งเข้าใส่ทั้งคู่ กรงเล็บที่เต็มไปด้วยความกระหายเลือดเงื้อขึ้น เตรียมจะปลิดชีพพวกเขา “แกไม่มีวันได้แตะต้องเขา!” ทันใดนั้นเอง! ร่างของฮารุก็พุ่งเข้าไปบังอิจิอย่างไม่ลังเล เธอไม่ได้คิดถึงความกลัว แต่คิดเพียงว่าต้องปกป้องอิจิให้ได้ พรึบ! ก่อนที่กรงเล็บของปีศาจจะสัมผัสตัวฮารุ แสงสีฟ้าอ่อนๆ ก็ระเบิดออกมาจากร่างของเธอ แสงนั้นเจิดจ้าและเต็มไปด้วยพลังงานบริสุทธิ์ มันผลักร่างของเงาปีศาจให้กระเด็นถอยหลังไปหลายเมตร “อะไรกัน?!” อิจิพึมพำด้วยความประหลาดใจ แสงจากร่างของฮารุทำให้เขาต้องหรี่ตาลง เงาปีศาจคำรามด้วยความเจ็บปวด มันพยายามจะพุ่งเข้ามาอีกครั้ง แต่แสงสีฟ้าก็แผ่ขยายออกไปเป็นวงกว้าง สร้างกำแพงพลังงานที่มองไม่เห็นขึ้นมาขวางกั้นระหว่างพวกเขากับปีศาจ ฮารุยืนนิ่ง ดวงตาของเธอยังคงหลับพริ้ม แต่แสงสีฟ้าที่แผ่ออกมารอบกายของเธอกลับสว่างจ้าขึ้นเรื่อยๆ เธอรู้สึกถึงพลังงานบางอย่างที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกาย เป็นพลังที่คุ้นเคยจากนิมิตที่เธอเคยเห็น “นี่คือพลังของเธอเหรอฮารุ… พลังที่สามารถขับไล่ปีศาจได้?!” อิจิพึมพำ เงาปีศาจไม่สามารถทะลวงกำแพงแสงสีฟ้าเข้ามาได้ มันคำรามอย่างบ้าคลั่งก่อนที่จะพุ่งตัวเข้าไปในเงามืดของป่าหายไป เมื่อปีศาจจากไป แสงสีฟ้าจากร่างของฮารุก็เลือนหายไป เธอทรุดตัวลงนั่งกับพื้นอย่างอ่อนแรง “ฮารุ! เธอเป็นอะไรไหม?” อิจิพยายามจะขยับตัวเข้าไปหา แต่เขาก็ยังคงเจ็บปวดจากบาดแผล “ฉัน… ฉันไม่เป็นไร” ฮารุตอบเสียงแผ่ว “แต่ฉันรู้สึกเหมือนพลังบางอย่างในตัวฉันเพิ่งถูกใช้ไป… มันอ่อนแรงมาก” อิจิพยุงตัวเองลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล “เราต้องรีบหาที่หลบก่อนที่มันจะกลับมา” ฮารุพยุงอิจิให้ลุกขึ้น พวกเขาเดินโซซัดโซเซไปตามทาง จนกระทั่งมาเจอซากบ้านร้างหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่กลางป่า มันเป็นบ้านไม้เก่าๆ ที่ผุพังไปตามกาลเวลา หลังคาพังลงมาบางส่วน และมีเถาวัลย์ปกคลุมไปทั่ว แต่ก็พอจะเป็นที่กำบังได้ “เข้าไปข้างในกันเถอะ” อิจิพูดขึ้น ฮารุพยักหน้า เธอช่วยประคองอิจิเข้าไปในบ้านร้างอย่างระมัดระวัง ภายในบ้านมืดสลัวและเต็มไปด้วยฝุ่นผง อิจิทรุดตัวลงนั่งพิงผนังไม้ที่ผุพัง เขาหายใจหอบถี่ เลือดจากบาดแผลยังคงไหลออกมาไม่หยุด “ฉัน… ฉันต้องทำแผลให้นายก่อน” ฮารุพูด น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความเป็นห่วง เธอฉีกชายเสื้อของตัวเองออกมาอีกครั้ง พยายามห้ามเลือดให้เขาอย่างเบามือที่สุด “บาดแผลมันลึกมาก… ฉันว่ามันอาจจะถึงกระดูก” อิจิพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง “ฉันคงต้องพักสักหน่อย” “นายจะพักไม่ได้! บาดแผลมันจะติดเชื้อเอาได้นะ!” ฮารุแย้ง “ฉัน… ฉันพอจะรู้คาถาพื้นฐานสำหรับฟื้นฟูร่างกายได้บ้าง” อิจิเบิกตากว้าง “คาถาฟื้นฟู? เธอทำได้ด้วยเหรอ?” “ฉัน… ฉันไม่แน่ใจว่ามันจะใช้ได้ผลกับนายได้มากแค่ไหน” ฮารุพูดอย่างลังเล “แต่ฉันจะลองดู” ฮารุหลับตาลง เธอรวบรวมสมาธิ พลังงานสีฟ้าอ่อนๆ เริ่มแผ่ออกมาจากปลายนิ้วของเธออีกครั้ง เธอยื่นมือออกไปวางทาบลงบนบาดแผลของอิจิ “ดวงจิตแห่งชีวิต พลังแห่งธรรมชาติ จงหลอมรวม… ฟื้นฟูบาดแผล!” ฮารุร่ายคาถา เสียงของเธอแผ่วเบา แต่ก็เปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น อิจิรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นบางอย่างที่แผ่ซ่านเข้ามาในบาดแผล ความรู้สึกเจ็บปวดลดลงอย่างรวดเร็ว เขาลืมตาขึ้นมอง บาดแผลที่เคยมีเลือดไหลไม่หยุดกำลังปิดสนิทลงช้าๆ มันไม่ได้หายไปทั้งหมด แต่ก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด “เหลือเชื่อ…” อิจิพึมพำ เขายกแขนขึ้นดูบาดแผล “เธอทำได้จริงๆ ฮารุ…” ฮารุถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ฉัน… ฉันก็ไม่คิดว่ามันจะได้ผลดีขนาดนี้” เธอรู้สึกอ่อนแรงกว่าเดิมมาก “พลังงานในตัวฉันมันลดลงไปเยอะเลย” “นอนพักเถอะฮารุ เธอใช้พลังมากเกินไปแล้ว” อิจิพูดขึ้น น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด “ฉันขอโทษที่ทำให้เธอต้องมาเจอเรื่องแบบนี้” “อย่าพูดแบบนั้นเลยอิจิ” ฮารุส่ายหน้า “นายช่วยชีวิตฉันไว้หลายครั้งแล้ว ตอนนี้ถึงตาฉันที่จะช่วยนายบ้าง” ฮารุหลับตาลง เธอรู้สึกเหนื่อยล้าจนแทบจะหมดสติ อิจิจ้องมองใบหน้าของเธอที่ซีดเซียว เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดอย่างสุดซึ้งที่พาเธอมาพัวพันกับเรื่องอันตรายเหล่านี้ หลังจากที่ฮารุหลับไป อิจิก็พยายามตรวจสอบสภาพของเขาอีกครั้ง บาดแผลที่สีข้างแม้จะยังคงปวดอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้รุนแรงเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว คาถาของฮารุได้ผลเกินคาดจริงๆ เขาค่อยๆ ขยับตัวไปนั่งพิงผนังอีกด้านหนึ่ง พยายามใช้ความคิด “ทำไมปีศาจถึงจงใจทิ้งผ้ายันต์ผืนนั้นไว้… และทำไมมันถึงมาตามล่าเราอย่างบ้าคลั่งแบบนี้?” อิจิพึมพำกับตัวเอง “ผ้ายันต์ที่อยู่ในศาลเจ้ามีลักษณะคล้ายกับแผนที่… หรือสัญลักษณ์บางอย่าง” เขาหยิบผ้ายันต์ผืนแรกที่ได้มาจากเงาปีศาจตัวแรกออกมาจากกระเป๋าเสื้อ มันยังคงเป็นผืนผ้าเก่าๆ ที่มีอักษรโบราณและสัญลักษณ์แปลกๆ จารึกอยู่ “ถ้าผ้ายันต์ผืนนี้เป็นกุญแจ… แสดงว่าต้องมีผืนอื่นอีก” อิจิคิด “ผืนที่สอง… ผืนที่สาม… มันจะไปอยู่ที่ไหนกันนะ?” จู่ๆ อิจิก็เหลือบไปเห็นบางสิ่งบางอย่างที่ผนังของบ้านร้างแห่งนี้ มันเป็นรอยจารึกที่เลือนลาง คล้ายกับอักษรที่ปรากฏบนผ้ายันต์และในศาลเจ้า “นี่มัน…” อิจิเอื้อมมือไปแตะที่รอยจารึกนั้น รอยจารึกนั้นไม่ได้เปล่งแสงเหมือนในศาลเจ้า แต่กลับให้ความรู้สึกเย็นเยียบเหมือนหินผา “ทำไมถึงมีรอยจารึกแบบนี้ในบ้านร้าง?” อิจิสงสัย เขาพยายามตรวจสอบรอยจารึกอย่างละเอียด เขาพบว่ามันมีบางส่วนที่คล้ายกับสัญลักษณ์บนผ้ายันต์ แต่กลับมีบางส่วนที่ขาดหายไปราวกับถูกทำลาย “นี่มันน่าจะเป็นส่วนหนึ่งของสัญลักษณ์ที่สมบูรณ์” อิจิพึมพำ “หรืออาจจะเป็นรอยจารึกที่บอกใบ้ถึงตำแหน่งของผ้ายันต์ผืนต่อไป” เขาพยายามนึกย้อนไปถึงตำราโบราณที่เขาเคยอ่านเกี่ยวกับยันต์และผนึกต่างๆ แต่ข้อมูลที่เขามีนั้นน้อยเกินไปที่จะไขปริศนาเหล่านี้ได้ “ถ้าผ้ายันต์ผืนที่สองอยู่ที่นี่… มันจะไปอยู่ที่ไหนกัน?” อิจิเริ่มสำรวจบ้านร้างอย่างละเอียด เขาใช้มือลูบไล้ไปตามผนัง ตามพื้นดิน และตามซอกมุมต่างๆ เวลาผ่านไปเนิ่นนาน อิจิยังคงไม่พบอะไรเพิ่มเติม เขารู้สึกท้อแท้เล็กน้อย แต่ก็ไม่ยอมแพ้ เขาเดินสำรวจไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาหยุดอยู่หน้าเตาผิงเก่าๆ ที่อยู่ในมุมหนึ่งของบ้าน เตาผิงนั้นทรุดโทรมจนไม่เหลือสภาพเดิมแล้ว อิจิเหลือบไปเห็นบางสิ่งบางอย่างที่มุมหนึ่งของเตาผิง มันเป็นรอยจารึกขนาดเล็กที่อยู่ใต้ก้อนอิฐที่หลวมๆ เขารีบก้มลงไปสำรวจ และพบว่ามันเป็นสัญลักษณ์ที่คล้ายกับสัญลักษณ์บนผ้ายันต์ “นี่มัน… สัญลักษณ์ที่ซ่อนอยู่” อิจิพึมพำ เขารีบขยับก้อนอิฐออกอย่างรวดเร็ว และสิ่งที่อยู่ข้างใต้ก็ทำให้เขาเบิกตากว้าง มันคือ ผ้ายันต์อีกผืนหนึ่ง! ผ้ายันต์ผืนที่สองที่เขาตามหา มันมีขนาดและลักษณะคล้ายกับผืนแรก แต่สัญลักษณ์ที่จารึกอยู่บนผืนนี้แตกต่างออกไปเล็กน้อย “เจอแล้ว… เจอผ้ายันต์ผืนที่สองแล้ว!” อิจิพูดขึ้นด้วยความดีใจ เขารีบหยิบผ้ายันต์ขึ้นมาอย่างระมัดระวัง เมื่อเขาสัมผัสมัน ผ้ายันต์ก็เรืองแสงสีขาวจางๆ เหมือนกับผืนแรก ก่อนที่จะดับลง “สองผืนแล้ว… อีกกี่ผืนกันนะถึงจะครบ?” อิจิคิดในใจ เขานำผ้ายันต์ทั้งสองผืนมาวางเคียงกัน เขาพบว่าสัญลักษณ์บนผ้ายันต์ทั้งสองผืนเมื่อนำมาวางรวมกันแล้วคล้ายกับจะต่อกันได้ แต่ก็ยังไม่สมบูรณ์ “มันต้องเป็นชิ้นส่วนของแผนที่… หรือรหัสบางอย่างที่ต้องรวบรวมให้ครบ” อิจิพึมพำ เขานึกถึงภาพนิมิตของฮารุเกี่ยวกับภูเขาไฟ และเงาปีศาจที่ทรงพลังที่อยู่บนยอดเขา “ถ้าผ้ายันต์เหล่านี้คือสิ่งที่ใช้ผนึกปีศาจตัวนั้น… เราก็ต้องหาให้เจอทั้งหมด” อิจิพูดขึ้นอย่างมุ่งมั่น ทันใดนั้นเอง ฮารุก็ขยับตัวเล็กน้อยและส่งเสียงครางเบาๆ อิจิรีบหันไปมอง เธอค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ “อิจิ… นายเจออะไรเหรอ?” ฮารุถามเสียงแผ่ว “เจอผ้ายันต์ผืนที่สองแล้วฮารุ” อิจิตอบด้วยรอยยิ้ม “มันซ่อนอยู่ในเตาผิงเก่าๆ นี่เอง” ฮารุพยุงตัวเองขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก เธอมองไปที่ผ้ายันต์ในมือของอิจิด้วยความประหลาดใจ “จริงเหรอ? นั่นหมายความว่าเราใกล้จะรู้ความจริงมากขึ้นแล้วใช่ไหม?” “ใช่… แต่อันตรายก็มากขึ้นด้วย” อิจิถอนหายใจ “ปีศาจที่เจอเมื่อกี้มันแข็งแกร่งกว่าตัวก่อนๆ มากนัก และมันก็รู้ว่าเรากำลังตามหาอะไรบางอย่าง” “แล้วเราจะทำยังไงต่อไป?” ฮารุถาม “เราต้องหาผ้ายันต์ที่เหลือให้เจอ” อิจิตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ฉันเชื่อว่าผ้ายันต์เหล่านี้คือหนทางเดียวที่เราจะหยุดยั้งหายนะที่กำลังจะมาถึงได้” “แต่นายยังบาดเจ็บอยู่นะ… และฉันก็ไม่แน่ใจว่าฉันจะใช้พลังนั้นได้อีกเมื่อไหร่” ฮารุพูดด้วยความกังวล “ฉันจะพักอีกสักหน่อยก็คงจะดีขึ้น” อิจิพูดขึ้น “ส่วนพลังของเธอ… มันอาจจะเป็นกุญแจสำคัญในการเผชิญหน้ากับปีศาจที่ทรงพลังที่สุด” “นายหมายความว่า… พลังของฉันจะช่วยเราในการต่อสู้ครั้งสุดท้าย?” ฮารุถาม “ฉันไม่แน่ใจ… แต่มันเป็นไปได้” อิจิตอบ เขาจ้องมองผ้ายันต์ในมืออย่างครุ่นคิด “บางที… ผ้ายันต์เหล่านี้อาจจะปลดล็อกพลังที่ซ่อนอยู่ในตัวเธอด้วยก็ได้” ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้ง พวกเขารู้สึกได้ถึงภาระอันหนักอึ้งที่อยู่บนบ่า การตามหาผ้ายันต์ที่เหลือ การเผชิญหน้ากับปีศาจที่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ และความจริงที่น่าสะพรึงกลัวที่รออยู่เบื้องหน้า “เราจะสู้ได้ไหมอิจิ?” ฮารุถามขึ้นมาเบาๆ น้ำเสียงของเธอเจือความหวาดกลัว อิจิวางมือลงบนบ่าของฮารุเบาๆ ดวงตาของเขาฉายแววมุ่งมั่น “เราต้องสู้ฮารุ” อิจิตอบ “เพื่อปกป้องโลกนี้… และเพื่อปกป้องทุกสิ่งที่เรารัก” ฮารุพยักหน้าช้าๆ เธอกุมมือของอิจิแน่น แม้จะเต็มไปด้วยความหวาดกลัว แต่เธอก็พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับทุกสิ่งตราบใดที่มีอิจิอยู่เคียงข้าง “เราจะไปที่ไหนต่อดี?” ฮารุถาม อิจิพับผ้ายันต์เก็บเข้ากระเป๋าเสื้อของเขาอย่างระมัดระวัง “ฉันคิดว่า… เราควรจะกลับไปที่ศาลเจ้าอีกครั้ง” “ศาลเจ้า? ทำไมล่ะ?” “ฉันรู้สึกว่ายังมีบางอย่างที่เราพลาดไป… บางอย่างที่ศาลเจ้านั้นยังคงซ่อนเอาไว้” อิจิพูดขึ้น “และบางที… การกลับไปที่นั่น อาจจะนำพาเราไปสู่ผ้ายันต์ผืนต่อไปก็ได้” พวกเขานั่งพักอยู่ในบ้านร้างอีกพักใหญ่ เพื่อฟื้นฟูร่างกายและจิตใจ ก่อนที่จะตัดสินใจออกเดินทางอีกครั้ง สู่ศาลเจ้าที่เคยให้เบาะแสแรกแก่พวกเขา ด้วยความหวังว่าจะได้พบผ้ายันต์ผืนที่สาม และไขปริศนาทั้งหมดที่รออยู่เบื้องหน้าปดปีผ่านไปนับจากเหตุการณ์บน เกาะแห่งม่านหมอก โลกยังคงสงบสุขภายใต้การดูแลของ อิจิ และ ฮารุ พวกเขายังคงทำหน้าที่ผู้พิทักษ์แห่งสมดุลอย่างเงียบๆ ฮารุในวัย 26 ปี กลายเป็นที่ปรึกษาด้านการพัฒนาชุมชนให้กับเมืองหลวง เธอใช้ความเข้าใจในธรรมชาติของผู้คนและความผูกพันกับผืนดินในการช่วยฟื้นฟูหมู่บ้านและส่งเสริมการศึกษา อิจิในวัย 30 ปี ยังคงเป็นองครักษ์เงาที่แข็งแกร่งและรอบคอบ แต่บทบาทของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากผู้ปกป้องส่วนตัวของฮารุ เขากลายเป็นผู้ดูแลความมั่นคงของเมือง คอยสืบสวนเหตุการณ์แปลกประหลาดที่อาจคุกคามความสงบสุขของประชาชน ผ้ายันต์แห่งความจริงที่เคยเป็นกุญแจสำคัญในการผจญภัยครั้งก่อนๆ บัดนี้ถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีในหอคอยแห่งปัญญาของเมืองหลวง เป็นสัญลักษณ์แห่งการต่อสู้และความจริงที่ไม่มีวันถูกลืมแม้โลกจะสงบสุข แต่ภายในใจของอิจิกลับมีความรู้สึกบางอย่างค้างคามาตลอด เขาไม่เคยลืมคำพูดของ ‘ผู้ตื่น’ ที่ว่า “ข้าจะกลับมา!” และความรู้สึกของเขาบอกว่าความสงบสุขนี้อาจเป็นเพียงม่านบังตา“อิจิ นายยังคงกังวลเรื่องนั้นอยู่หรือเปล่า?” ฮารุถามในขณะที่พวกเขากำลังเดินเล่นในสวนของวังหลวง แสงจันทร์สาดส่องลงมาต้องใบ
สองปีผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับความฝัน อิจิ และ ฮารุ กลับมาใช้ชีวิตที่เงียบสงบในเมืองหลวงของสยามประเทศ เมืองที่เคยถูกม่านหมอกแห่งการลืมเลือนปกคลุม บัดนี้กลับมาคึกคักและสดใสกว่าเดิม ผู้คนใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและจดจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน แม้บาดแผลจากอดีตจะยังคงอยู่ แต่พวกเขาก็เรียนรู้ที่จะอยู่กับมันและสร้างอนาคตที่ดีกว่า ฮารุในวัย 18 ปี เติบโตเป็นหญิงสาวที่งดงามและเปี่ยมด้วยจิตใจที่เมตตา เธอทุ่มเทเวลาให้กับการสอนหนังสือเด็กๆ ในหมู่บ้านที่เคยถูกทำลาย และช่วยเหลือผู้คนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมา แม้พลังแห่งชีวิตจะหายไปจนหมดสิ้น แต่จิตวิญญาณอันบริสุทธิ์และเข้มแข็งของเธอกลับเปล่งประกายยิ่งกว่าเดิม อิจิยังคงเป็นองครักษ์เงาของเธอ คอยปกป้องเธอจากห่างๆ และเฝ้ามองการเติบโตของเธอด้วยความภาคภูมิใจ เขารู้สึกถึงความสงบสุขที่แท้จริงที่เขาไม่เคยสัมผัสได้มาก่อน“อาจารย์ฮารุ! วันนี้จะเล่านิทานเรื่องอะไรให้ฟังคะ?!” เสียงใสๆ ของเด็กหญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งดังขึ้น เด็กๆ หลายคนมารวมตัวกันรอบๆ ฮารุ ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความคาดหวังฮารุยิ้มอ่อนโยน “วันนี้อาจารย์จะเล่าเรื่องของ ผู้กล
แสงแรกของอรุณรุ่งสาดส่องเข้ามาในศาลเจ้าโบราณที่ตั้งอยู่ท่ามกลางความเงียบสงบของป่า อิจิ และ ฮารุ ยืนอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ใบหน้าของพวกเขามีร่องรอยความเหนื่อยล้าจากการผจญภัยที่ยาวนาน แต่ดวงตาของทั้งคู่ยังคงฉายแววความมุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยว หลังจากการเดินทางผ่าน เมืองแห่งความทรงจำ และการเผชิญหน้ากับ ‘ผู้พิทักษ์’ ที่ถูกควบคุมโดย ‘ผู้ตื่น’ พวกเขาได้รับรู้ถึงแผนการอันชั่วร้ายของ ‘ผู้ตื่น’ ที่ต้องการจะลบเลือนความทรงจำของมนุษย์เกี่ยวกับอดีตทั้งหมด เพื่อสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ที่มันคือผู้ปกครองสูงสุด“เราจะทำลาย ‘คำสาปแห่งการลืมเลือน’ ได้ยังไงอิจิ?” ฮารุถาม น้ำเสียงของเธอแผ่วเบา เธอวางผ้ายันต์แห่งความจริงลงบนฝ่ามือ มันเป็นเพียงแผ่นผ้าเก่าๆ ธรรมดาๆ ไม่มีแสงเรืองรองใดๆ เหลืออยู่แล้วอิจิหยิบผ้ายันต์ขึ้นมาดูอย่างพินิจพิเคราะห์ “ไคบอกว่าพลังของเธอที่เชื่อมโยงกับจิตวิญญาณแห่งความทรงจำที่แท้จริงคือกุญแจ… และการทำลายคำสาปนี้จะต้องแลกด้วยพลังแห่งชีวิตของเธอทั้งหมด”“ฉันรู้… และฉันก็พร้อมที่จะเสียสละมัน” ฮารุกล่าว ดวงตาของเธอฉายแววแน่วแน่ “ฉันจะไม่ยอมให้ความจริงถูกบิดเบือนไปตลอดก
ท้องฟ้ายามค่ำคืนเหนือยอดเขาไฟอัคคีแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานยาม ดวงจันทร์สีเลือด โคจรขึ้นมาเต็มดวง แสงสีโลหิตอาบไล้ทิวทัศน์รอบข้างให้ดูน่าขนลุกยิ่งกว่าเดิม เสียงคำรามกึกก้องจากปากปล่องภูเขาไฟดังกึกก้องไม่หยุดหย่อน ราวกับเสียงหายใจอันหนักหน่วงของอสูรร้ายที่กำลังจะตื่นจากการหลับใหลที่ยาวนานนับพันปี กลิ่นกำมะถันและกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ ยิ่งสร้างความกดดันอันหนักอึ้งให้แก่ อิจิ และ ฮารุ ที่กำลังปีนป่ายขึ้นสู่ยอดเขา“อีกนิดเดียวอิจิ! เราจะไปถึงแล้ว!” ฮารุตะโกนบอก เสียงของเธอสั่นเครือจากความเหนื่อยล้าและความหวาดกลัว แต่ดวงตาของเธอยังคงเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่น ผ้ายันต์แห่งความจริงที่สถิตอยู่ในฝ่ามือของเธอเรืองแสงสีรุ้งอ่อนๆ ตอบรับกับพลังงานมหาศาลของดวงจันทร์สีเลือด“ฉันรู้ฮารุ… ฉันสัมผัสได้ถึงมัน” อิจิตอบ เขาปีนป่ายก้อนหินที่แหลมคมอย่างรวดเร็ว แม้ร่างกายจะยังไม่สมบูรณ์เต็มที่ แต่จิตใจของเขามุ่งมั่นกว่าครั้งไหนๆ ดาบในมือของเขาเปล่งประกายสีเงินจางๆ พร้อมรับมือกับทุกสิ่งลมพายุโหมกระหน่ำรุนแรงขึ้นบนยอดเขา เสียงกรีดร้องโหยหวนคล้ายเสียงวิญญาณดังมาจากปากปล่องภูเขาไฟที่กำลังคุกรุ่น ลาวาสีแดงฉา
สายลมแห่งยามรุ่งอรุณพัดโชยมาปะทะร่าง อิจิ และ ฮารุ ที่ยืนอยู่บนเนินเขาเตี้ยๆ แสงแรกของดวงอาทิตย์สาดส่องลงมายังทิวทัศน์เบื้องหน้า เผยให้เห็นยอดเขาไฟที่สูงเสียดฟ้า มันตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางผืนป่าดิบชื้นที่พวกเขาเพิ่งฝ่าฟันออกมา หมอกจางๆ ลอยปกคลุมรอบฐานของภูเขาไฟราวกับผ้าห่มสีขาว กลิ่นกำมะถันจางๆ ลอยมาตามลมเป็นสัญญาณเตือนถึงพลังงานที่ไม่สงบนิ่งที่อยู่ภายใน“นั่นแหละ… ยอดเขาไฟ” ฮารุพึมพำ น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความกังวล “มันดูน่ากลัวกว่าที่คิดไว้เยอะเลยนะอิจิ”อิจิพยักหน้า สีหน้าของเขาเคร่งเครียด “ใช่… พลังงานมืดมิดที่แผ่ออกมาจากที่นั่นมันมหาศาลมาก ‘ผู้ตื่น’ กำลังจะถูกปลดปล่อยออกมาในไม่ช้า”ผ้ายันต์แห่งความจริงที่ผนึกอยู่ในฝ่ามือของฮารุเรืองแสงจางๆ เป็นการยืนยันถึงความรู้สึกของอิจิ พวกเขามีเวลาเพียงสองราตรีเท่านั้นก่อนที่ ดวงจันทร์สีเลือด จะปรากฏขึ้น ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พันธนาการของ ‘ผู้ตื่น’ จะอ่อนแอที่สุด“เราต้องไปถึงที่นั่นให้เร็วที่สุด” อิจิกล่าว “และเราต้องหารหัสลับแห่งบรรพกาลให้เจอด้วย”“รหัสลับนั่น… มันอยู่ที่ไหนกันนะ?” ฮารุถาม “จิตวิญญาณแห่งต้นไม้บอกแค่ว่ามันอยู่ในผืนป่าแห่งนี้
คืนเดือนมืดปกคลุมผืนป่าดิบชื้นทางตอนเหนือของสยามประเทศ แสงจันทร์แทบไม่สามารถส่องผ่านม่านไม้หนาทึบลงมาได้ มีเพียงเสียงจิ้งหรีดเรไรร้องระงม และเสียงลมกระโชกแรงที่พัดกิ่งไม้ใบหญ้าให้เสียดสีกันเป็นระยะ ราวกับเสียงกระซิบกระซาบจากวิญญาณแห่งป่า อิจิและฮารุยังคงก้าวเดินอย่างเชื่องช้า ร่างกายของอิจิอ่อนล้าจากบาดแผลที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างเต็มที่ ส่วนฮารุก็ดูซีดเซียวจากการใช้พลังแห่งชีวิตครั้งล่าสุด แต่ดวงตาของทั้งคู่ยังคงฉายแววความมุ่งมั่นที่จะค้นหาผ้ายันต์ผืนสุดท้ายที่ปรากฏในนิมิตของฮารุ“อากาศที่นี่มันแปลกๆ นะอิจิ” ฮารุพึมพำ น้ำเสียงของเธอแผ่วเบา “มันเย็นยะเยือกกว่าที่ควรจะเป็น… เหมือนมีบางอย่างกำลังจับจ้องเราอยู่”“ใช่… ฉันก็รู้สึกได้” อิจิตอบ เขากระชับดาบในมือแน่นขึ้น “พลังงานที่นี่ไม่ใช่พลังงานของปีศาจ แต่มันเป็นพลังที่เก่าแก่กว่านั้น… ลึกซึ้งกว่านั้น”ตามนิมิตของฮารุ ผ้ายันต์ผืนสุดท้ายถูกซ่อนอยู่ใต้ต้นไม้โบราณที่สูงเสียดฟ้าในป่าลึกแห่งนี้ ต้นไม้ที่แผ่กิ่งก้านสาขาปกคลุมไปทั่วบริเวณ และมีแสงสีม่วงเข้มเปล่งออกมาจากรากของมัน“เรามาถูกทางแล้วใช่ไหมอิจิ?” ฮารุถาม“ฉันหวังว่าอย่างนั้นฮารุ” อิจ