คิระถลึงตาใส่ด้วยความกลัวลนลาน ไม่มีที่ให้ถอยหนีเพราะแผ่นหลังแทบจะแบนติดกับผนังจากแรงผลักตามด้วยร่างใหญ่ทาบกดเข้ามา สองแขนคิระถูกรั้งไว้จนกระดิกตัวไม่ได้หนำซ้ำยังถูกบดขยี้ริมฝีปากจนแทบช้ำ
ถึงจะพยายามขบเม้มไม่ให้ลิ้นร้อนของคุณภามม์รุกรานอย่างเร่าร้อนเข้าไป แต่เมื่อถูกรุกหนักเข้า คิระก็เผยอริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว
ราวกับฟ้าถล่มดินทลาย...
คิระที่ไม่เคยจูบ ไม่เคยแม้แต่ถูกจูบ รู้สึกเหมือนถูกดูดวิญญาณจนหัวสมองขาวโพลนราวกับคนไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะยืนยังแทบทรงตัวไม่อยู่ มือเล็กกว่าเริ่มทุบกล้ามแขนหนั่นแน่นของเจ้านายตัวร้ายอย่างลืมกลัว เขาจึงผลักร่างคิระกระแทกผนังอีกรอบ
“เจ้านกต่อตัวน้อย... โชคร้ายของนายแล้วที่เอาตัวเข้ามาเสี่ยงกับฉัน” ภามม์พูดเท่านั้นก็ส่งเสียงยิ้มเยาะ
“ผมเปล่านะ!”
“อ๋อ หรือที่จริงแล้วนายก็คิดจะเอาตัวเข้าแลกแบบลินี ร้อนเงินเหรอ เอาเท่าไหร่ดีล่ะสำหรับค่าตัวของนาย”
เฮ้ย!
นี่เขาคิดอะไรบ้าๆ แบบนี้ได้วะ!
คิระฉุนขาด
“ไม่ใช่นะ! ผมไม่ได้ขายตัว”
คิระอุทธรณ์ได้เท่านั้นก็ต้องตกใจแทบช็อกเพราะอีกฝ่ายรั้งตัวเขาเข้ามาเผชิญหน้า จากนั้นร่างทั้งร่างก็ถูกโอบรัดแน่นจนหายใจแทบไม่ออก ริมฝีปากบางเฉียบเค้นคำพูดเจ็บแสบออกมาอีกครั้งต่อหน้าคิระ
“ในเมื่อนายกล้ารุกล้ำเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวของฉัน นายก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่ฉันใช้เงินฟาดหัวกระดิกนิ้วนิดเดียวก็ได้มาหรอก”
“ทุเรศ! ผู้ชายที่ชอบดูถูกคนอื่นอย่างคุณก็เลวเหมือนกันนั่นแหละ” เด็กหนุ่มตวาดใส่อย่างกราดเกรี้ยวแต่ร่างกลับลอยละลิ่วตามแรงของอีกฝ่าย
“ไหนว่าใหม่ซิ!”
“ไม่!”
“อยากโดนจับปล้ำตรงนี้ก็ปากดีอีกสิ” เขาตวาดลั่น
“อย่านะ! ผมขอร้อง ผมไม่ได้ตั้งใจ...” คิระร้องร่ำเสียงหลงแต่กลับถูกเจ้าของมือหนาผลักจนหลังชนประตูอีกตามด้วยกล้ามแขนเป็นมัดขัดลำคอคิระเอาไว้ อีกมือของเขากดล็อคลูกบิดดังคลิกจนเด็กหนุ่มถึงกับตะลึง
เฮ้ย!
นี่มันอะไรกันเนี่ย!
คิระดิ้นรนไม่หยุด นี่เขากำลังจะถูกผู้ชายด้วยกันทำอนาจารเหรอเนี่ย !
ไม่ยอม!
ร้อยไม่ยอม!
พันไม่ยอม!
คิระดิ้นขลุกขลักแต่อีกฝ่ายก็ยังไม่ยอมปล่อย คราวนี้เด็กหนุ่มจึงรวบรวมสติใช้น้ำเย็นเข้าลูบ “คะ... คุณ พอแล้ว ผมยอม!”
“ยอม?”
“ก็ใช่น่ะสิ ยอมๆๆ”
“งั้น บอกมาว่าใครใช้นายมา!”
“ละ... ละ... ลุง... ลุงตฤณไง.”
“อย่ามาทำติดอ่าง ไอ้ภัทรมันใช้นายมาใช่ไหม!”
“ภัทรไหนอีก ผมไม่รู้จัก”
“โกหก”
คิระสะดุ้งสุดตัวเห็นดวงตาแข็งกร้าวเต็มไปด้วยรอยก้าวร้าวรุนแรงก็ยิ่งใจหายหนักกว่าเก่า ไม่ทันที่จะแก้ตัวก็ถูกบดจูบริมฝีปากโดยไม่ทันตั้งตัว
“อื้อ! มะ... ไม่”
“ยังไม่ตอบอีก” เขาตะคอกอีกพร้อมคำถามที่เหมือนไม่ต้องการคำตอบ “หรือว่าที่จริงแล้วเป็นขโมยจริงๆ”
“โว้ย! วนมาขโมยอีกแล้ว” คิระโวยวาย ดิ้นขลุกขลักไม่หยุด
“บอกว่าไม่ใช่ ไม่ใช่ทั้งนกต่อ ทั้งขโมยหรืออะไรทั้งนั้นล่ะ ผมแค่เอาแฟ้มมา อ๊ะ! อย่า...” คิระเค้นเสียงลอดไรฟัน กัดริมฝีปากแน่นไม่ให้ถูกรุกล้ำอีกแต่กลับถูกมือข้างที่ว่างอยู่ของอีกฝ่ายบีบคางเรียวให้เผยอ คิระถึงกับหอบ หายใจแทบไม่ออกเพราะถูกลำแขนกดลำคออยู่จนสีหน้าเหยเก
เพียงครู่อีกฝ่ายก็โน้มหน้าลงมาอีกครั้งแล้วบดจูบร้อนแรงฝังลงไปราวกับมันคือออกซิเจนที่จะป้อนให้คิระโดยที่ไม่เคยร้องขอ ลิ้นร้อนช่ำชองชำแรกแทรกซึมเข้าไปปนเปื้อนกับของเหลวในริมฝีปากของเด็กหนุ่ม ทั้งควานหาซอกซอนไม่ให้คิระหนีไปไหนได้ จนกระทั่งร่างเพรียวอ่อนระทวยไร้แรงขัดขืน ภามม์จึงแสยะยิ้มแล้วผลักคิระออกห่าง
“เป็นไง ลิ้มรสชาติของฉันแล้วเร้าใจดีไหมล่ะ แต่ว่าก็ว่านะ นายถึงกับตัวอ่อนขาอ่อนแบบนี้หรือว่าที่จริงแล้วยังไม่เคย?”
“คุณดูถูกผม!”
“อ้าว! ตกลงดูถูกสินะ นึกแล้ว”
“อะ ไอ้คนบ้า!”
“บ้าก็บ้าวะ! จะบ้าปล้ำขโมยตรงนี้แหละ”
คิระใจหายวาบ...
ไม่รู้ว่าเรื่องราวแค่เอาแฟ้มมาให้คุณภามม์เซ็นต์จะเลยเถิดมาจนถึงเขาจะถูกจับปล้ำได้ยังไง
นี่มันเรื่องบ้าๆ อะไรกันเนี่ย!
“ไง ใบ้กินเลย ไม่ขอร้องฉันแล้วเหรอ”
คิระฟังแล้วตาโต เกิดแรงฮึดผลักอกชายหนุ่มเต็มแรงจนถอยหลังไปหลายก้าว เขาได้ทีจะออกวิ่งแต่กลับถูกคว้าแขนไว้ให้กลับมาเผชิญหน้า คุณภามม์ทำเหมือนเขาเป็นลูกไก่ในกำมือที่จะบีบก็ตายจะคลายก็รอด เพราะทันทีที่ตาของเขาจ้องเขม็งมา คิระก็รู้สึกราวร่างทั้งร่างขาดแรงยืนเอาดื้อๆ
“เหอะ ถึงกับเข่าอ่อน นายนี่มันก็แค่หิวเงิน พวกเอาตัวเข้าแลกเพื่อเศษเงินสินะ”
“ปากเสีย!”
“เหรอ... ปากเสียแต่ฉันก็จูบดีไม่ใช่เหรอ”
พั่วะ!
คิระประเคนหมัดบนใบหน้าอีกฝ่ายจนหน้าหันด้วยความโมโห แต่แทนที่ภามม์จะหยุดกลับดึงคิระเข้าหา เมื่อดวงตาสบกัน คิระเห็นแววตาร้อนแรงของภามม์จ้องมาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อก่อนพ่นคำพูดร้ายกาจออกมา
“คนหน้าเงินอย่างนาย เจอเงินคงอ่อนระทวย”
“ผมไม่ได้หน้าเงิน!”
“งั้นบอกมาว่าไอ้ภัทรใช้นายมาใช่ไหม!”
“ก็บอกว่าไม่ใช่ไง!”
“อา... นายแน่มากกล้าเถียงคำไม่ตกฟากขนาดนี้ รู้ไหมว่าฉันเป็นใคร”
คิระถลึงตาใส่ก่อนเค้นคำพูดใส่หน้า “คุณก็เป็นไอ้บ้าตัณหากลับไง เสียดายที่ผมเคยหลงชื่นชมว่าคุณเป็นผู้ใหญ่ใจดีที่แท้ก็เป็นไอ้บ้ากามลามกจกเปรต”
“หึ... ปากจัดดี” ภามม์ว่าจบก็แสยะยิ้มร้าย ดวงตาแข็งกร้าวจ้องเขม็งเพ่งพิศดวงหน้าเฉิดฉายไล่ตั้งแต่ริมฝีปากอุ่นที่เริ่มเจ่อบวม จมูกโด่งเป็นสันเชิดรั้นตรงปลายจนกระทั่งดวงตาที่สุกสกาวราวฟ้ายามค่ำคืน
“ฉันชักจะชอบดวงตาอวดดีของนายแล้วสิ มาเป็นมายคูปเปอร์ของฉันดีไหม”
“มายคูปเปอร์บ้าอะไรของคุณ แบดคูปเปอร์มากกว่า คนบ้าบอ!”
ข้าวต้มปลากระพงหอมกรุ่นที่ตั้งอยู่บนโต๊ะอาหารทั้งสองชามเริ่มจางไอร้อนลงแล้ว แต่คุณตรีก็ยังไม่ลงมาสักที ระหว่างรอผมจึงจัดแจงรินอเมริกาโน่ร้อนไม่ใส่น้ำตาลใส่แก้วเคลือบที่เป็นรูปผมกับเขาคู่กันไม่ใช่ผมหรอกนะที่จัดหามันแต่เป็นคุณตรีต่างหากที่มีมุมคิกขุชนิดหาตัวจับยาก คอยทำนั่นทำนี่ มีเซอร์ไพรส์ต่างๆ นานาให้เขาเหมือนคนเก็บกดเลย...หึหึ...แต่ผมชอบที่คุณตรีเอาใจใส่ ให้ความรัก ส่วนผมก็สรรหาสิ่งดีๆ ให้เขา ไม่ว่าจะอาหาร เสื้อผ้า ของใช้จำเป็น ไม่ต้องลำบากเป็นหน้าที่ของสนธยาเช่นเคย ผมนั่งเช็คยอดวิวคลิปล่าสุดที่ลงในยูทูปไปพลางก็อดยิ้มอย่างดีใจไม่ได้ ตอนนี้ช่องยูทูปของผมมีคนติดตามกว่าสามแสนคน และคลิปที่เพิ่งลงล่าสุดก็มียอดวิวแค่ข้ามคืนเกือบหนึ่งแสน ผมได้แต่ปลาบปลื้มอยากจะอวดคุณตรีแทบบ้า แต่เขาก็ช้าเหลือใจจนผมต้องร้องเรียก“เสร็จรึยังฮะ” “เกือบแล้วที่รัก” หูยยยย...คำก็ที่รัก สองคำก็ที่รัก เขากำลังทำให้ผมสำลักความรักจากเขาจนเคยตัวแล้ว “เร็วๆ สิฮะ เดี๋ยวข้าวต้มเย็นหมดนะ” “กำลังจะลงแล้วที่รัก” แหม...เขาเรียกผมว่าที่รักตล
เราสองคนสบตากันโดยไม่มีคำพูด ริมฝีปากเราแนบชิดส่งต่อความหวานอบอุ่นผ่านความคิดถึงที่แทบล้นออกมาจากอก เสียงหัวใจของเขาเต้นแรงไม่ต่างจากผม เราสองคนส่งต่อความคิดถึงผ่านรสจูบลึกล้ำเนิ่นนานกว่าที่คีตาจะผละลุกนั่งหายใจหายคอไม่ทันดวงหน้าคีตาแดงก่ำ ทรงผมยุ่งเหยิง ริมฝีปากวาววับจนผมอยากจะกลืนกินเขาไปทั้งตัว แต่ผมต้องยั้งใจแล้วผุดลุกนั่งตรงข้ามกับเขาบนโชฟาเดียวกัน“คุณตรีหื่น” เขาตัดพ้อผมอดหัวเราะออกมาไม่ได้ ก็ใครกันแน่ที่หื่น จู่ๆ ผมเองต่างหากที่โดนจูบไม่ใช่เขา“นายแหละหื่น” ผมหยอกไม่พอเอื้อมมือทั้งสองไปลูบผมของเขา จัดทรงให้เรียบร้อยคีตาจับมือทั้งสองของผมมาแนบแก้ม มือของเขาอบอุ่นมากจนผมเผลอยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู“มาถึงก็อ้อนกันขนาดนี้ ทำอะไรผิดกับฉันรึเปล่าคี” ผมถามหยั่งเชิง คีตามุ่นคิ้วหรี่ตามองผมพลางส่ายหน้าเบาๆ“ผมไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย”“แต่นายมาไม่บอก”“ก็ผมอยากให้คุณเซอร์ไพรส์”เขาบอกแค่นั้นก็ผละไปที่หน้าประตู ผมมองตามคีตาที่รื้อกระเป๋าเดินทางอย่างกระตือรือร้น ก็นึกสงสัยจึงลุกตามไปดูใกล้ๆ เขาเงยหน้ามองแล้วยิ้มกว้างก่อนจะยื่นซองสีขาวขนาดเท่าเอสี่ส่งให้“นี่ฮะ”“อะไร”ผมรับมาแต่ยังไม่
ผมผุดลุกนั่งอย่างช้าๆ หย่อนเท้าลงบนพื้นเย็นเฉียบ รวบรวมแรงทั้งหมดที่มีเดินไปเปิดม่านหน้าต่างริมระเบียงที่มองเห็นแม่น้ำเจ้าพระยายามค่ำคืนได้อย่างชัดเจนที่สุดที่ร้านอาหารฝั่งโน้นคงมีงานถึงเปิดไฟสีสันสว่างไสว ผมเพ่งมองไปในความมืดของแม่น้ำเจ้าพระยาเชี่ยวกราก เห็นเรือหรูแล่นผ่านไปมา ผู้คนบนเรือนั้นคงมีความสุข สนุกสนานเนื่องจากใกล้เทศกาลปีใหม่ผมก็อยากให้ปีใหม่ปีนี้มีคีตาอยู่เคียงข้าง แต่ดูเหมือนจะเป็นไปได้ยากหลังจากที่เราทะเลาะกันวันนั้น“ผมคิดถึงคุณจัง”วันนั้นผมยิ้มออกหลังได้ยินคำหวานโปรยมา ครั้งนี้เขาไม่ให้ผมเห็นหน้าบอกไม่สะดวกคุยวิดีโอคอลด้วยทั้งที่ก่อนหน้านั้นไม่เคยปฏิเสธเลยสักครั้งผมตะหงิดในใจแต่ก็ถามเขาไปด้วยน้ำเสียงอ้อนๆ ที่ไม่คิดกดดัน “จะกลับวันไหนจะได้ไปรอรับ”“เอ่อ... ผมยังติดธุระอยู่เลยฮะ” เขาตอบ“ทันปีใหม่ไหม”“ไม่แน่ใจฮะ”ผมอึ้งไป นี่ผมต่อเวลาให้คีตาจากสองเป็นสี่ปีแล้วนะ เพราะเห็นแก่ที่เขาสอบติดมหาวิทยาลัยในสาขาเปียโนที่ถือว่าแข็งแกร่งที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ตอนนั้นเราทะเลาะกันครั้งหนึ่งเรื่องที่คีตาขอเรียนปริญญาตรีให้จบ ผมก็ยอมเพราะเห็นแก่ความมานะพยายาม“ไหนว่าเรียนจบแล้วจะร
ผมหัวเราะออกเพราะเขาดูงอนๆ หน้าก็บึ้งตึงไม่น่ารักเหมือนเคย ผมอาศัยทีเผลอพลิกตัวขึ้นคร่อมเขาแล้วระดมจูบดวงหน้าของเขาไปทั่วอย่างหนักหน่วงเอาใจ คุณตรีกอดผมแน่นโยกตัวไปมาราวกับว่าเรากำลังเต้นรำทั้งที่นอนอยู่บนเตียงด้วยกัน “โอ๋ๆ อย่างอนนะฮะบอสที่รักของผม” “คีรู้ไหมว่าทำไมฉันถึงรักคี” “ไม่รู้สิฮะ คงเพราะผมดื้อมั้ง” ผมเย้า เขายีผมของผมทันทีจนผมเบี่ยงตัวหนีแต่ไม่พ้น เขาจั๊กจี้ผมที่สีข้างจนผมที่บ้าจี้อยู่แล้วถึงกับร้องลั่น แต่เขาก็ยังไม่นำพาจนผมต้องยอมแพ้ “ก็ได้ๆ ผมอยากรู้ฮะ” ผมตอบตามที่คิดจริงๆ ผมอยากรู้ว่าระหว่างเรามันคือเรื่องบังเอิญหรือโชคชะตา “เพราะคีเข้ามาในเวลาที่ใช่ หากเป็นก่อนหน้านั้นฉันคงไม่เปิดใจ คีทำให้ฉันรู้ว่าความรักไม่จำกัดนิยามเป็นยังไง” “หมายถึงว่าไม่มีนิยามหญิงชายอะไรงี้เหรอฮะ” “อืม...แล้วก็ต้องขอบคุณพ่อฉันกับปู่คีด้วยที่เจ้ากี้เจ้าการจับคีให้ฉัน” “ตากับปู่เปล่าจับผมให้คุณซะหน่อย คุณน่ะโมเม”“นั่นสินะ ไม่โมเมจะได้คีเป็นเมียเหรอ”“ชิ คุณน่ะ แถไปเรื่อย”“แถแล้วรักไหม”“รักมาก”“ถ้ารั
“ทำไมมั่นใจในตัวฉัน” เขาถาม น้ำเสียงดูไม่มั่นใจ ไม่รู้คุณตรีกลายเป็นคนคิดเยอะตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ผมคิดว่าผมรู้ใจเขามากพอจะรู้ว่าเขาต้องยอมเพราะผมรู้จักคุณดีพอ” ผมตอบพลางยิ้มหวาน ไม่รู้ว่าเป็นยิ้มที่หวานสุดชีวิตได้หรือยัง ผมตื้นตันใจมากที่เขาคิดถึงอนาคตของผม แต่ผมก็อยากจะเป็นคนที่คู่ควรกับเขา ผมอยากเอารางวัลมาฝากบอสบนเตียงของผม...“แต่ถ้ากลับมาคนเดียวฉันต้องเหงาแน่เลย นายทิ้งฉันลงเหรอคี” “ผมจะทิ้งคุณได้ไงฮะ คุณเป็นสามีผมนะ” “แต่ก็ยังจะไปตั้งสองปี...” “แค่สองปีเอง คุณรอผมไมได้เหรอฮะ” ผมย้อนถาม ไม่ได้อยากได้คำตอบจริงจังหรอกเพราะผมรู้ว่าเวลาสองปีนานพอที่จะทำให้อะไรต่อมิอะไรสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้เสมอ โดยเฉพาะคนอย่างคุณตรีที่มีดีกรีความเหงาเป็นที่หนึ่งเขาอาจจะเหงา เปลี่ยนไป และบางทีอาจมีคนใหม่ ถ้าเขาเปลี่ยนไป ผมก็จะได้ทำใจยอมรับว่าเราอาจไม่ใช่คู่กันถึงผมจะไม่อยากให้วันนั้นมาถึงก็ตาม“ฉันไม่อยากให้คีไปเลย กลัวใจหมอนั่นจะทำคีไขว้เขว” “หมายถึงพี่จุลเหรอฮะ”“หมอนั่นแหละจะใครซะอีกล่ะ”คุณตรีค้อนผมขวับใหญ่ ผมกอดเขา จูบแก้มฟอดใหญ่“คุณ
“คีของฉัน... น่ารักใช่ไหมล่ะ”“แหม ของฉันเลยนะตรี” พิมมี่หยอก “แต่น่ารักจริงไม่อิงนิยาย คีน่ารักมากเลยจ้ะ”“แน่อยู่แล้ว นอกจากคีจะเป็นครูสอนนาราแล้วยังเป็นภรรยาผมด้วย” “คุณตรี! พูดอะไรอย่างนั้นฮะ!” “ก็มันจริง” เขาตอบ ผมอายแทบแทรกแผ่นดินหนี แต่ก็หยิกต้นแขนเขาไปที “คุณพิมอย่าไปฟังคนเพ้อเจ้อนะฮะ” ผมแก้เก้อ “พิมเห็นด้วย” เธอว่าเท่านั้นแต่ทำให้คุณตรียืดเลย “ก็มันจริงนี่ ใช่ไหมนารา” คุณตรีโยนคำถามไปให้น้องนาราทันที ทำให้ผมพูดไม่ออก ลำพังคุณตรีผมย้อนไม่ยั้งแน่ แต่กับน้องนาราที่น่ารักและผมก็รักเอ็นดูเธอ คำน้อยก็ไม่อยากให้ระคายใจ ไหนจะพิมมี่ที่ไม่ได้สนิทกันด้วย ผมได้แต่อ้ำอึ้ง... พิมมี่กับนาราหัวเราะคิกคักให้กันแล้วเป็นนาราที่พูดเสียงอ่อย “เห็นไหมคุณแม่ นาราบอกแล้วว่าพี่คีเป็นแฟนคุณพ่อจริงๆ” “โซ พริตตี้ ยูเวรี่ไนซ์” พิมมี่ชมไม่หยุด “ขอบคุณที่ดูแลลูกสาวให้ฉันค่ะ” “ลูกสาว? คุณหมายถึงน้องนาราน่ะเหรอฮะ” “ใช่จ้ะ” “เธอไม่ใช่... เอ่อ.