“พวกแกมีของอะไรบ้างส่งมาให้หมด! เดี๋ยวนี้! อย่าลีลา!”
กดมีดคัตเตอร์จมคอจนเลือดซิบ คอเหี่ยว ๆ ของลุงสั่นสะบั้นไม่มีทางเลยที่คนแก่ แถมยังเป็นตัวประกอบอย่างแกจะสู้แรงคนหนุ่มได้
.
และก่อนที่พวกเจนิสจะกระดุกกระดิกหรือทำอะไรลงไป ชายในเสื้อฮูดอีกคนที่ถือปืนอยู่ในมือก็ได้ย้ายปลายกระบอกมาจ่อเข้าที่ขมับของลุง เพื่อเพิ่มแรงกดดันให้ถาโถมขึ้นไปอีก เขาตะคอกใส่หน้าไปอีกคำรบ
.
“แล้วพวกเอ็งมีกันกี่คน?! ยังมีคนอื่นอีกรึเปล่า?!”
“ห๊าาา!”
“บอกมาสิโว๊ยยย!”
.
ฝอยน้ำลายฟุ้งกระจาย ทว่าสิ่งที่สกปรกกว่านั้นกลับเป็นการเหนี่ยวขึ้นลำกระสุนเพื่อเตรียมยิง เหลือเพียงออกแรงเหนี่ยวไกหัวของลุงก็คงจะเละเป็นลูกแตงโมไม่ต่างจากป้า
.
เจนิสกับเพื่อนเลยเลือกที่จะเงียบ เธอพยายามเบี่ยงสายตามองด้านข้าง ก่อนจะพบว่าแพรวเองก็ไม่ได้อยู่ตรงตู้กดก๊าซหยอดเหรียญแล้ว หัวหน้าแคลนหายไปอย่างไร้ร่องรอย แถมยังไม่มีแม้แต่เสียงฝีเท้าสักแอะ พอหันหน้ากลับมามองตรงตามเดิมพลางเพ่งสายตาให้ยืดยาวออกไป จนทะลุผ่านร่างของชายทั้งสองจนลึกสุดทางเดินด้านในได้ เธอก็ได้พบกับบางสิ่งบางอย่างที่เด็กไม่ควรจะเห็นเข้า
.
คุณพระช่วย! มันคือศพที่แห้งทับถมกันนับสิบ ๆ ศพ!
บางส่วนเป็นกระดูก บางส่วนก็แห้งเกรอะกรังลอกเป็นแผ่นหนัง ศพถูกวางซุกไว้ตรงมุมห้องบ่งบอกว่าที่นี่เป็นกับดัก มินิมาร์ทแห่งนี้ถูกจัดฉากไว้ตั้งแต่แรกโดยกลุ่มคนอีกแคลนหนึ่ง พวกเขาไม่ใช่คนดีเหมือนแพรวแถมยังเป็นพวกชั่วช้าต่ำทรามที่ดักฆ่าทุกคนที่ผ่านไปผ่านมา เพียงเพื่อให้ตัวเองได้มีชีวิตรอดไปวัน ๆ.
“ว่าไงล่ะอีหนู! ไม่ได้ยินที่ฉันถามรึไงฟะ! หรืออยากให้ไอ้แก่นี่ตาย!”
“พวกแกมีกันกี่คน?!”
.
สะดุ้งสั่นไปถึงมวลอะตอมเจนิสกับเพื่อนตัวชาพูดไม่เป็นประโยค พวกหล่อนหวาดกลัวมากเพราะตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยใกล้ชิดกับความตายมากขนาดนี้มาก่อน แต่ครานั้นก็ยังกัดฟันสู้พลันพูดออกไปลอย ๆ แบบส่งเดชออกไป
.
“มีแค่นี้ล่ะค่ะแค่ 5 คนเท่าที่เห็น ได้โปรดอย่าทำอะไรพวกเราเลย เอาของเราไปหมดเลยก็ได้ เราจะรีบไปแล้วจะไม่บอกใครว่ามีคนอยู่ในนี้ ได้โปรดเถอะนะคะ.. หนูขอร้อง.. ง.. ง..”
เด็กสาวก้มหัวลงเลี่ยงที่จะสบตา พูดไปทั้งน้ำตาครางกระซิก ๆ คิดเอาสิว่าภายในกลุ่ม 3 คนที่ใส่หน้ากากครอบแก้วอยู่ตอนนี้ จากกระจกจอสีฟ้ากับตัวเลขออกซิเจนที่สูงถึง 85% ความเครียดกลับทำให้หน้ากากของพวกเธอแดงเถือก และแสดงค่าก๊าซภายในว่าเหลืออยู่แค่ 20% เท่านั้น
.
“หึ!”
“งั้นก็ต้องมาเช็คกันหน่อยนะว่าเธอโกหกเรารึเปล่า?”
.
ชั่วเสี้ยวอึดใจหลังพล่ามเสร็จ กระสุน 9 มม. จากปากกระบอกปืนสมิธแอนด์เวสสันก็ผ่าวร้อนขึ้นวาบวาม!
.
“ปังงง!”
.
มันเร็วจนไม่ทันได้ตั้งตัวกระสุนพุ่งปั่นขมับจนหัวของลุงแหว่งไปครึ่งซีก! มิหนำซ้ำมันยังไม่ยอมปล่อยให้ร่างแกกองลงที่พื้น ไอ้ชั่วหัวหมวกฮูดยังได้ทำการเหนี่ยวรั้งร่างของลุงเอาไว้ พลางเหวี่ยงสะบัดให้ร่างกายแกลอยปลิวไปกองอยู่ข้างกันกับป้าตรงหน้าตู้แช่น้ำ ทำเอาพวกเจนิสถึงกับแผดเสียงกรี๊ดออกมาด้วยความตกใจ แต่พวกมันก็ไม่สน! ต่างคนต่างเดินอาด ๆ เข้ามาหากลุ่มเด็กสาว พร้อมกับยกปลายกระบอกปืนขึ้นเตรียมจะยิงเรียงตัว เพื่อจะปล้นเอาข้าวของเสบียงรวมไปถึงหน้ากากครอบแก้ว อุปกรณ์สุดสำคัญที่ราคาสูงลิ่วแล้วในปีปัจจุบัน
.
“อย่ายิงพี่~! ได้โปรดเถอะ~!”
.
แต่เดชะบุญเมื่อ!
.
“เฮ๊ย! ระวัง! หลบเร็ววว!”
.
“แกร๊งๆ ! , ฟิ้ววว~!”
.
ชายหนึ่งคนเบี่ยงตัวหลบออกซ้าย ส่วนอีกคนย้ายออกขวา เพราะวัตถุตรงกลางที่พุ่งแหวกอากาศเข้ามาก็คือกระป๋องก๊าซอันหนึ่งที่ถูกปาเข้ามาโดยแพรวหัวหน้าแคลน!
.
เธออาศัยจังหวะที่พวกมันตกใจ ควัก Glock 18c โครงโพลิเมอร์ออกมา พลันลั่นกระสุนเพียงหนึ่งนัดเข้าใส่กลางกระป๋องแบบตรงเผง ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ
.
“ตูมมม!!!”
.
ปฏิกิริยาเคมีทำงานราวกับเล่นมายากล อานุภาพทำลายล้างไม่สูงมากแต่ก็มากพอที่จะทำให้ใบหน้าและฮูดที่คลุมอยู่มอดไหม้ลุกติดไฟ พวกมันกรีดร้องด้วยความทุกข์ทรมาน ระหว่างนั้นแพรวก็ได้ปรับโหมดปืนเป็น Burst Fire เพื่อให้สามารถยิงรัวได้คราวละ 3 นัดต่อเนื่อง เปลี่ยนจากปืน 9 มม. ธรรมดาให้มีอานุภาพไม่ต่างจากปืนกลเบาดี ๆ กระบอกหนึ่ง
.
“มาเซ้! ออกมาเลย! มีพวกแกอีกกี่คนซ่อนอยู่ตรงไหนกันบ้าง ลองแหกปากขนาดนี้มันต้องออกมาดูเพื่อนมันบ้างล่ะ”
แพรวคิดในใจเธอชันกายพิงอยู่หลังกำแพงตรงชั้นวางของด้านหลัง พลางทอดสายตาดูพวกเด็ก ๆ อยู่เป็นระยะ จากตรงนี้เธอยังเอาอยู่! กระสุนก็มากพอที่จะคุ้มครองทุกคนได้ ก่อนที่หลังจากนั้นต่อมาจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก ไม่มีสมาชิกใหม่ออกมาสมทบ แล้วพวกมันทั้งสองก็ค่อย ๆ สงบลงล้มตรึมไปกับพื้น ในสภาพของศพที่ทั้งไหม้แล้วก็เกรียมเละ
.
เช็คทุกอย่างจนมั่นใจสาวเจ้าจึงย่างเท้าก้าวออกมาจากจุดซุ่ม ประตูหลังร้านถูกงัดเข้าไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่มีใครรู้ แต่ที่รู้คือแพรวปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับสมาชิกของแคลนระยำนี้อีกสองศพ ที่เธอหนีบไว้ใต้วงแขน หนึ่งในนั้นบนหัวของมันยังมีไม้หน้าสามฝังตะปูของเธอติดคาอยู่ แล้วเธอก็จัดแจงเหวี่ยงศพเหล่านั้นลงมากองต่อหน้าเด็ก ๆ
.
“ฟุบบบ!”
.
“ลุงกับป้าไม่รอดแล้วล่ะ ช่วยเช็คศพพวกนี้หน่อยสิ มีของอะไรพอใช้ได้เก็บออกมาให้หมด"
“ศพไฟไหม้นี้ก็ด้วย..”
"ส่วนคนที่เหลือเข้าไปด้านใน ฉันเคลียร์ทุกอย่างแล้ว เก็บกระเป๋าเป้ลุงกับป้ามาด้วย เรายังต้องใช้ของ ๆ พวกแกอยู่..”
.
กระพริบตาปริบ ๆ เจนิสยังคงสั่นเทิ้ม
.
“มองอะไร?! ติดขัดตรงไหนหรอเจนิส?!”
.
“ปะ.. เปล่าค่ะพี่แพรว.. ว.. ว.. เราจะทำตามเดี๋ยวนี้ล่ะค่ะ!”
.
และขณะที่พวกเด็ก ๆ กำลังกุลีกุจอทำตามคำสั่งอยู่นั้น แพรวก็ได้พูดสำทับย้ำจุดยืนขึ้นมาอีกครั้ง เธอป่าวประกาศต่อหน้าทุกคนว่าเราจะไม่ทำแบบพวกนี้เป็นอันขาด เราจะหนีออกจากเมืองหลวงเพื่อออกไปมีอนาคตที่ดียิ่งกว่า ไม่ใช่อยู่อย่างโจรมุมตึกดักปล้นชิงฆ่าแบบไร้จุดหมายเยี่ยงนี้ ถึงสุดท้ายแล้วจะต้องมีผู้เสียสละบ้าง แต่ก็ให้ถือซะว่านั่นเป็นเรื่องปกติในการต่อสู้ เลยอยากจะให้ทุกคนปรับทัศนคติให้ตรงกัน ก่อนจะเดินทางด้วยกันต่อไป
.
เล่นใหญ่ไฟกระพริบมากน้ำตาเจนิสชักจะเหือดแห้ง เธอไม่เหลือความกลัวอีกต่อไป นับแต่นี้ไปคงมีแต่ความประทับใจและเอมอิ่มที่มีต่อแพรว เมื่อมองจากเบื้องหลังและนั่งยองดูจากตรงนี้ ท่วงท่าของแพรวนั้นเท่โคตร ๆ เธอมีทั้งความกล้าและลูกบ้าที่มากกว่าหญิงใดจะมีได้ องศามุมช้อนสะท้อนแสงแดด สะบัดผมทีสวยราวกับพรีเซ็นเตอร์ขายอุปกรณ์การแพทย์ที่เห็นตามป้ายบิลบอร์ดข้างถนน เพียงแต่เจนิสนั้นไม่กล้าพูดออกไปตรง ๆ เธอจะกล้าบอกแพรวได้ยังไง ว่าพรีเซ็นเตอร์คนที่คิดถึงนั้นคือ “มิวท์” ไม่ใช่แพรว!
เหลือเชื่อว่าจะได้ยินเสียงจิ้งหรีดแทนที่กระสุนปืน เจนิสส่งทุกคนเข้านอนและตอบแทนความไว้ใจจากแพรวด้วยการห่มผ้าให้กับพี่สาว แม้จะรู้ดีว่าในสถานการณ์เช่นนี้คงยากที่จะข่มตาหลับ แต่ชีวิตนั้นก็ต้องก้าวต่อไป แพรวอุตส่าห์นำทุกคนให้รอดมาถึงพื้นที่ใต้ทางด่วนตรงนี้ได้ แล้วมีหรือที่สายแข็งนักนอนเช้าอย่างเจนิสจะไม่ตอบแทนกลับไปบ้าง.เธอค่อย ๆ ย่องห่างออกมาจากจุดพัก สอดส่ายสายตาผ่านทะลุไปตามซอกหลืบต่าง ๆ ที่คิดว่าน่าสงสัย พลันตั้งคำถามกับตัวเองในใจว่าเสียงจิ้งหรีดนั้นมาจากไหน ถ้าเป็นเสียงปืนหรือเสียงคนฆ่ากันตายยังจะเป็นไปได้มากกว่า.“นั่นน่ะสิ! แปลกมากเลย? โควิดมันกินได้แม้กระทั่งผนังปูน แล้วกับสิ่งมีชีวิตเปลือกหุ้มอย่างจิ้งหรีดกลางคืนเนี่ยะนะ ไม่ใช่ล่ะ! เป็นไปไม่ได้!”“ถ้าเราไม่หูแว่วไปเอง เราควรจะตรวจสอบทุกจุดที่น่าสงสัยให้ละเอียดที่สุด”.กระชับหน้ากากครอบแก้วให้ติดแน่น ตัวเลขสถานะก๊าซลดลงเล็กน้อยเพราะความตื่นเต้น ส่วนในมือที่ถืออยู่ก็คือพลองไม้ขนาดยาวที่เป็นเหมือนอาวุธประจำกายของเธอ มันทั้งง่อนแง่นแล้วก็ดูบอบบางจนจินตนาการไม่ออกว่าถ้าเอาไปฟาดหัวใครเข้า Damage จะเข้าสักเท่าไหร่ แต่ครานั้นเจนิสก็
ฝุ่นตลบอบอวลควันโขมงโฉงเฉง ต่างคนต่างกรี๊ดกันไม่ออกด้วยเพราะถูกแพรวใช้ฝ่ามือปิดปากเอาไว้ 4 ชีวิตรอดตายแบบเฉียดฉิว รอจนกระทั่งทุกอย่างเริ่มเจือจาง และแสงจันทร์เริ่มจะสาดแสงทุกสายตาถึงเริ่มขยับเขยื้อน แผ่นปูนผืนใหญ่ยังคงตั้งตระหง่านเป็นกำบังให้ ส่วนพวกสาว ๆ เองก็ต่างพยายามจะชะเง้อออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง หลังการถล่มของตึกหลังใหญ่ผ่านพ้น.“เบา ๆ นะระวังด้วย..”แพรวกระซิบเตือน.ความอยากรู้อยากเห็นนี่แหละที่เป็นทั้งคุณและโทษ มันทำให้เกิดความกระตือรือร้นก็จริง แต่ก็ทำให้เกิดช่องโหว่ได้ในคราวเดียวกัน เพราะสิ่งที่ทุกคนเห็นก็คือขบวนรถพยาบาลที่วิ่งเข้ามากันอย่างขวักไขว่ สัญลักษณ์ AP บนตัวถังเด่นหลา มีการขนคนเจ็บรายทางออกมา แถมยังมีบางส่วนที่วิ่งตรงเข้าไปยังจุดปะทะเพื่อไปเอาคนเจ็บที่ตกค้างออกมาจากสมรภูมิ ไฟไซเรนหมุนติ้ววนวกคล้ายกันกับความสับสนแน่นอก ว่าจะเอายังไงต่อไปดี.พิจารณาแล้วคงเป็นไปไม่ได้หากแพรวจะยังดันทุรังทำตามแผนเดิม ถึงจะไม่รู้ว่าพวก AP กำลังสู้อยู่กับอะไร แต่ยังไงซะถ้าเข้าไปในสภาพแบบนี้ก็เท่ากับไปตายเปล่า แคลนของแพรวจะเอาอะไรไปสู้ ลำพังอาวุธที่มีอยู่ในมือก็ทำได้แค่ป้องกันตัวเอง
จะสิ่งใดสิงอยู่ในใจเจนิสก็แล้วแต่ จริตจะก้านของเธอ ไลฟ์สไตล์ รวมไปถึงรสนิยมทางเพศที่เหมือนจะสปาร์คทุกทีที่เจอหญิงที่ใช่ ล้วนเป็นสิ่งที่เธอยังคงปกปิด บางทีอาจจะเป็นเพราะแพรวสนิทกับมิวท์ก็เป็นได้เจนิสถึงยังคงอยู่ เธอไม่เคยบอกใครแม้แต่กลุ่มเพื่อนที่มาด้วยกัน ก็เป็นเพียงแค่เพื่อนร่วมชะตากรรมเท่านั้น ไม่ใช่คนที่จะคุยเปิดอกหรือเปิดใจอะไรได้.“เสร็จแล้วจะเอาไงกันต่อดีคะพี่แพรว?”อีกครั้งที่เจนิสเลี่ยงความรู้สึก ในขณะที่แพรวนั้นเห็นเธอเหมือนเป็นตัวเอง แต่หารู้ไม่ว่าเจนิสกลับเห็นแพรวเป็นตัวแทนของมิวท์ไปซะแล้ว.“ก็คงต้องรีบหาที่พักให้ได้ก่อนค่ำ เสียงปืนเมื่อกี้ทำให้เราอยู่ที่นี่ต่อไม่ได้ มันเรียกแขกเกินไป”แพรวตอบเสียงห้วน ต่อด้วยการสอดปืนเข้าไปเก็บด้านหลังสลับกับควักแผนที่อันเดิมออกมา เธอกวัดแกว่งสายตาแคล่วคล่องเช็คพิกัดไปพลาง ส่วนกลุ่มเด็กสาวก็จัดแจงแพ็คเสบียงลงกระเป๋าไปด้วย .จวบจนเวลาผ่านไปราว 10 นาทีทุกอย่างก็เรียบร้อย ศพลุงกับป้าไม่ได้ถูกเผาพวกเขาไม่ได้ทำพิธีใด ๆ ทางศาสนาให้เลยด้วยซ้ำ แต่กลับเลือกที่จะทิ้งไว้เช่นนั้นเพื่อให้เชื้อโควิดกัดกินไปเอง เศร้าและโคตรน่าสงสาร แต่ก็ต้องเข้าใจว่า
“พวกแกมีของอะไรบ้างส่งมาให้หมด! เดี๋ยวนี้! อย่าลีลา!”กดมีดคัตเตอร์จมคอจนเลือดซิบ คอเหี่ยว ๆ ของลุงสั่นสะบั้นไม่มีทางเลยที่คนแก่ แถมยังเป็นตัวประกอบอย่างแกจะสู้แรงคนหนุ่มได้.และก่อนที่พวกเจนิสจะกระดุกกระดิกหรือทำอะไรลงไป ชายในเสื้อฮูดอีกคนที่ถือปืนอยู่ในมือก็ได้ย้ายปลายกระบอกมาจ่อเข้าที่ขมับของลุง เพื่อเพิ่มแรงกดดันให้ถาโถมขึ้นไปอีก เขาตะคอกใส่หน้าไปอีกคำรบ.“แล้วพวกเอ็งมีกันกี่คน?! ยังมีคนอื่นอีกรึเปล่า?!”“ห๊าาา!”“บอกมาสิโว๊ยยย!”.ฝอยน้ำลายฟุ้งกระจาย ทว่าสิ่งที่สกปรกกว่านั้นกลับเป็นการเหนี่ยวขึ้นลำกระสุนเพื่อเตรียมยิง เหลือเพียงออกแรงเหนี่ยวไกหัวของลุงก็คงจะเละเป็นลูกแตงโมไม่ต่างจากป้า.เจนิสกับเพื่อนเลยเลือกที่จะเงียบ เธอพยายามเบี่ยงสายตามองด้านข้าง ก่อนจะพบว่าแพรวเองก็ไม่ได้อยู่ตรงตู้กดก๊าซหยอดเหรียญแล้ว หัวหน้าแคลนหายไปอย่างไร้ร่องรอย แถมยังไม่มีแม้แต่เสียงฝีเท้าสักแอะ พอหันหน้ากลับมามองตรงตามเดิมพลางเพ่งสายตาให้ยืดยาวออกไป จนทะลุผ่านร่างของชายทั้งสองจนลึกสุดทางเดินด้านในได้ เธอก็ได้พบกับบางสิ่งบางอย่างที่เด็กไม่ควรจะเห็นเข้า.คุณพระช่วย! มันคือศพที่แห้งทับถมกันนับสิบ ๆ ศพ
ปาดดวงเนตรก้มลงมองแผนที่ในมือด้วยความฉับไว ระบบประมวลผลจากแกนสมองสอดประสานกับภาพจำในเมมโมรี่ ได้ออกมาเป็นเส้นทางเดินแบบสามมิติที่แพรวนั้นมองเห็นอยู่คนเดียว มันกระพริบวูบวาบเป็นจุดนำทางราวกับระบบค้นหาในวีดีโอเกมแบบโอเพนท์เวิร์ล เพียงแค่นำทุกคนเดินไปตามนั้นความปลอดภัยก็จะบังเกิด.“ข้างหน้ามีร้านมินิมาร์ท ทุกคนตามฉันมา เราจะหาก๊าซเพิ่มกันที่นั่นแล้วก็พักกันสักแป๊บ”แพรวออกคำสั่งไปพลาง แล้วก็เดินนำหน้าทุกคนไปด้วย.ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าในมือสาวเจ้า จะมีเพียงไม้หน้าสามที่ฝังตะปูไว้ตรงหัวเป็นอาวุธเท่านั้น นั่นแสดงว่าแพรวค่อนข้างมั่นใจในแผนที่ของตัวเองอยู่พอสมควร เธอไม่กลัวเลยสักนิดว่าจะมีพวก AP ดักอยู่รึเปล่า แล้วก็ไม่กลัวด้วยว่าจะมีคนจากแคลนอื่นซุ่มดูอยู่หรือไม่ ทุกอย่างดำเนินไปอย่างรวดเร็ว สถิติที่บันทึกไว้บวกกับประสบการณ์ที่เคยปะทะกับกลุ่มต่าง ๆ ตรงนี้มาก่อน ทำให้แพรวค่อนข้างคุ้นชินกับพื้นที่ จนกระทั่งเจนิสต้องขอขัดจังหวะขึ้น.“ช้าหน่อยพี่แพรว! พวกเราตามไม่ทันข้างหลังยิ่งมีแต่คนแก่ ๆ”ที่ต้องบอกเพราะทุกครั้งที่ผินหน้ามองกลับหลัง คนที่รั้งท้ายขบวนดันกลายเป็นลุงกับป้าที่ชรามากแล้ว คนจาก
เขาคนดังกล่าวผละตัวออกมาจากแผงคอนโทรลพร้อม ๆ กับจอมอนิเตอร์ที่ค่อย ๆ ดับแสงลง เขาใช้หลังเท้าแหวกเขี่ยผู้คนที่นอนเกะกะขวางทางอยู่บนพื้นออก และบางจังหวะก็ถึงกับเตะวิทยุสื่อสารออกจากมือของเจ้าพวกนั้น เพื่อไม่ให้ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือจากหน่วยเสริมได้.“เงียบไปเลยเจ้าพวก AP ชั่ว! ตอนนี้หอดูดาวแห่งนี้ได้ถูกฉันยึดครองไว้หมดแล้วโว่ย!".“เปรี๊ยง!”รวบรวมพลังกระทืบวิทยุวอร์คกี้ทอล์คกี้จนแตกเป็นเสี่ยง ต่อด้วยการหวดหลังเท้าเตะเข้าที่ปลายคางจนศัตรูสะบัดคอพับ!.โหดจริงอย่างจริงจังขนาดอยู่ตัวคนเดียวยังเด็ดเดี่ยวขนาดนี้ จินตนาการไม่ออกเลยว่าหลังจากผลักบานประตูหอดูดาวแห่งนี้ออกไปแล้ว อะไรจะเกิดขึ้นกับแคลนของแพรวบ้าง เหมือนเขาจะล็อคเป้าเอาไว้แล้ว ความหอบเหนื่อยที่ไม่ทราบสาเหตุเองก็เหมือนจะค่อย ๆ หายไปทีละนิดทีละน้อย และเมื่อกำลังวังชาฟื้นกลับมาครบ เขาคนเดิมก็น่าจะพร้อมต่อการออกไปเผชิญกับโลกภายนอกโดยทันที.“วู้ววว!”“เอาล่ะ.. ไปกันเลยดีกว่า”"ฮึบ!".“แอ๊ดดด!”เสียงประตูเหล็กแง้มเปิดออกแสงสว่างของแดดเช้าแลบผ่านเข้ามาแยงตา ก่อนที่สักพักต่อมา Riot โดรนจำนวน 3 ลำจะบินโฉบขึ้นมาจากเส้นขอบฟ้า ในท่วงท่าฉ