5 เดือนต่อมา...
5 เดือนต่อมา... รถเก๋งสีขาวมุก แล่นเข้ามาจอดใต้ตึกของคณะวิศวะกรรมศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง ในย่านเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพมหานคร เพราะว่าคณะนี้เป็นคณะที่ค่อนข้างใหญ่ จึงมีนักศึกษาจากหลากหลายจังหวัดเลือกที่จะมาเรียนที่นี่ เพราะความใหญ่โต และมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วประเทศ ชั้นใต้ดินของคณะนี้จึงมีการสร้างขึ้นมา เพื่อเอาไว้สำหรับจอดรถของอาจารย์และนักศึกษาโดยเฉพาะ เพราะฉะนั้นจะไม่ค่อยมีใครเห็นรถยนต์หลากหลายยี่ห้อจอดอยู่บริเวณด้านหน้าของคณะเลยสักคัน ลิลลี่ขับรถเข้ามาจอดยังที่ประจำของเธอ โชคดีที่วันนี้ที่ตรงนี้ยังไม่มีใครมาจอด เธอจึงได้จอดยังที่ประจำที่เคยจอดทุกวันตอนมาเรียน หากแต่ว่าวันนี้เธอไม่ได้มาเรียนเหมือนเช่นเคย เพราะเธอนั้นเรียนจบแล้ว ปีนี้สุดท้าย เหลือแค่เพียงเก็บงานที่ยังค้างส่งกับอาจารย์เพียงเท่านั้น วันนี้เธอจึงต้องเข้ามหาวิทยาลัยเพื่อมาส่งงานชิ้นสุดท้ายกับอาจารย์ ก่อนที่จะได้รับปริญญา ลิลลี่เป็นหนึ่งในลูกฝาแฝดทั้งสามของบอมพ์กับเฟร์ย่า ที่เป็นศิษย์เก่าของคณะนี้ เธอเดินตามรอยพ่อกับแม่มา แม้ว่าจะเป็นผู้หญิงก็เถอะ แต่ความดื้อรั้นของเธอนั้นกลับทำให้เธอชอบทำอะไรที่มันสวนทางกับที่พ่อแม่พี่น้องของเธอคิดเอาไว้เสียมากกว่า ร่างบางก้าวลงจากรถด้วยชุดนักศึกษา กระโปรงทรงเอสั้นพอดีตัว เสื้อนักศึกษาที่ไม่ใหญ่จนเกินไป และไม่ได้เล็กจนรัดแน่นไปหมด รูปร่างเล็กอรชรอ้อนแอ้นน่ารัก บวกกับผิวขาวใสอมชมพู ใบหน้าเล็กจิ้มลิ้ม คิ้วสวยคม ดวงตากลมใส ขนตาแพหนายาวอย่างเป็นธรรมชาติ ริมฝีปากชมพูระเรื่อจิ้มลิ้ม ใบหน้าที่มีเพียงเครื่องสำอางอ่อนๆ รับกันกับทรงผมลอนคลื่นสีน้ำตาลอ่อนยาวสยายคล้ายกับตุ๊กตาก็ไม่ปาน เธอถอดแบบฉบับแม่ของเธอมาจนแทบจะทุกกระเบียดนิ้ว และเธอก็ยังมีหน้าตาที่เหมือนกับน้องสาวฝาแฝดของเธอจนหลายคนแทบแยกไม่ออก หากไม่เอาทั้งสองมาเทียบกันตัวต่อตัว ร่างบางอ้อนแอ้นเดินเข้ามาในตัวคณะ อย่างไม่เร่งรีบ ในมือข้างหนึ่งถือกระเป๋าเอกสารและกระเป๋าถือใบหรูคู่ใจของตัวเอง มือบางจับที่เปิดประตูบานเลื่อนหน้าห้องพักอาจารย์ ออกแรงเปิดออกไปเพียงนิดก็สามารถเข้าไปยังด้านในได้แล้ว “มาแล้วเหรอ ยัยตัวแสบ” เสียงของอาจารย์นิภาน้องทัก เมื่อกันมาเห็นว่าคนที่เปิดประตูห้องพักของตัวเองเข้ามานั้นเป็นใคร ลูกศิษย์คนโปรดที่มาส่งงานชิ้นสุดท้ายให้กับเธอ ก่อนจะออกไปโลดแล่นใช้ชีวิตนอกรั้วมหาวิทยาลัยเต็มตัวสักที “แสบเสิบอะไรกันคะอาจารย์ ลี่ว่าลี่เรียบร้อยสุดในรุ่นแล้วนะ” ลิลลี่ตอบกลับด้วยท่าทางทะเล้นปนเสียงหัวเราะเล็กใส “เรียบร้อยสุดในรุ่นก็เพราะไอ้รุ่นของเธอมันเป็นผู้ชายหมดไง ลองให้มันมีผู้หญิงสิ เธอจะแสบสุดในรุ่นแน่ๆ” อาจารย์เอ่ยแซวกลับ “โห่...อาจารย์ก็พูดเกินไป ขนาดอยู่บ้าน น้องสาวฝาแฝดของลี่ ยังเรียบร้อยไม่เท่าลี่เลยนะ” ลิลลี่บอก “ยัยเลดี้น่ะเหรอ รายนั้นเว้นไว้คนหนึ่ง ดื้อไม่มีใครเกิน จนอาจารย์สุนีย์มาบ่นกับฉันบ่อยๆ พี่น้องบ้านนี้แสบกันทุกคนจริงๆ” นิภาเอ่ยบอกกับลูกศิษย์ตัวน้อยของเธอ ซึ่งสุนีย์เพื่อนอาจารย์ต่างคณะของเธอ เล่าวีรกรรมความแสบของฝาแฝดอีกคนของบ้านนี้ที่เรียนอยู่คณะนิเทศศาสตร์ให้เธอฟังบ่อยๆ “มาส่งงานค่ะวันนี้ สุดท้ายแล้วน้า อาจารย์ก็จะเหงาแล้วแหละต่อจากนี้” ลิลลี่บอกกับอาจารย์ พร้อมกับยิ้มหวานสดใสส่งให้ “เงียบหูดีล่ะไม่ว่า...ยังไงฉันก็ขอให้เธอโชคดีในทุกๆ เรื่องนอกรั้วมหาลัยนะ เจอแต่เรื่องดีดีต่อจากนี้” นิภาพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ รู้สึกใจหายเหมือนกันนะ เพราะเทียบแล้วเธอกับลูกศิษย์คนนี้ค่อนข้างสนิทกันมากเลยทีเดียว “เอ้า! คนสวยร้องไห้เสียแล้ว ยังไม่ทันได้ไปเลย ลี่แค่เรียนจบค่ะ ยังไม่ได้จะไปตาย ร้องทำไม เดี๋ยวมาเยี่ยมเยียนคนแก่บ่อยๆ นะคะ” ลิลลี่พูดพร้อมกับหัวเราะชอบใจ ไม่อยากให้อาจารย์ของเธอร้องไห้ เธอเองก็ไม่ชอบการจากลาเช่นกัน แต่นี่เธอไม่ได้ไปไหนไกล จะแวะมาหาก็ได้ตลอดเวลาที่จะมาหาได้ "ยัยเด็กคนนี้นี่ แอบหลอกด่าว่าฉันแก่เหรอ" อาจาร์ที่ทำน้ำตาซึมๆ ก็หันมาค้อนแบบหยอกล้อกับลูกศิษย์คนโปรด "ล้อเล่นน่า รักหรอกจึงหยอกเล่น ไปแล้วจริงๆ นะคะ เดี๋ยวมาเที่ยวหาใหม่" ลิลลี่บอกกับอาจารย์ของเธอด้วยรอยยิ้มสดใส "เอาไว้มีรับน้องคณะ เราก็มาด้วยนะ เดี๋ยวพวกอาจารย์เขาจะจัดเลี้ยงอำลารุ่นพี่ที่จบทั้งคณะเลย" อาจารย์แจ้งข่าวกับเธอ "โหยยย ถ้าหากว่าเป็นเลี้ยงเล็กของเอกเราอย่างเดียว ลี่ก็จะมาอยู่นะคะ แต่นี่เลี้ยงคณะเลย ไม่รู้จะกล้ามาไหม" ลิลลี่บอกอาจารย์ไปแบบนั้น เพราะเธอนั้นค่อนข้างไม่ชอบสถานที่ที่มีคนเยอะๆ เท่าไรนัก "มาเถอะๆ เดี๋ยวอาจารย์แจ้งอีกที" อาจารย์คะยั้นคะยอ ลิลลี่ทำได้แค่พยักหน้ารับเท่านั้น แต่ไม่ได้รับปากว่าจะไปร่วม เมื่อส่งงานและพูดคุยกับอาจารย์คนสนิทเรียบร้อยแล้ว พักหนึ่งลิลลี่ขอตัวกลับบ้าน เพราะเธอคิดว่าจะแวะเข้าไปหาบรูคลิน พี่ชายฝาแฝดของเธอที่บริษัทของเขาเสียหน่อย ลิลลี่เดินมาถึงชั้นใต้ดิน ที่เป็นลานจอดรถของมหาวิทยาลัยที่เธอจอดรถเอาไว้ ร่างบางกำลังเดินก้าวไปยังรถของเธอ เฟี๊ยวววว เสียงเหมือนมีวัตถุบางอย่างพุ่งฝ่าสายลมอย่างเร็วจนเกิดเสียง ความรู้สึกเย็นๆ ที่วิ่งผ่านใบหน้าหวานจนทำให้ผมที่หยักเป็นลอนยาวสยายปลิวตามแรงลม ตุบ! ตุบ! ตับ! ตับ! ผลั่ก! ผัวะ! เสียงที่ดังอยู่อีกฝั่งหนึ่งของเสาในโรงจอดรถทางด้านหลังที่อยู่ตรงข้ามกับคนตัวเล็ก เสียงกระตุ้นให้ความอยากรู้ของลิลลี่เริ่มทำงาน มันสั่งให้เธอเดินไปทางต้นเสียงเพื่อไขข้อสงสัยของตัวเองให้กระจ่าง ลิลลี่รีบเดินไปทางต้นเสียงทันที ด้วยความอยากรู้ พอเดินออกไปพ้นเสาของลานจอดรถต้นหนึ่ง ดวงตากลมใสเบิกกว้าง เมื่อเห็นภาพตรงหน้าเป็นกลุ่มวัยรุ่นใส่เสื้อช็อปของคณะเดียวกับเธอ มีทั้งสีแดงเข้ม และสีน้ำเงินกำลังตะลุมบอนทั้งเตะ ต่อยกันจ้าละหวั่น บางคนมีอาวุธปืนอยู่ในมือ และดูเหมือนว่าจะจะเป็นปืนเก็บเสียงเสียด้วย เธอไม่ได้ตกใจที่เห็นคนทำร้ายหรือต่อยตีกัน เพราะเธอชินแล้วกับการอยู่คณะนี้ แต่ที่เธอตกใจคือทั้งหมดมีอาวุธปืนและมีดมากมาย ทั้งๆ ที่มหาวิทยาลัยไม่สามารถเอาอาวุธเข้ามาได้ ร่างบางตัวเล็กน่ารักชะงักกึก เมื่อหนึ่งในกลุ่มวัยรุ่นมองมาทางเธอพอดิบพอดี ลิลลี่ที่เห็นแบบนั้นก็รับรู้ได้ถึงความอันตราย เธอเตรียมหันหลังกลับทันที แต่ดูเหมือนว่าร่างกายของเธอจะเคลื่อนไหวช้ากว่าชายกลุ่มหนึ่งที่พากันวิ่งตรงมาทางเธอ เธอไม่รู้ว่าพวกนั้นตั้งใจวิ่งเข้าใส่เธอที่มาเห็นเหตุการณ์หรือว่าตั้งใจจะหนีอีกฝ่ายแล้วบังเอิญว่าวิ่งมาทางเธอพอดีกันแน่ คนตัวเล็กรับรู้ได้ถึงอันตรายที่กำลังจะเข้ามา เธอรีบหันหลังออกวิ่งทันที แต่ก็ไม่เร็วเท่าวัตถุสีดำในมือของกลุ่มวัยรุ่น เมื่อวัยรุ่นคนหนึ่งที่อยู่อีกฝ่ายยกอาวุธปืนในมือขึ้นแล้ว ไม่พูดพร่ำทำเพลงใดใด กดลั่นไกมาทางอีกกลุ่มและเธอทันที ฟรึ่บ! เสียงของกระสุนปืนดังขึ้นจากปลายกระบอกที่เก็บเสียง กำลังพุ่งตรงมายังร่างบางที่หันหลังเตรียมจะหนีออกจากตรงนั้น!!Special คิลเลอร์และเมแกน 3 ปีต่อมา “เห้ย!! โคเยอร์ทางนี้ๆ” เสียงกลุ่มเพื่อนชายที่โบกมือเรียกโคเยอร์อยู่ที่โต๊ะลายหินอ่อนใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างตึกเรียนในคณะของเขา “พวกมึงยังไม่กลับบ้านกันอีกเหรอ ไม่มีเรียนแล้วนี่ กูก็ส่งงานเสร็จละ จบละ” โคเยอร์ถามเพื่อน วันนี้เขามาที่คณะ เพื่อมาส่งงานชิ้นสุดท้ายก่อนจบการศึกษา แต่พวกเพื่อนของเขาต้องเข้าเรียนเก็บชั่วโมงอีก หลังจากที่เขาแต่งงานและพักการเรียนไปได้สองปี เขาก็กลับเข้ามาเรียนใหม่จนจบได้ภายในปีเดียว “เพิ่งออกจากห้องเรียนเมื่อกี้ มารอเจอหลานกูก่อน มาๆ ให้กูอุ้มหน่อย” เพื่อนของเขาคนหนึ่งพูดขึ้น พร้อมกับเดินเข้ามาหาโคเยอร์ ที่ในอ้อมแขนนั้นมีเด็กน้อยรูปร่างจ้ำม่ำ หน้าตาจิ้มลิ้มน่ารัก ผิวขาวใส แก้มป่อง ผมสีดำขลับสั้นๆ แต่หยักศกเล็กน้อย ดวงตากลมโตบ้องแบ๊วสร้างความน่าเอ็นดูให้กับผู้ที่พบเห็นไม่น้อย “กูขออุ้มหน่อย” เพื่อนของเขาพูด ก่อนจะยื่นมือออกไปเพื่อจะเอาเด็กน้อยมาอุ้ม “มายุ่งกับลูกกูอีกแล้ว อยากอุ้มทำไมไม่มีเป็นของตัวเองกันวะ” โคเยอร์บ่นให้กับเพื่อน ที่รอจะเจอและอุ้มลูกเขา เมื่อรู้ว่าวันนี้เขาเอาลูกมาด้วย วันนี้ลิลลี่ไม่ว่าง
ลิลธิกาแต่งงานกับกฤตินนท์ นะ! (The End) “โคยมีอะไรจะบอกลี่ไหม?” เสียงของลิลลี่ที่นั่งอยู่ข้างคนขับ เอ่ยถามชายคนรักที่กำลังทอดสายตามองไปด้านหน้าท้องถนน “แต่งงานกับโคยนะลี่” โคเยอร์เอ่ยขอคนรักแต่งงานด้วยน้ำเสียงและใบหน้าจริงจัง พวงมาลัยรถถูกหักเข้าข้างทาง สภาพแวดล้อมโดยรอบที่มีแต่ป่าเขา ไร้ผู้คนและบ้านของผู้คนอยู่อาศัย เครื่องยนต์ของรถถูกดับสนิท โคเยอร์หันใบหน้าหล่อเหลาเข้าหาลิลลี่ที่ตอนนี้ก็หันมองเขาอยู่ด้วยเช่นกัน “โคยมั่นใจแล้วใช่ไหมถึงพูดมันออกมา” ลิลลี่ถามย้ำ ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายนั้นมั่นใจแค่ไหน ถึงขนาดเอาผู้ใหญ่มาคุยกับผู้ใหญ่ฝ่ายเธอถึงที่บ้าน “มั่นใจ 100% เลย โคยรักลี่ รักมาก และก็รักลูกด้วย ตอนนี้โคยมั่นใจแล้วด้วยว่าสามารถดูแลลี่กับลูกได้ตลอดไปแล้ว ไม่อดตายแน่ แค่โคยยังเรียนไม่จบ เลยพักการเรียนไว้ก่อน รอลูกคลอดแล้วค่อยกลับไปเรียน” โคเยอร์บอกกับคนรัก พร้อมกับยกมือหนาขึ้นลูบบริเวณหน้าท้องน้อยของคนรัก “มั่นใจแค่ไหนที่จะดูแลลี่ได้ตลอด” เธอถามกลับอีกรอบ “มั่นใจมาก ลี่ไม่ต้องห่วงเรื่องนี้เลยนะ ถึงโคยจะยังเรียนไม่จบ แต่โคยก็มีบ้าน มีรถ มีธุรกิจเป็นขอ
จุดจบคนไม่สำนึก! “ถ้าเธอไม่รู้จักฉัน ลองถามพ่อของเธอดู!” เสียงทุ้มแค่นเสียงเป็นเชิงเย้ยหยันพูดกับน้ำขิงที่นั่งกอดผู้เป็นพ่ออยู่ที่พื้นเบื้องหน้าของทุกคน “ทำร้ายลูกกับหลานฉันอย่างหน้าตาเฉย ทั้งๆ ที่ลูกกับหลานของฉันยังไม่ได้ไปทำอะไรให้แม้แต่นิดเดียว เธอกล้ามากนะ คงยังไม่รู้จักฉันสินะ” บอมพ์พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่แฝงไว้ด้วยความน่ากลัว ทำให้น้ำขิงถึงกับขนลุกซู่ไปทั่วทั้งตัว “แล้วแกเป็นใคร มีสิทธิ์อะไรมารุมฉันกับพ่อแบบนี้” น้ำขิงมองพวกเขาด้วยสายตาแค้นเคือง “แล้วแกมีสิทธิ์อะไรมาทำร้ายลูกกับหลานของฉัน!” บอมพ์สวนกลับทันที อารมณ์โมโหเริ่มเก็บเอาไว้ไม่อยู่ จนลิลลี่สังเกตพ่อของตัวเองได้ “พ่อคะ...ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพ่อของโคยเถอะค่ะ ลี่ไม่ได้เป็นอะไรมาก” ลิลลี่รีบห้ามทัพ เมื่อเห็นว่าพ่อของตัวเองเริ่มโมโห “เดี๋ยวผมจัดการเองครับ” โคเยอร์รีบบอกพ่อของคนรัก แล้วค่อยๆ วางร่างเล็กให้ลงยืนที่พื้นอย่างเบาๆ มือเล็กของลิลลี่คว้าแขนของโคเยอร์เอาไว้ เหมือนเป็นการห้ามเบาๆ แบบไม่ต้องใช้เสียง สายตาคมก้มมองที่แขนของตัวเองก็เข้าใจได้ทันทีว่าคนรักต้องการอะไร “เดี๋ยวป๊าจัดการเอง” ค
ถ้าไม่รู้จักฉัน ลองถามพ่อเธอดู! “อาเขต!” โคเยอร์เอ่ยเรียกคนที่มาห้ามเขาไว้ ซึ่งเป็นพี่เลี้ยงของเขานั่นเอง แต่เขาก็ไม่รู้ว่าเขตนั้นตามเข้ามาตั้งแต่เมื่อไร เพราะเขามัวแต่สนใจคนที่อยู่ด้านในโกดัง “อย่าวู่วามครับนายน้อย หากบุ่มบ่ามเข้าไป คุณลิลลี่จะเป็นอันตรายได้” เขตบอกกับนายน้อยของตัวเอง “ผมโมโหจนลืม” โคเยอร์บอก เขาโมโหจนอยากจะจัดการคนทีี่มันทำกับลิลลี่เสียจนลืมนึกไปถึงความปลอดภัยของคนรักด้วย เพราะตอนนี้ลิลลี่อยู่ในมือของพวกมัน “หนะ...น้ำขิง!!” เสียงเล็กแหบของลิลลี่เอ่ยเรียกคนที่อยู่ตรงหน้าเธอ เธอเพิ่งฟื้นมาจากอาการสลบ เพราะลูกน้องของน้ำขิงเอาน้ำมาราดที่ตัวเธอจนรู้สึกตัวขึ้นมา “ฟื้นแล้วเหรอ? สำออยจริงนะ อุบัติเหตุแค่นี้ทำเป็นสลบ ทำไมไม่ตายไปเลยนะ!” เสียงน้ำขิงพูดเหน็บปนแช่งกับคนที่ถูกมัดมือมัดเท้า แต่พยายามยันตัวลุกขึ้นนั่ง “เธอ...จับฉันมาทำไม” ลิลลี่ถามคนที่จับเธอมา เธอไม่รู้ถึงสาเหตุที่ตัวเองโดนจับมา และไม่เข้าใจถึงสาเหตุที่ทำให้น้ำขิง เพื่อนของโคเยอร์โกรธเธอขนาดนี้ “ก็...จับมาให้เป็นเมียไอ้พวกนี้ไง 5555” น้ำขิงพูด พร้อมกับหัวเราะเสียงดังอย่างชอบใจ เมื่อคิดไป
บุกช่วย...ถล่มโกมินทร์ “กะ...โกดัง หลังโกมินทร์ กะ...กรุป...” เสียงของคีรีพึมพำบอกพี่ชาย ก่อนที่เธอจะสลบไม่ได้สติไปในที่สุด “โกมินทร์...!” โคเยอร์พึมพำชื่อบริษัทที่ได้ยินน้องสาวบอก เขารู้ได้ในทันทีเลยว่าคนที่เป็นตัวการทำเรื่องแบบนี้คือใคร “อาเขต! ฝากยัยคีด้วย” โคเยอร์บอกกับเขต ก่อนจะกลับไปขึ้นรถแล้วขับออกไปอย่างรวดเร็ว เขตอุ้มร่างคุณหนูที่เขาเลี้ยงมาตั้งแต่เด็กๆ ด้วยเช่นกัน พาไปที่รถเพื่อส่งตัวไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด แต่เขาก็ไม่ลืมที่จะต่อสายหานายใหญ่ของตัวเองที่ตอนนี้อยู่บ้านของตระกูลอีแวนสัน รายงานเรื่องนี้ให้รู้เรื่องก่อน “นายครับ! เกิดเรื่องใหญ่แล้วครับ รถคุณหนูคีและคุณลิลลี่ถูกเบียดชนต้นไม้ ผมกำลังพาคุณหนูคีไปโรงพยาบาล ส่วนคุณลิลลี่ถูกจับตัวไปครับ” เขตรายงานเจ้านายแบบรัวๆ “เมื่อกี้แกว่ายังไงนะ?! แล้วลูกสะใภ้ฉันถูกจับไปที่ไหน มันเป็นใคร?!!” คิงส์ตะโกนเข้ามาในสายดังลั่น “โกดังหลังโกมินทร์กรุป ครับ” เขตไม่รอช้ารีบรายงานสถานที่ให้เจ้านายฟังทันที “เดี๋ยวกูไป!!” คิงส์บอกกับเขต “คุณไปดูลูกสาวที่โรงพยาบาลเถอะ ส่วนโกมินทร์กรุป เดี๋ยวผมไปจัดการเอง” บอมพ์กัดฟัน
คำบอกเล่า...และการปองร้าย! “พี่โคยเขารักพี่มากเลยนะคะ ที่สุดในชีวิตเลย” คีรีเอ่ยบอกพี่สะใภ้ตัวเองด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม พี่สะใภ้คนนี้คงไม่รู้ว่าตัวเธอนั้นมีอิทธิพลต่อพี่ชายของเธอมากแน่ๆ ถึงได้งอนได้ หากรู้ว่าความจริงที่เธอจะบอกก็คงเข้าใจอะไรในตัวพี่ชายของเธอได้มากขึ้น “ไม่ขนาดนั้นมั้ง” ลิลลี่หันมามองเด็กสาวแวบหนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปมองยังเบื้องหน้า “ขนาดนั้นเลยแหละค่ะ” “แล้วเราน่ะเป็นน้องสาวแท้ๆ ของโคยเหรอ” ลิลลี่เปลี่ยนเรื่อง เธอไม่อยากฟังอะไรจากปากคนอื่น นอกจากเจ้าตัวที่จะหาทางมาอธิบายกับเธอเอง “ใช่ค่ะ คีชื่อเต็มๆ ว่า คีรี เป็นน้องสาวแท้ๆ ของพี่โคย อายุห่างกันประมาณ6-7 ปีเห็นจะได้” คีรีบอก “ถึงว่าพูดเก่งเหมือนโคยเลย” ลิลลี่บอกในขณะขับรถไปเรื่อยๆ “พี่ลี่คะ...พี่โคยไม่ใช่นักศึกษาตัวเปล่านะคะ คีรู้ว่าพี่อยากให้พี่โคยมาบอกเอง แต่คีอยากบอกว่าพี่โคยตั้งใจและรักพี่มากๆ มากจนยอมรับช่วงต่อธุรกิจสายดำของพ่อทั้งหมดเลย ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนแกจะขอรับแค่ธุรกิจขาวกับเทาบางส่วนเท่านั้น แล้วจะปล่อยให้สายดำเจ๊งหรือเงียบหายไปเอง ตระกูลของพี่ก็เป็นมาเฟียใหญ่เหมือนกัน พี่คงเข้าใจและก็มี