แก้วเปล่าถูกวางลงบนโต๊ะ ก่อนจะตัดสินใจตามผู้หญิงคนเดียวที่จะสามารถให้คำตอบผมได้ไป
ด้วยความที่ผมเข้าออกที่นี่ราวกับเป็นบ้านตัวเอง จึงไม่มีใครใส่ใจว่าผมจะไปไหนหรือทำอะไร แม้แต่การขึ้นมาถึงห้องหนังสือชั้นบนนี้ก็ด้วย
ประตูถูกเปิดและปิดลงในเวลาไล่เลี่ย ซึ่งผมยังไม่ทันได้ก้าวไปไหน เจ้าของห้องตัวน้อยหันกลับมา รอยยิ้มที่มีในตอนแรกหายวับไปกับตา หัวคิ้วบางย่นขึ้นเล็กน้อย
“เข้ามาทำไมคะ” คำถามที่เหมือนจะสุภาพ แต่น้ำเสียงแข็งกระด้าง ฟังไม่รื่นหูเลยสักนิด หนังสือที่กำลังจะหยิบออกมาถูกดันกลับเข้าที่เดิม จากจุดที่เธอยืนอยู่ตอนนี้ห่างจากผมประมาณสิบก้าว
“ขอคุยด้วยหน่อยสิ” ผมเริ่มขยับปลายเท้าเข้าไปใกล้ขึ้น
“เราไม่มีอะไรจะคุย” เจ้าของใบหน้าหงุดหงิดก้าวเดินเช่นกัน แต่ไม่ใช่เพื่อล้นระยะทาง ในขณะที่ผมหยุด แต่เธอยังเดินต่อ ดูเหมือนจุดหมายจะเป็นประตูบานใหญ่ที่ผมเพิ่งทิ้งห่างออกมา
“แต่เฮียมี” ผมคว้าข้อมือเล็กในตอนที่กำลังจะผ่านผมไป หวังแค่จะให้เธอหยุดและรับฟัง
“อย่ามาโดนตัวเรา” คำสั่งเสียงเครียดดังขึ้นพร้อมกับการสะบัดมือออก ก่อนจะหมุนตัวเดินต่อ
ผมอาศัยช่วงขาที่ยาวกว่า ก้าวเพียงไม่เท่าไหร่ก็พาตัวเองไปขวางหน้าประตูไว้ได้สำเร็จ
“น้องฟังเฮียก่อนนะ” แน่นอนว่าผมพูดแต่ปาก ไม่มีการสัมผัสเกิดขึ้นหลังจากโดนประโยคนั้นเข้าไป
“ไม่ค่ะ” เธอตอบกลับทันควัน
เด็ดขาดชะมัด!
“เฮียขอโทษ คุยกับเฮียเหมือนเดิมได้ไหม” คำข้อร้องที่หนักไปทางวิงวอนซะมากกว่า อย่างน้อยสถานะพี่น้องยังดีกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ ถ้าย้อนกลับไปได้ผมจะไม่มีวันทำแบบนั้น ไม่แม้แต่จะพูดมันออกมา จะเหยียบไว้ให้มิดเลย
ประเด็นคือเวลาเป็นสิ่งที่ย้อนคืนไม่ได้
“เหมือนเดิม?” คิ้วบางเลิกสูง “เฮียจุดไฟเผาบ้านจนวอดทั้งหลัง แล้วมาร้องขอให้มันเป็นเหมือนเดิม?”
มาแล้วประโยคเปรียบเปรยที่เห็นภาพชัดโคตร และนี่คือสิ่งที่บ่งบอกถึงการเป็น มิรินดา
แต่เธออาจจะลืมไปว่า ทุกอย่างมันไม่ได้ดับสูญหรือสลายหายไป
“แต่เฮียสร้างมันขึ้นมาใหม่ได้”
“แต่มันไม่มีทางเหมือนเดิม” คำพูดที่สวนกลับโดยปราศจากการไตร่ตรอง ส่งผลให้ความมั่นใจที่มีในตอนแรกลดลงนิดหน่อย ทั้งที่ผมผ่านโลกมาเยอะกว่า แต่ทำไมเหมือนยังก้าวช้ากว่าเด็กสาวที่เพิ่งโตเต็มตัวตรงหน้า
“แต่มันอาจจะดีกว่าเดิม” ผมยังไม่ลดละความพยายาม
ดวงตาคู่สวยเลื่อนมองหน้าผมนิ่งเกือบครึ่งนาที ก่อนจะเริ่มขยับริมฝีปากพูด
“ค่ะ มันอาจจะดี แต่ไม่ได้แปลว่าจะชอบ” น้ำเสียงนิ่งเรียบ แต่แฝงไปด้วยความหนักแน่นและชัดเจน จนผมรู้สึกว่าร่างกายถูกย่อให้เล็กลงเรื่อย ๆ
“แล้วน้องจะรู้ได้ไงว่าชอบหรือไม่ชอบ ถ้าไม่ให้โอกาสเฮียได้สร้างมันก่อน” และผมยังดันทุรัง
“รู้ค่ะ เพราะความดี กับความชอบ มันคนละเรื่องกัน”
“...” นิ่งสนิท พูดไม่ออก ทั้งที่ไม่มีมีดสักเล่ม แต่ทำไมรู้สึกเหมือนถูกจ้วงแทงจนแทบกระอักเลือด
ผมสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะล้วงกล่องสี่เหลี่ยมเล็กออกมาจากกระเป๋ากางเกงตัวเอง แล้ววางมันลงบนโต๊ะไม้ทรงกลมข้างประตู เธอแอบมองตามแวบหนึ่ง ก่อนจะเบือนหน้าไปอีกทางแสร้งทำเป็นไม่สนใจ
“สำหรับบัณฑิตคนเก่ง” มือผมยกขึ้นเล็กน้อยขณะพูด หวังจะลูบหัวน้องสาวตัวน้อย แต่ต้องหยุดและเปลี่ยนเป็นกำแน่นก่อนจะดึงลง จากสายตาพิฆาตของคนตรงหน้า
ผมตัดสินใจหันหลังเปิดประตู แล้วพาตัวเองออกมาจากห้องพร้อมความหงุดหงิดขั้นสุด...
ใช้ชีวิตมาแม่งไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ มาแพ้อะไรกับผู้หญิงตัวเล็กๆ คนเดียววะ! ไม่เข้าใจ
เราก็ทำตามขั้นตอนที่พี่พลอยใสบอกไว้ตามลำดับ ซึ่งมันไม่สามารถไปแทนกันได้ เพราะต้องยืนยันตัวตนจริงๆ ในการรับคีย์การ์ดห้องพัก ทุกอย่างถูกรวมไว้ในบัตรเดียว ทั้งเข้าออกประตูด้านหน้า และเข้าออกอาคารนี้ด้วย“มึงได้ห้องอะไร” คำถามแรกจากเพื่อนสนิท หลังจากทุกอย่างเรียบร้อยและเรากำลังเดินออกมาหน้าอาคาร“C20 มึงละ”“C21 ข้างกันเลย” พอพูดกับฉันจบ มันก็เอี้ยวไปหาผู้ชายที่เดินอยู่ด้านหลัง “แล้วคุณหมอละ”“C19”“โอ๊ะ! ข้างมึง” มันหันกลับมาตอกย้ำ ก่อนจะสาวเท้านำไปยังกองสัมภาระด้านนอกหน้าระรื่น“ขึ้นไปรอที่ห้องไหม เดี๋ยวเฮียเอาขึ้นไปให้” เฮียไวน์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล ขณะก้าวเท้ายาวขึ้นมาขนาบข้างแทนที่เพื่อนรัก“ไม่เป็นไรค่ะ” ฉันปฏิเสธ พร้อมกับเร่งฝีเท้าเพื่อทิ้งระยะห่างและพอออกมาด้านนอกอาคาร ฉันก็อดที่จะเงยหน้าขึ้นไปมองด้านบนสุดไม่ได้ เคยเป็นไหม ยิ่งรู้ว่าเขาห้าม ก็ยิ่งอยากรู้อยากเห็น และฉันก็จะต้องรู้ให้ได้ว่าข้างบนนั้นมันมีอะไรซ่อนอย
เราก็ทำตามขั้นตอนที่พี่พลอยใสบอกไว้ตามลำดับ ซึ่งมันไม่สามารถไปแทนกันได้ เพราะต้องยืนยันตัวตนจริงๆ ในการรับคีย์การ์ดห้องพัก ทุกอย่างถูกรวมไว้ในบัตรเดียว ทั้งเข้าออกประตูด้านหน้า และเข้าออกอาคารนี้ด้วย“มึงได้ห้องอะไร” คำถามแรกจากเพื่อนสนิท หลังจากทุกอย่างเรียบร้อยและเรากำลังเดินออกมาหน้าอาคาร“C20 มึงละ”“C21 ข้างกันเลย” พอพูดกับฉันจบ มันก็เอี้ยวไปหาผู้ชายที่เดินอยู่ด้านหลัง “แล้วคุณหมอละ”“C19”“โอ๊ะ! ข้างมึง” มันหันกลับมาตอกย้ำ ก่อนจะสาวเท้านำไปยังกองสัมภาระด้านนอกหน้าระรื่น“ขึ้นไปรอที่ห้องไหม เดี๋ยวเฮียเอาขึ้นไปให้” เฮียไวน์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล ขณะก้าวเท้ายาวขึ้นมาขนาบข้างแทนที่เพื่อนรัก“ไม่เป็นไรค่ะ” ฉันปฏิเสธ พร้อมกับเร่งฝีเท้าเพื่อทิ้งระยะห่างและพอออกมาด้านนอกอาคาร ฉันก็อดที่จะเงยหน้าขึ้นไปมองด้านบนสุดไม่ได้ เคยเป็นไหม ยิ่งรู้ว่าเขาห้าม ก็ยิ่ง
ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมง ชายหญิงวัยรุ่นตอนปลายทั้งสองก็ยังหาเรื่องคุยกันไปเรื่อยๆ โดยไม่ปล่อยให้บรรยากาศในรถเงียบเลยสักนาที ส่วนใหญ่ก็เกี่ยวกับโครงการที่พี่พลอยใสเคยทำมาก่อนนั่นแหละ และฉันก็ได้รับรู้ว่าเธอเป็นนักวิจัยสาวมากความสามารถ แถมยังจบปริญญาโทด้านนี้โดยตรงจากมหาลัยชื่อดังของประเทศแทบยุโรปที่การทดลองทางวิทยาศาสตร์เป็นเลิศอีกด้วย เชื่อแล้วที่เขาชอบพูดกันว่าผู้ทั้งสวยและเก่ง มักจะโสดในที่สุด รถเลี้ยวเข้าจอดหน้าประตูทางเข้าสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งรายล้อมด้วยอาคารสูงหลายหลัง จากจุดนี้ มองไปจนสุดลูกหูลูกตาก็ยังไม่เจอทางสิ้นสุด เดาว่าพื้นที่โดยรวมคงกว้างขวางน่าดู
“ว่าแต่เฮียเหอะ รั้งท้ายเพื่อนได้ไงเนี่ย ฉันยังแปลกใจอยู่เลย เพราะคนที่โสดน่าจะเป็นเฮียฟิวส์มากกว่าอีก”ทันทีที่จบประโยค ผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างหน้าฉันเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงของท่าทาง ศีรษะที่ตั้งตรงในตอนแรก เอี้ยวหันกลับมาทางซ้าย“ก็คนที่ชอบ เขาก็ไม่ได้ชอบเฮียนี่หว่า ทำไงได้ล่ะ”ฉันรีบเลื่อนมองออกนอกรถ เพื่อหลีกเลี่ยงการประสานสายตา ทั้งที่ไม่คิด แต่มันก็ยังรู้สึกว่าผู้หญิงที่เขาพูดถึง คือตัวเอง...นั่นทำให้อัตราการเต้นของหัวใจฉันเร็วขึ้นเล็กน้อย“จริงดิ มีผู้หญิงไม่ชอบเฮียด้วยเหรอวะ” คู่สนทนามีน้ำเสียงที่ค่อนข้างประหลาดใจ ราวกับไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนปฏิเสธเขายังงั้นแหละเฮียไวน์ไม่ได้ตอบกลับ แต่เปลี่ยนประเด็นไปเรื่องอื่นแทน“ว่าแต่ ทำไมอยู่ ๆ ย้ายมานี่ได้วะ ไหนบอกจะไม่กลับมาแล้ว”“ไม่รู้ดิ เขาเห็นว่าฉันเป็นคนไทยมั่ง ก็เลยส่งมา”ซึ่งฉันไม่รู้เลยว่าพวกเขาคุยกันถึงเรื่องอะไร…“เอ่อ ลืมบอกเลย” เฮียไวน์ ขยับยื่นหน้ามาตรงกลาง “พลอยใส เ
@กรุงเทพมหานครหลังจากเครื่องลงจอดสนิท ผู้ชายที่ต้องจำใจร่วมการเดินทางในครั้งนี้ด้วย ก็พาพวกเรามาหยุดยืนหน้าประตูทางออก โดยที่ฉันยังทำหน้ามุ่ยราวกับเด็กถูกขัดใจตลอดเวลา เพราะไม่สามารถหลบเลี่ยงได้ ก่อนที่เขาจะก้มกดหน้าจอสมาร์ตโฟนชั่วครู่ แล้วยกมันขึ้นแนบหู พลางสอดส่องสายตาไปโดยรอบ เหมือนกำลังมองหาใคร และฉันคิดว่าน่าจะเป็นคนเดียวกับที่อยู่ในสาย“เฮียหมอ!!!”ไม่ใช่แค่คนที่ถูกตะโกนเรียก ฉันกับเพื่อนสนิทก็หันไปทางต้นเสียงโดยพร้อมเพรียงเช่นกัน ขมวดคิ้วมองเฮียไวน์และสาวสวยที่ยืนโบกไม้โบกมืออยู่ข้างฟอร์จูนเนอร์สีขาวสะอาด สลับกันไปมาด้วยความสงสัยเฮีย...? ต้องสนิทแค่ไหนถึงมีสิทธิ์เรียกเขาแบบนี้ได้ส่วนอดีตพี่ชายก็ตอบรับด้วยรอยยิ้มหวานทันที พร้อมเก็บมือถือเข้ากระเป๋าแจ็กเกตตัวเอง“ไปกัน” เขาหันมาบอก แล้วก้าวนำไปหาเจ้าของใบหน้าสวยดูแพง ทั้งการแต่งตัวและบุคลิกอยู่ในโหมดไฮโซได้เลย ซึ่งเธอยังเอาแต่จ้องมองเฮียไวน์ไม่ละสายตา“รอนานไหมคะ” เสียงหวานของบุคคลปริศนาเอ่ยถามขณะสอดเท้าข
ฉันฝีเท้าชะลอลงเล็กน้อยตอนที่เดินออกมาจากห้องน้ำ สีหน้าเปลี่ยนไปทันทีที่เห็นเพื่อนสนิทยืนคุยกับผู้ชายร่างสูงคุ้นตา แจ็กเกตหนังแบบนี้ กางเกงยีนตัวนี้ กับรองเท้าผ้าใบคู่เดิม เพียงแค่เห็นด้านหลังก็รู้แล้วว่าเป็นเขา แถมด้วยรถเข็นสัมภาระเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคัน แสดงว่านี่ไม่ใช่การมาส่งสินะทั้งสองคนหันกลับมาแทบจะพร้อมกัน เมื่อฉันเข้าไปใกล้มากขึ้น และตวัดมองยัยเพื่อนจอมจัดแจงอย่างเกรี้ยวกราด“อุ๊ย!” จังหวะประสานสายตา ร่างเล็กสะดุ้งโหย่ง ก่อนจะหันหาเฮียไวน์แทน “ทิชาไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ”แต่ฉันยังเขม็งจ้องไล่ตามมันไปจนสุดทางเดิน อยากจะทุบกระบาลซะจริง อุตส่าห์แอบหนีมาก่อน ไม่พ้นจนได้ แล้วจะเสียเงินเลื่อนไฟลต์เพื่อ…?น่าโมโหชะมัด เป็นเหมือนกันไปหมด“คิดจะหนีเฮียเหรอ” คำถามแรกจากผู้ไม่ได้รับเชิญ“...” ก็ใช่น่ะสิ ยังจะมาถามอีก แต่แค่คิดในใจเท่านั้นนะ ไม่อยากต่อบทสนทนากับคนเจ้าเล่ห์แบบเขาฉันพยายามเลี่ยงสบตา เลี่ยงแม้กระทั่งการอยู่ใกล้ เพราะเริ่มรู้สึกถึงบางอย่างที่ไม่ปกติในตัวเอง...เขาไม่ใช่