“คุณนีรดาร์ รึเปล่าครับ”
ฉันหันไปตามเสียงเรียกขณะที่กำลังยืนหันหน้าหันหลังอยู่หน้าสนามบินเชียงใหม่ ผู้จัดการบอกว่าพอถึงที่สนามบินก็จะมีคนของบริษัทมารับ นี้คงเป็นคนของบริษัทซินะ
“ค่ะ ฉันนีรดาร์”
“อ๋อครับ ผมมาจากบริษัท Y ครับ มารับคุณไปส่งที่พักครับ” เขาพูดพลางเอื้อมมือมายกกระเป๋าเดินทางสองสามใบที่อยู่บนรถเข็นเพื่อขนขึ้นรถ
“ขอบคุณนะคะ คุณ...เออ”
“ผม...ที ครับ”
ฉันเอ่ยขอบคุณเขาตามมารยาทและก็ควรรู้ชื่อเขาด้วยเพราะเราอาจได้ทำงานร่วมกันในวันข้างหน้า เขาตอบฉันกลับมาแบบยิ้มๆ มือเล็กเอื้อมไปเปิดประตูรถขึ้นไปนั่งบนเบาะด้านหลังคนขับ มีความรู้สึกเหมือนเป็นคนสำคัญเลยแฮะ มีรถตู้มารับด้วย รถแล่นมาได้ซักประมาณครึ่งชั่วโมงได้แหละมั้งก่อนจะมาหยุดนิ่งอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่ง ที่ดูภายนอกมันอาจจะเล็กไปหน่อยแต่ก็น่าอยู่ดีนะ สะอาดสะอ้าน น่าจะมีคนค่อยดูแลแน่ๆ ดีเลย ฉันเป็นพวกไม่ชอบทำงานบ้านสักเท่าไร ก็ส่วนมากแม่จะทำให้นี่นา
“ถึงแล้วครับ” พี่คนขับที่ชื่อที..คนนั้นหันมาบอกฉัน แล้วหันกลับไปเปิดประตูลงจากรถเดินไปเปิดกระโปรงหลังเพื่อขนของลง ฉันจึงเปิดประตูลงมาจากรถ อากาศที่นี่ดีจัง ไม่ร้อนอบอ้าวหรืออาจเป็นเพราะยังเช้าอยู่ ฉันลงเครื่องมาตอนเจ็ดโมงพอดีเป๊ะเลยรีบมาทำไมก็ไม่รู้ อีกตั้งสองวันกว่าจะได้ไปทำงาน เขาคงเลือกจองไฟท์ถูกให้เราล่ะซิ...ชิ ระหว่างที่ฉันกำลังดื่มด่ำกับบรรยากาศอยู่นั้นก็มีเสียงดังมาจากด้านหลัง
“มาถึงนานรึยังคะ มาๆ เข้ามานั่งคุยกันก่อนค่ะ”
ฉันหันมาตามเสียงนั่นและยิ้มตอบรับเป็นมารยาทฉัน ก่อนที่ผู้หญิงวัยประมาณห้าสิบกว่าคนนั้นก็พาฉันเข้ามาในบ้านหลังที่สามถัดมาจากหลังนั่น
“ไม่ใช่หลังนั้นเหรอคะ” ฉันเอ่ยถามเพราะอยากอยู่หลังนั่นพอเขาพามาที่นี่ฉันเลยเสียใจนิดๆ
“อ้อๆ หลังนั่นแหละค่ะ แต่มาดื่มน้ำดื่มท่าซะก่อน” ป้าที่เป็นเจ้าของบ้านพูดพร้อมยกน้ำมาให้ฉันกับพี่ที เราสามคนนั่งกันอยู่ในสวนหน้าบ้าน ป้าแกก็พูดถึงบ้าน ถึงคนที่นี่และวัฒนธรรมที่ฉันควรจะรู้ให้ฟัง สักพักพี่ทีก็ขอตัวกลับก่อนเพราะต้องไปทำงานต่อ ฉันเองก็ต้องขอตัวเหมือนกัน เหนื่อยเหลือเกิน อยากนอน
“หนู ป้ามีเรื่องจะขอหนูน่ะ” ฉันกำลังจะลุกจากเก้าอี้แต่ป้าแกดันจับแขนฉันแล้วพูดขึ้นมาซะก่อน หน้าท่านตอนนี้บ่งบอกมากว่าฉันน่าจะมีปัญหาแล้วล่ะ
“เรื่องอะไรเหรอคะ” ฉันสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ ก่อนจะถามออกไป
“เออ...คือ บ้านหลังนั้นมีเด็กนักเรียนเช่าอยู่ด้วยคนหนึ่ง บ้านนั่นมีสองชั้น ป้าคุยกับเขาแล้วว่าจะให้หนูอยู่ชั้นบน” แค่เด็กนักเรียนแล้วทำไมแกต้องกังวลด้วยล่ะในเมื่ออยู่คนละชั้น ก็ไม่น่ามีปัญหานิ ดีซะอีกฉันจะได้มีเพื่อน เอ๊ะ....ผู้หญิงใช่มะ เมื่อกี้ป้าบอกว่าผู้หญิงรึผู้ชายนะ
“ว่าแต่ผู้หญิงใช่ไหมคะ” ฉันถามออกไปพร้อมกับรอยยิ้ม แต่ป้าแกกลับก้มหน้างุด นี่หมายความว่าไง ผู้ชายงั้นเหรอ เหอะๆ เวรกรรมอะไรเนี่ย ฉันไม่ชอบเด็กผู้ชายเป็นที่สุด ไม่ได้ๆ ฉันต้องไปอยู่ที่อื่น ฉันควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋าออกมาเปิดเครื่องและลุกออกมาหน้าบ้านทิ้งให้ป้าแกนั่งทำหน้าสำนึกผิดอยู่นั่นแหละ หลอกลวงกันชัดๆ ฉันกดโทรศัพท์หาผู้จัดการทันที
ตื้ดดด....ตื้ด
'ครับ คุณถึงแล้วใช่ไหม'
"ค่ะ ถึงแล้ว เซอร์ไพรส์มากด้วย นี่ผู้จัดการรู้ไหมว่าบ้านที่คุณเตรียมให้ มีคนเช่าอยู่ก่อนแล้ว และให้ฉันไปแบ่งใช้กะเขา ฉันยอมไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด"
'เดี๋ยวๆ ใจเย็นๆ แต่ไม่มีบ้านหลังไหนแล้วนะที่ใกล้กับบริษัทเท่าที่นี้ ที่คุณสามารถเดินไปได้ หรือคุณจะยอมนั่งรถไปล่ะ แล้วอีกอย่างนะ เขาให้งบมาแค่นี้ แล้วก็จ่ายค่าเช่าทั้งปีไปแล้ว'
"ฮะ....แม่เจ้า สรุปคือ งบน้อยใช่ไหมคะ"
'หรือคุณจะยอมจ่ายเองก็ได้นะ เสียทั้งค่าเช่าบ้าน ค่ารถ คิดเอานะ ผมไปประชุมก่อน'
ติ๊ด.....
“เดี๋ยวซิ ผู้จัดการ คุยกะ”
ตัดสายใส่เฉย...แม่งเอ่ย!!!! เอาไงดีว่ะ เอาไงดี คิดซิ...คิด ยัยหนูดา คิด เว้ยยยย ไม่มีทางฉันไม่ยอมเสียตังค์เองหรอก แค่เด็กนักเรียนคงไม่เป็นไรมั้ง
“หนู แต่เขาไม่ชอบผู้หญิงหรอกนะ เขาน่ะชอบผู้ชาย” ป้าแกเดินออกมาหาฉันแล้วบอกสิ่งที่ฉันไม่ขาดคิด ฉันเลิกคิ้วใส่แก จริงเหรอ ถ้าเป็นงั้นก็ดีซิ มันทำให้ฉันยิ้มออกมาได้นิดหนึ่ง ฉันก็เลยคิดแผนดีๆ ออก ปิ้งงงง!!!
“งั้น ป้าต้องลดค่าเช่าให้หนู 20% ตกลงไหมคะ”
“โห่...ยัยหนูคนที่มาจ่ายตังค์ก็ขอลดไปตั้งเกือบครึ่งแหละ อย่าต่อเลยนะ ป้าเอาเงินไปรักษาลุงหมดแล้ว”
“ฮะ!!!! ต่อแล้ว หน้าเลือด ไอ้ผู้จัดการบ้า อย่าให้เจอนะ” ฉันได้ฟังยังงั้นก็เลยหวนนึกถึงพ่อตัวเอง ป้าแกก็คงเดือดร้อนจริงๆ นั่นแหละ อยู่ๆ ไปเหอะยัยหนูดาแค่อาศัยนอนเฉยๆ เอง ก็คงจะได้อยู่ที่ทำงานเยอะกว่านั่นแหละเนอะ เอาว่ะ คงไม่มีอะไรแย่ไปซะทุกอย่างหรอก อย่างน้อยเด็กคนนั้นก็ไม่ใช่ผู้ชาย
“ก็ได้ค่ะ....แต่วันหยุดหนูขอมากินข้าวด้วยนะคะ” ฉันบอกกับป้าแบบทีเล่นทีจริง เพื่อไม่ให้ป้าแกเครียด และมันก็ได้ผล ยิ้มแฉ่งเลยทีนี้
“ได้เลยๆ มาทุกวันก็ได้ ป้าชื่อพิมนะ”
“หนูดา...ค่ะ”
“งั้นหนูดาขอตัวนะคะ” ฉันบอกพร้อมกับหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาแม่ ท่านคงรอฉันอยู่แน่ๆ เราคุยกันไปได้สักพักก็ต้องวางสายเพราะแม่จะไปดูแลพ่อต่อ ฉันยังไม่หายคิดถึงเลยงะ ฉันเลยเดินเข้าไปดูในบ้าน
แกร๊ก....แอ๊ดดดดด
“ว้าวววว...สะอาดมากเลย นี้เขาคงเป็นเกย์จริงๆ ซินะ”
ฉันเดินสำรวจรอบๆ บ้านและพบว่ามันสะอาดมากจนไม่น่าเชื่อว่านี้คือฝีมือของเด็กผู้ชาย บ้านหลังนี้ไม่ใหญ่และไม่สูงมาก ไม่ใช่บ้านจัดสรร แต่เป็นบ้านที่ถูกเขียนแบบขึ้นมาเอง เปิดเข้ามาก็เจอห้องนั่งเล่นที่ไม่ใหญ่มาก ตรงเข้าไปก็เป็นห้องครัว ด้านซ้ายมือฉันมีห้องอยู่ห้องหนึ่งน่าจะเป็นของเด็กนั้น เลยประตูห้องนั้นมาหน่อยก็จะมีบันไดขึ้นไปชั้นบน หน้าห้องฉันเป็นระเบียงเหมือนกับอาคารที่มีชั้นครึ่งยังงั้นเลยสามารถมองลงมาข้างได้ เจ๋งอ่ะ ฉันไม่คิดว่าบ้านหลังเล็กๆ ก็ทำแบบนี้ได้ ฉันเดินขึ้นมาชั้นบนซึ่งเป็นที่ของฉัน ป้าพิมบอกว่าเราแบ่งกันคนละชั้น กระเป๋าสามใบของฉันอยู่ที่ชั้นนี้เรียบร้อยแล้ว เอ๊ะ!!! พี่ทีรู้งั้นเหรอ หรือเดา แล้วรู้ได้ไง เหอะ...ช่างมันเถอะ
ครืดดดดด....ครืดดดดด
ระหว่างที่ฉันกำลังจัดของเข้าที่ มีโทรศัพท์เข้า ฉันจึงหยิบมันขึ้นมาดู และแน่นอนที่สุดเป็นอย่างที่คิดเพื่อนสามตัว เอ๊ย..สามคนของชั้น เพราะมันไม่ได้โทรมาคนเดียว แต่วิดีโอคอลเป็นกลุ่มมาหาฉัน
แมนนี่ : ไง ชะนี ไม่โทรหาเพื่อนเลยนะยะ
ลูกปลา : ช่าย มึงถึงยัง ปะ....
พริกแกง : นั้นดิ ผู้ละ...
ลูกปลา : นี่ กูยังพูดมะ....
แมนนี่ : โอ๊ยยยย...จะแย่งกันคะ....
@&฿~>&!/@~!¥€<|~&฿@ ระหว่างที่พวกมันเถียงกัน ฉันก็ได้ยินเสียงคนเปิดประตูบ้าน
ฉัน : พวกมึงแค่นี้ก่อนนะ
ฉันกดวางสายแล้วรีบออกมาจากห้องเพื่อจะลงไปข้างล่าง ฉันคิดว่าต้องเป็นเด็กคนนั้นแน่ๆ แต่....
แอ๊ดดดด....กรึก
นั่นไง...ไม่ทัน เด็กนั่นเข้าห้องและล็อกประตูทันที ใครล่ะจะกล้าเรียก ฉันจึงหันหลังเดินกลับมาห้องและจัดของต่อให้เสร็จ
เวลาผ่านมาสักพักใหญ่ๆ ....
เห้ออออ!!! เสร็จซะที ไปหาไรกินดีกว่า ว่าแต่ชวนเด็กนั้นไปดีกว่า จะได้มีเพื่อน ฉันจึงรีบไปอาบน้ำแต่งตัว แล้วเดินลงมาจากชั้นบนหยุดตรงหน้าห้องเด็กน้อยนั้นพอดี เดินวนอยู่พักใหญ่ ไม่กล้าเคาะ ก็เลยได้เดินออกมาหน้าปากซอยคนเดียวซึ่งไม่ไกลเท่าไร ที่นี่เป็นแหล่งชุมชน ของขายเยอะ คนพลุกพล่าน ฉันก็เดินดูนั้นดูนี้ไปเรื่อยเปื่อย
แอ๊ดดดดด.......ผมเปิดประตูเข้ามาในบ้านแต่ไม่เห็นคนตัวเล็กนั่น ขึ้นห้องไปแล้วเหรอ ผมกำลังจะเดินขึ้นบันไดแต่ดันได้ยินเสียงกุกกักมาจากในครัว จึงเปลี่ยนเส้นทางทันทีและมาหยุดอยู่ที่ประตูห้องครัว ผมเห็นเธอกำลังเอื้อมหยิบยาในตู้“อะ...นะ...นาย” ผมเดินเข้าไปช้อนหลังเธอแล้วเอื้อมหยิบยาพร้อมกับที่เธอคงตกใจเลยหันกลับมาดันหน้าอกผมไว้เพื่อไม่ให้ผมใกล้เธอไปมากกว่านี้ แต่ใช้มือข้างเดียว…? อีกข้างต้องเจ็บแน่ๆ ถึงได้ไม่ใช้มัน“อันนี้เหรอ...หืม” ผมหยิบหลอดยานวดลงมาแล้วถามคนตัวเล็กตรงหน้า ดวงตานั่นเพิ่งผ่านการร้องไห้มาสินะ เธอหลบสายตาผม มีอะไรปิดบังแน่ๆ“อืม” เธอหยิบหลอดยาไปจากมือผมและผลักผมออก“เดี๋ยว….”อ๊ะ...โอ๊ยยยย///ผมแค่จับเบาๆ เองนะ ทำไมเจ็บขนาดนี้ รึว่า…“ปล่อย” ผมเลยปล่อยมือออกจากแขนเธอเพราะผมรู้ว่าเธอน่าจะเจ็บมาก“หนูดา...ไปหาหมอไหม” ผมเอ่ยขึ้นขณะที่เธอกำลังจะเดินขึ้นห้อง“...”“คุยกันก่อนดิ…” ผมเดินไปดักหน้าเธอไว้ ทำไมเธอเงียบแปลกๆ นะ ไม่โวยวายเหมือนเก่าเลย“ไอติมเป็นไงบ้าง”“น้องแค่ตกใจ...ไม่ได้เจ็บอะไร”“อืม” อะไรคือ อืม เธอต้องด่าผมดิ ไม่ใช่แบบนี้ อะไรวะเนี่ย“หนูดา...เป็นอะไร”“...” เธอส
วันนี้ดินพาฉันมาฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลของตามคำแนะนำของคุณหมอคนเดียวของกลุ่ม แต่วันนี้ฉันดูสดชื่นและมีความสุขแบบบอกไม่ถูก ยิ่งได้เห็นหน้าดิน ได้จับ ได้กอด ได้หอมนะ ยิ่งมีความสุขเข้าไปใหญ่จนยิ้มไม่หุบเลยแหละ คิ คิ“เป็นไรเนี่ย” ดินถามขึ้นระหว่างที่เรานั่งรอหมอเรียกอยู่ด้านหน้าเคาน์เตอร์แล้วฉันเอาแต่คล้องแขนเขาพลางใช้จมูกโด่งซุกไปมาอยู่ที่แขนดินแบบนั้นไปยอมปล่อย“ไม่รู้อ่ะ อยากได้กลิ่นตัวดิน” ฉันพูดเสียงอู้อี้เมื่อจมูกยังกดอยู่ที่แขนของเขา รู้สึกเหมือนตัวเองหื่นยังไงก็ไม่รู้ แต่มันห้ามไม่ได้เลยอ่ะ“หื้มม”ฉันเหลือบมองหน้าดินเห็นเขาแอบเขินหน่อยๆ ด้วยนะ คิ คิ น่ารักที่สุดเลย หลัวฉัน...ของฉันคนเดียว“เชิญคุณนีรดาร์ ห้องตรวจ 1 ค่ะ”เอ๊ะ…! เรียกแล้ว ฉันกับดินพากันเดินเข้ามาในห้องตรวจ 1 ตามที่เสียงที่ประกาศเรียกเมื่อกี้ ฉันเห็นหมอผู้หญิงคนนี้แล้วไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่เลย เอาแต่มองดินอยู่ได้ ตั้งแต่นั่งอยู่ตรงนั้นจนฉันขึ้นนอนบนเตียงเพื่อจะอัลตราซาวด์ดูเบบี๋น้อยในท้องฉัน มันก็ตื่นเต้นอยู่หรอกแต่ใจดันจดจ่ออยู่หมอคนนั้นกับหลัวฉันเนี่ยแหละ“ดิน! หันมาหาหนูดา”“ดินดูเบบี๋อยู่ เนี่ยหนูดาดูดิ เห็นไหม” ด
“ดิน สุขสันต์วันเกิดนะ หนูดารักดิน นี้ของขวัญวันเกิด” หนูดาเดินเข้ามากอดผมแล้วพูดขึ้นพร้อมกับยัดบางอย่างใส่มือผมก่อนจะผละออกแล้วทำท่าเขินๆ ผมเลยยกมือขึ้นมาดูว่าเธอเอาอะไรให้ผม“เห่ย!” ผมอุทานเสียงหลง เผลอยิ้มออกมาอย่างดีใจ ลืมความโกรธเมื่อกี้นี้ไปจนหมดสิ้นแล้วดึงหนูดาเข้ามากอดอีกครั้งพลางก้มจูบที่หัวเธอเบาๆ นี้เป็นของขวัญวันเกิดที่ดีที่สุดในชีวิตผมเลย ผมกำลังจะเป็นพ่อคน เรากำลังจะมีเจ้าตัวเล็กด้วยกัน เรากำลังจะกลายเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ“หายโกรธนะ ป๊ะป๋า จุ๊บ” หนูดาดันตัวออกแล้วเขย่งขึ้นมาจุ๊บที่ปากผมทีหนึ่ง ผมส่ายหน้าน้อยๆ ให้กับความเล่นใหญ่เล่นจริงของเมียตัวแสบ แต่คำว่า ป๊ะป๋า เนี่ยมันทำให้ผมอยู่ไม่เป็นสุขเลยจริงๆ หน้าร้อนผ่าวไปหมด“หึ ไม่เอาเล่นใหญ่แบบนี้แล้วนะ จะช็อกว่ะ”ปัง...ปังฮิ้ววววว….ฮิ้วววววโห...แม่งเล่นใหญ่จริงว่ะ มีพลุสายรุ้งด้วย..นี่ขนาดวันเกิดยังเล่นใหญ่ขนาดนี้ ถ้างานแต่ง..กูว่ามีนอนในโรงแกล้งกูแหง...หึ แล้วก็ตามมาด้วยเสียงแซวต่างๆ นานาของให้พวกเวรนั่น“ว่าแต่เพิ่งปล่อย ทำไม” ผมก็อดที่จะสงสัยไม่ได้เพราะหนูดเพิ่งจะตกลงกับป๊าเมื่อไม่กี่วันนี้เองว่าจะมีหลานให้ท่าน“3
ผมออกมาเคลียร์งานที่ผับตั้งแต่เช้าเพราะวันนี้วันหยุด ปกติหนูดาจะเป็นคนทำแต่วันนี้ยัยเตี้ยของผมไม่ค่อยสบาย ผมเลยกะว่าจะมาเคลียร์งานให้เสร็จแต่เช้า สายๆจะได้พาเมียไปหาหมอผมนั่งเคลียร์งานอยู่ในห้องสักพักก็มีคนเปิดประตูห้องทำงานของผมเข้ามาอย่างถือวิสาสะแกร่ก...แอ๊ดดดด“อุ้ย! ขอโทษค่ะ คือป้าไม่รู้ว่านายน้อยจะเข้ามาแต่เช้า” ป้าแม่บ้านวางอุปกรณ์ทำความสะอาดลงแล้วรีบยกมือไหว้ผมด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลน นี่ผมน่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอวะ“ป้าจะไหว้ผมทำไม ป้าจะทำความสะอาดใช่ไหม ทำเลยครับ ไม่เป็นไร” แล้วผมก็ยกมือไหว้ป้าคืน นรกได้กินหัวผมพอดีให้คนรุ่นราวคราวเดียวกับป๊ามายกมือไหว้แบบนี้ แล้วป้าก็เอามือลงส่งยิ้มมาให้ผมก่อนจะหันไปหยิบอุปกรณ์แล้วทำความสะอาดตามหน้าที่ของท่านครืดดดด...ครืดดดดผมรีบหยิบมือถือออกจากกระเป๋าทันทีเพราะคิดว่าเป็นสายเรียกเข้าจากเมียแต่ไม่ใช่ เบอร์ใครวะ...ผมเลื่อนสไลด์เพื่อรับสาย“ครับ ผมปฐพี อะไรนะ! ผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้” ผมรีบคว้ากุญแจรถแล้วออกมาจากห้องทำงานทันทีพลางกดมือถือหาเฮียหมอไปด้วย ไอ้เฮียหมอแม่งก็ไม่รับสายซะทีวะ…ตืดดดดด...ตืดดดดด[อะไรของแม่งวะ โทรทำเหี้ยไร]“ไอ้เฮีย มึงรีบไ
“พอๆๆ ไอ้ห่านี่ก็ไม่เกรงใจป๊าเลย ไว้กลับไปทำที่ห้องโน้น ความจริงเรื่องเนี่ยไอ้ดินมันไม่รู้หรอก มันก็เพิ่งรู้ก่อนหน้าหนูไม่นานเนี่ยแหละ แผนป๊าเอง”“ห้ะ! นี่ท่าน” ฉันถึงกับพูดลืมอายไปเลย ไม่เคยคิดเลยว่ามาเฟียที่น่าเกรงขามแบบท่านจะมาทำอะไรเพื่อแกล้งฉันแบบนี้ อะไรเข้าสิงท่าฟ่ะ ทำไมท่านถึงทำแบบนี้นะ เหงาหรือว่าอะไร สองพ่อลูกนี่ทำตัวได้น่าโมโหชะมัด ถ้าไม่ติดว่าเป็นป๊าดินล่ะก็ ฉันไม่ปล่อยไปแน่...ฉันเลยหันกลับไปหาลูกชายตัวดีของท่านแทน“ไอ้เด็กบ้า กลับไปนายเจอดีแน่”“อ้าว ทำไมเป็นดินอะ” ดินพูดขึ้นหน้าตาเลิ่กลั่กแล้วชี้นิ้วเข้าหาตัวเองแบบงงๆ“ก็ฉันทำท่านได้ไหมล่ะ นายเป็นลูกก็รับไปสิ” ฉันพูดพลางเอามือขึ้นกอดอกด้วยท่าทางฟึดฟัดพอสมควร ความจริงอยากทำมากกว่านี้อีก...แต่ทำไม่ได้“ป๊าเล่นไรเนี่ย เห็นไหมผมซวยเลย” แล้วดินก็หันไปพูดกับป๊าตัวเองอย่างหัวเสีย“ก็ฉันอยากเห็นกะตานี่หว่า ว่าลูกสะใภ้ฉัน ใจเด็ด ใจกล้า อย่างที่เขาพูดกันจริงรึเปล่า แต่เกินคาดไม่คิดว่าผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างหนูจะยอมตายแทนลูกชายฉันได้ แกนี่มันโชคดีจริงๆ ฮ่าๆๆ” ท่านพูดขึ้นแล้วเดินเข้าไปตบไหล่ลูกชายตัวเองเบาๆ ก่อนจะหัวเราะขึ้นอย่างชอบใจ
สองอาทิตย์ต่อมา…..หลังจากที่ฉันและดินไปส่งพ่อกับแม่ไปเมกาเพื่อรักษาตัวเสร็จเรียบร้อยก็บินกลับมาที่เชียงใหม่ทันทีเพราะคนของป๊าโทรมาบอกว่าท่านมีเรื่องกับคนในแก๊งที่หักหลังท่านสถานการณ์ก็ไม่ค่อยดีเท่าไร แล้วดินก็ดูร้อนใจมาก ฉันลอบมองดินเป็นระยะๆ ขณะที่นั่งอยู่ในรถไฟเหาะ เฮ้อออ...ทำไมเขาถึงขับรถเร็วแบบนี้นะ“ดิน เบาลงหน่อยดีไหม” ฉันเอื้อมมือไปจับแขนดินเพื่อดึงสติเขากลับมา ฉันคิดว่าใจดินคงไปอยู่กับป๊าแล้วละ ดินถอนหายใจออกมาก่อนจะผ่อนคันเร่งลงนิดหนึ่งสักพักรถก็เคลื่อนมาจอดหน้าคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ฉันไม่เคยได้มาสักครั้ง เวลาท่านอยากเจอดินหรือมีงานต้องคุยส่วนมากก็จะไปหาดินที่ผับแล้วก็ภัตตาคารอะไรทำนองนั้นแต่ไม่เคยนัดดินมาที่นี่เลยฉันวิ่งตามดินมาหยุดอยู่กลางห้องโถงใหญ่กลางบ้านแต่ไม่เห็นใครเลย เงียบสงัดจนน่าแปลกใจ ดินก็คงคิดแบบนั้นเหมือนกันเขาคว้ามือฉันไปจับไว้แน่นแล้วหันซ้ายหันขวามองอย่างระวังตัวพรึบบบบปึกกกก“ดิน”ดินดึงตัวฉันเข้าไปกอดจากหลังแล้วกดหัวลงเหมือนพยายามจะบังตัวฉันไว้จากอะไรสักอย่างก่อนฉันจะได้ยินเสียงของแข็งกระทบเข้าร่างกายดินอย่างจังเพราะฉันสัมผัสได้จากการแรงกระแทกและดินก็ทรุดเ