เสียงร้องไห้โหยหวนดังก้องไปทั่วห้องนอนใต้ดินหรูที่ถูกออกแบบให้ดูสวยงามในรูปแบบคฤหาสน์ชั้นสูง หากแต่กลิ่นอายของการกักขังก็ยังไม่สามารถปกปิดได้หมด — โดยเฉพาะเมื่อคนที่ถูกขังอยู่คือเมลิน ผู้หญิงที่กำลังจะเสียสติเพราะถูกพรากลูกไป
“ปล่อยฉันออกไป! ได้ยินไหม! ฉันต้องไปหาน้องน็อต! ลูกฉันกำลังป่วย!” เสียงร้องของเธอปนเปื้อนด้วยน้ำตาและความเจ็บปวด มือทุบประตูอย่างสิ้นหวัง
บนชั้นบน ลิซ่า เลขาคนสนิทที่ฟื้นขึ้นมาเรียบร้อย เดินตรงเข้าไปหานายของตนที่ยืนกอดอกอยู่ปลายเตียง มองดูเด็กชายตัวน้อยที่นอนดิ้นไปดิ้นมาไม่ยอมให้หมอตรวจอยู่กลางเตียงด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก
“ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป เด็กอาจจะไม่รอดนะคะคุณคีรินทร์” ลิซ่าพูดตรง ๆ แม้จะรู้ว่าอาจโดนสายตานั้นเฉือนให้เลือดซึม
“…”
คีรินทร์ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ลึกลงไปในอกมีบางอย่างกระตุกวูบ ความรู้สึกที่เขาพยายามฝังกลบมันไว้ใต้บาดแผลของความแค้นพลันถูกรบกวน
“พาเธอมาหาลูก” เขาออกคำสั่งเสียงเบาแต่เฉียบขาด
ไม่นานนัก เมลินก็ถูกพาตัวมายังห้องนอนใหญ่ เด็กชายเงยหน้าขึ้นมาทันทีที่เห็นแม่ เสียงร้องเปลี่ยนเป็นเสียงสะอื้นเบา ๆ น้ำตาไหลเปื้อนแก้ม
“น็อต! แม่อยู่นี่แล้ว แม่อยู่นี่!” เธอวิ่งเข้าไปกอดลูกแน่น เด็กโผซุกอกแม่จนตัวสั่น มือเล็กกำเสื้อเธอแน่นราวกับกลัวเธอจะหายไปอีก
แต่ก่อนที่เธอจะได้กอดลูกนานกว่านั้น ร่างของเธอก็ถูกกระชากออกไปด้านข้างด้วยแรงของคนที่แข็งแรงกว่า
“ปลอบลูกของเธอให้ยอมให้หมอรักษา ไม่อย่างนั้น ถ้าเด็กเป็นอะไรขึ้นมา…อย่าคิดจะโทษฉันเด็ดขาด”
เสียงต่ำเย็นเยียบกระซิบข้างหูเมลิน ขณะที่คีรินทร์ยืนประชิดหลังเธอ ดวงตาคมสอดส่องราวกับดาบปลายแหลม เขาไม่ได้ตะคอก แต่ประโยคของเขาทำให้เธอสะอึก
“ก็ได้… ฉันจะทำ” เธอพูดเบา ๆ ในลำคอ หยาดน้ำตายังคงไหลไม่ขาดสาย
เมื่อเธอกลับไปหาลูก เด็กก็เริ่มสงบลงในอ้อมแขนแม่ หมอจึงสามารถตรวจได้เต็มที่ ก่อนจะวินิจฉัยว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ และควรเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลทันทีเพราะเด็กยังเล็ก
“ไม่ต้องย้าย รักษาที่นี่” คีรินทร์พูดโดยไม่แม้แต่จะหันไปมองหมอที่ตกใจอยู่ชั่วครู่
เมื่อเป็นเช่นนั้น หมอจึงทำได้แค่ให้น้ำเกลือและฉีดยาลดไข้ก่อนจะปล่อยให้เด็กหลับไปภายใต้การดูแลของพยาบาลที่เพิ่งเรียกตัวมาใหม่
และในตอนที่เมลินกำลังจะนั่งลงข้างเตียงของลูก เสียงเย็นชาก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“กลับไปที่เดิมได้แล้ว”
“ฉันขออยู่ดูแลลูกได้ไหมคะ ฉันสัญญาว่าจะไม่หนี จะไม่ทำอะไรทั้งนั้น แค่ขออยู่กับลูก—”
“เธอไม่ได้มาอยู่ที่นี่เพื่อเลี้ยงลูก เธอมาเพื่อชดใช้ความผิดในอดีต และเธอไม่มีสิทธิ์ต่อรองใด ๆ ทั้งนั้น”
ประโยคนั้นเปรียบดั่งมีดกรีดกลางใจเมลินจนเลือดไหลไม่หยุด เธอมองเขาด้วยสายตาสั่นไหว น้ำตาหยดสุดท้ายร่วงเงียบก่อนที่เธอจะหันหน้าหนี
“สักวันหนึ่ง… คุณจะต้องเสียใจที่ทำกับฉันแบบนี้”
เธอพูดแค่นั้น ก่อนจะเดินออกไปโดยไม่มีคำพูดอะไรอีก ท่ามกลางความเงียบที่ปกคลุมบรรยากาศระหว่างทั้งสองอย่างหนักอึ้ง
คีรินทร์ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น มองประตูที่เธอเพิ่งจากไป ดวงตาคมที่เคยแน่วแน่พลันสั่นไหวเพียงเสี้ยววินาที…
ใช่ เขาเคยรักเธอมาก รักจนยอมทำทุกอย่างเพื่อเธอ และนั่นคือเหตุผลที่เขาแค้นเธอมากกว่าใคร—เพราะเธอคือคนที่เขาไว้ใจที่สุด และก็เป็นคนที่ทรยศเขาเจ็บที่สุดเช่นกัน
แสงไฟสลัวในห้องทำงานส่วนตัวของคีรินทร์ส่องกระทบใบหน้าคมเข้มที่เต็มไปด้วยความเคร่งเครียด ข้อมูลและแฟ้มเอกสารจำนวนมากกระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะไม้เนื้อดี ทุกอย่างเกี่ยวกับเมลินที่เขาเคยเชื่อเริ่มสั่นคลอน
เมื่อหลักฐานล่าสุดจากแหล่งข่าวในยุโรปยืนยันชัดว่า คริส น้องชายต่างมารดาของเขา—ผู้ชายที่เขาเคยไว้ใจที่สุด กลับเป็นคนปล่อยข่าวเท็จทั้งหมด
“เป็นไปไม่ได้...” คีรินทร์พึมพำ น้ำเสียงแหบพร่า มือหนากำแฟ้มแน่นจนข้อขาว ซีดีวงเล็กที่บันทึกเสียงสนทนาระหว่างคริสกับใครบางคนยังคงเปิดเล่นซ้ำไปซ้ำมา
—“ถ้าฉันไม่ได้เมลิน ก็อย่าให้มันได้เหมือนกัน!”—
เสียงนั้นแหลมสูง แฝงความแค้น ความริษยาที่ซุกซ่อนไว้เบื้องลึก กัดกินเขาจนคีรินทร์แทบหยุดหายใจ
เขาไม่เคยรู้... ว่าคริสหลงรักเมลินมากขนาดนี้ และเขาไม่เคยรู้... ว่าความตายของน้องชาย อาจเป็นผลพวงจากความแค้นที่ตนเองหลงเชื่อมาตลอดหลายปี
ภาพหนึ่งผุดขึ้นในหัวคีรินทร์อย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย — ภาพที่เขาเคยมองข้ามไปด้วยความไม่ใส่ใจ
ครั้งหนึ่ง...เขาจำได้ว่าเคยพาเมลินไปดินเนอร์ในร้านอาหารเงียบ ๆ บนดาดฟ้าส่วนตัว และเมื่อเขาเดินออกไปคุยโทรศัพท์เพียงครู่เดียว...
คริสก็โผล่มา — ไม่ได้เดินเข้ามาหา แต่แอบยืนอยู่ในเงามืดมุมตึกฝั่งตรงข้าม มองเธอราวกับนักล่าที่จับจ้องเหยื่อ
ตอนนั้นเขาไม่คิดอะไร คิดว่าแค่คริสผ่านมา หรือบังเอิญ แต่ตอนนี้...ภาพนั้นกลับชัดเจนเหลือเกิน
เขาจำได้อีกครั้ง... เมลินเคยเล่าให้ฟังว่ามีใครบางคนชอบส่งของขวัญแปลก ๆ มาให้ — ดอกลิลลี่แห้งในกล่องไม้หอม จดหมายนิรนามที่บรรยายความรักอย่างหลอนประสาท
เธอคิดว่าเป็นพวกแฟนคลับโรคจิตจากงานเดินแบบ แต่คีรินทร์กลับหัวเราะแล้วไม่ใส่ใจ
ทว่า...ลายมือในจดหมายนั้น — มันคล้ายกับลายเซ็นต์คริสในเอกสารหลายฉบับที่เขากำลังอ่านอยู่ตอนนี้...
เสียงจากซีดีดังซ้ำอีกครั้ง
—“ถ้าฉันไม่ได้เมลิน ก็อย่าให้มันได้เหมือนกัน!”—
คำพูดนั้นสะท้อนในหัวของเขาอย่างบ้าคลั่ง คิ้วของเขาขมวดแน่น มือหนากำแฟ้มแน่นขึ้นจนได้ยินเสียงกระดาษยับ
นี่ไม่ใช่แค่ความรักข้างเดียวธรรมดา แต่มันคือ...ความหลงที่บิดเบี้ยวจนพร้อมจะทำลายทุกอย่างเพื่อครอบครอง
เสียงประตูห้องทำงานเปิดออก ลิซ้าเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดไม่ต่างกัน
“บอส...เด็กยังไม่ยอมให้หมอเข้าใกล้เลยค่ะ เขาร้องไห้หาคุณเมลินตลอดเวลา ไข้ก็สูงขึ้นเรื่อย ๆ ถ้ายังเป็นแบบนี้ เด็กอาจช็อกจากไข้ได้”
“บอสคะ...บางทีคุณเมลินอาจไม่ได้ทำผิดอย่างที่ใครบางคนบอกคุณไว้”
ลิซ่าเอ่ยเสียงเบา น้ำเสียงที่แฝงแววกังวลทำให้เขาหันขวับมาด้วยสายตาเย็นเฉียบ แต่เธอไม่หลบ...เป็นครั้งแรก
คีรินทร์เงียบไป เขายืนนิ่ง ท่ามกลางเสียงคำเตือนที่ดังก้องในหัว ความดื้อรั้นเริ่มไหวเอน เมื่อเขาเห็นแววตาน่าหวาดหวั่นของลิซ่า และนึกถึงภาพใบหน้าเล็ก ๆ ที่แดงซ่านเพราะพิษไข้
“พาเธอมา” เขาเอ่ยเสียงต่ำ แต่เฉียบขาด
ไม่นาน เมลินก็วิ่งพรวดเข้ามาในห้องที่ลูกน้อยถูกวางตัวอยู่บนเตียงขนาดเล็ก ใบหน้าของน้องน็อตแดงจัด เปลือกตาหนักอึ้ง และริมฝีปากเล็ก ๆ สั่นระริก
“น็อต! แม่อยู่นี่ลูก แม่มาแล้ว...”
เด็กชายตัวเล็กเบิกตาขึ้นทันทีเมื่อได้ยินเสียงแม่ เขาพยายามยกแขนขึ้นกอดเธอ แม้แรงจะอ่อนจนแทบไม่มี
“ช่วยเขาทีเถอะค่ะ คุณคีรินทร์...ฉันขอร้อง เขายังเด็กมาก เขาไม่ไหวแล้ว” เสียงเมลินสั่นเครือ ดวงตาเปียกชื้นเปล่งประกายวิงวอนจับใจ
คีรินทร์มองภาพนั้นด้วยหัวใจที่ร้อนรุ่ม ชั่วขณะหนึ่ง เขาแทบไม่อยากยอมรับว่าตัวเองกำลังลังเล แต่เมื่อเห็นแขนเล็ก ๆ ของเด็กชายที่เริ่มเกร็งกระตุก เขาก็ไม่อาจปฏิเสธความจริงได้อีกต่อไป
เขาเคยคิดว่าความอ่อนโยนคือความอ่อนแอ แต่ตอนนี้...เขากำลังรู้สึกกลัว กลัวว่าหากเขายังยืนเฉยอยู่ตรงนี้ เด็กคนนี้—เลือดเนื้อของเขา—อาจจะไม่ได้ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง
“เตรียมรถ พาไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้ ฉันไปด้วย”
เมลินเงยหน้าขึ้นสบตาเขา ดวงตาของเธอสั่นไหวด้วยความโล่งใจและความตกตะลึง คีรินทร์ไม่พูดอะไรอีก เขาเดินนำออกไป ประคองอ้อมแขนเล็ก ๆ ของลูกชายไว้แนบอกแน่นอย่างไม่รู้ตัว
ลิซ่าสั่งการให้ลูกน้องเตรียมรถและขบวนคุ้มกันทันที เสียงเครื่องยนต์คำรามต่ำในความมืด เมลินนั่งแนบลูกไว้ในรถ หัวใจของเธอยังเต้นแรงจากความหวาดกลัวและความรัก เธอมองไปยังชายที่นั่งข้างเธอ—ชายที่เคยผลักไสเธอออกจากชีวิตอย่างไม่ไยดี
คีรินทร์นั่งเงียบ มือที่เคยเย็นชา บัดนี้กลับลูบศีรษะของลูกอย่างเบามือ ใจเขากำลังปะทะกันระหว่างความแค้นในอดีต กับความจริงที่เริ่มเปิดเผย...ว่าอาจมีบางอย่างผิดไปตั้งแต่ต้น
และเมลิน...เธออาจไม่ใช่คนที่เขาควรเกลียดเลยแม้แต่น้อย
ไฟส่องสว่างทะลุม่านกลางคืนขณะรถแล่นฝ่าความมืดไปยังโรงพยาบาล ทิ้งคำถามมากมายไว้ให้ชายผู้แสนเย็นชา...ผู้ซึ่งหัวใจอาจเริ่มละลายโดยไม่รู้ตัว
เสียงนาฬิกาปลุกเบา ๆ ดังขึ้นในห้องนอนอบอุ่นยามเช้า แสงอาทิตย์ลอดผ่านม่านสีครีมสาดกระทบเตียงใหญ่กลางห้องเมลินค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างอ่อนโยน ก่อนจะหันไปมองร่างของลูกชายตัวน้อยที่นอนหลับอยู่ตรงกลางระหว่างเธอกับคีรินทร์“แม่...วันนี้ผมได้ไปโรงเรียนกับพ่อใช่ไหมครับ?”เสียงน้องน็อตดังแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น ทั้งที่ยังไม่ลืมตาดีคีรินทร์ที่นอนนิ่งอยู่ข้าง ๆ ขยับตัวช้า ๆ เขาค่อย ๆ ยกมือขึ้นลูบผมนิ่มของลูกชายอย่างทะนุถนอม“ใช่ วันนี้พ่อจะไปส่งน็อตเอง”เสียงทุ้มของเขานุ่มนวลขึ้นกว่าทุกครั้ง ราวกับต้องการให้ทุกเช้าวันใหม่ของลูกชายเริ่มต้นด้วยความปลอดภัยเมลินยิ้มบาง ๆ พลางโน้มตัวไปหอมแก้มน้องน็อต“แม่วางเสื้อผ้าไว้ให้แล้วนะลูก อยู่ที่ปลายเตียง ไปอาบน้ำก่อนนะครับ เดี๋ยวเราจะไปพร้อมกัน”เช้านั้นคือเช้าวันแรกที่น้องน็อตได้ไปโรงเรียน…ในฐานะลูกของ “พ่อกับแม่” อย่างเป็นทางการชื่อในใบสมัครเรียน ชื่อของบิดา คือ “คีรินทร์ กัลย์พิทักษ์”ไม่มีคำว่า &ld
กรุงเทพฯ ยามเช้าดูวุ่นวายกว่าทุกวันเสียงแตรรถยนต์ที่ไม่เคยเงียบลงสักวินาที สะท้อนผ่านกระจกห้องนอนชั้นบนสุดของคฤหาสน์หรูใจกลางสุขุมวิท เมลินยืนพิงระเบียง เฝ้ามองวิวเมืองในความเงียบงัน ปลายนิ้วยังกำถ้วยกาแฟอุ่นไว้แน่นแค่กาแฟหนึ่งแก้ว…ก็ยังไม่มีแรงจะยกดื่มเธอฝืนยิ้มให้กับความจริงที่ตนเองไม่ยอมรับมาเนิ่นนานคฤหาสน์หรู ห้องนอนใหญ่ เตียงนุ่ม และคนรักที่พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อเธอแต่มันไม่สามารถลบภาพในหัวของเธอออกไปได้เลย—เสียงระเบิด เสียงน็อตร้องไห้ หรือแม้แต่สัมผัสจากรถที่พุ่งเข้าหาเธอในวันนั้นเธอ…ยังคงฝันถึงมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า"เมื่อคืนฝันร้ายอีกใช่ไหม?"เสียงทุ้มต่ำของคีรินทร์ดังขึ้นจากด้านหลัง เขาก้าวเข้ามาช้าๆ สวมเสื้อเชิ้ตสีดำแบบลำลอง ร่างสูงใหญ่มากพอจะบดบังแสงเช้าไว้จนหมดมือเย็นแต่นุ่มของเขาแตะที่ไหล่เธอเบาๆ ก่อนจะเลื่อนมากอดจากด้านหลัง"ฉันไม่เป็นไร" เธอตอบอัตโนมัติ…แต่ไม่มองตาเขาคีรินทร์ไม่พูดอะไรอีก เขาเพียงกอดเธอแน่นขึ้นเล็กน้อยเขารู้…เธอไม่โอเครู้&h
มือแกร่งไล้ลงไปที่ต้นขาด้านใน เขาแยกขาเธอออกช้า ๆ แล้วก้มลงใช้ปลายลิ้นสัมผัสตรงกลางกลีบกุหลาบที่เปียกชื้นอยู่แล้วจากความปรารถนา“อื้อ…คี…”เสียงสะอื้นสั่นเครือหลุดออกมาไม่ทันจบประโยคเมื่อปลายลิ้นแกร่งนั้นกวาดลากซ้ำแล้วซ้ำเล่าเขาดุนปลายลิ้นเข้าข้างใน สลับกับการดูดเม็ดละมุนจนร่างเธอสั่นเกร็งทุกครั้งที่ถูกจู่โจม“ไม่…อย่า…” เธอครางห้าม แต่มือกลับจิกเส้นผมเขาแน่นเพราะเขาไม่เพียงแค่สัมผัส…แต่กำลัง โอบกอดบาดแผลทั้งหมดของเธอด้วยลิ้นของเขาเมื่อเธอใกล้ถึงขีดสุด เขาจึงยอมถอนริมฝีปากออกแต่ยังไม่หยุด… ปลายนิ้วร้อนแทรกเข้าไปทีละน้อยอย่างช้า ๆเขาดูดปลายอกเธอแรงขึ้นในขณะที่นิ้วข้างหนึ่งดันเข้าไปจนสุดโคนเสียงครางเบา ๆ หลุดจากริมฝีปากเธออีกครั้ง พร้อมกับสะโพกที่แอ่นขึ้นอย่างลืมตัว“แฉะไปทั้งตัวแบบนี้…” เขาพึมพำต่ำ“แน่ใจเหรอว่าไม่ต้องการฉัน?”คีรินทร์จับเรียวขาเธอพาดบ่า แล้วขยับตัวเข้ามาจนส่ว
แสงแดดยามเย็นอาบไล้ผืนทรายทองบนเกาะส่วนตัวเงียบสงบในอ่าวไทย เสียงคลื่นซัดเบา ๆ กับเสียงหัวเราะใส ๆ ของเด็กชายตัวน้อยกำลังวิ่งไล่ปูกับแม่ของเขา สายลมอุ่นพัดกลิ่นเค็มของทะเลแทรกผ่านกลิ่นหอมของอาหารที่ลอยออกมาจากโต๊ะไม้ใต้ศาลาริมชายหาด—อาหารทั้งหมดถูกจัดเตรียมโดยฝีมือของคีรินทร์เองเขาไม่ใช่มาเฟียอีกแล้วไม่มีแววโหด ไม่มีกลิ่นเลือด ไม่มีร่างกายที่เปื้อนบาปจากการฆ่ามีเพียงชายคนหนึ่ง…ที่เคยผ่านนรกมาเพื่อปกป้องคนที่เขารักคีรินทร์ยืนพิงเสาไม้ ยกแก้วน้ำมะพร้าวขึ้นจิบ ดวงตาคมทอดมองภาพสองแม่ลูกอย่างเงียบงัน เมลินหัวเราะ เสียงนั้นไม่ใช่เพียงเสียงของผู้หญิงคนหนึ่ง…แต่มันคือเสียงของ "บ้าน"เขาไม่เคยมีบ้าน จนได้ยินเสียงนั้น"คุณพ่อ ทำไมวันนี้ทำกับข้าวเองล่ะครับ!" น็อตวิ่งเข้ามาเกาะขาเขาแล้วเงยหน้าถามอย่างไร้เดียงสาคีรินทร์ย่อตัวลง ลูบผมลูกชายเบา ๆ"ก็พ่ออยากทำให้คนสำคัญกินไงครับ"น็อตหันไปมองเมลินแล้วหัวเราะ"คุณแม่เป็นคนสำคัญใช่ไหมครับ!"เขาไม่ได้ตอบอะไร แต่หัวใจกลับเต้นแรงในอกหลังอาหารมื้
ค่ำคืนที่คฤหาสน์แถบชานเมือง — เงาสุดท้ายของความแค้นในห้องที่เคยเป็นห้องนอนของคริส คีรินทร์นั่งอยู่ลำพัง เขาจุดไฟใส่รูปภาพเก่าๆ ของตัวเองกับน้องชาย ดวงตาเรียบนิ่งมองเปลวไฟที่เผารูปนั้นช้าๆ จนเหลือเพียงเถ้าเมลินไม่ได้อยู่ตรงนี้ ไม่มีเสียงของลูก ไม่มีความอุ่นจากอ้อมแขนของใคร ทำให้เขารู้สึกอ้างว้างเหน็บหนาวไปถึงหัวใจเถ้ารูปเก่าปลิวตามลมเบาๆ ขณะเขามองมันด้วยสายตาว่างเปล่า...แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยเสียงโหยหาแม้ในความเงียบของห้องจะไม่มีใครอยู่ด้วยเลยสักคน—แต่จู่ๆ เสียงหนึ่งกลับแทรกเข้ามาในหัวเขา...นุ่มนวลแต่หนักแน่นเสียงของเธอ...เมลิน...“ถ้าวันหนึ่งคุณเข้าใจทุกอย่าง...ฉันจะรอฟังด้วยใจ ไม่ใช่ด้วยความแค้น”ประโยคนั้นที่เคยพูดไว้ด้วยน้ำตา...กลับดังชัดราวเพิ่งพูดจบเมื่อครู่และคีรินทร์...ที่เคยเชื่อว่าหัวใจตัวเองด้านชา...กลับต้องเบือนหน้าหนี เพราะดวงตาร้อนผ่าวโดยไม่รู้ตัวเขายกมือขึ้นปิดเปลือกตาแน่น ก่อนเสียงแหบพร่าจะเล็ดลอดออกมาเบาๆ“ฉันไม่คู่ควรกับการให้อภัย...แต่ขอบคุณที่ย
เสียงลมหอบหนักในห้องประชุมชั้นใต้ดินของคฤหาสน์เก่าที่เมืองไทยไม่ใช่เพราะเครื่องปรับอากาศขัดข้อง หากแต่เป็นเพราะอารมณ์ในห้องที่อึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก คีรินทร์ยืนเงียบอยู่หน้าจอโปรเจกเตอร์ ดวงตานิ่งสนิทเย็นชา ปราศจากแววของความเมตตา"เปิดเสียง"คำสั่งสั้นๆ ถูกส่งออกไปในน้ำเสียงเรียบเย็น เหมือนไม่ได้ตั้งใจฆ่าใคร...แต่พร้อมจะทำลายทั้งเผ่าพันธุ์ไฟในห้องหรี่ลง เสียงสนทนาในคลิปถูกฉายผ่านลำโพงอย่างชัดเจน"ถ้าเราปรับโครงสร้างตอนนี้ คนของคีรินทร์จะเริ่มลังเล ส่วนของฉันฝังไว้หมดแล้ว ไม่นานก็เปลี่ยนขั้วได้""มายด์ก็อยู่ใกล้เขามากพอจะรู้ทุกอย่าง...แค่เขาไม่ตายตอนนั้นก็โชคดีไป""เมลินเหรอ? โยนให้เธอไปสิ ตำแหน่งแพะมันเหมาะกับผู้หญิงไม่มีตัวตนแบบนั้นอยู่แล้ว"เสียงหัวเราะเหยียดหยามจากคลิปกรีดแทงลึกลงในหัวใจคนฟังทุกคน เสียงของภาคินและมายด์ชัดเจนราวกับพวกเขากำลังยืนอยู่ตรงนั้นจริงๆคีรินทร์ก้าวเดินอย่างช้าๆ ไปยืนหน้าห้อง ดวงตาคมกริบเหลือบมองชายชราในชุดสูทสีเข้ม ซึ่งเป็นหัวหน้ากลุ่มเก่าแก่ขององค์กรที่เคยจงรักภักดีกับเขามาโดยตลอด"นี่คือหลั