ไม่กี่นาทีต่อมา...
“เฮ้ย ตื่น! สำนึกบุญคุณค่าเทอมที่กูจ่ายให้ด้วย” ป๊อก! ป๊อก! ป๊อก! ฉันเดินกลับเข้ามาในคลาสเรียนที่ดูจะวุ่นวายพอสมควรเพราะอาจารย์ยังมาไม่ถึง ก่อนจะวางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะเลคเชอร์ของไอ้สามคนที่นอนก้มหน้าฟุบอยู่กับโต๊ะอย่างนั้น ตามมาด้วยเชนที่เดินเขกหัวทุกคนเรียงตัวอย่างเรียกสติจนพวกมันค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาพร้อมกันช้าๆ “หืม? สงกรานต์~ สงกรานต์~ สนุกสนานประเพณีไทยยยย~” “สัส โดนตบกูไม่รู้ด้วยนะ” เชนมันพูดไปขำไปพอได้ยินไอ้พอร์ชฮัมเพลงออกมาหลังเห็นสภาพเละตุ้มเป๊ะของฉัน -.- “โว้ว~ โคตรเฟียส ฮิปฮอปสไตล์ โย่ว~ โย่ว~” หึหึ.. ไอ้หมิวก็อีกคน ส่งเสียงล้อเลียนไม่พอ มันยังทำท่าฮิปฮอปประกอบคำพูดแซวฉันที่อยู่ในสูทหลวมโคร่งของไอ้บ้านั่น แต่หนักสุดเห็นจะเป็นไอ้ดิวที่ขำกร๊ากจนคนทั้งคลาสหันมา น่ารำคาญชะมัด! “งู้ยยย ไฟฉายย่อส่วน โดระเอ มะอื่อออ~ กร้ากกกก” จิ๊! มะอื่อบ้านป้ามันดิ ฉันง้างมือจะลั่นใส่หัวมันสักทีสองที แต่ไอ้ดิวมันเบี่ยงตัวหลบทัน ไอ้เชนที่ยืนขำเลยล็อคคอลากฉันกลับมานั่ง ส่วนไอ้พวกนั้นก็นั่งขำคิกคักกันสบายใจ “โฮ่ะๆๆ อารมณ์ร้ายอย่าบอกใคร~ แบ่งฝั่งยกพวกตีแม่งเลยมั้ย เรามีสาม พวกมันมีสอง ไงก็ถล่มพวกแม่งยับได้ ไม่ได้อคตินะ กูแค่แค้นฝังหุ่นเรื่องน้องพิ้งค์อ่ะ ซุบซิบๆๆๆ” เพื่อออออ -_-? คำพูดของไอ้ดิวที่แว่วเข้าหูมาทำให้ฉันที่เพิ่งทิ้งตัวนั่งหันไปหาเชนและส่งซิกส์ให้มันรับจบแทนให้หน่อย แล้วเพื่อนรักก็จัดให้ตามใจ กระดาษหลายแผ่นบนโต๊ะเชนถูกขยำอย่างไวแล้วไอ้เชนก็ปามันลอยลิ่วผ่านหน้าฉันไปลงกลางวงที่ไอ้สามคนนั้นนั่งสุมหัวกันอยู่จนคนรอบข้างขำกันยกใหญ่ ฟิ้ววว~ พรึ่บ! “หู้ยยย ปกป้องกันจัง เป็นผัวเมียกันมั้ง!” ไอ้หมิวตะโกนกลับมา แล้วพวกมันก็หันมาถลึงตาใส่ แถมยังทำปากขมุบขมิบล้อเลียนไม่หยุด เหอะ..ไอ้พวกสามตัวบาท สงสัยอยากตาย -_- “เอาล่ะนักศึกษา ก่อนจะเริ่มเรียนวันนี้ผมมีปัญหาความมั่นคงของคณะมาแจ้งพวกคุณก่อน...” เสียงอาจารย์พูดขัดขึ้นมาก่อนที่ฉันจะโต้ตอบอะไร ทำให้คลาสทั้งคลาสเงียบกริบและเพื่อนทุกคนก็เบนความสนใจไปหาอาจารย์กันใหญ่ จริงๆภาพรวมในห้องมันเกือบจะดีอยู่ละถ้าไอ้ดิวไม่.... “อะไรอีกแล้วล่ะฮะ ไม่มีไรซวยเท่าการโดนน้องพิ้งค์เทแล้วค้าบจารย์ โธ่!” เฮ่ออออ! ป๊อก! “เฮ้ย!” คราวนี้เป็นฉันที่ขว้างปากกาในมือใส่หัวดิวมันเต็มๆ จนเจ้าตัวหันมาทำหน้ามุ่ยใส่ “หนวกหูฉิบหาย” ฉันยักคิ้วพูดออกไปแล้วมันก็ทำท่าจะลุกมาเอาเรื่อง แต่ก็ทำเป็นชะงักไปเหมือนโดนใครรั้งไว้ทั้งที่จริงๆ ก็ไม่ “ไอ้พอร์ชอย่าจับดิวะ เฟรย์มันทำกู กูจะไปเคลียร์กับมัน โห่.. ไอ้หมิวปล่อยดิว้อยยย~” ผลัวะ! “ไปไหนก็ไปไอ้สัส ไม่มีใครเค้ารั้งมึงเลยเหอะ!” เสียงสวรรค์ของไอ้พอร์ชดังขึ้นท่ามกลางเสียงโวยวายของไอ้ดิวมัน เอาไรมาก..ขนาดอาจารย์ยังหลุดขำ เพื่อนทั้งคลาสนี่ไม่มีเหลือ “อุ่ย แล้วเมื่อกี๊บอกพวกกัน...ฝากไว้ก่อนน้าเฟรย์น้า เอ้า~ ต่อสิครับจารย์ ผมตั้งใจฟังอยู่เนี่ย” หึ..ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาด่า -_-! “อ่ะ โอเคนะ คือจากที่เราสำรวจความต้องการและข้อเสนอแนะของนักศึกษาภายในคณะแล้วเนี่ย มีนักศึกษาจำนวนมากอยากได้สตูดิโอถ่ายภาพเพิ่มเนื่องจากของเดิมไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้งาน ซึ่งทางคณะเราก็ทำเรื่องร้องขอไป แต่ทางมหาลัยก็ยื่นข้อเสนอกลับมาให้เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกัน” “ข้อเสนอไรหรอคะจารย์?” เพื่อนคนหนึ่งในคลาสยกมือถาม แล้วอาจารย์ก็แสดงสีหน้าหนักใจออกแนวอ้ำอึ้งขึ้นมา “คือ...ชมรมวารสาร รู้จักใช่มั้ย?” จิ๊! แค่ได้ยินคำนี้...หน้าไอ้บ้านั่นก็ลอยมาเลย ยิ่งก้มลงไปเห็นเสื้อสูทตัวใหญ่ที่ไม่ใช่ของตัวเองด้วยแล้ว ฉันยิ่งหัวร้อนเข้าไปใหญ่ ทำไมฉันไม่ซัดหน้าไอ้รุ่นน้องนั่นไปสักทีทั้งที่มีโอกาสแล้วแท้ๆเนี่ยฮะ -_-! “หึ...” ไอ้เชนที่ได้ยินเสียงจิ๊จ๊ะของฉันถึงกับหลุดขำ แล้วทำเป็นลอยหน้าลอยตาเหมือนตั้งใจฟังอาจารย์ ไม่ใช่ละ..อันดับแรกไอ้บ้าเชนนี่แหละควรโดนตบคว่ำก่อน “อย่าแม้แต่จะคิด” มันพูดแล้วชี้หน้าฉันเหมือนรู้ทัน ทั้งที่ฉันแค่ขยับตัวและยังไม่ทันจะง้างมือด้วยซ้ำ “โทษไอ้เวย์ละกัน วันนี้มันกวนตีน” ผลัวะ! พูดจบฉันก็ระบายความเซ็งลงหัวไอ้เชนมันทันที งดดราม่าฮะ พอดีเป็นพวกเสพติดความรุนแรงอ่ะ เพราะอยู่ท่ามกลางไอ้จอมกวนพวกนี้ก็เลยต้องแข็งแกร่งบ้างเป็นเรื่องธรรมดา “เชี่ยยยยย” ฉันไม่ได้สนใจจะฟังเสียงโอดโอยนั้น แล้วเลือกหันกลับมาฟังอาจารย์พูดต่อทั้งที่ก็ไม่ได้อยากฟังเท่าไหร่ -.- “คือรายละเอียดมันเป็นงี้นะ เพราะจะมีงานประเพณีมหาลัยที่เกิดขึ้นมาใหม่ ทางชมรมวารสารต้องเตรียมงานอย่างรัดกุมมาก เลยอยากได้อาสาสมัครไปช่วยงานแลกกับการสร้างสตูดิโอถ่าพภาพห้องใหม่ให้คณะเราน่ะ” อ๋อ...จะหาแรงงาน เลยเอาของที่เราต้องการมาล่อว่างั้น ถามจริงสมาชิกชมรมนั้นวันๆนี่ทำอะไร? เห็นมีดีแค่สอดส่องเรื่องฉาวของใครต่อใคร ขนาด Nightshade ด้วยกันยังโดนออกบ่อยไป “แล้วคือ...งานส่วนใหญ่ก็เป็นงานที่เราถนัด พวกงานถ่ายภาพโปรโมท เก็บภาพบรรยากาศ อาจมีครีเอทกระทู้ที่น่าสนใจบ้าง แล้วแต่งานที่ได้รับมอบหมายให้ทำ ไม่ยากเท่าไหร่ใช่มั้ย ^^” อาจารย์พูดต่อแล้วยิ้มเจื่อนๆ อย่างรู้ว่าคำตอบจะเป็นไง แล้วเสียงหัวเราะกลบเกลื่อนของนักศึกษาในคลาสก็ชวนให้สถานการณ์ยิ่งอึมครึมไปกันใหญ่ “เหอะๆๆๆ” “แล้วต้องใช้อาสาสมัครกี่คนครับจารย์ หรือว่าเราต้องไปกันทุกคน?” ‘ม่ายยยยยยยยยย’ ใครคนหนึ่งในคลาสถามออกมา พร้อมกับเสียงไม่เห็นด้วยที่ดังตามหลังมาอย่างเป็นลูกคลื่น จะให้ยินดีได้ไง ชมรมวารสารขึ้นชื่อเรื่องการเป็นศูนย์กลางจักรวาลใน ม. จะตาย อย่าได้ทำไรไม่ถูกใจคนชมรมนั้นเชียว โดนเล่นทั้งคณะกะเอาตายกันเลยทีเดียว เห็นปีก่อนๆ เขาว่ากันมาอ่ะนะ เรียกได้ว่าย่ำยีจนแต่ละคณะต้องยอมศิโรราบกันไปข้างหนึ่งเลยล่ะ “ไม่ๆ ไม่ใช่ทุกคนนะ ทางนั้นเค้าอยากได้ Main หลักแค่ 2 คน แต่ถ้าคนเค้าไม่พอจริงๆ เค้าก็จะยื่นเรื่องขอความช่วยเหลือจากเราอีกที” อาจารย์ออกตัวปฏิเสธและอธิบายเงื่อนไขให้เราฟังด้วยสีหน้าที่ดูตั้งใจ และเหมือนเดิมไอ้แก๊งค์สามตัวบาทก็ทำป่วนอีกจนได้ “อ๋ออออ สองคนนนน อย่างนี้นี่เองงงงง” ไอ้ดิวลากเสียงยาวและหันมาทำตาปิ๊งๆ ให้พวกฉันแบบรู้ทันเลยว่ามันคิดอะไร แล้วพวกมันก็หันไปซุบซิบกันใหม่ “คืองี้เด็กๆ ผมไม่บังคับนะ แค่อยากจะทราบว่าเสียงส่วนมากเห็นว่าใครเหมาะสม แล้วเดี๋ยวพวกอาจารย์จะเอาไปพิจารณากันอีกที ตอนนี้กระดาษบนโต๊ะพวกคุณน่ะ กรอกชื่อคนที่ว่าเหมาะสมลงมาได้เลย” พออาจารย์พูดจบ ฉันก็ก้มหน้าสำรวจโต๊ะเลคเชอร์ของตัวเอง แต่ก็ไม่มีร่องรอยของกระดาษอะไรสักใบ บ้าฉิบ! อย่าบอกนะ... “คิกๆๆๆ” “เอ้อออ อาจารย์ค้าบ ขอถามหน่อยค้าบบบ ถ้าแบบว่า..กระดาษมันยับอ่ะค้าบ ไม่เป็นไรหรอกเน่อะอาจารย์ ใช่มั้ยฮะ โฮ่ะๆๆๆ” ไอ้ดิวยกมือตะโกนถามอาจารย์ ส่วนไอ้หมิวกับไอ้พอร์ชก็ค่อยๆ คลี่กระดาษสองใบที่เชนมันปาไปแล้วโบกไปโบกมาด้วยสีหน้าสะใจ “เอาคืนมาถ้าพวกมึงไม่อยากตาย” ฉันกัดฟันพูดแล้วจ้องหน้าปล่อยพลังทำลายล้างออกไป แต่นอกจากพวกมันจะไม่เกรงกลัวต่อแรงอาฆาตที่ส่งไปให้ มันยังคว้าปากกามากาโหวตชื่อเราใส่กระดาษสองใบนั้นต่อหน้าต่อตาฉันด้วยไง! “อุ๊ยยย นี่เฟรย์กับเชนอาสาจะไปเอง ก็เลยเลือกโหวตตัวเองหรอเนี่ยยยย” ไอ้ดิวจีบปากจีบคอตะโกนออกไปดังลั่น แถมยังโบกสะบัดกระดาษในมือซ้ำๆ คิดว่าถือปอมๆเชียร์มั้ง เป็นบ้าไรของมัน! “โอ้ว ดีเลย อาจารย์ก็เล็งเราสองคนไว้พอดี งั้น...มีใครคัดค้านอะไรมั้ย” เท่านั้นแหละ สิ้นสุดเสียงอาจารย์ สถานการณ์อึมครึมในคลาสก็คึกคักกันเลยเชียว ‘ไม่เลยค่ะ’ ‘เห็นด้วยค่าา’ ‘เอาสองคนนี้เลยค่าาา ไม่ต้องโหวตหรอกอาจารย์’ ‘เอาเลยฮะจารย์ ตัวท็อปของสาขาเราอยู่แล้ว’ “คิกๆๆๆๆ โฮ่ะๆๆๆๆ” พอเหตุการณ์ดูจะเป็นไปตามที่พวกมันตั้งใจ ไอ้สามตัวบาทนั่นก็ขำกันใหญ่ ไอ้บ้าเอ้ย! แค่น้องพิ้งค์คนเดียว มันถึงกับขายเพื่อนเลยรึไง?! “คเชนทร์ ฟาริดา ตกลงตามนั้นมั้ย?” คำถามของอาจารย์ทำให้เพื่อนทั้งคลาสหันมาทำตาปิ๊งๆ ใส่พวกฉัน เอาน่า..มันก็ยังพอมีทางรอดอยู่บ้าง “ถ้าคเชนทร์ไป หนูไปค่ะ” ฉันพูดแล้วหันไปหาเชนที่นั่งเงียบอยู่สักพัก เพราะคิดว่ายากอ่ะ..ถ้าเชนมันจะไป ขนาดติด Top 6 ของ Know more มันยังบ่นว่าชีวิตวุ่นวายจะตาย ถ้าต้องไปร่วมงานกับชมรมวารสารที่ขุดคุ้ยประวัติมันจนหงุดหงิดพาลไม่มาเรียนไปพักใหญ่ บอกเลย ไม่มีทางจะเป็นไปดะ.... “ผมไปครับ งานง่ายๆ สบายอยู่แล้ว” ....ฮะ?! “ง่อวววววว พิ๊เชนคนจริง..โอวัลตินต้องละลาย กร้ากกก~” “ขอบคุณพิ๊เชนที่พลีกายเพื่อเราชาวนิเทศน้าาาค้าาา” แปะๆๆๆ “=_=?????” ฉันหันหน้าไปหาไอ้เชนด้วยเครื่องหมายคำถามเต็มหัว ท่ามกลางเสียงเชิดชูความเสียสละอันยิ่งใหญ่ของไอ้สามตัวบาทที่นั่งตบมือแปะๆ อย่างถูกอกถูกใจ แล้วไอ้เชนมันก็หันมายักคิ้วรัวๆ ให้พร้อมกับขำด้วยท่าทางสะใจยิ่งกว่า “หึ...” “ไอ้.....!” พรึ่บ! “โอ๋~ ผลโหวตออกมาก็ต้องไปอยู่ดี จะเล่นตัวทำไม” ยังไม่ทันที่ฉันจะด่าอะไร เชนมันก็เลื่อนมือมาผลักหัวและให้เหตุผลที่ฟังขึ้นตาย! “มันอาจเป็นคนอื่นก็ได้” ฉันตอบกลับไปแล้วเชนมันก็ส่ายหัวเหมือนไม่เห็นด้วยเท่าไหร่ “ใครมันจะยอมไป ชมรมวารสารเรื่องมากจะตายโดยเฉพาะไอ้....” ครืดดด! พลั่ก! “อุ๊บ!” ฉันพับโต๊ะเลคเชอร์และกระทุ้งศอกเข้าหน้าท้องแน่นๆ ของมันอย่างรู้เลยว่าจะพูดอะไร แล้วเชนมันก็ยิ่งขำออกมาแบบไร้การ Keep look ใดๆ “ฮ่ะๆๆ น่าสนุกฉิบหาย” ...เพื่อนเลววว! “อ้อออ คเชนทร์ ฟาริดา เดี๋ยวอาจารย์จะส่งชื่อพวกเธอให้ทางชมรมวันนี้ แล้วพรุ่งนี้เช้าก็มีนัดประชุมที่ห้องชมรมเลยนะ สู้ๆล่ะ เพื่อห้องปฏิบัติการถ่ายภาพอันสุดแสนอลังการของพวกเราาาา~” “เย้ๆๆๆ ~” เสียงอาจารย์ปลุกระดมความยิ่งใหญ่ของภารกิจสำคัญจนคนในคลาสก็เป็นบ้าโห่ยินดีแบบคล้อยตามกันไป เห๊อะ! ห้องปฏิบัติการถ่ายภาพอันสุดแสนอลังการรรรร~ เอาใหม่! -.- แก้ปัญหาเบื้องต้นก่อนได้มั้ย ใครเอาอาจารย์ไปเก็บทีดิ๊ โคตรรำคาญ! =_=“คิระ นี่มันเรื่องอะไรกัน?!”ไม่ใช่แค่ฉันหรอก แต่ DS Member ทุกคนก็ดูสับสนพอกัน ถ้าเรียกตัวคืนสู่สังกัด แปลว่ามาโครอยู่สังกัดของเรา? แต่จะเป็นไปได้ไงก็ในเมื่อแม็ค...“ว่ากันว่า...ถ้าจะหลอกศัตรูให้ตายใจ ก็ต้องหลอกพวกเดียวกันให้ได้ซะก่อน”คิระเดินตรงเข้ามาหาฉัน และมองลงไปที่กลางสนามประลอง เห็นแม็คกับเลย์ยืนอยู่ข้างล่างท่ามกลางความเงียบงันที่ไม่มีใครพูดอะไร ยิ่งไปกว่านั้น สองคนนั้นกับติณณ์และท่านพ่อ ก็ยังหันมาดูปฏิกิริยาของฉันด้วยซ้ำพรึ่บ! หมับ!ได้ฟังแบบนั้นฉันก็ก้าวขาจะเดินลงไปข้างล่าง แต่คินมันดันมาคว้าแขนไว้ และกระชากกลับไปอย่างแรง พร้อมกับพูดด้วยด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดก่อนจะหันไปพยักหน้าให้ติณณ์“ครั้งนี้ไม่เอาตัวแถม ถ้าพวกมันรักเธอ...พวกมันก็มีเรื่องต้องเคลียร์กัน!”แล้วพอคินพูดจบ อยู่ๆติณณ์ก็โยนดาบคาตานะสองเล่มให้แม็คกับเลย์ที่ก็ยื่นมือไปรับมัน นั่นทำให้ฉันวิตกขึ้นมา เพราะแม็คน่ะ...ใช้ดาบคาตานะคล่องมากอยู่ละ แต่เลย์กับดาบคาตานะน่ะ...“ศิษย์สำนักเดียวกัน ไม่เห็นต้องทำหน้าเหวอขนาดนั้น”“สำนักเดียวกัน?” ฉันหันไปหาคินด้วยสีหน้างงๆ“ก็ใครสอนไอ้แม็ค? ใครประทับตราให้มัน?”คิระตอบกลับคำถามขอ
สองวันต่อมา...@ Dark Shadow Castle (JAPAN)“โห สวยมากกกก เจ๊คือสวยในสวย สวยโคตรๆ สวยแบบถ้าเลย์เห็นต้องยกเลิกงานแต่ง ลากไปขังไว้ในห้องไม่ให้ออกมาพบผู้คนแน่ๆ O[]O”เสียงนิลลาอวยฉันที่ยืนหมุนตัวอยู่หน้ากระจกไปมาในชุดเจ้าสาวที่เคยใส่แล้ว แต่วันนี้มันดูแปลกตากว่าครั้งนั้น คงเพราะทรงผมที่ทำมันไม่เหมือนกันล่ะมั้ง“หรอ -/////- แต่นั่นน่าจะเป็นนิสัยดิบเถื่อนของพายุมากกว่า”“แหะๆ อย่าเปิดประเด็นนินทาพายสิคะ รายนั้นยิ่งชอบเจ้ากี้เจ้าการ บังคับให้แต่งๆอยู่ได้ ไม่สนใจคนรอบข้างเลยอ่ะ -*-”“อ้าวโรส เฮียพายมาหรอ”“เย้ยยย ไอ้ด้า! เดี๋ยวกูตบกบาล”อ๋อ! รู้ละอีกอย่างนึงที่มันต่าง คือความครื้นเครงในห้องแต่งตัวเจ้าสาวตอนนี้ ที่เต็มไปด้วยบรรดา Nightshade’s Lady มาช่วยตรวจความเรียบร้อยให้ แถมยังตื่นเต้นกว่าฉันที่สวมชุดเองซะอีก“ก็สวยจริงๆนั่นแหละนะ”โมเน่ต์พูดไปแล้วจัดระเบียบชุดเจ้าสาวของฉันไปด้วยสีหน้าที่ดูดีขึ้นแบบเคลียร์ใจกันทั้งหมดแล้วก็นะ เพราะฉันกับติณณ์อายุห่างกันนิดหน่อย แถมยังเรียนมหาลัยปีเดียวกัน เราเลยคงสรรพนามเดิมคือเรียกชื่อกันเฉยๆ ไม่จำเป็นต้องเรียกเจ๊หรืออะไรจริงจัง เพราะทั้งติณณ์และคิระ ถ้า
หลายวันต่อมา...@ Dark Shadow Castleหลังผ่านการพิพากษาคิระ ซึ่งทุกอย่างก็เหมือนจะจบลงด้วยดี เพียงแต่...ไอ้สองพี่น้องขี้เก๊กนั่นมันก็ยังไม่ยอมเปิดใจคุยกันตรงๆสักทีก็...แล้วแต่นะ การกระทำมันสำคัญกว่าคำพูดอยู่แล้วนี่อ้อ...ลืมบอกไปนิด ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นฉันนี่แหละ ที่เป็นคนประทับตรา Dark Shadow ให้โมเน่ต์ตามคำขอของติณณ์ ซึ่งเราก็ไม่เห็นหน้ากันตรงๆหรอกนะ ฉันเข้าไปประทับให้ตอนที่เธอหันหลัง เพราะยังไม่ต้องการเปิดเผยตัวตน และอย่างที่รู้... โมเน่ต์กับฉันก็ไม่ค่อยจะลงรอยกันหรอกตั้งแต่ที่ชมรมละแต่ไม่รู้ไปประทับอะไรผิดพลาดรึเปล่า เพราะอยู่ๆโมเน่ต์ก็ขอให้ติณณ์พามาที่ Castle ตั้งแต่กลับจากญี่ปุ่นตลอด Nightshade เองก็แวะเวียนมาที่นี่แทบทุกวัน จนตอนนี้กลายเป็น Ztudio Nightshade นั่นแหละที่ร้าง ในขณะที่ Castle ฝั่งติณณ์...ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!เสียงลั่นไกในห้องซ้อมยิงปืนจาก CCTV ที่เคนชินมันต่อเข้ามานั่งดูในห้องโถงของ Castle ฝั่งฉัน ดังสนั่นแบบที่ไอ้หมอนี่ไม่เห็นหัวเจ้าของ Castle ที่นั่งอ่านหนังสือเตรียมสอบอยู่นี่เลยด้วยซ้ำ -_-แถมลูกน้องของฉันอีกหลายคนก็กำลังสุมหัว รอลุ้นวิถีกระสุนของโมเน่ต์
อีกด้านหนึ่งของ Dark Shadow Castleก๊อก ก๊อก ก๊อก...ฉันเคาะประตูห้องทำงานของติณณ์ที่ถูกเปิดแง้มเอาไว้ และถือวิสาสะเดินเข้ามาข้างในซึ่งก็มีติณณ์นั่งรออยู่ก่อนแล้วด้วยสีหน้านิ่งเรียบ แต่แววตาก็เป็นอย่างที่คาดไว้หมอนี่...กำลังเสียใจก่อนที่ฉันจะยื่นอัลบั้มรูปในมือที่ตอนไปค้นรูปคิระให้ลิซ บังเอิญไปเจออัลบั้มที่มีรูปติณณ์กับคินถ่ายด้วยกันสมัยเด็กๆก็ไม่รู้หรอกว่าหมอนี่อยากได้มั้ย...แต่ในสถานการณ์แบบนี้น่ะ ฉัน...อยากให้“ไม่ฆ่ามันก็บุญเท่าไหร่”พรึ่บ!ติณณ์พูดออกมาเสียงเรียบ แล้วเลย์ที่มาด้วยกันก็วางเอกสารทั้งหมดที่ฉันได้จากเคนชินเรื่องสภาค้ายาลงบนโต๊ะแบบไม่พูดอะไรแต่ความเป็น Nightshade มันบอกชัด ว่าเลย์ก็ไม่ได้สบายใจที่ติณณ์มันอยู่ในสภาวะอารมณ์ที่...จุกแต่พูดอะไรไมได้“หลายอย่างน้องมันอาจตั้งใจ แต่บางการกระทำก็มีเหตุผลให้เป็นไป”ฉันพูดออกไป แล้วพอได้ฟังแบบนั้นติณณ์มันก็มองมานิ่งๆ และไม่มีทีท่าจะเปิดดูทั้งอัลบั้มรูปและเอกสารที่พวกฉันหอบมาให้สักนิด ซึ่งก็เป็นสิทธิ์ของหมอนี่อยู่แล้วแหละ ที่จะดูหรือไม่ดูก็ได้“เข้าด้วยมั้ย?”คำถามคลุมเครือจากติณณ์ถูกส่งมา ด้วยแววตาที่ดูเหมือนกำลังหาที่พึ่ง
หลายชั่วโมงต่อมา...“ยุติสถานการณ์บนเกาะพร้อมเคลียร์พื้นที่เรียบร้อยแล้วครับนายหญิง”เสียงลูกน้องคนหนึ่งของฉันมารายงานผลด้วยการกระซิบเบาๆเล่นเอาโล่งใจไปตามๆกัน ท่ามกลางเสียงหัวเราะคิกคักของลิซที่กำลังนั่งดูรูปคิระที่หน้าบูดตั้งแต่เด็กอยู่คนเดียว“คิกๆๆ ตาลุงคนนี้นี่หน้าตาโกตั๊กจังเลยนะคะเนี่ย ^_^”“แล้วสองคนนั้น?”ฉันถามออกไปเบาๆ เพราะเท่าที่ดูเหมือนลิซไม่รู้ว่าคิระเป็นใครด้วยซ้ำ ทั้งที่ตอนนั้นเกือบโดนคนของสภาเอาตัวไป แต่ไม่รู้คินมันหลอกน้องหรือความไร้เดียงสาทำให้ลิซคิดว่าฉันรวยมากเลยจะโดนจับไปเรียกค่าไถ่ -.-ส่วนเหตุผลที่มาที่นี่ก็พีคกว่าไง น้องมันโดนไอ้คินชวนมาล่าท้าผี เป่าหูลิซว่าที่นี่คือปราสาทร้อยปี แถมยังมีขนนกนำโชคที่จะทำให้พบรักแท้ซะด้วย หึหึ... เป็นประวัติ Castle ที่ช่าง...น่าสนใจ =_=^“คุณเตโชกับคุณคิระบาดเจ็บนิดหน่อย แต่โดยรวมปลอดภัยดีครับ Nightshade กับ Nightshade’s Lady ก็กลับมาที่นี่แล้ว อ้อ ส่วนคุณเลโอก็สบายมากหายห่วง ลูกพี่เคนชินขอตัวไปเปลี่ยนชุด แล้วจะกลับมาทำหน้าที่ต่อครับ ^_^”น้ำเสียงกับสีหน้าระรื่นของลูกน้องที่มารายงานถูกส่งมาให้ฉันแบบสวมรอยเคนชินมาชัดๆ หึ... ไอ้ล
ครึ่งชั่วโมงต่อมา...“คนของเราวางบอมบ์ได้ 60% จากพื้นที่ทั้งหมดแล้วครับ พิกัดแรกเราจะระเบิดคลังยาที่…”“คุณโมเน่ต์อาการไม่ดีเลยครับนายหญิง”ระหว่างที่ฉันกำลังสนใจสัญญาณที่คนของเราให้มาเป็นระยะว่าจะระเบิดคลังยานรกแต่ละที่ตอนไหน เคนชินที่หันไปเห็นโมเน่ต์จากภาพใน CCTV ที่เราเลิกสนใจตั้งแต่ติณณ์เดินออกไปก็พูดขึ้นมาได้ฟังแบบนั้นฉันเลยละความสนใจและหันไปดูโมเน่ต์ที่เดินวนไปวนมาโดยมีมือถือเครื่องหนึ่งแนบหู ซึ่งก็คงพยายามโทรหาติณณ์ที่ชิ่งออกไปแบบให้คำตอบคลุมเครือนั่นแหละนะถ้าให้ทาย“คนของเราอยู่ในนั้นแล้วใช่มั้ย?”“ครับ แฝงตัวเข้าไปตอนรายงานพิกัด”“งั้นก็ไม่มีไรต้องกังวลนี่”แล้วจังหวะที่ฉันกำลังหมุนตัวกลับไปดูพิกัดวางระเบิดหลังคุยเรื่องโมเน่ต์กับเคนชิน เสียงคนของเราที่ Castle ฝั่งติณณ์ก็ตะโกนเรียกออกมาดังลั่น‘นายหญิงครับ นายหญิง!!!’ “ว่า?”“คุณโมเน่ต์อยู่ๆก็หมดสติไปครับ”ตึงงงง!ได้ยินคำตอบจากเคนชินที่ตอบแทนลูกน้องที่อยู่ข้างใน ทำให้ฉันรีบผลักประตูและวิ่งข้ามทางเชื่อมตรงไปที่ Castle ฝั่งติณณ์ทันที“เคนชินเรียกรถพยาบาล! โมเน่ต์เป็นอะไร?”ฉันหันไปถามลูกน้องติณณ์ที่กำลังอุ้มร่างโมเน่ต์ที่ไร้ส