Masuk“ผมหมายถึง ผมต้องการให้คุณเข้ามากินข้าวเป็นเพื่อนผม…ในห้องนี้” เธอได้ฟังถึงกับลอบถอนหายใจ แต่แล้วหัวคิ้วทั้งสองข้างก็ขมวดเข้าหากัน เมื่อได้ทบทวนในสิ่งที่เขาต้องการ
“นี่เป็นคำสั่งหรือว่าหน้าที่ที่เลขาต้องทำคะ” นั่นสินะ ก่อนหน้าถ้าเขาไม่ออกไปหาอะไรกินข้างนอก เธอก็มีหน้าที่เตรียมเข้ามาให้เขากินในห้อง เหมือนที่กำลังจะทำตอนนี้
“ก็ถ้าคิดแบบไหนแล้วสบายใจก็แบบนั้นแหละ” สิ้นเสียงเขาก็ก้มลงไปง่วนกับแฟ้มงานต่อ
“ตะแต่ว่า…” เธอพยายามจะหาเหตุผลดีๆ สักข้อมาอธิบาย แต่ก็ถูกขัดอีกจนได้
“รีบไปจัดการเถอะ ผมหิวแล้ว” เขาบอกปัด ใช่! ปัดปัญหามาที่เธอนี่แหละ ก็เขาบอกว่าจะกินเหมือนเธอ แล้วเธอก็ดันเสนอข้าวกะเพรา แต่เรื่องของเรื่องคือ…เธอไม่กินใบกะเพรา ฮือ…! นี่สินะที่เขาเรียกว่าอาหารสิ้นคิด ไม่ทันคิดเลยจริงๆ ว่ามันจะออกมาในรูปแบบนี้ แต่ตอนนี้คงทำอะไรไม่ได้นอกจากปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามชะตากรรม
เธอเดินคอตกออกมาด้านนอก เพื่อสั่งอาหารที่ว่าด้วยความทดท้อใจ
“ถ้าสั่งกะเพราไก่ แต่ไม่ใส่ใบกะเพราได้ไหมเนี่ย ฮือ! สั่งไปมีหวังโดนด่าสามวันไม่ซ้ำแน่ เอาวะกินก็กินวะ ฮือ! แต่ใบกะเพราะมันเหม็นจริงๆ นะ” เธอพยายามทำใจ แต่ก็ยังไม่ทันจะได้กดเบอร์เพื่อโทรสั่ง เสียงใครคนนึงก็ดังแทรกขึ้นมา
“คุณศิครับ พอจะมีเวลาสักครู่ไหมครับ” พิภพพนักงานหนุ่มเนิร์ดจากแผนกไอทีเดินมาหยุดยืนเก้ๆ กังๆ อยู่หน้าโต๊ะเธอ และใช่! นี่คือหนึ่งในบรรดาหนุ่มๆ ที่มาติดพันเธอ
“เอ้อ…คุณภพภูมิมีอะไรกับฉันเหรอคะ” เธอถามออกไปอย่างไม่ค่อยจะเต็มใจนัก ไม่ใช่ว่าไม่อยากคุย แต่เพราะยังไม่มีกะจิตกะใจจะคุยกับใครตอนนี้ ทั้งหมดก็เป็นเพราะใบกะเพรานั่นแหละ
“พะผมพิภพครับ” หนุ่มเนิร์ดแก้ให้หลังถูกเรียกชื่อผิด
“เอ้อ…ค่ะคุณพิภพ” เธอยิ้มแหยให้อย่างลุแก่โทษ แต่ดูเหมือนเสียงหวานๆ ของเธอจะช่วยเยียวยาทุกอย่างได้ เพราะมันทำให้เจ้าของชื่อถึงกับยิ้มหน้าบาน เพียงแค่ถูกเธอเรียกชื่อ
“นี่ครับ” พิภพเอาของที่ตัวเองแอบไว้ด้านหลังมาวางให้บนโต๊ะ ก่อนจะกลับมายืนบิดไปบิดมาที่เดิม
“คะ?” เธอรับมาแบบงงๆ
“เห็นว่าคุณยังไม่ออกไปทานข้าวเที่ยง ผมก็เลยซื้อสปาเก็ตตี้คาโบนาร่ากับสเต๊กปลาแซลม่อนมาให้ ทะทานให้อร่อยนะครับ” พิภพพูดไปก็เขินไป แต่ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่อยู่ที่อาการดีใจจนออกนอกหน้าของคนที่ไม่ต้องกินกะเพราแล้วต่างหาก
“พระเจ้า! คุณเหมือนฟ้ามาโปรด เหมือนฝนที่ตกลงบนทุ่งนาที่แห้งแล้ง เหมือนแสงสว่างกลางถ้ำที่มืดมิด คุณคือเทพบุตรของฉัน ขอบคุณนะคะคุณจักรภพ” พิภพตัวแทบลอยกับคำสรรเสริญเยินยอ กระทั่งต้องมาหน้าเจื่อนเพราะสาวที่แอบปลื้มดันเรียกชื่อผิดอีก
“พิภพครับ”
“เอ้อค่ะคุณพิภพ ขอบคุณมากนะคะ ว่าแต่คุณรู้ได้ยังไงคะว่าฉันยังไม่ทานข้าว” หลังจากหายเครียดเรื่องกะเพรา เธอถึงได้เอะใจขึ้นมา แต่ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะได้ตอบ เสียงโทรศัพท์ภายในก็ดังขึ้น
“…….” เธอรีบคว้าโทรศัพท์มากรอกเสียงลงไปอย่างรวดเร็ว ด้วยรู้ดีว่าปลายสายเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก ผู้ชายที่ทำตัวเหมือนเจ้าชีวิตเธอ
“ค่ะบอส”
“เข้ามาพบผมในห้อง” ยังไม่ทันที่เธอจะได้ถามอะไร ปลายสายก็วางไปอย่างรวดเร็ว
“เอ่อ…งั้นฉันขอตัวไปทำงานก่อนนะคะ ยังไงก็ขอบคุณอีกครั้งสำหรับอาหารสุดพิเศษมื้อนี้” เธอค้อมศีรษะพลางยิ้มให้ก่อนเดินหายเข้าไปในห้อง ในขณะที่อีกฝ่ายก็ได้มองตามตาปรอยจนลับสายตา
“บอสอยากได้อะไรเพิ่มไหมคะ” เพราะคิดว่าแค่ข้าวกะเพราจานเดียวอาจจะไม่เพียงพอสำหรับผู้ชายตัวใหญ่อย่างเขา เธอจึงถามออกมา
“ไปเตรียมตัว อีกห้านาทีเราจะออกไปข้างนอก” เขาตอบสั้นๆ อีกทั้งเสียงก็ห้วนๆ ราวกับไม่พอใจอะไรสักอย่าง แต่นั่นก็ไม่ใช่ประเด็นอีกนั่นแหละ ประเด็นคือ…นี่มันเวลาพักของเธอนะ ที่สำคัญทำไมถึงตอบไม่ตรงคำถาม
“ละแล้วมื้อกลางวันล่ะคะ” นั่นสินะ ปลาแซลมอนกับสปาเก็ตตี้รอเธออยู่นะ และเธอไม่ควรปล่อยให้พวกมันนอนหง่าวอยู่บนโต๊ะแบบนั้น
“ผ่านไปแล้วสองนาที” นอกจากจะไม่ตอบคำถามแล้ว พ่อคุณยังทำให้เธอลนลานจนต้องรีบวิ่งออกไปเตรียมของตามที่เขาว่า แต่แล้วพอจะหยิบแฟ้มเอกสาร เธอก็เหมือนจะนึกขึ้นมาได้
“จะไปไหนก็ไม่บอก ออกไปพบใครก็ไม่แจ้ง คิดว่าฉันนั่งทางในรู้เองได้รึไง แล้วจะรู้ไหมเนี่ยว่าต้องเตรียมอะไรบ้าง” เธอบ่นตามประสา โดยที่ไม่รู้เลยว่าคนที่ตัวเองแอบนินทายืนกอดอกพิงประตูฟังอยู่
“แค่เอกสารสัญญาของคุณเจตต์ก็พอ” ถึงจะเป็นแค่เสียงเนิบนาบ แต่มันก็มากพอที่จะทำให้เธอหันขวับไปมอง
“เอ่อ…แต่เรามีนัดกับคุณเจตต์ตอนบ่ายสองนะคะ เหลือเวลาอีกตั้งเกือบสองชั่วโมง ทำไมเราไม่เอ่อ…จัดการมื้อเที่ยงให้เสร็จ” เธอเหลือบไปมองกล่องอาหารที่กำลังส่งกลิ่นยั่วน้ำลายอย่างแสนเสียดาย
“ผมรู้ว่ากำลังทำอะไร คุณแค่ทำตามที่ผมสั่งก็พอ หยิบแฟ้มแล้วตามผมมา” เขาออกคำสั่ง ก่อนเดินเข้าไปรอในลิฟต์ ในขณะเธอทำได้เพียงแอบย่นจมูกใส่ ก่อนจะกลับมาปั้นหน้ายิ้มแล้วเดินตามเขาไป โดยไม่ลืมหยิบถุงสปาเก็ตตี้ติดมือไปด้วย
ทันทีที่เห็นของที่อยู่ในมือเธอ เขาก็ทำหน้าไม่ชอบใจนัก แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร กระทั่งทั้งคู่ลงมาถึงด้านล่าง เพื่อจะเดินออกไปขึ้นรถ จู่ๆ เขาก็เดินชนเข้ากับใครบางคน
“อุ๊ย!” กำแพงมนุษย์ที่ทั้งสูงทั้งใหญ่ดูจะไม่สะทกสะท้าน ต่างกับสาวร่างบางอย่างแวววิวาห์ที่ถูกชนจนเกือบจะล้มลงไปกองกับพื้น โชคดีที่เขาตวัดแขนโอบรอบเอวไว้ซะก่อน ให้ตายสิ! ภาพนี้อย่างกับฉากรักในละคร ตอนที่พระนางเจอกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสียงทุ้มๆ ของเขาที่ฟังยังไงก็พระเอกชัดๆ
“เป็นอะไรไหม” น้ำเสียงชวนฝันของเขาทำเอาแวววิวาห์สะเทิ้นสะท้านบิดไปบิดมาด้วยความเขินอาย ในขณะที่ศิศิราได้แต่ยืนกลอกตามองบนกับอาการเขินเกินเบอร์ของเพื่อน ใช่! แวววิวาห์หนึ่งในเพื่อนรักของเธอ และก็ใช่อีกที่รายนี้ออกอาการเพ้อพกถึงขั้นคลั่งไคล้ในตัวท่านรองประธานของเธอเป็นที่สุด เจอแบบนี้เข้าไปคงเพ้อไปอีกหลายวัน
“เป็นคนที่แอบมองเธออยู่ไกลๆ เอ้อ…! คือดิฉันหมายถึง ดิฉันไม่เป็นไรค่ะ” แวววิวาห์เผลอตอบในสิ่งที่ใจคิด ก่อนจะตั้งสติได้ในเวลาต่อมา
“นั่นปะไร ไม่ทันไรก็เพ้อซะละ เฮ้อ!” ศิศิราพึมพำกับตัวเองพลางส่ายหน้าน้อยๆ กับอาการของเพื่อน
“อืม! งั้นไปกันเถอะ” เขาหันไปบอกศิศิรา ก่อนจะเดินนำออกไป แต่แล้วจู่ๆ เขาก็หยุดเดินดื้อๆ ทำเอาคนที่เดินตามหลังมาติดๆ ชนเข้ากับแผ่นหลังเขาเต็มๆ
“พังหมดแล้วมั้งเนี่ยจมูกฉัน ดีนะที่ของแท้แม่ให้มา ไม่งั้นมีเบิกค่าจมูกใหม่แน่” เธอบ่นอุบขณะยืนลูบจมูกตัวเองป้อยๆ แต่เขาก็หาได้สนใจ กลับมองเลยไปที่เพื่อนของเธอที่ยังยืนเพ้ออยู่ด้านหลัง มิหนำซำยังเรียกชื่ออีกฝ่ายให้รายนั้นยิ่งเพ้อหนักยิ่งกว่าเดิม
“แวววิวาห์”
“หมดกันเพื่อนฉัน ใจเหลวหมดแล้วมั้งนั่น” เห็นอาการเดินบิดไปบิดมาของเพื่อน ศิศิราก็พึมพำอีก
“คะ? ท่านรอง” แวววิวาห์เดินมาหยุดยืนมองผู้ชายในฝันด้วยนัยน์ตาหยาดเยิ้ม ราวกับว่าหลงใหลผู้ชายตรงหน้าเสียเต็มประดา
“แกควรสงวนท่าทีมากกว่านี้วา” ศิศิราทนดูไม่ได้จึงขยับเข้าไปกระซิบใกล้ๆ จังหวะนั้นเองจู่ๆ ถุงแซลม่อนกับสปาเก็ตตี้ก็ถูกฉกชิงไปต่อหน้าต่อตา
“นี่ให้คุณ” ภากรยื่นถุงที่เพิ่งดึงมาจากศิศิราไปให้แวววิวาห์หน้าตาเฉย ทำเอาคนรับแทบละลายกลายเป็นขี้ผึ้งลนไฟ ต่างกับเจ้าของตัวจริงที่กำลังจะอ้าปากประท้วง แต่ก็ถูกดึงแขนให้รีบเดินออกไปจากตรงนั้น
“นั่นมันของฉันนะคะ บอสไม่มีสิทธิ์เอาของของฉันไปให้คนอื่นแบบนั้น” เธอหันไปมองถุงในมือเพื่อนรักที่ยืนอยู่ไกลๆ ด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์ ก่อนจะหันมาเกรี้ยวกราดใส่คนที่จับจูงเธอออกมา
“แต่นั่นไม่ใช่คนอื่น นั่นเพื่อนคุณ” เขาหันมาตอบหน้าตาเฉย
“ฉันก็ไม่ได้หมายความแบบนั้น วาไม่ใช่คนอื่น แต่คุณก็…ฮึ่ย! ช่างเถอะ พูดไปฉันก็ไม่ได้กินอยู่ดี” ศิศิราเม้มปากด้วยความหงุดหงิดขุ่นเคือง ขุ่นเคืองที่ว่าอะไรอีกฝ่ายมากไม่ได้ เพราะเขาเป็นเจ้านาย “อีกนานไหมคะ” ระหว่างที่ทั้งคู่กำลังเดินไปที่รถด้วยกัน จู่ๆ เธอก็ถามขึ้น ทำให้เขาต้องขมวดคิ้วและหันมามอง “เนี่ย? อีกนานไหมคะ” เธอย้ำอีกครั้ง พร้อมกับเหลือบไปมองมือเขาที่ยังจับอยู่ที่แขนของเธอ ทำให้คนจับจำต้องรีบปล่อย ซึ่งเป็นตอนที่ถึงที่รถแล้วพอดี คนรถที่เห็นเจ้านายเดินมา ก็รีบเดินมาเปิดประตูรถให้อย่างรู้หน้าที่ “เอ้า! นี่บอสจะขับเองเหรอคะ” เธอร้องถาม เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะขึ้นไปนั่งประจำที่คนขับแทนที่จะเป็นเบาะหลังอย่างที่ควรจะเป็น “อืม! ขึ้นรถสิ เดี๋ยวไม่ทัน” คำตอบของเขาทำให้เธอต้องรีบเดินอ้อมไปเปิดประตูข้างคนขับ ก่อนที่ทั้งคู่จะนั่งเคียงข้างกันออกไป กระทั่งรถสปอร์ตคันหรูเคลื่อนมาหยุดอยู่ที่ภัตตาคารแห่งหนึ่ง “ฉันจำได้ว่าเรานัดลูกค้าไว้ที่โรงแรมไม่ใช่เหรอคะ แต่นี่มัน…” เธอลงมาหยุดยืนอยู่หน้าภัตตาคารด้วยสีหน้างุนงง “รีบไปเถอะ เดี๋ยวไม่ท
“ผมหมายถึง ผมต้องการให้คุณเข้ามากินข้าวเป็นเพื่อนผม…ในห้องนี้” เธอได้ฟังถึงกับลอบถอนหายใจ แต่แล้วหัวคิ้วทั้งสองข้างก็ขมวดเข้าหากัน เมื่อได้ทบทวนในสิ่งที่เขาต้องการ “นี่เป็นคำสั่งหรือว่าหน้าที่ที่เลขาต้องทำคะ” นั่นสินะ ก่อนหน้าถ้าเขาไม่ออกไปหาอะไรกินข้างนอก เธอก็มีหน้าที่เตรียมเข้ามาให้เขากินในห้อง เหมือนที่กำลังจะทำตอนนี้ “ก็ถ้าคิดแบบไหนแล้วสบายใจก็แบบนั้นแหละ” สิ้นเสียงเขาก็ก้มลงไปง่วนกับแฟ้มงานต่อ “ตะแต่ว่า…” เธอพยายามจะหาเหตุผลดีๆ สักข้อมาอธิบาย แต่ก็ถูกขัดอีกจนได้ “รีบไปจัดการเถอะ ผมหิวแล้ว” เขาบอกปัด ใช่! ปัดปัญหามาที่เธอนี่แหละ ก็เขาบอกว่าจะกินเหมือนเธอ แล้วเธอก็ดันเสนอข้าวกะเพรา แต่เรื่องของเรื่องคือ…เธอไม่กินใบกะเพรา ฮือ…! นี่สินะที่เขาเรียกว่าอาหารสิ้นคิด ไม่ทันคิดเลยจริงๆ ว่ามันจะออกมาในรูปแบบนี้ แต่ตอนนี้คงทำอะไรไม่ได้นอกจากปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามชะตากรรม เธอเดินคอตกออกมาด้านนอก เพื่อสั่งอาหารที่ว่าด้วยความทดท้อใจ “ถ้าสั่งกะเพราไก่ แต่ไม่ใส่ใบกะเพราได้ไหมเนี่ย ฮือ! สั่งไปมีหวังโดนด่าสามวันไม่ซ้ำแน่ เอาวะกินก็กินว
บทที่ 1 หลายเดือนก่อนหน้าพนักงานสาวที่ทำงานอยู่ฝ่ายประชาสัมพันธ์อย่าง ศิศิราได้ถูกเรียกให้ขึ้นมาทำงานในตำแหน่งผู้ช่วยเลขารองประธานบริษัท ใช่! เธอได้เลื่อนตำแหน่ง ถึงแม้มันจะเป็นตำแหน่งที่ไม่คิดมาก่อนว่าจะได้ทำหรือทำได้ แต่ก็นะผลตอบแทนที่มันมากขึ้นก็ทำให้เธอฮึกเหิมและมั่นใจว่าตัวเองจะทำได้ นี่ไม่ได้งกนะ เขาเรียกว่าทำเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น “ขอบคุณมากนะคะพี่ตาที่เลือกศิ” ตอนนั้นเธอจำได้ว่าเธอแทบจะเข้าไปกอดศรุตาด้วยความซาบซึ้งที่อีกฝ่ายเลือกตนมาเป็นผู้ช่วย “อื้อ! ตั้งใจให้มากๆ นะ ให้สมกับที่ถูกเลือก เอาเป็นว่ามีอะไรก็ปรึกษาพี่ได้ตลอด ยังไงเราก็ต้องทำงานด้วยกันไปอีกนาน” ศรุตายิ้มให้ “แน่นอนค่ะ หนูจะตั้งใจ จะไม่ทำให้พี่ผิดหวังแน่นอนค่ะ” เธอเข้าไปกอด ศรุตาประหนึ่งเด็กขี้อ้อน พลางมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเทิดทูนบูชา ตัดมาที่ภาพตอนนี้ ที่เธอได้เลื่อนขั้นจากผู้ช่วยมาเป็นเลขาเต็มตัว เพราะเลขาคนเก่าดันลาไปคลอด ใช่! เธอถูกเทรนมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ เพื่อหน้าที่อันหนักอึ้งที่แทบไม่มีเวลาเป็นของตัวเอง แล้วถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป เธอได้แห้งเหี่ยวเฉาตายอ
บทนำ กลางคืนที่เงียบสงัด หลายคนอาจหลับไปแล้ว แต่ยังมีอีกหลายคนที่สนใจทำอย่างอื่นมากกว่านอนหลับ หนึ่งในนั้นก็คือเขา ภากร จงวิสุทธิ์รังสรรค์ รองประธานบริษัทยักษ์ใหญ่ที่สาวน้อยสาวใหญ่ต่างพากันหลงเสน่ห์ ก็ไอ้การนอนหลับมันจะไปสู้การหลับนอนได้ยังไงล่ะ “……..” เสียงหอบหายใจของชายหนุ่มกับหญิงสาวดังกระชั้นสอดประสานกับเสียงเนื้อกระทบเนื้อชัดเจนอยู่ในโสตประสาท ยิ่งบรรยากาศรอบตัวเงียบสงัดมากเท่าไหร่ เสียงของพวกเขาก็ยิ่งดังมากเท่านั้น “อา…!” เขาครางกระหึ่มขณะกำลังโหย่งขยับตอกอัดใส่บั้นท้ายงามงอนเป็นจังหวะเร็วขึ้น สะโพกผายที่กำลังโก่งยกเปิดทางให้ท่อนเอ็นลำใหญ่ได้ดำดิ่งสู่เนินสาวอวบอูมสมใจอยาก ขณะที่สะโพกสอบโก่งกระแทกเป็นจังหวะเร่าร้อนรุนแรง สะโพกผายที่กำลังดีดเด้งตามจังหวะตอกอัดก็กำลังดึงดูดสายตาให้เขาอดใจไม่ไหว ใช้สองมือบีบขยำความหนั่นแน่นตรงหน้าสลับลูบไล้ความเนียนนุ่มน่าสัมผัสนั้นด้วยความหลงใหล ก่อนจะค่อยๆ เลื่อนมือขึ้นไปสัมผัสโลมเล้าบนแผ่นหลังเนียนละเอียด ที่เขาปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันทั้งนุ่มทั้งลื่นจนเขาแทบอยากจะเกลือกกลิ้งใบหน้าลงไป แต่ก็อีกนั่นแหละ เขาเคย







