บทที่ 9
อย่าได้เจอกันอีก
“ฉันไม่ได้สร้างสถานการณ์เรื่องงานในวันนี้นะคะ”
ทันทีที่เดินตามเขาเข้ามาในห้องฉันก็รีบพูดอธิบายถึงเหตุการณ์ที่เป็นไป เนื่องจากรู้ดีว่าตอนนี้สถานะของตัวเองนั้นตกอยู่ในกำมือของเขาโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
“เธอเป็นอะไรกับไอ้ตุลย์”
“หะ...ฮะ?” เสียงเข้มของเขาทำเอาฉันถึงกับหลุดเสียงในลำคอออกมาเบา ๆ
ครั้นลองทบทวนถึงคำพูดของเขาซ้ำ ๆ ถึงได้เข้าใจว่าสิ่งที่เขาถามนั้น คงจะหมายถึงความสัมพันธ์ของฉันและน้องชายของเขาเป็นแน่
“ถามก็ตอบ”
“อะ...เอ่อ คือเราเรียนมหา’ลัยเดียวกันค่ะ” ฉันให้คำตอบอ้อม ๆ
ก็อย่างที่เคยบอกว่าฉันรู้จักตุลย์นั้นก็เพราะเขาค่อนข้างมีชื่อเสียงในมหาวิทยาลัย แถมเพื่อนของตุลย์เองก็เคยตามจีบฉันอยู่สักพักเหมือนกัน แต่ด้วยไลฟ์สไตล์และความแตกต่าง ความสัมพันธ์กับเพื่อนของตุลย์จึงไม่ได้พัฒนาไปมากกว่านั้น
“รู้จักมันได้ยังไง”
“ก็เป็นเพื่อนที่มหา’ลัยไง แต่คนละคณะ รู้จักกันก็เพราะเพื่อนของน้องชายคุณเคยคุย ๆ กับฉัน แถมน้องชายคุณเองก็ไม่ธรรมดา พูดง่าย ๆ ก็เกือบทั้งมหา’ลัยรู้จักตุลย์กันหมดนั่นแหละ!”
ความหงุดหงิดส่งผลให้ฉันพูดเรื่องราวทั้งหมดออกมา โดยน้ำเสียงที่ตอบกลับล้วนเต็มไปด้วยความไม่พอใจที่แสดงออกอย่างชัดเจน
แต่ก่อนที่ฉันจะได้เอ่ยอะไรออกไปมากกว่านั้น แรงสั่นครืดคราดของเครื่องมือสื่อสารที่วางอยู่บนโต๊ะก็ดังแทรกขึ้น คนตรงหน้าหยิบมันมารับสาย หากแต่ดวงตาคมเข้มกลับกดมองฉันด้วยความแข็งกร้าวไม่วางตา
“ที่งานเรียบร้อยไหม”
ฉันเม้มปากแน่นเมื่อถูกจับตามอง ครั้นคิดว่าสายที่โทรเข้ามาน่าจะเป็นลูกน้องของเขาที่สั่งการให้ดูแลงานต่อ ฉันถึงถือวิสาสะทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาตัวยาวที่อยู่ใกล้ ๆ เพราะหากให้เดาแล้วการพูดคุยสนทนาระหว่างฉันและเขาคงต้องใช้เวลาพอสมควร
“กูฝากจัดการด้วย ให้นักข่าวกับคนในงานปิดปากให้ดี ถ้าข่าวหลุดจากสำนักไหนกูจะจัดการมันเอง!”
เสียงเข้มดุดันที่เอ่ยนั้นพลันทำให้ฉันถึงกับสะอึก คำว่า ‘จัดการ’ ทำให้ฉันคิดเป็นอื่นไม่ได้เลยนอกจากการตามจัดเก็บให้สิ้นซาก ตามแบบฉบับมาเฟียที่เคยเห็นในละคร
ฉันเองก็ไม่กล้าปักใจว่าคุณไตรเป็นผู้มีอิทธิพลมากขนาดไหน แต่ดูจากจำนวนลูกน้องและอาวุธปืนที่เคยถูกข่มขู่แล้ว มันก็พอคาดเดาได้ว่าเขาเองก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน
“แล้วมึงตามจับคนยิงได้ไหม...”
ฉันนั่งฟังคุณไตรพูดกับคนปลายสายไปราว ๆ ห้านาทีจวบจนเขากดวางสายนั่นแหละ ฉันถึงได้เสสายตาไปมองเพราะอยากรีบเคลียร์กับเขาแล้วจะได้กลับบ้านไปพักผ่อนสักที
ถึงจะผ่านประสบการณ์เฉียดตายมาสามครั้งติด ในชนิดที่เกิดขึ้นภายในไม่กี่สัปดาห์ แต่ด้วยสภาพร่างกายในตอนนี้ทำให้ฉันไร้เรี่ยวแรงเกินกว่าจะเผชิญไหว อย่างน้อยการได้กลับบ้านไปพักผ่อนก็นับว่าเป็นการปรานีคนโชคร้ายอย่างฉันมากที่สุดแล้ว
“มือปืนหนีไปได้ แต่ก็ถูกยิงบาดเจ็บไปเหมือนกัน” น้ำเสียงราบเรียบเอ่ย หากแต่นัยน์ตาดำขลับกลับจดจ้องมองมาที่ฉัน ราวกับเป็นการพูดหยั่งเชิงเพื่อลอบสังเกตถึงพฤติกรรม
“แล้วไง? นี่ยังคิดว่าฉันเป็นสายสืบอีกเหรอ ฉันโดนยิงขนาดนี้คุณยังคิดว่าฉันเกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนั้นอีกหรือไง”
“จะกลับบ้านใช่ไหม ไปสิ กลับได้เลย”
“หะ...ฮะ?” เกือบจะหลุดคำด่าออกมาแล้วถ้าไม่ได้ทบทวนคำพูดของเขาเมื่อครู่
ฉันหลุดเสียงร้องออกมาเบา ๆ เมื่อมั่นใจว่าคำพูดจากปากคุณไตรนั้นเป็นการบอกให้ฉันกลับบ้านได้โดยง่าย
“กลับไปสิ” เขาทวนย้ำอีกครั้ง พร้อมกับการเลิกคิ้วมองฉันด้วยท่าทางเรียบเฉย หากแต่ฉันกลับมองว่ามันช่างยียวนอย่างถึงที่สุด
เขาเป็นคนนิ่งที่กวนตีนมาก!
“ฉัน...ฉันกลับได้จริง ๆ เหรอ กลับจริง ๆ นะ!”
ความหมั่นไส้มีไม่มากเท่ากับความดีใจที่จะได้กลับบ้าน ฉันเอ่ยถามในขณะที่ดวงตาวาววับบ่งบอกว่ากำลังดีใจอย่างออกนอกหน้า
“อืม กลับเองได้ใช่ไหม” ใบหน้าคมคายเชยขึ้นมอง จังหวะนั้นมือหนาก็ลูบที่คางของตัวเองเบา ๆ
“ได้ค่ะ! ฉันกลับเองได้! ขอบคุณนะคะ ฉันไปแล้วนะ ฮือ อย่าได้เจอะเจอกันอีกเลยค่ะ ครั้งนี้ครั้งสุดท้าย หมดเวรหมดกรรมต่อกันนะคะ สาธุ ๆ เพี้ยง!” ความในใจเปล่งออกมาด้วยน้ำเสียงกระดี๊กระด๊าขั้นสุด หนำซ้ำฉันยังยกมือไหว้ในจังหวะที่พูดถึงคำว่าสาธุ เพื่อเป็นการย้ำน้ำหนักในความศักดิ์สิทธิ์ ที่หวังว่าโชคชะตาจะช่วยดลบันดาลให้ไม่ได้พบเจอกันกับคุณไตรอีกในชาตินี้
พอกันที...อย่าได้เจอกันอีกเลย!
ฉันกลับมาถึงบ้านด้วยรถที่เรียกผ่านแอปพลิเคชัน ซึ่งใช้เวลาประมาณสิบห้านาทีก็มาถึงจุดหมาย
สิ่งแรกที่ทำก็คือการเดินเข้ามาในตัวบ้าน โดยไม่ลืมที่จะลงกลอนอย่างแน่นหนาตั้งแต่รั้วบ้านและประตูด้านใน หากแต่ความผิดปกติบางอย่างกลับทำให้สองขาที่กำลังจะก้าวกลับหยุดชะงัก
ประตูบ้านด้านในปิดสนิทแทบไม่มีความแปลกไป แต่มันกลับเป็นการลงกลอนชั้นเดียวอย่างที่ฉันไม่เคยทำมาก่อน เพราะประสบการณ์การอยู่คนเดียวคอยสั่งสอนให้ฉันระมัดระวังตัวเองอยู่เสมอ ประตูบ้านแต่ละชั้นจะถูกล็อกอย่างแน่นหนาและไม่ต่ำกว่าสองขั้นตอน แต่ทว่าประตูตรงหน้านี้กลับมีการล็อกเพียงชั้นเดียว แถมข้าวของภายในบ้านก็ถูกจับวางเปลี่ยนทิศทางไปจากเดิม
ฉันถอยหลังก้าวออกมา ขณะที่ในมือก็กำโทรศัพท์ตัวเองเอาไว้แน่น กระทั่งเสียงปริศนาบางอย่างดังแทรกเข้าสู่โสตประสาท นั่นจึงทำให้ฉันตัดสินใจหันไปหยิบไม้เบสบอลที่ซ่อนไว้หลังตู้ใส่รองเท้ามาถือเอาไว้
หากเกิดอะไรขึ้นฉันเองก็มั่นใจว่าจะจัดการต่อสู้และฟาดมันด้วยไม้อย่างไม่ยอมแพ้เช่นกัน
“ไอ้โจรสารเลว ไอ้สวะ ไอ้ชาติหมา แกตายแน่!”
เสียงนั้นคืบคลานเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับความรู้สึกถึงไอร้อนบางอย่าง ส่งผลให้ฉันตวาดคำด่ากราดพร้อมกับการง้างมือขึ้นฟาดไม้ไปตามความรู้สึกที่ประสาทรับรู้
แต่ทว่า...
หมับ!
“หยุด! พี่เองป่าน นี่พี่เอง!”
ข้อมือของฉันถูกคว้าหมับก่อนที่แรงบีบรัดจะหนักแน่นขึ้น จนกำลังแรงในการจับไม้เบสบอลร่วงหล่นสู่พื้น
ฉันเบิกตากว้างและรีบหันขวับใบหน้าไปมองยังต้นเสียง หัวสมองประมวลสิ่งที่เป็นไปได้ไม่ทันการว่ามันใช่เสียงที่คุ้นเคยหรือเปล่า หากแต่คำพูดที่ดังขึ้นนั้นกลับทำให้ฉันเริ่มมั่นใจว่าคนคนนั้นคือพี่สาวของฉันจริง ๆ
“พะ...พี่ด้าย!”
“ก็พี่เองน่ะสิ ทำบ้าอะไรของแกเนี่ย!”
ทันทีที่หันไปก็พบว่าเจ้าของเสียงนั้นคือพี่สาวของฉันจริง ๆ
“ป่าน...คือป่านนึกว่าเป็นโจรอะ”
“เฮ้อ...แต่ที่พี่ทำมันก็เหมือนโจรจริง ๆ นั่นแหละ แล้วทำไมเพิ่งกลับ ไปไหนมาทำไมถึงแต่งตัวแบบนี้”
เสียงถอนหายใจดังขึ้น ก่อนที่คำถามจะสวนกลับมาพร้อมกับสายตาของคนเป็นพี่สาวที่กวาดมองเสื้อผ้าที่ฉันกำลังสวมใส่
“อย่าบอกนะ...ว่าแกไปทำงานพริตตี้ที่งานเปิดตัวไทรอัมพ์วันนี้!”
“อะ...โอ๊ย! พี่ด้ายอย่าจับแรงสิ ป่านเจ็บ” ฉันร้องขึ้นเมื่อมือของพี่สาวจับรั้งที่ต้นแขนเพื่อให้ฉันหันไปประจันหน้า ซึ่งจุดที่พี่ด้ายจับนั้นเป็นจุดที่ฉันได้รับบาดเจ็บพอดิบพอดี
“ตอบพี่!”
“คือป่าน...”
“ตอบพี่มา!” เสียงตวาดกร้าวดังกึกก้องจนฉันถึงกับสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ เพราะมันเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่พี่ด้ายตะคอกเสียงดังใส่กันแบบนี้
“เอ่อ...คือป่านไปทำงานที่งานเปิดตัวรถของบริษัทไทรอัมพ์ แล้วป่านก็โดนยิง...”
“ว่าไงนะ!”
“ตะ...แต่ป่านปลอดภัยนะพี่ด้าย มันแค่เฉียด ๆ นี่ก็ทำแผลแล้ว พี่ด้ายดูสิ ป่านไม่ได้เป็นอะไรมากเลย” ฉันพยายามหมุนตัวไปมาเพื่อให้พี่สาวมั่นใจว่าฉันปลอดภัยกลับมาทุกอย่าง แม้ว่าการขยับเขยื้อนจะทำให้รู้สึกเจ็บถึงบาดแผลก็ตาม แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องพยายามแสร้งทำตัวให้เป็นปกติมากที่สุด
“แกคือคนที่โดนยิงเหรอ!”
“แหะ...ป่านเอง ว่าแต่พี่ด้ายรู้เรื่องนี้ได้ยังไง อย่าบอกนะว่าข่าวออกไปทั่วแล้ว!” ความสงสัยเกิดขึ้นจนคิดไปต่าง ๆ นานา แล้วสิ่งที่พอคาดเดาเองได้นั้นก็คือข่าวคงจะแพร่สะพัดออกไปเป็นวงกว้างแล้ว เนื่องจากภายในงานมีสื่อจากหลายสำนักที่มาทำข่าวด้วยเช่นกัน
“เปล่า ไม่มีข่าวอะไร แต่เพื่อนพี่มันไปงานนั้นพอดี มันเลยเล่าให้ฟังว่ามีคนยิงกัน”
“อ้าวเหรอคะ ป่านก็นึกว่าจะออกข่าวแล้วซะอีก”
“ฮึ...ระดับนั้นไม่ยอมปล่อยให้ข่าวหลุดออกมาง่าย ๆ หรอก เชื่อพี่สิว่าแค่ไม่กี่ชั่วโมงทุกอย่างก็ปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้ว”
คำพูดของพี่สาวทำให้ฉันพยักหน้ารับพลางคิดตามสถานการณ์ที่ควรเป็นไป คนระดับคุณไตรคงไม่ยอมปล่อยให้ข่าวเสียหายหลุดออกไปแน่ แถมตัวเขาเองก็มีอิทธิพลไม่น้อย เรื่องการปิดข่าวคงไม่ได้ยากเย็นอะไรสำหรับคนอย่างเขา
“ก็จริงนะ อ๊ะ...แล้วที่แขนนั่นพี่ด้ายไปโดนอะไรมา!”
ทว่าสายตาของฉันดันสังเกตเห็นผ้าสีขาวที่พันอยู่ตรงต้นแขนข้างซ้ายของพี่ด้าย มันถูกซ่อนไว้ใต้แขนเสื้อ แต่ฉันกลับมองเห็นมันในจังหวะที่พี่ด้ายขยับแขน
“เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยอะ แต่ก็ทำแผลแล้ว ทางบริษัทเลยให้พี่กลับมาพักที่บ้านอย่างที่แกเห็นนี่แหละ”
ฉันมองหน้าคนเป็นพี่สาวด้วยความแปลกใจ สลับไปกับแผลที่ถูกพันด้วยผ้าสีขาวนั้น แต่ไม่นานก็เลือกที่จะปล่อยผ่านเพราะไม่อยากให้สถานการณ์เกิดความอึดอัดไปมากกว่าเดิม
“ป่านดีใจนะที่พี่ด้ายกลับมา แต่มันจะดีกว่านี้ถ้าไม่มีแผลกลับมาด้วย เฮ้อ...เราสองพี่น้องนี่โคตรซวยเลยเนอะ”
“รอพี่อีกหน่อยนะป่าน...หลังจากนี้ชีวิตของเราสองคนจะดีขึ้น แกจะได้ไม่ต้องลำบากทำงานหลายอย่างแบบนี้” ความสั่นเครือเจือปนในน้ำเสียงของพี่สาว ซึ่งฉันเองก็เข้าใจกับคำพูดนั้นเป็นอย่างดีว่าพี่ด้ายนั้นต้องการจะสื่อถึงอะไร
เราสองพี่น้องต้องทำงานอย่างหนัก สู้ชีวิตและต้องดิ้นรนเพื่อถีบตัวเองขึ้นมาจากโคลนตม ความลำบากยากแค้นทำให้เราต้องขยันมากกว่าคนอื่น และภาพฝันอันสวยงามในอนาคตก็คือการอยู่ด้วยกันสองพี่น้องอย่างมีความสุข
มีบ้านหลังเล็ก ๆ เป็นของตัวเอง กินอิ่มนอนหลับในทุก ๆ ค่ำคืน เพียงเท่านี้จริง ๆ ที่ฉันต้องการ
“พรุ่งนี้มีเรียนหรือเปล่า แกรีบขึ้นไปนอนไป”
“มีค่ะ แต่มีเรียนตอนบ่าย ตื่นสายได้”
เราสองพี่น้องพูดคุยกันไม่นานก็แยกย้ายกันขึ้นไปพักผ่อนที่ห้องของตัวเอง แต่ก่อนจะทิ้งท้ายค่ำคืนนี้ก็ไม่วายแอบเข้าไปนอนกับพี่สาวในห้อง เพราะการได้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้านับได้ว่าเป็นสิ่งที่ฉันโหยหามันมากที่สุด
อย่างน้อย ๆ การได้นอนกอดพี่สาวก็คงทำให้หลับฝันดีกว่าการนอนกอดตัวเอง...
SAIPAN’S PART ; END
บทที่ 10วางยา (1)หลายวันผ่านไปการดีลสินค้าล็อตใหญ่เกิดขึ้นที่ดาร์กไนต์บาร์ตามความต้องการของไตรพัฒน์ ที่ตั้งใจอยากหาที่เจรจาบวกกับการดื่มสังสรรค์ ซึ่งสถานที่แรกที่เขานึกถึงก็คงไม่พ้นที่แห่งนี้เนื่องจากเป็นร้านของน้องชายคนสนิท และภายในร้านก็มีโซนที่ถูกจัดแบ่งให้ความเป็นส่วนตัวเจ้าของร้านจัดเตรียมสถานที่และเลือกปิดโซนร้านชั้นบนให้มาเฟียหนุ่มทั้งหมด รวมถึงพนักงานดูแลที่คิดว่าไว้ใจได้อย่างสายป่าน และสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ก็คือผู้หญิงคอยบริการ เวย์คินรู้ว่าการเจรจาหากจะผ่านพ้นไปโดยง่ายนั้นก็ต้องมีของกำนัลมาแลกเปลี่ยนเป็นธรรมดา“ฮ่า ๆ ผมเอาทั้งหมดเลยคุณไตร คุณเสนออะไรมาผมก็รับไว้ทั้งหมดนั่นแหละ ก็อย่างที่บอกว่าผมน่ะไว้ใจคุณ ผมรู้ว่าของจากบริษัทคุณมันดีทั้งนั้น”เสียงพูดคุยเคล้าไปด้วยเสียงหัวเราะกังวานเป็นตัวบ่งบอกได้ว่าการเจรจาดีลสินค้าเป็นไปอย่างราบรื่น ไตรพัฒน์ยิ้มรับบาง ๆ พลางโน้มตัวหยิบวิสกี้สีอำพันมาเติมให้กับคู่ค้าคนสำคัญเองกับมือ เมื่อเห็นว่าของเหลวภายในแก้วทรงเตี้ยนั้นพร่องไปจนเกือบครึ่งแล้ว“ขอบคุณครับเสี่ยยศ เสี่ยโอนเงินมาเมื่อไหร่ อีกสองวีคก็เตรียมรับสินค้าไปได้เลยครับ แล้วก็ไม
บทที่ 11วางยา (2)“ผมเซ็นครบหมดแล้วใช่ไหมครับคุณไตร ขาดตกตรงไหนไปหรือเปล่า” เสี่ยยศเอ่ยถามหลังจากส่งหนังสือสัญญาการสั่งซื้อให้กับไตรพัฒน์ได้ตรวจสอบ“เรียบร้อยครับเสี่ย ขอบคุณมากครับที่ไว้วางใจ หลังจากนี้ก็รอรับของสบาย ๆ ได้เลย” ไตรพัฒน์กวาดสายตามองเร็ว ๆ ก่อนจะเก็บพับเอกสารแล้ววางลงที่โซฟาข้างตัวเมื่อเสร็จสิ้นการเจรจา วิธีส่งท้ายคู่ค้าก็คือการจับมือแล้วจึงแยกย้าย ซึ่งจังหวะนั้นมารุตลูกน้องคนสนิทก็เดินเข้ามาพอดิบพอดี สายตาคมเข้มมองไปยังลูกน้อง เห็นการโค้งศีรษะรับน้อย ๆ ที่แม้แต่ไม่ต้องเอ่ยเอื้อนคำใดก็เป็นอันเข้าใจ“อ้าวไอ้รุต ไปไหนมาวะเนี่ย ไม่อยู่กินเหล้าด้วยกัน”“ผมไปจัดการงานให้นายมาน่ะครับ แล้วนี่เสี่ยจะกลับแล้วเหรอครับ” มารุตค้อมศีรษะลงเมื่อถูกมือใหญ่ตบเบา ๆ ที่บ่าแกร่ง“จะกลับแล้วล่ะ กูจะไปขึ้นสวรรค์ ไว้เจอกันนะ ผมไปนะครับคุณไตร” ทิ้งท้ายคำพูดเป็นเสียงหัวเราะชอบใจที่ดังกึกก้องไปทั่วทั้งร้านเสี่ยยศเดินออกไปพร้อมกับลูกน้องสองคนที่ตามติด สีหน้าแช่มชื่นรื่นเริงเหมือนว่าจะได้ขึ้นสวรรค์ดั่งคำพูดจริง ๆ และการกระทำนั้นกลับทำให้มารุตถึงกับอดที่จะขำออกมาไม่ได้ เพราะล่วงรู้การณ์ข้างหน้าว
บทที่ 12ไม่ใช่ฝันความเมื่อยขบตามร่างกายและอาการวิงเวียนของศีรษะ ทำให้คนบนเตียงที่นอนหลับตาพริ้มรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา ครั้นขยับตัวเหยียดแขนขาเล็กน้อยเป็นต้องชะงักและรีบเปิดเปลือกตาโพลง เนื่องจากสัมผัสความอ่อนนุ่มและกลิ่นหอมผ่อนคลายที่เข้าสู่โสตประสาทนั้นมันไม่ใช่สัมผัสจากห้องนอนส่วนตัวของตัวเอง“ทะ...ที่นี่ที่ไหน!” สายป่านดีดตัวขึ้นจากเตียงอย่างไม่สนใจกับอาการวิงเวียนศีรษะ เหตุเพราะสภาพห้องที่ไม่คุ้นตากลับทำให้เธอหวาดหวั่นจนหวนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนที่เกิดขึ้น“เมื่อวานนี้เกิดอะไรขึ้น...” เสียงเล็กพึมพำเบา ๆ พลางขบคิดนึกย้อนไปยังค่ำคืนที่หัวสมองน่าจะยังพอจดจำสิ่งที่เกิดขึ้นได้บ้าง“มึงมาช่วยกูประคองอีนี่ไปที่ห้อง เบา ๆ นะเว้ย เสี่ยสั่งมาว่าห้ามช้ำห้ามมีแผล!” เสียงเข้มดังกังวานก่อนที่ร่างแบบบางจะถูกตวัดช้อนและตรงปรี่ไปยังรถตู้สีดำเงาที่จอดรออยู่ไม่ไกล ชายร่างยักษ์ตัวใหญ่ช่วยประคองหญิงสาวให้ขึ้นไปบนรถตู้ หากแต่เสียงดุดันของใครคนหนึ่งกลับดังแทรกขึ้น ครั้นหันไปก็พบว่าเป็นชายคนหนึ่งที่กำลังจ่อกระบอกปืน โดยมีจุดหมายก็คือกลางกบาลของคนตัวโต“ปล่อยผู้หญิงซะ” “มึงเป็นใครวะ ถ้าไม่อยากตายก็ถอยไ
บทที่ 13ผู้หญิงของฉันSAIPAN’S PART ;ข้อมือของฉันถูกฉุดรั้งให้เข้ามาในห้องห้องหนึ่งซึ่งดูเหมือนว่าเป็นห้องที่คุณไตรใช้มันเป็นที่ทำงาน เนื่องจากฉันเห็นว่าภายในห้องนี้มีทั้งโต๊ะและชั้นวางเอกสารมากมาย ไม่ต่างจากสำนักงานขนาดย่อมเลยสักนิดทันทีที่เข้ามาในห้องคนตัวใหญ่ก็ผลักให้ฉันนั่งลงที่เก้าอี้หน้าโต๊ะ ส่วนเจ้าตัวก็เดินอ้อมแล้วนั่งประจำที่เก้าอี้หนังสีดำฝั่งตรงข้าม ราวกับเป็นการสัมภาษณ์งานระหว่างเจ้านายและลูกน้องไม่มีผิดถ้าจะผิดก็คือฉันไม่ใช่ลูกน้อง และคุณไตรเองก็ไม่ใช่เจ้านายของฉันเช่นกัน!“ป่านนี้คุณหมอคงโกรธแย่เลยนะคะ” ฉันเปิดประโยคออกมาเป็นคนแรก เนื่องจากเห็นว่าบรรยากาศภายในห้องเริ่มเกิดความอึดอัดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก“แล้วไง”“ก็คุณกับคุณหมอ...”“หมอรินเป็นแค่หมอ ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรมากกว่านั้น”“อ้อ...” ฉันยิ้มรับบาง ๆ พลางพยักหน้าเมื่อได้ยินคำพูดหนักแน่นจนต้องรีบหลบสายตาหนี“จำได้ใช่ไหม เรื่องเมื่อคืน”“อึก...” ฉันถึงกับกลืนน้ำลายเหนียวลงคอ เมื่อได้ยินหัวข้อสนทนาใหม่นั่นก็คือเรื่องเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ทั้งที่ในตอนแรกตั้งใจจะถามเขาให้รู้แล้วรู้รอด แต่พอเห็นสายตาดุ ๆ บวกกับภาพแนบชิ
บทที่ 14ลาออกวันถัดไปสายป่านเดินเข้ามาด้านในร้านและจัดการเปลี่ยนชุดแต่งหน้าเพื่อให้พร้อมเริ่มงาน ตอนนี้เป็นเวลาเพียงหกโมงเย็นเท่านั้น หากแต่ในฐานะพนักงานย่อมต้องเข้างานตั้งแต่ช่วงเริ่มเปิดร้านเพราะมีความรับผิดชอบอีกมากมายที่ต้องจัดการหญิงสาวเดินมาทำหน้าที่ของตัวเองซึ่งก็คือการเช็ดโต๊ะและจัดเก้าอี้ให้เข้าทาง ระหว่างที่กำลังทำงานในหัวสมองกลับนึกถึงเรื่องบางอย่างที่ทำให้ใบหน้าหวานเรียบตึง คลับคล้ายกับความกังวลที่ปรากฏจนเผลอแสดงมันอย่างออกนอกหน้า“เป็นอะไรป่าน ทำหน้าบึ้งเชียว เออนี่ช่วงดึก ๆ คุณเวย์จะเข้าร้านนะ คุณไตรก็มาด้วย พี่ฝากป่านช่วยดูแลด้วยล่ะ” เอ็มผู้จัดการร้านเดินเข้ามาทักทาย ขณะที่สายตาก็พลางกวาดมองความเรียบร้อยก่อนจะถึงเวลาเปิดร้านรับลูกค้า“คะ...คุณไตรเหรอคะ”ทว่าชื่อที่ได้ยินกลับทำให้ความกังวลได้คำตอบที่ชัดเจน จากความวุ่นวายสับสน เพียงแค่ได้ยินชื่อของเขาคนนั้นก็ทำให้เธอเลือกตัดสินใจกับเรื่องที่กำลังขบคิดอย่างว้าวุ่นได้ในทันที“พี่เอ็ม...”ความคิดที่อยู่ในหัวกับคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าล้วนสัมพันธ์กันอย่างเหมาะเจาะสายป่านเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แต่ความตั้งใจที่เอ่อล้นเต็ม
บทที่ 15ธุรกิจสีเทาหลายวันผ่านไปการที่ไตรพัฒน์มาเยือนโกดังเก็บอาวุธผิดกฎหมาย นับว่าเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้เหล่าลูกน้องถึงกับขวัญผวาขั้นสุดชายชุดดำนับสิบยืนเรียงเป็นหน้ากระดานเมื่อตัวรถยนต์คันหรูจอดเทียบด้านหน้า พลันเมื่อประตูถูกเปิดออก ร่างสูงตระหง่านของผู้ทรงอิทธิพลก็ปรากฏตัว ตามมาด้วยมือขวาคนสนิทอย่างมารุตที่เดินประชิดตัวของผู้เป็นนาย“หน้าซีดแบบนี้แปลว่าพวกมึงทำงานไม่เสร็จตามกำหนดสินะ” มาเฟียหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยความเรียบนิ่ง ในขณะนั้นสายตาคมดุดันก็กวาดมองลูกน้องของตัวเองทุกคน ที่ตอนนี้ก้มหน้าก้มตาหลบหลีกกันยกใหญ่แม้ว่าจะไม่ได้คำตอบแต่ก็มั่นใจแล้วว่าสิ่งที่คาดคิดไว้นั้นเป็นเรื่องจริงไตรพัฒน์เดินทางมาที่โกดังเก็บสินค้าที่ตั้งอยู่แถบปริมณฑลพร้อมกันกับมารุต น้อยครั้งนักที่เขาจะมาตรวจสอบงานด้วยตัวเอง หากแต่ครั้งนี้เขากลับได้รับรายงานว่าสินค้าที่มีกำหนดส่งตามวันเวลานั้นถูกเลื่อนออกไป เหตุเพราะความล่าช้าของตัวลูกน้องเองทั้งนั้น นั่นจึงทำให้เขาใจเย็นที่จะอยู่เฉยแล้วปล่อยให้เครดิตตัวเองเสียชื่อไม่ได้“เอ่อ...ใกล้เสร็จแล้วครับนาย อีกนิดเดียวจริง ๆ ครับ” หนึ่งในชายชุดดำใจกล้าที่จะตอบกลับ แม้
บทที่ 16หนีไม่พ้นSAIPAN’S PART ;“โชคดีมากเลยนะเนี่ยที่วันนี้พี่นัดคุยกับผู้บริหารพอดี ป่านจะได้เห็นวิธีการทำงานด้วย” เสียงของพี่นุ้ยหัวหน้าใหญ่ประจำบริษัทบัญชี และพ่วงอีกหนึ่งตำแหน่งนั่นก็คือพี่เลี้ยงดูแลนักศึกษาฝึกงานเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้มใจดี“ขอบคุณพี่นุ้ยมากเลยนะคะที่อนุญาตให้ป่านมาด้วย นัดคุยกับผู้บริหารแบบนี้คงสำคัญมากแน่ ๆ” ฉันยกมือไหว้ขอบคุณพี่นุ้ยพร้อมกับการส่งสายตาหวาน ๆ ไปให้ นึกดีใจที่ได้รับการเชิญชวนให้ติดสอยห้อยตามมาในงานสำคัญแบบนี้ตอนนี้ฉันอยู่ในฐานะนักศึกษาฝึกงานของบริษัทบัญชีแห่งหนึ่ง บริษัทที่ฉันกำลังทำอยู่นั้นจะรับดูแลและตรวจสอบบัญชีให้กับบริษัทของผู้ว่าจ้าง ซึ่งการตามพี่นุ้ยมาในวันนี้ก็นับว่าเป็นการทำงานอย่างแรกที่ฉันได้รับมอบหมายเลยก็ว่าได้ เนื่องจากฉันเพิ่งเริ่มทำงานได้ไม่ถึงสัปดาห์ ภาระงานส่วนใหญ่ก็จะเป็นการเดินเอกสารหรือไม่ก็พวกงานเล็ก ๆ ที่ไม่ได้สลักสำคัญมากนักสถานที่นัดหมายกับลูกค้าผู้ว่าจ้างนั้นเป็นร้านกาแฟแห่งหนึ่ง มันไม่ใช่บริษัทของลูกค้าหรือห้องรับรองอย่างที่คาดคิด แต่พี่นุ้ยเองก็ให้คำตอบกับฉันว่าลูกค้าคนนี้ค่อนข้างหวงความเป็นส่วนตัว แถมยังต้องการคุยเรื่
บทที่ 17นักศึกษาฝึกงานการฝึกงานของนักศึกษาชั้นปีที่สี่เริ่มขึ้นได้หนึ่งสัปดาห์แล้ว โดยที่ฉันเองก็ได้รับหน้าที่และภาระงานจากพี่นุ้ย ซึ่งเป็นทั้งหัวหน้าและพี่เลี้ยงดูแลเด็กฝึกงานอย่างฉันโดยตรงบริษัทที่ฉันเข้ารับการฝึกงานนี้เป็นบริษัทเล็ก ๆ ที่ไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากนัก ชื่อเสียงไม่ได้โด่งดัง แถมยังยังมีพนักงานไม่กี่สิบชีวิตที่กินเงินเดือนที่นี่แต่ด้วยความสะดวกในการเดินทาง บวกกับสภาพแวดล้อมการทำงานที่ฉันสัมผัสได้ว่าผู้คนในบริษัทนี้เป็นมิตรและใจดีกับเด็กฝึกงานอย่างฉันจริง ๆ ไหนจะการสอนงานที่เป็นกันเอง การให้ลงมือทำงานมากกว่าเดินเอกสาร ฉันเลยมองว่าการเลือกลงฝึกงานที่บริษัทนี้ถือว่าเป็นโชคดีของตัวเองมากเลยทีเดียว“ป่าน! ป่านจ๊ะ พี่นุ้ยโทรมาน่ะ บอกว่าลืมเอกสารอยากให้ป่านเอาไปให้ด่วนเลย!”เสียงหนึ่งของพี่ที่ทำงานเอ่ยแทรกขึ้นตามมาด้วยท่าทางร้อนรนตรงปรี่เข้ามาหาฉัน“เอกสารอะไรเหรอคะ”“เอาไปคุยเองนะ นี่จ้ะพี่นุ้ยถือสายอยู่”ฉันรับโทรศัพท์มาจากมือของคนตรงหน้า ครั้นแนบกับหูก็ได้ยินน้ำเสียงกระวนกระวายที่ดังผ่านมาจากเครื่องมือสื่อสารในทันที[ป่านจ๊ะ ช่วยเอาเอกสารภาษีของบริษัทไทรอัมพ์มาให้พี่หน่อยได้
บทที่ 45พลาด“กล่อมเด็กเข้านอนเรียบร้อยแล้วเหรอครับ”เมื่อไตรพัฒน์เดินเข้ามาในห้องทำงาน เสียงของมือขวาคนสนิทก็ไม่วายเอ่ยแซวอย่างขบขัน นัยน์ตาพราวเป็นประกาย จนคนที่ถูกถามเป็นต้องรีบปั้นหน้านิ่งขรึมพร้อมกับกดสายตาดุส่งไปให้“ไอ้ตุลย์ไปถึงหรือยัง”“อ้าว นายยังไม่ตอบคำถามผมเลยนะครับ” มารุตเลือกที่จะถามต่อ น้ำเสียงหยอกเย้าไม่เกรงกลัวในอำนาจของผู้เป็นนาย เพราะทำงานด้วยกันมานานหลายปี การได้เห็นนายตัวเองกล่อมเด็กสาวคนโปรดเข้านอนก็นับว่าเป็นเหตุการณ์ที่น่าเก็บภาพเป็นที่ระลึกไว้มากที่สุด“ไอ้รุต!” ไตรพัฒน์ตวัดสายตาดุดันให้กับมือขวา ทั้งที่เปลี่ยนเรื่องเข้าสู่งานในค่ำคืนนี้แล้วก็ยังไม่วายไล่ต้อนเขาถึงสิ่งที่ไม่เคยทำอย่างการง้องอนเด็กในปกครองแต่เขาก็ทำมันไปแล้วจริง ๆ นั่นแหละ...“โอเคครับ ไม่พูดแล้วครับ ตอนนี้คุณตุลย์ไปรอยังจุดนัดหมายแล้วครับนาย คนของเรารายงานว่าอีกสิบนาทีลูกค้าก็จะเดินทางมาถึง” มารุตยกมือปิดปากตัวเองเมื่อได้ยินน้ำเสียงเข้ม ๆ ของนายที่แสดงออกว่าไม่มีทีท่าจะเล่นด้วย จากนั้นถึงได้วกกลับเข้าเรื่องการส่งสินค้าที่เขาได้มอบหมายให้ตุลธรผู้เป็นน้องชายจัดการ“แล้วเรื่องหนอนมึงคิดว่าใคร”
บทที่ 44เลี้ยงส่งวันสุดท้ายของการเป็นนักศึกษาฝึกงานไม่มีภาระความรับผิดชอบใด ๆ นอกเหนือจากการเลือกร้านอาหารให้กับหัวหน้าสาวเลี้ยงอำลาก่อนจะแยกจากกันเมื่อถึงเวลาเลิกงานเหล่าพนักงานออฟฟิศก็รวมตัวกัน โดยมีการนัดหมายและจุดหมายปลายทางเป็นสถานที่เดียวกันก็คือร้านอาหารไม่ใกล้ไม่ไกลจากบริษัท จุดประสงค์ก็เพื่อเป็นการเลี้ยงส่งน้องเล็กสุดอย่างสายป่านที่จะไม่ได้มาทำงานที่บริษัทอีกต่อไปแล้ว“โห พี่นุ้ย...สั่งอาหารไว้รอแล้วเหรอคะเนี่ย”ทันทีที่เดินเข้ามาในห้องอาหารที่ถูกจองไว้ล่วงหน้าก็เป็นต้องตกตะลึงเบิกตากว้าง ไม่คิดว่าหัวหน้าสาวที่สนิทสนมกันจะเลือกจองห้องรับรองพิเศษเพื่อความเป็นส่วนตัว อีกทั้งยังสั่งอาหารไว้ล่วงหน้าที่ตอนนี้กำลังวางเรียงรายอยู่เต็มโต๊ะจนเธอตาลายไปหมด“ระดับพี่นุ้ยไม่ธรรมดาอยู่แล้วแหละป่าน” เสียงจากทางด้านหลังซึ่งเป็นของหนึ่งในพี่ที่ทำงานที่เธอเองก็สนิทสนมด้วยเช่นกัน“ใช่จ้ะ เลี้ยงส่งป่านทั้งทีนี่นา ป่านน่ะเป็นเด็กฝึกงานคนแรกของบริษัทเราเลยนะ แถมพี่เองก็ทั้งรักทั้งเอ็นดู นี่ยังเสียดายเลยที่ครบกำหนดฝึกงานแล้ว ไม่งั้นพี่จะขอให้บอสทำสัญญาว่าจ้างต่อนะเนี่ย”“โอ๊ย อย่าเพิ่งพูดกันเลย
บทที่ 43ระบายอารมณ์ฉันเดินไปเดินมาภายในตัวบ้านเนื่องจากเป็นห่วงและไม่รู้ว่าคุณไตรจะเป็นยังไงบ้าง หลังจากที่เขาเก็บตัวอยู่ในห้องทำงานหลายชั่วโมง ก็มีเพียงพี่มารุตคนเดียวเท่านั้นที่สามารถเข้าไปได้ ลองสอบถามจากพี่มารุตตอนที่เขาเดินออกมาก็ได้รับเพียงการส่ายหน้า นั่นเลยทำให้ฉันเลือกที่จะรอคอยเขาอยู่ด้านล่าง และหวังให้เขากลับมาเป็นตัวของตัวเองได้ในไม่ช้าเหตุการณ์ในวันนี้นับว่าเป็นเรื่องใหญ่สำหรับบริษัทไทรอัมพ์มาก นอกจากจะพลาดการร่วมหุ้นกับนักธุรกิจคนสำคัญแล้ว เขายังถูกหยามหน้ากับบริษัทคู่แข่งที่หวังแย่งชิงพื้นที่ทางธุรกิจอีกด้วยแล้วสิ่งที่เจ็บช้ำที่สุดที่ทำให้คุณไตรเดือดดาลมากขนาดนี้ก็คงไม่พ้นเรื่องข้อมูลที่ถูกเผยแพร่ออกไป พอรู้ว่าเขาไม่ได้พูดเรื่องนี้กับใคร หากแต่มันหลุดรอดถึงอีกฝ่ายจนถูกตัดหน้าแก่งแย่งแบบนี้ มันเลยทำให้คิดเป็นอื่นไม่ได้เลยว่าเขากำลังถูกหักหลังจากคนที่เป็นหนอนแฝงตัวและสิ่งที่ทำให้ฉันสะท้อนใจก็คือเรื่องนี้...หากฉันคิดร่วมมือเป็นนางนกต่อหวังพรากชีวิตของเขา ฉันก็ไม่ต่างจากหนอนบ่อนไส้ดี ๆ นี่เอง!“ผมว่าคุณไปหาอะไรรองท้องสักหน่อยน่าจะดีนะครับ นั่งรอแบบนี้มันก็ไม่มีอะไรดีข
บทที่ 42ปาดหน้าเค้กSAIPAN’S PART ;บรรยากาศตอนเช้าของบ้านหลังใหญ่ตกอยู่ในความวุ่นวายที่มีกำลังชายชุดดำมากกว่าเดิมสองเท่า เนื่องจากวันนี้เป็นวันที่คุณไตรจะต้องออกไปดีลกับหุ้นส่วนคนใหม่ที่จะร่วมหุ้นกันในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า“หล่อแล้วค่ะ” ฉันเอ่ยพร้อมรอยยิ้มหลังจากที่จัดแจงสวมใส่ชุดสูทราคาแพงให้กับคุณไตร เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับนัดหมายในไม่ช้า“ยังเจ็บอยู่หรือเปล่า” เสียงทุ้มเอ่ยถามกันอย่างอ่อนโยน ขณะที่มือใหญ่ก็ค่อย ๆ ประคองสัมผัสที่ผ้าพันแผลจากการถูกยิงบริเวณต้นแขนของฉันอย่างเบามือหลังจากที่คุณไตรพาฉันกลับมาที่บ้านหลังใหญ่ของเขา เขาก็เรียกหาหมอรินให้มารักษาเป็นการด่วน แต่โชคดีมากที่กระสุนไม่ได้ฝังเข้าสู่เนื้อกาย บาดแผลแค่ฉีกเล็ก ๆ เท่านั้น ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลที่เกิดขึ้นล้วนแต่เป็นความตั้งใจของคนอีกฝ่ายทุกอย่าง“นิดหน่อยค่ะ” ฉันตอบและหลบสายตาลงเพราะไม่อาจหาญพอที่จะมองหน้าเขาได้ตอนนี้รู้สึกอับอายไม่กล้าสู้หน้า ทั้งยังสับสนวุ่นวายจนไม่รู้เลยว่าหลังจากนี้มันจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของตัวเองความจริงที่ถูกเปิดเผยว่าพี่สาวที่หลงเหลืออยู่ในชีวิตนั้นเป็นมือปืนหวังพรากชีวิตคนที่ฉันเผลอมอบควา
บทที่ 41เหยื่อล่อ (2)พลั่ก!“อ๊ะ!” สายป่านร้องขึ้นเมื่อร่างสูงใหญ่ของชายชุดดำผลักให้เข้ามาด้านในโกดังมืดทึบ จนร่างกายล้มลงกระแทกกับพื้น“เฮ้ย เบาหน่อยสิวะ เดี๋ยวน้องเขาก็ระบมหมด” ผู้เป็นนายที่เดินตามมาเอ่ยปราม หากแต่แท้จริงกลับยิ้มหยันพอใจ และไม่ได้มีท่าทีตำหนิคนของตัวเองเลยสักนิด“อย่ามายุ่งกับน้องสาวฉัน!” เส้นด้ายรีบวิ่งเข้ามาผลักคนตัวใหญ่ออกห่าง ก่อนจะตรงปรี่เข้ามาประคองรั้งร่างกายน้องสาวของตัวเองเอาไว้ เพราะไม่ต้องการให้ใครหน้าไหนมาแตะต้องทั้งนั้น“อ้อ...พี่สาวของหวงซะด้วย มึงก็ระวังหน่อยสิวะ ผลักเขาล้มแบบนั้นเกิดผัวน้องเขามาเล่นงานกูจะทำยังไง” เรย์ยียวน รอยยิ้มเหยียดหยันเมื่อเห็นสองพี่น้องมองเขาด้วยความจงเกลียดจงชัง และคนที่พูดถึงก็ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากไตรพัฒน์ที่หวงแหนผู้หญิงคนนี้ยิ่งกว่าอะไร“ต้องการอะไรคุณเรย์ ทำไมต้องเอาน้องสาวของฉันเข้ามาเกี่ยวด้วย!” เส้นด้ายหันไปประจันหน้า น้ำเสียงตวาดกร้าวดังแผดลั่นทั้งหยาดน้ำตาที่ไหลหลั่งหมับ!“ก็เพราะน้องของเธอมันเป็นเหยื่อล่ออย่างดีน่ะสิ!” ร่างสูงให้คำตอบและเดินเข้ามาดึงรั้งเส้นด้ายให้แนบชิด มือใหญ่คว้าหมับที่ใบหน้าสะสวยของเธอ ออกแรง
บทที่ 40เหยื่อล่อ (1)“เจ็บหรือเปล่า ถ้าเจ็บบอกฉันนะป่าน” เสียงทุ้มนุ่มหูเอ่ยบอกอย่างอ่อนโยน ขณะที่มือใหญ่ก็บรรจงกดสำลีชุบยาแนบไปกับแผลถลอกตามขาเรียว“ไม่เจ็บเลยค่ะ” สายป่านส่ายหน้าพลางยิ้มออกมาบาง ๆเธอไม่ได้เจ็บกับบาดแผลเลยสักนิด กลับกันเธอเจ็บปวดในหัวใจเสียมากกว่า…หลังจากที่ไตรพัฒน์พาเธอกลับมาที่บ้าน เขาก็จัดการทำแผลให้เธอเองกับมือ ทั้งยังบอกกับนุ้ยหัวหน้างานให้แล้วด้วยว่าสายป่านเกิดอุบัติเหตุจนต้องขอตัวกลับก่อนด้วยเหตุนั้นสายป่านถึงต้องรีบส่งข้อความไปขอโทษขอโพย ทั้งยังถ่ายรูปบาดแผลเล็ก ๆ ไปยืนยันอีกแรง เนื่องจากกลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่พอใจที่ไม่ยอมบอกโดยตรง แต่สิ่งที่นุ้ยตอบกลับมาล้วนแต่มีความเป็นห่วงเป็นใย ทั้งยังอนุญาตให้ลางานได้ในวันพรุ่งนี้ สายป่านเลยคลายกังวลไปได้อีกหนึ่งเรื่อง“ทำไมเธอถึงไปเจอกับมันได้ล่ะ คนของฉันบอกว่าเธอเดินเข้าไปหามันเอง” มาเฟียหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองด้วยความแปลกใจ นัยน์ตาคมเข้มแต่ไม่มีการตำหนิใด ๆ เลยสักนิด ทว่ามันกลับทำให้สายป่านร้อนรุ่มจนแสดงท่าทีกังวลออกมา“อึก! ปะ...ป่าน ป่าน...”“ตอนแรกคนของฉันมันรายงานว่าเธอน่าจะรู้จักกับมัน เพราะเห็นจับมือพูดคุยกันด้วย
บทที่ 39ผิดแผน“พี่นุ้ยจะเอาอะไรคะ เดี๋ยวป่านไปสั่งให้ค่ะ” สายป่านถามหลังจากที่เดินเข้ามาด้านในร้านกาแฟพร้อมกับหัวหน้าที่ดูแลการฝึกงาน“อืม...เอาอะไรดีนะ เอาเลมอนโซดาดีกว่า เบื่อพวกกาแฟแล้ว อะนี่จ้ะ เอาเงินนี่จ่ายนะ ป่านเองก็สั่งมาด้วยเลย” ครุ่นคิดรายการที่จะสั่งไม่นานก็ตัดสินใจได้ เธอหยิบธนบัตรส่งให้กับเด็กสาว พร้อมกับกำชับให้สั่งเครื่องดื่มมาด้วยกัน เนื่องจากรู้ดีว่าจะต้องได้รับการปฏิเสธกลับมาเช่นทุกครั้ง“เลี้ยงป่านอีกแล้วง่า พี่นุ้ยอย่าใจดีนักสิคะ ถ้าป่านฝึกงานเสร็จแล้วป่านคงใจหายแย่ที่จะไม่ได้เจอหัวหน้าใจดีแบบพี่นุ้ยอีก” สายป่านส่งสายตาอ้อน หากแต่คำพูดที่เอื้อนเอ่ยล้วนออกมาจากหัวใจทั้งสิ้น“พี่ต่างหากที่ใจหาย นี่ก็เหลืออีกไม่ถึงเดือนแล้วด้วย เฮ้อ...ฝึกงานเสร็จแล้วก็มาสมัครที่นี่ได้นะป่าน บริษัทเรายินดีต้อนรับเสมอ”“โหย ป่านนี่เด็กเส้นดี ๆ นี่เอง”“แน่นอนสิ บอกไปเลยนะว่าเป็นเด็กพี่นุ้ย ไม่มีใครกล้าแหย็มแน่!”“คิก ๆ ป่านไปสั่งเครื่องดื่มดีกว่า พี่นุ้ยไปนั่งรอที่โต๊ะก่อนนะคะ เดี๋ยวป่านเอาไปเสิร์ฟให้ถึงที่เลย” หญิงสาวส่งยิ้มร่าก่อนจะเดินแยกไปยังเคาน์เตอร์เครื่องดื่ม และเลือกสั่งตามร
บทที่ 38หุ้นส่วนหลายวันผ่านไปหลังจากที่รักษาตัวจนร่างกายหายเป็นปกติ ไตรพัฒน์ก็ให้ความสนใจกับเนื้อหางานต่อทันที ซึ่งในวันนี้เขาได้นัดหมายให้น้องชายเข้ามาหาที่บริษัท เนื่องจากมีธุระสำคัญที่จะต้องพูดคุยกันโดยด่วน รวมถึงมารุตเองก็เป็นหนึ่งในคนสำคัญที่มีส่วนเกี่ยวข้องในวันนี้ด้วยเช่นกันไตรพัฒน์เข้ามาในห้องทำงานพร้อมกับมือขวา กระทั่งเห็นว่าตุลธรได้มานั่งรอที่ห้องแห่งนี้ก่อนแล้วเรียบร้อย แม้ว่าเนื้อหางานในวันนี้จะเป็นงานสำคัญ อีกทั้งตุลธรเองก็ไม่มีหน้าที่ใด ๆ กับส่วนนี้ แต่ไตรพัฒน์เองก็ยังคงหวังในภายภาคหน้าว่าเขาจะดันตุลธรขึ้นนั่งในตำแหน่งสำคัญแทนตัวเอง“มึงทำหน้าแบบนั้นหมายความว่าไง” ไตรพัฒน์นั่งลงบนโซฟาพลางกดสายตามองไปยังน้องชาย ที่ตอนนี้ทำหน้าเหนื่อยหน่ายราวกับแบกโลกไว้ทั้งใบก็ไม่ปานคนเป็นพี่ชายย่อมรู้ดีว่ามันเกิดจากสิ่งใด แต่ที่เขาต้องถามออกไปนั้นก็เหมือนเป็นการติเตียนและย้ำชัดในสถานะว่าต่อให้แสดงอารมณ์ในรูปแบบไหน เขาก็ไม่มีวันตามใจได้เหมือนเรื่องอื่นตุลธรไม่มีหน้าที่กับงานของบริษัท เหตุเพราะเกลียดขยาดจนแทบไม่อยากเข้าใกล้ คงจะมีก็แต่เรื่องเดียวที่ทำงานได้ดีจนออกปากชมอยู่หลายครั้งนั
บทที่ 37ไม่เคยพอ“คุณไตร...” ฉันพยายามเปล่งเสียงเรียกรั้งให้เขาหยุด หากแต่มันบางเบาและถูกกลืนกลับลงสู่ลำคอดังเดิมเมื่อริมฝีปากฉกฉวยทาบทับซ้ำแล้วซ้ำเล่าสติของฉันถูกพรากให้ดำดิ่งอยู่ในห้วงปรารถนา ลอยล่องไปกับสัมผัสรสจูบไหวหวามของเขาจนไม่อาจกู่กลับได้อีกต่อไปฉันหลับตาพริ้มตอบรับและตอบสนอง ปล่อยตัวปล่อยใจและส่งมอบให้เขาทั้งหมด มือสองข้างยกขึ้นคล้องที่ต้นคอหนา บดเบียดร่างกายให้แนบชิดคลอคลึงหวังเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันริมฝีปากของเราบดคลึงกันเนิ่นนานจนไม่รู้เลยว่าเวลาล่วงเลยไปมากเท่าไร กระทั่งรู้ตัวอีกทีเสื้อผ้าบนร่างกายของตัวเองและเขาได้หลุดหายไปจนหมดแล้วความเปลือยเปล่าถูกกระทบด้วยลมแอร์เย็นฉ่ำ ครั้นสติดวงน้อย ๆ อันเลือนรางถึงได้ย้อนคืนกลับมา จนมันประมวลได้ว่าตอนนี้คุณไตรกำลังเริ่มต้นบทบรรเลงขึ้นแล้ว“คุณไตรไม่ใส่ถุงเหรอคะ” ฉันเอ่ยถามเสียงบางเบา ตอนที่ผงกหัวมองถึงได้เห็นว่าเขากำลังชักรูดลำกายอวบก่อนจะกดจ่อพร้อมสอบกระทั้นที่ปากทาง“อยากสด ได้ไหม?”“ดะ...ได้ค่ะ ป่านกินยาคุมอยู่”“ก็ดี” สิ้นคำตอบเอวหนาก็สอบเข้าหาจนฉันสะดุ้งโหยงแม้ว่าช่องทางจะฉ่ำเยิ้มพร้อมพรักเป็นอย่างดี แต่ด้วยขนาดที่แตกต