บรอลยกคบเพลิงขึ้นสูงกว่าเดิม มองไปรอบด้านด้วยคิ้วขมวด
“ข้าไม่ชอบที่นี่เลย…เสียงลมเหมือนเสียงคนคร่ำครวญ มันผิดธรรมชาติ” วินซ์ถอนหายใจเบา ๆ แล้วบ่น “ก็อย่ามัวฟังสิวะ เดินต่อเถอะ ข้าอยากให้เรื่องนี้จบเร็ว ๆ” ซินหันกลับมาหยุดกะทันหัน นางจ้องหน้าวินซ์ “เจ้าไม่เข้าใจเหรอ? ป่าแบบนี้น่ะ...ถ้าเดินโดยไม่ฟังอะไรเลย มีหวังกลายเป็นศพไวขึ้นสามเท่า” แบร์กตันที่เดินนำอยู่หันกลับมา เสียงเย็นชาของเขาดังกระแทกอากาศ “เลิกเถียง...ทุกเสียงที่ได้ยิน ให้จำไว้ว่า ‘มัน’ ก็ได้ยินเราด้วย” (เพิ่มเติมในฉากโขดหินมีรอยเท้า) เมื่อแบร์กตันก้มตรวจรอยเท้า เขาพึมพำ “นีร่า...เจ้ายังมีชีวิตอยู่สินะ” ซินเดินเข้ามาใกล้เงียบ ๆ แล้วพูดเสียงแผ่ว “ท่านแน่ใจใช่ไหม...ว่าคุ้ม?” แบร์กตันไม่ตอบทันที เขาเพียงแค่มองลึกเข้าไปในความมืดเบื้องหน้า แล้วตอบ “เงือกตัวนี้...มีราคาที่สูงกว่าชีวิตพวกเจ้า รวมกันทั้งลำเรือ” บรอลสอดแทรกขึ้นมา “แล้วถ้ามันลากพวกเราทั้งลำลงทะเลล่ะ?” แบร์กตันหันกลับไปสบตาเขา ดวงตาไม่มีแววลังเล “ก็อย่าให้มันได้โอกาส” ป่าทางตะวันตกของเกาะต้องสาป แสงจันทร์ลอดผ่านเรือนยอดไม้เป็นลำ ๆ สะท้อนบนผิวน้ำขังในโพรงดิน อีธานสาวเท้าช้า ๆ ผ่านพงหญ้า ดาบสั้นเหน็บอยู่ที่ข้างเอว เขาก้มมองแผนที่ฉีกขาดที่เขียนด้วยหมึกจางคล้ายเลือดแห้ง ด้านหลังคือไอล่า — หญิงสาวที่เคลื่อนไหวเงียบราวกับเงา ดวงตาคมของเธอกวาดมองไปรอบ ๆ ไม่ไว้ใจแม้แต่เสียงแมลงกระซิบ > “มันเงียบเกินไป…” นางกระซิบเบา ๆ “ข้าว่านีร่าคงไม่ได้อยู่แถวนี้หรอก อีธาน” อีธานตอบโดยไม่หันกลับ > “นีร่าไม่ใช่แค่หนี — นางกำลัง ‘นำ’ เราไปที่ไหนสักแห่ง” ไอล่าขมวดคิ้ว > “แล้วเจ้าจะเดินตามต่อ ทั้งที่รู้ว่ากำลังถูกล่อ?” > “ก็ถ้าอยากเจอนาง ก็ต้องยอมเสี่ยง” เสียง “แผล่บ...แผล่บ...” บางอย่างดังแว่วมาเบื้องหน้า ทั้งคู่ชะงัก อีธานยกมือเป็นสัญญาณให้หยุด จากนั้นเขาค่อย ๆ ย่อตัวลงซ่อนหลังพุ่มไม้ชื้น เบื้องหน้าพวกเขา... ในแอ่งโคลนกลางป่า มี “บางสิ่ง” กำลังก้มหน้าก้มตากัดกินร่างมนุษย์ที่ขาดวิ่นเเละส่งกลิ่นเหม็นเน่ารุนเเรง ไม่ใช่เพียงตนเดียว... เงือกสามตน — ร่างกายแห้งเกรอะกรัง ผิวหนังแตกระแหงราวกับเกล็ดปลาที่ตายมาแล้วหลายวัน ปลายหางสีดำอมเขียวเปื้อนเลือด พวกมันล้อมซากศพที่ใบหน้ายังเบิกตาค้างอยู่ เล็บแหลมแหวะเนื้อออกเป็นชิ้น ๆ เสียงกระดูกถูกแทะราวกับมันคือของหวานหลังอาหาร ไอล่ากลั้นหายใจ นางจับแขนอีธานแน่นจนเขาสะดุ้งเล็กน้อย > “...นั่นไม่ใช่นีร่า” > “ข้าไม่แน่ใจ...” อีธานกระซิบตอบ “แต่ถ้าใช่...นีร่าเปลี่ยนไปแล้ว” ทันใดนั้น เงือกตนหนึ่งเงยหน้าขึ้น เลือดเปื้อนเต็มปาก มันสูดกลิ่นบางอย่างในอากาศราวกับว่าได้กลิ่นที่เเปลกเเละไม่คุ้นเคย แล้ว...หันมาทางพวกเขา เสียงคำรามต่ำ ๆ ดังจากลำคอของมัน ตามด้วยเสียงอื่นอีกสองตัวแทรกซ้อน ดวงตาขาวขุ่นของพวกมันจ้องตรงมาโดยไม่มีหนังตากระพริบ > “วิ่ง” อีธานพูดเบา ๆ > “ไม่ต้องให้ข้าบอกรอบสอง!” ไอล่ากระชากแขนอีธาน แล้วทั้งคู่ก็ถอยห่างออกมาพร้อมเสียงใบไม้สั่นสะเทือนตามแรงฝีเท้า เสียงกรีดร้องของเงือกตามมาในเงามืด — แหลมสูงและไม่ใช่เสียงของมนุษย์ ป่าทึบทางใต้ของเกาะต้องสาป เสียงฝีเท้ากระแทกดินดัง “ตุบ! ตุบ!” ท่ามกลางใบไม้ที่ปลิวว่อนตามแรงลมและเงาไฟจากคบเพลิงที่ไอล่าถือไว้ > “อีธาน!! ทางนี้!!” เสียงไอล่าดังจากด้านขวา แต่เขาไม่ได้ตอบ... เพราะบางสิ่งกำลังไล่ตามเขาอยู่ — เสียงเนื้อเปียกเฉอะแฉะกระแทกพื้น กับเสียงหอบหายใจกระชั้นถี่ที่ไม่ได้มาจากอกของคนธรรมดา “กรรรร...อ๊ากกกก...” อีธานหันกลับไปชำเลืองเพียงแวบเดียว มันมาใกล้กว่าที่คิด... เงือกกินคน — ร่างผอมแห้งแต่มีกล้ามเนื้อกระตุกราวกับสัตว์คลั่ง เส้นผมยาวเปียกชุ่มพันอยู่กับหน้าที่เปื้อนโคลนและเลือด ริมฝีปากฉีกกว้างเผยเขี้ยวแหลมเรียงซ้อนกันหลายชั้น นัยน์ตาของมันไม่มีสติ...มีแต่ความหิว มันพุ่งใส่อีธานเต็มแรง ผั้วะ! ทั้งสองกลิ้งลงไปในหลุมตื้นกลางพงหญ้า มีดพกของอีธานกระเด็นหลุดมือ เขายกแขนขึ้นกันเล็บของมันที่ฟาดลงมาอย่างไม่ยั้ง > “เจ้าทำบ้าอะไรเนี่ย!!” เขาตะโกน พลางพยายามถีบมันออกไป เงือกคำรามใส่หน้าเขาในระยะไม่ถึงหนึ่งไม้บรรทัด น้ำลายปนเลือดหยดลงบนแก้มเขา มีกลิ่นคาวเหมือนปลาตายหมักมาหลายวัน มันพยายามงับคอเขา — แต่เขาเบี่ยงทัน มือคว้าสิ่งแรกที่ใกล้ที่สุด — ท่อนไม้แหลมปลายแตก เขาแทงมันไปโดยไม่คิด ฉึก! ท่อนไม้เสียบทะลุเข้าทางสีข้าง เงือกกรีดร้องด้วยเสียงสูงที่ไม่ใช่มนุษย์ ร่างมันกระตุกอย่างบ้าคลั่ง มันยังไม่ตาย... อีธานคว้าเอามีดที่หล่นไปข้างตัว เขาพลิกตัวขึ้นมาอยู่ด้านบน จ้องตาสัตว์ประหลาดตรงหน้า > “ข้าขอโทษ...แต่ข้าจะไม่ตายที่นี่” แล้วเขาก็ แทงเข้าตรงคอ เลือดสีคล้ำพุ่งออกมาในพริบตา เงือกชักกระตุกสองสามครั้ง ก่อนร่างจะนิ่งสนิท อีธานทรุดตัวลงนั่งหอบ เสียงหัวใจเขาดังอื้อในหู ไอล่าวิ่งมาถึงพอดี เห็นสภาพตรงหน้าแล้วหยุดกึก > “...เจ้าฆ่ามันแล้ว?” > “มันเริ่มก่อน” อีธานตอบเสียงแหบ “และมันไม่ใช่คน...ไม่อีกแล้ว” เงือกตนนั้นนอนนิ่ง ตาเบิกโพลงขึ้นสู่ท้องฟ้าสีหม่น อีธานยังคงหอบหายใจ ดวงตาเขาจ้องร่างของเงือกที่แน่นิ่งอยู่ใต้เท้า เลือดสีคล้ำไหลเป็นทางลงแอ่งน้ำ แต่สิ่งที่ทำให้เขาไม่อาจละสายตาได้...คือรอยยิ้มสุดท้ายของมัน รอยยิ้มที่ไม่ใช่จากความเจ็บปวด ไม่ใช่จากความบ้าคลั่ง แต่ราวกับมัน “รู้บางอย่างที่เขาไม่รู้” ไอล่าเดินเข้ามาใกล้ ค่อย ๆ นั่งยองลงข้างเขา เธอมองใบหน้าของศพ แล้วพูดเสียงเบา > “นั่นไม่ใช่แค่สัตว์ประหลาด…นั่นเคยเป็นมนุษย์” อีธานเงยหน้ามองเธอ ดวงตาวูบไหว > “เจ้ามั่นใจได้ยังไง?” ไอล่าล้วงเข้าไปในถุงข้างเอว หยิบเอาเศษผ้าที่ขาดวิ่นออกมา — มีลวดลายปักเป็นตราสัญลักษณ์ของหมู่บ้านริมชายฝั่ง > “ข้าเคยเห็นผ้าแบบนี้ที่แคมป์ของนักล่าทะเลแถบชายแดนตะวันออก…ไม่มีทางที่เงือกจะมีของแบบนี้ นอกจาก...มันเคยเป็นพวกเขา” อีธานเงียบงัน เขาค่อย ๆ ยืนขึ้น หยิบมีดที่เปื้อนเลือดขึ้นมาเช็ดกับชายเสื้ออย่างช้า ๆ > “พวกเขากลายเป็นแบบนี้ได้ยังไง…” ทันใดนั้น... เสียงคลื่นเบา ๆ ดังมาจากด้านหลัง — ทั้งที่อยู่กลางป่า ทั้งสองหันขวับ ตรงโคนต้นไม้ใหญ่…มีน้ำซึมไหลออกมาจากดิน เหมือนมีบ่อน้ำใต้ดินแตกขึ้นมา แต่แปลกตรงที่น้ำมัน “ส่องแสงเรือง ๆ สีฟ้าจาง” เสียงเพลงเบา ๆ ดังขึ้นจากที่ไหนสักแห่ง ไม่ใช่เสียงพูด ไม่ใช่เสียงคนร้อง แต่เป็น “เสียงในหัว”…อ่อนหวาน เยือกเย็น และปวดร้าว > “…อย่าไว้ใจเสียงที่เจ้าคิดว่ารู้จัก…” ไอล่าถอยหลังไปหนึ่งก้าว > “อีธาน นั่น...เสียงของนีร่าเหรอ?” อีธานขมวดคิ้ว ดวงตาเต็มไปด้วยคำถาม > “ข้าไม่แน่ใจ…แต่นางต้องการให้เรารู้บางอย่าง” เขากระชับมีดในมือ “และเราต้องหานางให้พบ ก่อนที่คนอื่นจะเจอก่อนเรา เสียงป่าคลื่นไหวอีกครั้ง แผ่นดินเบื้องใต้เริ่มส่งเสียง “กรอบแกรบ” เหมือนมีบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ใต้รากไม้ บางสิ่งกำลังตื่นขึ้น...........เสียงดาบชนดาบ ปะทะกับคำสาปและพลังโบราณท้องฟ้าถูกฉีกเป็นสองขั้วแสงและเงาผสานกันในสมรภูมิครั้งนี้“สงครามแห่งสองโลก…เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น”หลังจากการต่อสู้ที่ดุเดือดจนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าอีธานกับนีร่าและมาริเบล รวมถึงไอล่า ได้หลบซ่อนตัวอยู่ในถ้ำเล็ก ๆ ริมผาเสียงคลื่นกระทบโขดหินเป็นจังหวะช้า ๆ คล้ายกล่อมให้ใจเย็นลงนีร่านั่งลงบนโขดหินขรุขระ มือยังสั่นจากพลังที่ไหลเวียนในตัวผิวเกล็ดเงินยังส่องแสงริบหรี่ในความมืด“ข้าไม่เคยรู้ว่าพลังนี้จะรุนแรงขนาดนี้...” เธอพูดเสียงเบา“ทุกครั้งที่ใช้...มันเหมือนข้ากำลังสูญเสียตัวเองไปทีละน้อย”อีธานนั่งลงข้าง ๆ“ข้าเข้าใจดี...แต่เจ้าไม่ได้อยู่คนเดียว”เขาวางมือทาบลงบนมือของนีร่า“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราจะผ่านมันไปด้วยกัน”มาริเบลเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะพูด“พี่สาว...เรากลัวนะ กลัวว่าเจ้าอาจเปลี่ยนไปจนเราจำไม่ได้”นีร่าหันไปมองน้องสาวด้วยสายตาอบอุ่น“ข้าเองก็กลัว...กลัวว่าจะกลายเป็นสิ่งที่ข้ากลัวที่สุด”ไอล่ายืนเงียบ ๆ ข้างหลัง ก่อนพูดขึ้น“แต่ข้ารู้ว่า...พลังที่เจ้าได้รับ ไม่ใช่คำสาปอย่างเดียว มันคือโอกาส”“โอกาสอะไร?” อีธานถามด้วยความสงสัย“โอกาสที่จ
ขณะเดียวกัน แบร์กตันยืนอยู่หน้าชายฝั่งเขาโยนหินก้อนหนึ่งลงทะเล ไม่กี่วินาทีต่อมา ฟองน้ำจำนวนมากผุดขึ้นและสายลมเย็นผิดธรรมชาติก็พัดมา เขาหัวเราะแผ่วเบา“ข้าไม่ต้องการทองคำอีกแล้ว”“ข้าอยากเป็น...สิ่งที่ไม่มีวันตาย ใต้ท้องทะเล…” คืนแรม...ลมเย็นจนทะลุผิวกระดูกบนฝั่ง ม่านหมอกบาง ๆ คลุมผืนทรายราวผ้าขาวคลุมศพอีธานสะดุ้งตื่นเสียงอะไรบางอย่างดังจากริมหาดแอ่ด...เสียงโซ่ครูดพื้นหินเสียงหายใจลึกเหมือนจากปอดของสัตว์ที่ไม่เคยหายใจบนบกเขาคว้าดาบทันที“นีร่า?”ไม่มีเสียงตอบเขาวิ่งออกมานอกถ้ำและภาพตรงหน้าทำให้หัวใจเขาชะงักกลางหมอกหนามีเงาร่าง 3–4 ตน สูงโปร่ง ผิวซีดเหมือนเปลือกหอยพวกมันเดินช้า ๆ บนทรายเสียงก้าวแต่ละก้าวลากเหมือนขาไม่มีพละกำลังแต่ในดวงตา — ไม่มีแววชีวิตใด ๆพวกมัน...ไม่ใช่เงือกธรรมดา เงือกพวกนี้มีรอยเย็บตามข้อมือเหมือนถูกฝังและเย็บปิดปากกว้างกว่าปกติ และเต็มไปด้วยฟันแหลมที่ไม่ควรอยู่ในร่างเงือกอีธานก้าวถอยหลังอย่างเงียบเชียบ แล้วทันใดนั้น — พวกมันหันขวับมาทางเขา“เราต้องหนี!” เขาตะโกนวิ่งกลับเข้าถ้ำไอล่า กับมาริเบลลุกขึ้นคว้าอาวุธ“เกิดอะไรขึ้น?”“พวกมัน...ขึ้
ภายในคือห้องกลวงขนาดใหญ่มีแคปซูลแก้วโบราณเจ็ดใบเรียงอยู่กลางห้องภายใน…คือร่างของเงือกอีกเจ็ดตน — ที่อยู่ในสภาพกึ่งหลับ กึ่งตื่นร่างพวกมันไม่เน่า ไม่ชรามีร่องรอยการดัดแปลงร่างกายคล้ายกับนีร่า แต่รุนแรงกว่าหลายเท่าเสียงในหัวเธอดังขึ้นอีกครั้ง“เลือดของเจ้า…คือสิ่งสุดท้ายที่ขาดไป”“พวกเรา...จะตื่นอีกครั้ง”นีร่าก้าวถอยหัวใจเธอเต้นแรงคำถามคือ…เธอควรจะ “ปลุก” พวกนี้จริง ๆ หรือไม่?เสียงก้องในหัวของเธอเบาลง จนเหลือเพียงคำเดียว “...เลือก...”เสียงจากใต้ทะเลเงียบลงนีร่าค่อย ๆ ว่ายออกจากห้องโบราณที่ฝังอยู่ใต้ผืนน้ำหัวใจยังเต้นแรง…แต่ครั้งนี้เป็นเพราะความหวั่นไหว ไม่ใช่ความกลัวในหัวเธอมีคำถามเต็มไปหมด"พวกเขาคือเผ่าพันธุ์ของข้า...หรือคือฝันร้ายของข้า?""ข้าควรปลุกพวกเขาไหม...หรือปล่อยให้สิ่งเหล่านั้นตายไปตามกาลเวลา?"เธอไม่ได้ให้คำตอบเธอเลือกที่จะ "ปิดประตู" นั้น…ชั่วคราวเมื่อกลับขึ้นฝั่งอีธานรีบวิ่งเข้ามาหาเธอทันที“เจ้าโอเคไหม!?”นีร่าพยักหน้าเบา ๆ แต่แววตาเธอยังว่างเปล่าเล็กน้อยเหมือนคนที่กลับมาจากการเห็นบางสิ่ง…ที่ไม่ควรมีอยู่ในโลกนี้เธอไม่พูดถึงห้องนั้นไม่พูดถึงเงือกเจ็ดตน
เสียงดังจากข้างใน มาริเบลวิ่งออกมา พร้อมไอล่า“อย่าเข้าใกล้นาง” ไอล่ากัดฟันแต่ช้าไปแบร์กตันสะบัดมือทหารกลุ่มหนึ่งโผล่จากป่า กระชับปืนหอกทะเลในมือเขาไม่ได้มาคนเดียว... เขาวางแผนไว้ตั้งแต่ต้น ในกระท่อมนีร่าสะดุ้งตื่น ดวงตาเธอยังแดงเรืองนิด ๆเธอรู้...พลังของเธอเรียกใครบางคนมาเสียงของแบร์กตันดังลอดเข้ามา “นีร่า — ออกมาเถอะ ข้าไม่ใช่ศัตรูของเจ้า ข้าแค่ต้องการให้เจ้าช่วย...แบ่งเลือดของเจ้าให้ข้าสักหยด”“แค่นั้นจริง ๆ ข้าสาบาน”นีร่าลุกขึ้นช้า ๆเธอรู้ดี...เขาโกหกสายตาแบบนั้น แววโลภแบบนั้น — ไม่มีใครหยุดเพียงแค่ “หยดเดียว”นีร่าเดินออกมาเธอยืนต่อหน้ากัปตันแบร์กตันดวงตาเธอยังคงมีลายสีเงินอ่อน แผ่นผิวบนแขนยังเผยเกล็ดบาง ๆ“เจ้ากลัวตายงั้นหรือ?” เธอถามเบา ๆแบร์กตันหัวเราะ“ไม่ใช่กลัว...แค่เบื่อการรอคอยอย่างไม่มีจุดจบ”เธอเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนพูดเรียบ ๆ“ข้าไม่ให้เลือดข้าแก่คนที่เห็นชีวิตเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน”“ข้าเกิดมาเพื่อหยุด...ไม่ใช่ส่งต่อมัน”แบร์กตันขมวดคิ้ว“งั้นข้าจะเอาเลือดเจ้าด้วยตัวข้าเอง”เขาดึงมีดออกจากข้อมือ — และทหารทั้งหมดกรูก้าวหน้าอีธานร้อง “นีร่า อย่า!”แต่สายไ
กลับสู่ปัจจุบันนีร่าผงะออกจากแท่นหิน ดวงตาเธอเปลี่ยนกลับเป็นปกติ แต่น้ำตาไหลอาบแก้ม“ไม่...ข้าไม่อยากเป็นแบบนั้น” เธอกระซิบ “ข้าไม่อยากฆ่าใคร...ไม่อยากกลายเป็นสัตว์ร้าย”อีธานประคองเธอแน่น “เจ้าคือเจ้าคนเดิม นีร่า...เราเลือกทางเดินของตัวเองได้”ชายชราเพียงเงียบ ก่อนเดินไปยังผนังด้านหลัง เขาดึงแผ่นศิลาออก เผยให้เห็น ตราประทับสุดท้าย — รูปเกล็ดเงือกสีเงินไขว้กับเลือดสีแดง“เลือดเจ้าคือประตูสุดท้ายที่จะเปิดพลังของ ‘อาทรามา’”“แต่หากเจ้าปิดมันด้วยตนเอง — เจ้าจะสูญเสียพลังทั้งหมด... กลายเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา”นีร่าก้มหน้าสั่น “ข้าต้องเลือกระหว่าง ‘เป็นตัวข้า’ หรือ ‘เป็นสิ่งที่ไม่อาจควบคุมได้’...”มาริเบลเดินเข้ามาจับมือพี่สาว“ไม่ว่าพี่จะเลือกอะไร ข้าก็จะอยู่กับพี่...จนกว่าจะถึงที่สุด”เสียงจากเบื้องบนเริ่มดังขึ้นอีกครั้งแสงไฟจากตะเกียงและเสียงรองเท้าเหล็กกระทบพื้นหินสะท้อนเข้ามาในอุโมงค์กองทหารของเจ้าชายเฟอเรส...อีธานหันมามองทุกคนเสียงฝีเท้าเริ่มใกล้เข้ามาทหารของเจ้าชายเฟอเรสกำลังเข้าประชิดอุโมงค์ใต้พระราชวัง พวกอีธานไม่มีเวลาอีกแล้วนีร่ายืนหน้าตรงต่อหน้าตราประทับสุดท้ายเธ
บรรยากาศในวิหารใต้ดินเงียบงันจนได้ยินเสียงลมหายใจของทุกคนชัดเจนแสงจากลวดลายโบราณบนพื้นค่อย ๆ จางลง ทิ้งไว้เพียงแสงสีน้ำเงินสลัวจากแท่นศิลาเบื้องหน้านีร่ายืนเซเล็กน้อย เธอรู้สึกเหมือนร่างกายเบาหวิว แต่ขณะเดียวกันกลับร้อนรุ่มภายในอีธานพยายามประคองเธอ “เจ้าไหวไหม?”“เหมือนข้า...ได้ยินเสียง...” นีร่ากระซิบ ดวงตาของเธอกำลังเปลี่ยนเป็นสีฟ้าเรืองแสงจาง ๆ โดยที่เธอไม่รู้ตัวมาริเบลเบิกตากว้าง “ตาของเจ้า...นีร่า...เหมือนตาของแม่เราในคืนสุดท้าย...”ทันใดนั้นเอง เสียงบางอย่างดังขึ้นจากมุมมืดของวิหารเสียงฝีเท้าเก่าแก่... และเงาหนึ่งปรากฏออกจากหลังเสาหินชายชราผิวซีดในผ้าคลุมสีดำเดินออกมาช้า ๆ ดวงตาเขาขุ่นมัวคล้ายคนมองทะลุอดีตมาหลายร้อยปี“ในที่สุด... นางก็ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง”ทุกคนชะงัก“เจ้าคือใคร?” ไอล่าถาม มือแตะดาบอย่างระวังชายชราไม่ตอบคำถามตรง เขาจ้องนีร่าแน่นิ่งก่อนพูดเสียงแผ่ว “เงือกแห่งคำสาป...เงือกที่ถูกสร้างขึ้นจากเลือดของราชาและคราบเกลือพันปี”นีร่าถอยหลังไปก้าวหนึ่ง หัวใจเธอเต้นแรงจนรู้สึกชาไปทั้งร่าง“ข้า...ไม่เข้าใจ” เธอพูดเบา ๆชายชราก้าวเข้าใกล้แท่นศิลาเขาวางมือลงบนตราสัญลั