กลุ่มของกัปตันแบร์กตัน ใน ป่าลึกของเกาะต้องสาป
คบเพลิงเปลวสีส้มสาดเงาบิดเบี้ยวบนลำต้นไม้รอบข้าง เสียงใบไม้แห้งกรอบใต้เท้าทำให้บรรยากาศเงียบงันดูอึดอัดยิ่งขึ้น กัปตันแบร์กตันเดินนำหน้า ร่างสูงของเขากดอากาศให้แน่นตึงราวกับแรงกดดันจากทะเลลึก ซินเดินตามติด ส่วนบรอบลากขวานใหญ่ติดพื้นอย่างไม่ตั้งใจ ไม่มีใครพูดอะไร...จนกระทั่งเสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างแผ่วเบา > “...เดร็กซ์ไปไหน?” ซินหยุดเดิน ดวงตาเหลือบไปมองรอบตัว > “เมื่อกี้ยังเดินตามอยู่…ข้างหลังเจ้า บรอล บรอลเงยหน้าอย่างงุนงง > “ข้า...คิดว่าเขาเดินล้าหลังอยู่นะ” แบร์กตันชะงัก ฝีเท้าหนักของเขาหยุดลงทันที > “หยุดทุกคน” เสียงของเขาเด็ดขาดเย็นยะเยือก กลุ่มโจรสลัดหันมามองกันและกัน > “ใครเห็นเดร็กซ์ครั้งสุดท้าย?” แบร์กตันถามช้า ๆ น้ำเสียงต่ำแต่กดดันราวกับลมพายุก่อนคลื่นซัด ความเงียบกลืนกลุ่มลงชั่วขณะ บรอลเป็นคนแรกที่พูด > “ตอนเราผ่านแนวหินด้านหลัง...เขาหยุดฉี่” ซินหันขวับ > “แล้วทำไมเจ้าไม่รอเขา!?” > “เพราะข้าไม่คิดว่าเขาจะ ‘หายตัว’!” เสียงถกเถียงเริ่มดังขึ้น แต่แบร์กตันไม่สน เขาหันหลังทันที ก้าวยาวกลับไปทางที่มา ในมือขวา เขาคว้าดาบออกมาอย่างช้า ๆ ใบมีดสะท้อนแสงไฟเป็นประกายวาว > “ตามมา…ตอนนี้” --- กลุ่มรีบเดินย้อนกลับมาทางเดิม แต่ไม่เจอแม้แต่เงาของเดร็กซ์ ไม่มีเสียง ไม่มีร่องรอย นอกจาก...รอยเลือดหยดบนโคนต้นไม้ต้นหนึ่ง ซินชะโงกดูใกล้ ๆ พลางกระซิบ > “เลือดสด...เพิ่งหยดได้ไม่นาน” ซินก้าวไปใกล้ต้นไม้ใหญ่ เปลือกไม้แตกร้าว มีรอยคล้ายถูกข่วนลึก > “กัปตัน...” เขาพูดเบา ๆ “ต้นไม้นี่...ดูเหมือนกลืนอะไรบางอย่างเข้าไป” แบร์กตันจ้องลำต้นไม้เงียบ ๆ ราวกับเงาของบางสิ่งเคลื่อนไหวอยู่ ใต้เปลือกไม้ แล้ว... > “ฉึก!!” เสียงบางอย่างแทงทะลุออกมาจากลำต้น เศษเปลือกไม้กระเด็น เงาดำคล้ายแขนเหี่ยวแห้งยื่นออกมาเกือบแตะชายเสื้อของซิน ซินกรีดเสียง > “ถอย! มันยังอยู่ตรงนี้!!” บรอลกระชากคบเพลิงทิ่มใส่แขนนั้นโดยสัญชาตญาณ เปลวไฟเผากิ่งไม้แตกเสียงดัง “ปะปะ!” แต่เงานั้นก็ดึงกลับหายไปในต้นไม้ทันที เหมือนไม่เคยมีอยู่ เสียงบางอย่างดัง กลืนน้ำลายช้า ๆ จากส่วนลึกของลำต้น > “กรรร...” บรอลถอยหลังพร้อมขวานในมือ > “นี่มันไม่ใช่เกาะธรรมดาแล้วจริง ๆ ใช่ไหมกัปตัน...” แบร์กตันยังจ้องลำต้นนิ่ง ริมฝีปากขบแน่น > “มันพรางตัวอยู่กับป่า...มันไม่ได้ล่าเราแค่ตัวเดียว แต่มันจ้องเราทุกฝีก้าว” เขาหันกลับไปยังกลุ่ม > “จากนี้ไป ทุกคนอย่าแยก อย่าหยุด อย่าไว้ใจสิ่งที่ดู ‘นิ่ง’ หรือ ‘ไม่มีชีวิต’” --- ลมวูบหนึ่งพัดผ่าน พร้อมเสียงกระซิบจากต้นไม้รอบตัวที่เหมือนกำลัง หัวเราะแผ่ว ๆ และกลิ่นบางอย่าง...คล้ายเนื้อไหม้...ลอยตามลมมาแตะปลายจมูก ซินหันไปกระซิบ > “ข้าสาบานได้ว่า...มันไม่ได้ต้องการแค่เลือด” แบร์กตันไม่ตอบ เขามองตรงไปยังความมืดเบื้องหน้า ก่อนเอ่ยเสียงเบาราวคำรำพึง พงไม้ด้านหน้าหายไปชั่วขณะ เผยให้เห็นช่องว่างของแนวป่า แบร์กตันชูมือขึ้นให้ทั้งกลุ่มหยุด > “ข้างหน้า...มีอะไรบางอย่าง” พวกเขาทั้งหมดหยุดลมหายใจ ซินขยับเข้าใกล้ ดึงธนูสั้นออกจากหลัง บรอลยกขวานขึ้นแนบไหล่ ไฟจากคบเพลิงของซินสั่นไหวเมื่อสายลมพัดสวน จากช่องว่างของต้นไม้ พวกเขาเห็น ซากเรือพังยับเยิน ท่ามกลางโคลนหนืดและเศษซากผุพัง ชื่อเรือที่ยังพอมองเห็น — “ เเบลควัลเชอร์ > “เรือลำนั้น...” ซินพูดเสียงสั่น “...หายไปเมื่อ5ปีก่อน…ไม่มีสัญญาณ ไม่มีซาก ไม่มีใครรอด” บรอลสบถในลำคอ > “ไม่หรอก…มันไม่ได้หายไป ‘กลางทะเล’ มันจมหายที่นี่ต่างหาก...กลางเกาะนรกนี่” พวกเขาค่อย ๆ ก้าวเข้าไปใกล้เรือ กระดูกสีขาวซีดกองอยู่ตามพื้นดินบางส่วน บางชิ้นยังมีเศษผ้าเปื่อยพันอยู่…เสื้อของลูกเรือ แต่สิ่งที่ทำให้เลือดในกายของทุกคนเย็นวาบก็คือ— ศพหนึ่งยังไม่เน่า มันนอนคว่ำหน้าอยู่ข้างซากเรือ ร่างทั้งร่างเหมือนเพิ่งตายได้ไม่เกินหนึ่งวัน แต่ผิวซีดจนเกือบใส ดวงตากลวงโบ๋เปิดอ้า และรอยยิ้มที่แห้งผากยังคงอยู่บนใบหน้า ซินย่อตัวลง > “ไม่มีบาดแผลภายนอก…” แบร์กตันยืนนิ่ง ก่อนเอ่ยเบา ๆ > “ตายโดยไม่มีการต่อสู้” ซินกลืนน้ำลาย > “เหมือน...เขาอยากตาย” บรอลเหลือบมองรอบตัว > “หรือถูกทำให้ ‘อยากตาย’…” ทันใดนั้น... เสียงลั่นใต้ฝ่าเท้าของบรอล เขาก้มมอง — ใต้โคลนมีบางอย่างฝังอยู่ บรอลใช้ขวานขุดขึ้นมาเบา ๆ ก่อนจะคว้าเศษผ้าที่เปื้อนโคลนออก เป็น ไดอารี่เปียกชื้น เละจนตัวอักษรเลือน แต่ยังพออ่านได้บางหน้า — ลายมือเร่งรีบ สะเปะสะปะ > “...เสียงนั้นอีกแล้ว...” “...พวกเขาเริ่มหัวเราะทั้งที่ไม่มีอะไรตลก...” “...บางคนเดินเข้าป่าแล้วไม่กลับออกมา...พร้อมรอยยิ้ม...” “...ข้าฝันถึงผู้หญิงคนนั้นทุกคืน...ผมสีเงิน หางปลา...” กลุ่มเงียบงันเมื่ออ่านจบ > “นีร่า…” แบร์กตันพูดช้า ๆ น้ำเสียงแหบพร่า > “ข้าคิดว่านางเป็นของมีค่า…แต่นางคือคำสาปของเกาะนี้ต่างหาก” --- เสียง “แกรก” ดังจากแนวป่าหลังกลุ่ม ซินหันขวับ ดึงธนู บรอลรีบจุดคบเพลิงดวงที่สอง แต่ไม่มีใครอยู่ตรงนั้น... ...นอกจาก รอยเท้าคนเปลือยเปล่า ที่เพิ่งเหยียบดินโคลน รอยนั้นเดินวนรอบกลุ่มของพวกเขา ก่อนจะจางหาย...ไปทางทิศเดียวกับเสียงเพลงเบา ๆ ที่เพิ่งเริ่มดังขึ้นอีกครั้ง --- เสียงเพลงนั้น — ไม่ใช่เสียงของลม แต่มันเป็นเสียงของใครบางคน…ที่กำลังเรียก และทุกคนรู้ดีว่า— มันไม่ได้เรียกให้พวกเขา “รอด” > “มันกำลังเล่นกับเรา…”นีร่ากับดรานเดินกันจนขาลาก หอบของไปถามเรือหลายเจ้า กว่าจะได้ข่าวว่า“จะไปหมู่บ้านที่อีธานอาศัยอยู่…ต้องนั่งเรือพ่อค้าอาชิพรุ่งนี้เช้า ค่าที่นั่งคนละสิบเหรียญ ถ้าลงของอีก ก็คิดเพิ่ม…”นีร่าฟังแล้วเหงื่อตก มือควักถุงผ้าดู เหลือเศษเหรียญพอกริบ ๆ แค่พอซื้อข้าวสองมื้อเธอหันไปมองดรานอย่างจนใจ“ทำไงดี…ถ้าไม่มีเงิน ข้าก็ไปต่อไม่ได้…”ดรานเท้าเอวมองนีร่า เหมือนจะรำคาญแต่ก็ถอนใจ“เจ้าก็ร้องไห้ออกมาให้มีไข่มุกสิ ข้าเคยได้ยินว่าพวกเงือกเเบบเจ้าทำได้…เจ้ามีหอยมุกพวกนั้นไม่ใช่รึไง มันใช้เป็นค่าเดินทางได้?”นีร่าหน้าเหวอ“…ข้าจะร้องไห้ตอนนี้ได้ไงเล่า!”“ก็ทำให้มันเศร้า ๆ สิ”นีร่าเดินไปนั่งกอดเข่าตรงบันไดไม้ข้างเพิงร้านค้า พึมพำกับตัวเอง“เศร้า ๆ…เศร้ายังไง…”เธอหลับตาพยายามนึกถึงตอนที่หนีจากทะเล“ข้า…ข้าทอดทิ้งคนที่ข้ารัก…ข้าทำลายคำสัญญา…ฮือ…”เงียบ ไม่มีน้ำตาสักหยดเธอลืมตาขึ้น หน้าบึ้ง“ไม่ออก…”ดรานยืนกอดอกมองอย่างระอา“ลองนึกถึงตอนหิวข้าวดู…”นีร่าเบะหน้า หยิบขนมปังในถุงผ้าขึ้นมาดู เห็นเหลือแค่แผ่นเดียว“ฮือ…ขนมปังแผ่นสุดท้าย…ข้าจะไม่มีแรงเดิน…”น้ำตาเริ่มคลอ ๆ แต่ยังไม่หยดดรานทำหน้าเหมือนจะห
นีร่ายืนอยู่ที่เดิม ปลายเท้าจมลงไปในทรายเปียก ลมหนาวจากทะเลพัดใส่หน้า ดวงตาเธอเหมือนมองไปที่ผิวน้ำ“ถ้าเจ้ามีจริง…ผู้คุมทะเล…ถ้าเจ้ารู้จักข้า…ช่วยบอกข้าที…”เสียงเธอแผ่วเบาทันใดนั้น ลมรอบตัวหยุดนิ่ง คลื่นชะงักไปเหมือนมีบางอย่างสั่งให้สงบเงาสีครามเข้มเริ่มก่อตัวกลางทะเล ม้วนเป็นรูปร่างสูงใหญ่ ดวงตาสีน้ำเงินเรืองแสงราวประกายไฟในพายุดรานที่ยืนอยู่ข้างหลังเธอถอยหลังไปสองก้าว สีหน้าหวาดระแวงเสียงนั้นดังก้องในอากาศ คล้ายไม่ได้ออกมาจากปาก แต่ดังในหัวเธอ“นีร่า…ผู้ที่หลงจากท้องทะเล…”หัวใจเธอกระตุกแรง“เจ้ามาที่นี่เพื่อหนี…หรือเพื่อจดจำ?”นีร่าเม้มปาก ฝ่ามือเย็น“ข้า…ไม่รู้…ข้าแค่…ทนไม่ไหวอีกแล้ว…”เงานั้นยื่นมือที่ทำจากละอองน้ำมาตรงหน้าเธอ “ความทรงจำเจ้ามิได้สูญหาย มันเพียงถูกผนึกไว้…”เธอสั่นหัว น้ำตาซึม“ข้า…ข้าอยากจำ…ต่อให้ต้องเจ็บ…”เสียงทะเลครืนต่ำรอบตัว คลื่นยกตัวขึ้น ล้อมวงรอบเธอเป็นวงแหวน“ถ้าเจ้าพร้อม…จงมองข้า…”นีร่าช้อนตาขึ้นมองดวงตาเรืองแสงคู่ใหญ่ มันลึกจนเหมือนจะกลืนเธอทั้งร่างทันใดนั้น คลื่นวงนอกโถมเข้ามา ทะลุร่างเธอหัวเธอเหมือนถูกฉีกออกเธอเห็นตนเองในน้ำลึก สวมเกล็ดสี
นีร่าเดินไปตามทางดินที่แคบลง ล้อมด้วยพุ่มไม้เตี้ยและรั้วไม้ผุพัง กลิ่นหญ้าแห้งคลุ้งในอากาศหมู่บ้านเล็กๆ เงียบเชียบ มีเสียงสุนัขเห่าอยู่ไกลๆ กับเสียงฆ้อนตอกตะปูดังเป็นจังหวะเธอเดินไปจนถึงลานโล่งหน้าบ้านหลังหนึ่ง ที่มีชายวัยกลางคนกำลังซ่อมเรือลำเล็กชายคนนั้นเงยหน้าขึ้นมอง ร่างสูงใหญ่ ผิวคล้ำกร้านแดด ดวงตาสีเข้มเต็มไปด้วยความระแวง“มองหาใคร?”เสียงแหบต่ำทำให้เธอชะงัก นีร่ากำจี้หอยมุกไว้แน่นจนเจ็บนิ้ว“...เปล่า...ข้าแค่เดินดู...”ชายคนนั้นมองตั้งแต่หัวจรดเท้า เห็นผิวซีด ผมยาวเปียกยุ่ง และแววตาที่ว่างเปล่า“เจ้าหลงมา?”เธอหลบตา ไม่ตอบ“นั่นจี้หอยมุก?”นีร่าเงยหน้าทันที“เจ้า...รู้จักมันหรือ?”ชายคนนั้นถอนใจ วางฆ้อนลงบนขอบเรือ “ข้าแค่เคยเห็นคนชาวเรือมี พวกที่ต้องจากบ้านนานๆ มักให้คนรักไว้...มันคือสัญญา ว่าจะกลับมา”สัญญา...คำนี้เหมือนแทงใจเธอจนเจ็บจี๊ด นีร่าสูดลมหายใจ ลมหายใจที่เหมือนเต็มไปด้วยหนาม“แต่ข้า...จำไม่ได้...”เสียงเธอเหมือนกระซิบ ชายคนนั้นเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเอื้อมมือไปหยิบถังน้ำขึ้นมาวางข้างตัว“จะหาที่พักหรือจะถามข่าวคนในหมู่บ้าน ไปบ้านยายเมรินนั่นแหละ เธอรู้จักคนแถวนี้ดี”
รุ่งเช้า – ริมหาดเงียบสงบ แสงแดดอ่อนสาดลงบนร่างที่นอนนิ่งอยู่ริมฝั่ง เธอค่อยๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาสีฟ้าอ่อนจ้องฟ้าอย่างเลื่อนลอย เส้นผมยาวสีทองพลิ้วไหวไปตามลมทะเล หยักเป็นลอนจากน้ำเค็ม เธอค่อยๆ ยันตัวลุกนั่ง ดวงหน้าสวยละมุนแต่เต็มไปด้วยความว่างเปล่า “…ที่นี่…คือที่ไหนกันแน่” เธอก้มมองตัวเอง ขาทั้งสองข้างเปลือยเปล่าเปียกน้ำเล็กน้อย รอยเกล็ดหางเงือกจางหายไปหมดแล้ว ไม่มีเสียงตอบ มีเพียงเสียงคลื่นเบาๆ กับเสียงลม สายตาเธอเหลือบไปเห็น จี้หอยมุกสีขาวซีด วางอยู่บนผืนทรายข้างตัว ราวกับมันถูกวางไว้ให้เธอ เธอหยิบมันขึ้นมา พลิกดูอย่างลังเล มันดูเก่าแต่แปลกตา เหมือนเป็นของสำคัญอะไรสักอย่าง แต่มันกลับไม่จุดประกายความทรงจำใดๆ เลยในหัวเธอ “…ของใคร…” เธอพึมพำเบาๆ เธอลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ เสื้อผ้าของเธอเป็นผ้าบางคลุมกายเรียบง่ายเหมือนคนหลงทาง ร่างกายเบากว่าที่คิด แต่ในหัวกลับหนักหน่วง เธอไม่รู้ว่าเคยเป็นใคร มาจากไหน หรือใครกำลังรอเธออยู่ รู้แค่…ตอนนี้เธอคือใครก็ไม่รู้ และไม่เหลืออะไรให้เป็นความทรงจำ เสียงคลื่นซัดซ้ำกับฝั่ง เธอกำจี้หอยมุกไว้แน่น หัวใจบีบรัดโดยไม่มีเหตุผล รู้แค่ว่า
จากนั้นมือของเธอที่จุ่มลงในบ่อก็เริ่มร้อนขึ้นจากข้างในแผลเริ่มเปลี่ยนสี จากแดงกลายเป็นฟ้าอ่อน แล้วก็จางหายไปเหมือนละลายเข้ากับน้ำแต่สิ่งที่เปลี่ยนไปไม่ใช่แค่แผล…ร่างของเธอเริ่มส่องแสงอีกครั้ง หางของเธอยาวขึ้นเล็กน้อย ครีบข้างหลังขยายออกเหมือนกำลังคืนสภาพเงือกเต็มตัวเธอหลับตาแน่น รู้สึกถึงบางอย่างในอกที่กำลังเปลี่ยนไปมันไม่ใช่แค่ร่างกาย…มันคือหัวใจเสียงนั้นกลับมาดังอีก> “ตอนนี้…เลือดเจ้าได้รับการชำระแล้ว…เลือดของเงือกจะเข้มข้นขึ้น…เจ้าต้องเลือก…”> “จะอยู่ใต้ทะเลตลอดไป…หรือจะกลับขึ้นไปยังโลกบนบก…ในฐานะมนุษย์…”หัวใจของนีร่ากลับมาเต้นแรงอีกครั้ง—เหมือนกำลังจะระเบิดสองทาง…ไม่มีทางเลือกไหนที่ไม่เสียใจอยู่ใต้ทะเล…ก็ต้องลาจากเขากลับขึ้นบก…ก็ต้องทิ้งตัวตนที่แท้จริงเธอสะอื้นออกมา น้ำตาไหลทั้งที่ไม่มีใครได้ยินเธอนั่งอยู่ตรงนั้นนานมาก นิ่งจนปลาตัวเล็กๆ กล้าว่ายมาเกาะไหล่จากนั้นเธอก็เงยหน้าขึ้น สูดลมหายใจลึก“ข้า…ข้าอยากจะกลับไปหาเขา…แต่…”เธอมองรอบตัว มองทะเลที่โอบล้อมเธอไว้เสมอ“ข้าก็อยากปกป้องที่นี่เหมือนกัน…”มือของเธอสั่น แต่หัวใจกลับนิ่งขึ้น“ข้าขอ…แค่โอกาสได้เลือกอีกครั้ง…”
นีร่าว่ายลึกลงไปเรื่อยๆ จนแสงจันทร์ข้างบนเริ่มหายไปหมด รอบตัวมีแต่ความมืดกับเสียงน้ำโอบล้อม ทุกครั้งที่เธอขยับหาง สีเงินก็วูบวาบอยู่แค่พริบตาแล้วดับไปหัวใจเธอเต้นแรงขึ้น เพราะเธอไม่เคยลงมาถึงที่นี่มาก่อนข้างหน้า…มองแทบไม่เห็นอะไร แต่พอลมหายใจเธอเริ่มชินกับน้ำเย็นๆ ตาเธอก็ค่อยๆ ชินกับความมืดเธอเห็นพื้นทรายกว้างใหญ่ มีก้อนหินเรียงกันเป็นวงๆ เหมือนมีใครตั้งใจวางไว้ บนนั้นมีสัญลักษณ์เก่าแก่ที่เธออ่านไม่ออก แต่หัวใจเธอกลับรู้สึกคุ้นแปลกๆ เหมือนมันเรียกเธออยู่นีร่าว่ายเข้าไปใกล้ แล้วเธอก็เห็นใครบางคนนั่งนิ่งๆ อยู่ตรงกลางวงหินเป็นร่างสูงใหญ่ หลังโค้งงอ หางยาวสีเข้มพันรอบหิน ผมยาวสีขาวลอยตามน้ำเหมือนเงาต้นสาหร่ายหัวใจเธอเต้นแรงจนเจ็บอก เธอรู้ทันทีว่า…ผู้เฒ่าเงือกเธอเคยได้ยินตำนานมาแต่เด็ก ว่าใต้ทะเลลึกจะมีเงือกเฒ่าผู้เฝ้าความลับของท้องทะเลมานับร้อยปีนีร่ากลืนน้ำลาย ฝ่ามือสั่นนิดๆ แต่ก็ว่ายเข้าไปช้าๆ จนอยู่ห่างกันไม่ถึงสิบก้าวร่างนั้นยังนั่งนิ่ง ไม่ขยับ ไม่พูด เหมือนรูปปั้นเก่าๆ ที่มีชีวิตนีร่าหายใจเข้าลึก สูดเอากลิ่นทะเลที่หนาวกว่าเดิมเข้าปอด ก่อนจะตัดสินใจพูดเสียงแผ่ว“…ท่าน…คือผู