เมืองคอร์เซียร์...
เมืองท่าขนาดใหญ่ทางฟากตะวันตกของทวีปที่เหล่าโจรสลัด นักล่าทะเล และพ่อค้าวัตถุต้องสาปต่างพากันมารวมตัว ไม่ใช่เพื่อศีลธรรม...แต่เพื่อผลประโยชน์ เงินทอง และเลือด เรือโจรสลัด “แบล็คดราฟต์” ของกัปตันแบร์กตัน จอดเทียบอย่างลับ ๆ ที่ท่าเรือหมายเลขเจ็ดของเมือง กลางยามสนธยา ท้องฟ้าถูกย้อมด้วยกลุ่มเมฆแดงหม่น แววตาเจ้าของเรือก็ไม่ต่างกัน “ลากของขึ้นฝั่ง!” แบร์กตันสั่งเสียงห้วน ลูกเรือสองคนลากกรงเหล็กขนาดใหญ่คลุมด้วยผ้าดำขึ้นจากเรือ แบกผ่านตรอกแคบ ๆ ไปยังด้านในของเมือง ที่หมายของพวกเขาคือ — โรงละครสัตว์ใต้ดินซึ่งว่ากันว่าสะสมสิ่งมีชีวิตประหลาดไว้มากกว่ารัฐบาลราชสำนักเสียอีก ภายใต้โคมไฟน้ำมันที่ส่องไหวริบ ๆ เจ้าของโรงละครออกมาต้อนรับ ชายวัยกลางคนตัวเตี้ย ร่างอ้วนท้วน ใบหน้าคล้ายลูกหมู ผูกผ้าพันคอแดงทับเสื้อกำมะหยี่เก่าแก่ “เจ้าพาสิ่งนั้นมาหรือยัง?” เขาถามเสียงขุ่น “ข้าจ่ายเงินล่วงหน้าไปแล้ว หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ผิดหวังนะ...แบร์กตัน” แบร์กตันโบกมือ ผ้าคลุมกรงถูกเปิดออก...เผยให้เห็นเพียงเเค่คนเเคระคนนึงเท่านั้น “ไม่มี!?” เจ้าของโรงละครร้อง เขาก้าวไปจนหน้าดำหน้าแดง “เจ้ากล้าหลอกข้าเรอะ!? ข้าจ่ายเจ้าไปตั้งแต่ก่อนพระจันทร์ขึ้น! แล้วเจ้ากลับมาพร้อมคนเเคระ ข้าต้องการเงือก?!” “เงือกหนีระหว่างทาง” แบร์กตันกัดฟันตอบ “นางฉลาดกว่าที่ข้าคิด...แต่ไม่เกินมือข้าแน่ ข้าจะไปจับนางกลับมาให้” “ในคอร์เซียร์ ไม่มีใครล้อเล่นกับข้าแล้วจากไปพร้อมหนี้หรอกนะ กัปตัน” ทันใดนั้น บรรดาคนงานของโรงละครสัตว์ก็ก้าวออกจากมุมมืดรอบลานหลังโรง ในมือพวกเขามีทั้งตะขอ ค้อน ท่อนไม้เหล็ก และโซ่สนิม แบร์กตันหรี่ตา มือข้างหนึ่งแตะด้ามดาบที่สะโพก แต่ก่อนที่เลือดจะนอง เจ้าของโรงละครยกมือขึ้น “...ฟังนะ” เขายิ้ม “ถ้าเจ้าจะตามตัวเงือกตัวนั้นกลับมาให้ภายใน ห้าวัน เราจะถือว่าหนี้สินเป็นโมฆะ” “ดี” แบร์กตันกล่าว “นางหลบอยู่ในเกาะต้องสาป ข้าจะลากหางปลานั่นกลับมาให้เจ้าเอง…” เรือเล็กของโจรสลัดลอยลำอย่างเงียบงันเหนือผืนน้ำสีดำสนิท ไอเย็นที่พัดผ่านไม่ใช่เพียงลมจากทะเล...แต่มันเหมือนเสียงกระซิบของบางสิ่งที่ไม่มีตัวตน กัปตันแบร์กตันยืนหัวเรือ ดวงตาแข็งกร้าว เบื้องหลังเขา คือลูกเรือห้าคน คนหนึ่งชื่อบรอล ร่างใหญ่ใจร้อน อีกคนคือซิน หญิงสาวผู้เชี่ยวชาญกับดัก และอีกสามคนคือ เดร็กซ์, วินซ์, โฮลเลอร์ — ล้วนแต่ผ่านสนามรบทะเลมานับไม่ถ้วน “เจอเงือกแล้วก็จับใส่กรง” แบร์กตันพูดเสียงเย็น “อย่าลังเล อย่าใจอ่อน—สิ่งมีชีวิตพวกนั้นไม่ใช่คน พวกมันลวงโลกด้วยหน้าตาเท่านั้น” เกาะร้างปรากฏในสายตา แนวป่าทึบตั้งฉากรอผู้บุกรุกเหมือนเขี้ยวสัตว์ร้าย ทรายชายฝั่งสีหม่น ไม่ต้อนรับใครทั้งสิ้น พวกเขาเหยียบฝั่งโดยไม่มีใครพูดอะไร เสียงรองเท้าบู๊ตจมหายลงในเลนเปียก ลมหอบกลิ่นดินชื้นและเศษซากทะเลเหม็นเน่า บรอลพูดขึ้นเบา ๆ ขณะจับด้ามขวานแน่น “ที่นี่มัน...ไม่เหมือนเกาะธรรมดา” “เก็บความกลัวไว้กินตอนตาย” แบร์กตันหันไป “ซิน เจ้าเดินนำทาง หญิงสาวคล้องมีดสั้นไว้ข้างเอว เดินนำผ่านพุ่มไม้หนา เดร็กซ์กับวินซ์ถือคบเพลิงเดินตาม เหลียวซ้ายแลขวาอยู่ตลอดเวลา แสงไฟสั่นไหวตามแรงลม เงาของต้นไม้เคลื่อนไหวราวกับมีชีวิต ทันใดนั้น— แกรก! เสียงบางอย่างขยับอยู่บนยอดไม้ บรอลเงยหน้าขึ้นทันที พลางเงื้อขวาน แต่ไม่มีอะไร...นอกจากเสียงหัวเราะแผ่วเบา ลอยมากับสายลม... > “ได้ยินไหม?” วินซ์กระซิบ “เสียงผู้หญิงหัวเราะ...” > “ข้าคิดว่าเป็นลม” ซินกัดฟัน “เดินต่อ อย่าแตกแถว” พวกเขาเดินลึกเข้าไปเรื่อย ๆ ทว่าทุกก้าวที่ย่างเข้าไปในป่า…เหมือนกับว่าความเป็นจริงเริ่มบิดเบี้ยว ต้นไม้เริ่มขึ้นแนวผิดธรรมชาติ เถาวัลย์พันกันเป็นรูปแปลกตา กลิ่นคาวเลือดจาง ๆ ลอยอยู่ในอากาศ ทันใดนั้น… พวกเขาพบกับสิ่งหนึ่ง เป็นโขดหิน…ที่มีรอยขีดเขียนของมนุษย์ คำจารึกโบราณด้วยอักษรบางอย่างที่ไม่มีใครอ่านออก และตรงพื้นเบื้องหน้า...คือรอยเท้า รอยเท้าคน...และรอยเลื้อยของบางอย่าง แบร์กตันทรุดลงดูใกล้ ๆ เขาแตะพื้น ตรวจสอบรอยเท้า “นี่ไม่ใช่พวกเราแน่...รอยเท้าผู้หญิง” เขากระซิบเบา ๆ แล้วหันไปสบตากับทุกคน “นางอยู่ที่นี่จริง ๆ...นีร่า” ทันใดนั้น ลมแรงพัดวูบ เปลวไฟจากคบเพลิงดับวูบในพริบตา และเสียงหนึ่ง...ดังขึ้นจากความมืด > “เจ้าคือผู้ล่า...หรือเหยื่อกันแน่?” ทุกคนชะงัก วินซ์ก้าวถอยหลัง ขณะที่ซินกรีดมีดเตรียมสู้ เสียงหัวเราะที่ไม่ได้มาจากคอคน ค่อย ๆ ลอยวนอยู่รอบพวกเขา พวกเขารู้ในวินาทีนั้นว่า...สิ่งที่อยู่บนเกาะนี้ ไม่ได้มีแค่เงือกนีร่า เขาหันกลับไปขึ้นเรือ ลูกเรือรีบตามหลัง เสียงระฆังเรือดังขึ้นอีกครั้ง ท่ามกลางสายลมที่เริ่มเย็นยะเยือก ค่ำคืนมืดมนคลืบคลานลงสู่ป่าแน่นหนาของเกาะร้าง กลิ่นดินชื้น กลิ่นคราบเกลือ และอะไรบางอย่างที่คล้ายกลิ่นศพเริ่มโชยมาตามสายลม คบเพลิงของโจรสลัดถูกจุดขึ้นอีกครั้งด้วยไฟจากหินเหล็กไฟ แสงสีส้มวาบวับของมันฉาบเงาโหดเหี้ยมลงบนใบหน้าของแบร์กตันและลูกน้องทั้งห้า พวกเขาไม่รู้เลย…ว่าในความมืดข้างทาง บางสิ่งกำลังมองอยู่ “ข้าบอกแล้วว่าได้กลิ่นเน่า” บรอลบ่น “นี่มันไม่ใช่แค่กลิ่นซากปลาแน่…” “เงียบ” ซินขู่เสียงแผ่ว มือจับมีดข้างขาแน่น “มีบางอย่างตามพวกเราอยู่ แต่ยังไม่ลงมือ” แต่ในขณะที่ทุกคนระวังหน้า ระวังหลัง… ...ไม่มีใครหันไปมอง “ต้นไม้ใหญ่” ทางซ้ายมือ มันคือไม้เก่าแก่ที่สุดต้นหนึ่งในบริเวณนั้น เปลือกไม้แตกเป็นเส้น มีบางอย่างคล้ายรูปร่างมนุษย์ฝังแนบอยู่กับลำต้น บิดเบี้ยว เหมือนถูกหล่อรวมกับเนื้อไม้มาเป็นร้อยปี ตาไม่มีลูกกระตา ปากอ้าค้าง แต่กลับมีไอหมอกสีดำค่อย ๆ รินออกมาจากรอยแยก เดร็กซ์เป็นคนที่เดินตามหลังกองขบวน เขายืนปัสสาวะข้างทางชั่วครู่ ก่อนจะหันกลับ… แล้วเงยหน้าขึ้นมองสิ่งที่เขาคิดว่าเป็น “รากไม้” > “เฮ้…ต้นไม้นี่…หน้าตาแม่งเหมือนคน…” ไม่ทันที่เสียงจะสิ้นสุด… เสียง “ฉึก!” เงียบกริบ มือดำทะมึนพุ่งฉับเข้าจับปากของเดร็กซ์จากด้านหลัง ร่างของเขาถูกลากเข้าไปในลำต้นไม้เน่าเปื่อย เสียงกระดูกหักดังกร๊อบในความเงียบ เลือดหยดลงพื้น... แต่ไม่มีใครได้ยิน กลุ่มโจรสลัดที่เหลือเดินลึกเข้าไปโดยไม่มีใครรู้เลยว่า… “เดร็กซ์หายไปแล้ว” บนเปลือกไม้ ตรงจุดที่ร่างนั้นเคยหลอมรวม บัดนี้กลายเป็นสองร่าง และ “ต้นไม้ต้นนั้น” ก็ค่อย ๆ กลืนน้ำลาย…เป็นเสียงครืดแผ่วเบา เหมือนกับยังไม่อิ่มเมืองคอร์เซียร์...เมืองท่าขนาดใหญ่ทางฟากตะวันตกของทวีปที่เหล่าโจรสลัด นักล่าทะเล และพ่อค้าวัตถุต้องสาปต่างพากันมารวมตัว ไม่ใช่เพื่อศีลธรรม...แต่เพื่อผลประโยชน์ เงินทอง และเลือดเรือโจรสลัด “แบล็คดราฟต์” ของกัปตันแบร์กตัน จอดเทียบอย่างลับ ๆ ที่ท่าเรือหมายเลขเจ็ดของเมืองกลางยามสนธยา ท้องฟ้าถูกย้อมด้วยกลุ่มเมฆแดงหม่น แววตาเจ้าของเรือก็ไม่ต่างกัน“ลากของขึ้นฝั่ง!” แบร์กตันสั่งเสียงห้วนลูกเรือสองคนลากกรงเหล็กขนาดใหญ่คลุมด้วยผ้าดำขึ้นจากเรือ แบกผ่านตรอกแคบ ๆ ไปยังด้านในของเมืองที่หมายของพวกเขาคือ — โรงละครสัตว์ใต้ดินซึ่งว่ากันว่าสะสมสิ่งมีชีวิตประหลาดไว้มากกว่ารัฐบาลราชสำนักเสียอีกภายใต้โคมไฟน้ำมันที่ส่องไหวริบ ๆ เจ้าของโรงละครออกมาต้อนรับชายวัยกลางคนตัวเตี้ย ร่างอ้วนท้วน ใบหน้าคล้ายลูกหมู ผูกผ้าพันคอแดงทับเสื้อกำมะหยี่เก่าแก่“เจ้าพาสิ่งนั้นมาหรือยัง?” เขาถามเสียงขุ่น “ข้าจ่ายเงินล่วงหน้าไปแล้ว หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ผิดหวังนะ...แบร์กตัน”แบร์กตันโบกมือผ้าคลุมกรงถูกเปิดออก...เผยให้เห็นเพียงเเค่คนเเคระคนนึงเท่านั้น“ไม่มี!?” เจ้าของโรงละครร้องเขาก้าวไปจนหน้าดำหน้าแดง “เจ้ากล้าหลอ
สายลมจากทะเลพัดโชยผ่านใบไม้หนาทึบ กลิ่นเกลือและไอชื้นของป่าไหลเข้าปะทะจมูก แต่นีน่าไม่แม้แต่จะหายใจลึก หัวใจเธอมีเพียงความเร่งรีบ"มาริเบล...ต้องรอด"น้องสาวของนางนอนอยู่ในถ้ำเล็กริมชายหาด ดวงตาร้อนผ่าว ผิวที่เคยสดใสเริ่มซีดจางจากพิษของบาดแผลขณะหลบหนี แม้นีร่าจะใช้ความรู้จากเผ่าตนรักษาเบื้องต้น แต่สมุนไพรที่ต้องการมีเฉพาะในป่าภายในเกาะ ซึ่งแปลกและไม่คุ้นเคยนางจำตำราได้ว่า ใกล้ภูเขาใจกลางเกาะนี้เคยมี “ดอกวารีทอง” — ดอกไม้ขนาดเล็กที่มีกลีบสีเงินสลับทอง ผสมกับราก "เฟินน้ำเที่ยงคืน" แล้วบดกับเกลือ จะถอนพิษจากบาดแผลลึกได้“นางจะต้องไม่เป็นอะไร…” นีร่าพึมพำในใจ ขณะฝ่าไผ่รกและเลื้อยไม้ขึ้นสู่แนวเขาเล็กแต่ทันทีที่นางไปถึงลำธารกลางป่า...เสียงบางอย่างก็ดังขึ้น—เสียงเพลงแผ่วเบา แฝงความเศร้าโศก ราวเสียงร้องของหญิงสาวใต้ผิวน้ำนีน่าหยุดชะงัก หางตากวาดไปรอบ ๆ — ไม่มีใครแต่ผิวน้ำสั่นเบาเหมือนมีบางสิ่งตื่นขึ้นจากก้นลึก> “...ผู้หลงทางในความมืด… กลิ่นเลือดเจ้าช่างหวานนัก…”เสียงนั้นกระซิบในหัว ไม่ใช่เสียงมนุษย์ ไม่ใช่เงือกธรรมดาทันใดนั้น ผิวน้ำก็แตกกระจาย ร่างหนึ่งพุ่งขึ้นมา—เงือกสาวผิวซีดจ
แสงจันทร์ส่องลงมากระทบลานหินกลางป่าลึก เงาไม้โยกไหวตามแรงลม คืนนี้เงียบผิดปกติ—เงียบเสียจนได้ยินเสียงลมหายใจของผู้ถูกจับไอล่าและรัฟเฟอร์นั่งอยู่กลางวงพิธี แขนทั้งสองข้างถูกมัดด้วยเถาวัลย์ศักดิ์สิทธิ์ที่เต็มไปด้วยอักขระโบราณ พวกเขาไม่ได้ถูกทำร้าย ไม่แม้แต่รอยขีดข่วนบนร่างกาย...แต่หัวใจกลับสั่นสะท้านด้วยสิ่งที่มองไม่เห็นเพราะรอบตัวพวกเขา...ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอยู่เลยมีเพียง "เงา" — เงาบางเบาของสิ่งที่เคยมีชีวิตเสียงสวดมนต์ต่ำ ๆ ดังขึ้นจากทุกทิศ เสียงนั้นไม่ใช่มนุษย์ ไม่ใช่สัตว์ แต่เป็นเสียงกระซิบของลมหายใจในอดีต เสียงของวิญญาณที่เคยมีเลือดเนื้อ และบัดนี้...หลงเหลือเพียงเศษความตายที่ยังไม่สงบ"พวกมัน...ไม่มีร่าง" รัฟเฟอร์กระซิบเบาไอล่าหันมามอง สีหน้าซีดเผือด "แต่ยังมีเจตจำนง"จู่ ๆ อากาศรอบกายเย็นวาบ ลมหอบหนึ่งพัดผ่าน ก่อนที่แสงสีฟ้าหม่นจะก่อตัวขึ้นเป็นรูปร่างของหญิงชราโบราณ ใบหน้าซีดเผือดดั่งกระดูก ห้อยลอยอยู่เหนือพื้นเพียงนิ้วเดียว ดวงตาขาวขุ่นไร้แววชีวิต แต่มองตรงมาราวกับมองทะลุหัวใจ“เจ้าจะเป็นสะพาน...” เสียงนั้นดังกังวานโดยไม่มีปากขยับ“สะพานเพื่อพวกข้า...จะกลับมาอีกครั้ง”แท่นหิ
เปลวแดดยามสายส่องทะลุม่านเมฆครึ้ม ปลายหางเรือเล็กแหวกผืนน้ำอย่างเงียบงัน อีธานนั่งนิ่งบนหัวเรือ สายตาคมใต้คิ้วเข้มทอดมองไปยังผืนป่าแน่นทึบบนเกาะร้างเบื้องหน้า"ตรงนี้แหละ" เสียงไอล่าเอ่ยพลางหยิบกล้องส่องทางไกลขึ้นดู เธอชี้ไปยังฝั่งที่มีโขดหินเรียงตัวคล้ายประตูธรรมชาติ "ฉันเห็นรอยเท้า...มันมุ่งเข้าไปด้านใน"อีธานพยักหน้า รอยแผลบนแขนยังไม่ทันแห้งดี แต่เขาไม่อาจรอให้บาดแผลสมานก่อน รอยเลือดของพวกโจรสลัดยังเปรอะเปื้อนอยู่บนเสื้อผ้า กลิ่นคาวยังติดปลายจมูก — มันคือเครื่องเตือนใจว่าเขาต้องเร็วขึ้นอีก ก่อนจะสายเกินไปลูกเรืออีกคนที่ยังเหลือ—ชายร่างสูงชื่อรัฟเฟอร์—เป็นคนเงียบขรึม แต่ซื่อสัตย์ เขาหิ้วสัมภาระตามหลัง ไม่เอ่ยถ้อยคำใด นอกจากพยักหน้าอย่างพร้อมเคียงบ่าเคียงไหล่สามคนขึ้นฝั่ง ใต้ร่มไม้เงียบงัน เย็นยะเยือกผิดกับแสงแดดข้างนอก เสียงใบไม้แห้งลั่นกรอบใต้เท้า พร้อมกลิ่นดินชื้นที่คละเคล้ากลิ่นเกลือทะเล"หยุดก่อน..." เสียงอีธานเบาและกดต่ำ ขณะเขาย่อตัวลง มือหนาแตะบางสิ่งบนพื้นมันคือหยดเลือด...เล็กแต่ยังสดไอล่าถลาเข้ามาอย่างเร็ว "เลือดเหรอ?"อีธานไม่ตอบ เขายืนนิ่ง ขมวดคิ้วแน่น ดวงตาเขาสั่นไหว.
แสงจันทร์สาดสีเงินลงเหนืออ่าวลับ เงาน้ำพลิ้วไหวใต้ผืนฟ้ายามค่ำคืน ท่ามกลางความเงียบงันที่แทบจะได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้น ข้าค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นจากแอ่งน้ำข้างหาด ดินเหนียวเปรอะขา เท้าของข้าเหยียบลงไปบนผืนทรายที่เย็นชื้นเท้า—ไม่ใช่หางเงือกอีกต่อไปข้ามองปลายขาตัวเองอย่างอึ้งงัน ผิวเนื้อที่เคยเป็นเกล็ดทองสะท้อนแสงบัดนี้กลายเป็นผิวมนุษย์เรียบเนียน ซีดขาวด้วยไอเย็นของน้ำและความเหน็ดเหนื่อยข้าไม่รู้ว่าสิ่งใดเปลี่ยนร่างข้ากับน้อง…บางที อาจเป็นเวทมนตร์ของโพรงน้ำใต้เกาะ หรือบางสิ่งที่เรายังไม่เข้าใจ> “พี่…” เสียงเบาเรียกจากข้างหลัง ข้าหันไปเห็นมาริเบลกำลังพยายามพยุงตัวลุกขึ้นเช่นกัน“ข้า…ข้าก็มีเท้าเหมือนเจ้าแล้ว”ข้าประคองนางขึ้นจากน้ำ ดวงตานางเบิกโพลง ขณะจ้องมองปลายเท้าตัวเองเหมือนเด็กน้อยที่เพิ่งเห็นโลกเป็นครั้งแรก ผมของนางเปียกปอนแนบแก้ม หยดน้ำยังเกาะตามขนตาคล้ายหยดน้ำตาข้าจับมือนางไว้แน่น> “เรายังมีชีวิตอยู่ และนั่น…คือสิ่งเดียวที่สำคัญ”สายลมยามค่ำคืนพัดหอบเอากลิ่นทะเล กลิ่นดิน กลิ่นมอส และกลิ่นไม้ผุจากป่าด้านหน้าเข้ามา ด้านหลังของเราคือผืนน้ำกว้างใหญ่เบื้องหลังภูเขาหินสูงชัน ไม่มี
เพลิงลุกไหม้ยอดไม้ โหมกระท่อมริมฝั่งทะเลสาบให้กลายเป็นเศษเถ้าดำราวสรวงสวรรค์เคยทอดทิ้งที่นี่ไปนานแล้ว...ข้ายืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ใต้แสงสีส้มของความสูญเสียข้ารู้สึกราวกับห้วงเวลาหยุดหมุนในชั่วครู่ที่สายตาจับจ้องไปยังร่างหนึ่งบนพื้น—เรน ชายผู้เคยเป็นทั้งเพื่อน ทั้งรัก และบัดนี้…เป็นเพียงซากอดีตที่ไร้คำแก้ตัวเสียงสะอื้นของนีร่าดังแผ่วอยู่เบื้องหลัง หยดน้ำตาสีดำยังร่วงทีละหยดลงสู่ผืนดินที่เปียกชื้นจากทั้งฝนที่เพิ่งจางหาย และเลือดที่ยังไม่แห้งข้าอยากยื่นมือไปปลอบนางแต่ข้ากลับยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น...เพราะบางความเจ็บ ก็ไม่มีถ้อยคำใดปลอบประโลมได้> “อีธาน…”เสียงนางเบาเหมือนเสียงคลื่นลมที่ซัดชายฝั่งข้าหันมาช้า ๆ และสบตากับนางดวงตาคู่นั้น—แม้จะยังงดงาม—กลับเต็มไปด้วยร่องรอยของการแตกสลาย> “ข้า…เหนื่อยเหลือเกิน…”นางเอ่ยก่อนจะซบหน้าลงบนบ่าข้า ข้าได้แต่ยกแขนขึ้นโอบประคองแผ่นหลังบางเอาไว้แน่น มาริเบลยืนนิ่งอยู่ด้านข้าง ร่างเล็กที่เปื้อนเลือดและดินเงยหน้ามองพี่สาวอย่างเงียบงัน น้ำตาของนางไม่ไหล…เพราะนางไม่เหลือแม้แรงจะร้องไห้อีกแล้วข้าอยากให้คืนวันสงบกลับมา แต่ในโลกนี้—มันไม่เคยง่ายเช่นนั้นเพร