เมืองคอร์เซียร์...
เมืองท่าขนาดใหญ่ทางฟากตะวันตกของทวีปที่เหล่าโจรสลัด นักล่าทะเล และพ่อค้าวัตถุต้องสาปต่างพากันมารวมตัว ไม่ใช่เพื่อศีลธรรม...แต่เพื่อผลประโยชน์ เงินทอง และเลือด เรือโจรสลัด “แบล็คดราฟต์” ของกัปตันแบร์กตัน จอดเทียบอย่างลับ ๆ ที่ท่าเรือหมายเลขเจ็ดของเมือง กลางยามสนธยา ท้องฟ้าถูกย้อมด้วยกลุ่มเมฆแดงหม่น แววตาเจ้าของเรือก็ไม่ต่างกัน “ลากของขึ้นฝั่ง!” แบร์กตันสั่งเสียงห้วน ลูกเรือสองคนลากกรงเหล็กขนาดใหญ่คลุมด้วยผ้าดำขึ้นจากเรือ แบกผ่านตรอกแคบ ๆ ไปยังด้านในของเมือง ที่หมายของพวกเขาคือ — โรงละครสัตว์ใต้ดินซึ่งว่ากันว่าสะสมสิ่งมีชีวิตประหลาดไว้มากกว่ารัฐบาลราชสำนักเสียอีก ภายใต้โคมไฟน้ำมันที่ส่องไหวริบ ๆ เจ้าของโรงละครออกมาต้อนรับ ชายวัยกลางคนตัวเตี้ย ร่างอ้วนท้วน ใบหน้าคล้ายลูกหมู ผูกผ้าพันคอแดงทับเสื้อกำมะหยี่เก่าแก่ “เจ้าพาสิ่งนั้นมาหรือยัง?” เขาถามเสียงขุ่น “ข้าจ่ายเงินล่วงหน้าไปแล้ว หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ผิดหวังนะ...แบร์กตัน” แบร์กตันโบกมือ ผ้าคลุมกรงถูกเปิดออก...เผยให้เห็นเพียงเเค่คนเเคระคนนึงเท่านั้น “ไม่มี!?” เจ้าของโรงละครร้อง เขาก้าวไปจนหน้าดำหน้าแดง “เจ้ากล้าหลอกข้าเรอะ!? ข้าจ่ายเจ้าไปตั้งแต่ก่อนพระจันทร์ขึ้น! แล้วเจ้ากลับมาพร้อมคนเเคระ ข้าต้องการเงือก?!” “เงือกหนีระหว่างทาง” แบร์กตันกัดฟันตอบ “นางฉลาดกว่าที่ข้าคิด...แต่ไม่เกินมือข้าแน่ ข้าจะไปจับนางกลับมาให้” “ในคอร์เซียร์ ไม่มีใครล้อเล่นกับข้าแล้วจากไปพร้อมหนี้หรอกนะ กัปตัน” ทันใดนั้น บรรดาคนงานของโรงละครสัตว์ก็ก้าวออกจากมุมมืดรอบลานหลังโรง ในมือพวกเขามีทั้งตะขอ ค้อน ท่อนไม้เหล็ก และโซ่สนิม แบร์กตันหรี่ตา มือข้างหนึ่งแตะด้ามดาบที่สะโพก แต่ก่อนที่เลือดจะนอง เจ้าของโรงละครยกมือขึ้น “...ฟังนะ” เขายิ้ม “ถ้าเจ้าจะตามตัวเงือกตัวนั้นกลับมาให้ภายใน ห้าวัน เราจะถือว่าหนี้สินเป็นโมฆะ” “ดี” แบร์กตันกล่าว “นางหลบอยู่ในเกาะต้องสาป ข้าจะลากหางปลานั่นกลับมาให้เจ้าเอง…” เรือเล็กของโจรสลัดลอยลำอย่างเงียบงันเหนือผืนน้ำสีดำสนิท ไอเย็นที่พัดผ่านไม่ใช่เพียงลมจากทะเล...แต่มันเหมือนเสียงกระซิบของบางสิ่งที่ไม่มีตัวตน กัปตันแบร์กตันยืนหัวเรือ ดวงตาแข็งกร้าว เบื้องหลังเขา คือลูกเรือห้าคน คนหนึ่งชื่อบรอล ร่างใหญ่ใจร้อน อีกคนคือซิน หญิงสาวผู้เชี่ยวชาญกับดัก และอีกสามคนคือ เดร็กซ์, วินซ์, โฮลเลอร์ — ล้วนแต่ผ่านสนามรบทะเลมานับไม่ถ้วน “เจอเงือกแล้วก็จับใส่กรง” แบร์กตันพูดเสียงเย็น “อย่าลังเล อย่าใจอ่อน—สิ่งมีชีวิตพวกนั้นไม่ใช่คน พวกมันลวงโลกด้วยหน้าตาเท่านั้น” เกาะร้างปรากฏในสายตา แนวป่าทึบตั้งฉากรอผู้บุกรุกเหมือนเขี้ยวสัตว์ร้าย ทรายชายฝั่งสีหม่น ไม่ต้อนรับใครทั้งสิ้น พวกเขาเหยียบฝั่งโดยไม่มีใครพูดอะไร เสียงรองเท้าบู๊ตจมหายลงในเลนเปียก ลมหอบกลิ่นดินชื้นและเศษซากทะเลเหม็นเน่า บรอลพูดขึ้นเบา ๆ ขณะจับด้ามขวานแน่น “ที่นี่มัน...ไม่เหมือนเกาะธรรมดา” “เก็บความกลัวไว้กินตอนตาย” แบร์กตันหันไป “ซิน เจ้าเดินนำทาง หญิงสาวคล้องมีดสั้นไว้ข้างเอว เดินนำผ่านพุ่มไม้หนา เดร็กซ์กับวินซ์ถือคบเพลิงเดินตาม เหลียวซ้ายแลขวาอยู่ตลอดเวลา แสงไฟสั่นไหวตามแรงลม เงาของต้นไม้เคลื่อนไหวราวกับมีชีวิต ทันใดนั้น— แกรก! เสียงบางอย่างขยับอยู่บนยอดไม้ บรอลเงยหน้าขึ้นทันที พลางเงื้อขวาน แต่ไม่มีอะไร...นอกจากเสียงหัวเราะแผ่วเบา ลอยมากับสายลม... > “ได้ยินไหม?” วินซ์กระซิบ “เสียงผู้หญิงหัวเราะ...” > “ข้าคิดว่าเป็นลม” ซินกัดฟัน “เดินต่อ อย่าแตกแถว” พวกเขาเดินลึกเข้าไปเรื่อย ๆ ทว่าทุกก้าวที่ย่างเข้าไปในป่า…เหมือนกับว่าความเป็นจริงเริ่มบิดเบี้ยว ต้นไม้เริ่มขึ้นแนวผิดธรรมชาติ เถาวัลย์พันกันเป็นรูปแปลกตา กลิ่นคาวเลือดจาง ๆ ลอยอยู่ในอากาศ ทันใดนั้น… พวกเขาพบกับสิ่งหนึ่ง เป็นโขดหิน…ที่มีรอยขีดเขียนของมนุษย์ คำจารึกโบราณด้วยอักษรบางอย่างที่ไม่มีใครอ่านออก และตรงพื้นเบื้องหน้า...คือรอยเท้า รอยเท้าคน...และรอยเลื้อยของบางอย่าง แบร์กตันทรุดลงดูใกล้ ๆ เขาแตะพื้น ตรวจสอบรอยเท้า “นี่ไม่ใช่พวกเราแน่...รอยเท้าผู้หญิง” เขากระซิบเบา ๆ แล้วหันไปสบตากับทุกคน “นางอยู่ที่นี่จริง ๆ...นีร่า” ทันใดนั้น ลมแรงพัดวูบ เปลวไฟจากคบเพลิงดับวูบในพริบตา และเสียงหนึ่ง...ดังขึ้นจากความมืด > “เจ้าคือผู้ล่า...หรือเหยื่อกันแน่?” ทุกคนชะงัก วินซ์ก้าวถอยหลัง ขณะที่ซินกรีดมีดเตรียมสู้ เสียงหัวเราะที่ไม่ได้มาจากคอคน ค่อย ๆ ลอยวนอยู่รอบพวกเขา พวกเขารู้ในวินาทีนั้นว่า...สิ่งที่อยู่บนเกาะนี้ ไม่ได้มีแค่เงือกนีร่า เขาหันกลับไปขึ้นเรือ ลูกเรือรีบตามหลัง เสียงระฆังเรือดังขึ้นอีกครั้ง ท่ามกลางสายลมที่เริ่มเย็นยะเยือก ค่ำคืนมืดมนคลืบคลานลงสู่ป่าแน่นหนาของเกาะร้าง กลิ่นดินชื้น กลิ่นคราบเกลือ และอะไรบางอย่างที่คล้ายกลิ่นศพเริ่มโชยมาตามสายลม คบเพลิงของโจรสลัดถูกจุดขึ้นอีกครั้งด้วยไฟจากหินเหล็กไฟ แสงสีส้มวาบวับของมันฉาบเงาโหดเหี้ยมลงบนใบหน้าของแบร์กตันและลูกน้องทั้งห้า พวกเขาไม่รู้เลย…ว่าในความมืดข้างทาง บางสิ่งกำลังมองอยู่ “ข้าบอกแล้วว่าได้กลิ่นเน่า” บรอลบ่น “นี่มันไม่ใช่แค่กลิ่นซากปลาแน่…” “เงียบ” ซินขู่เสียงแผ่ว มือจับมีดข้างขาแน่น “มีบางอย่างตามพวกเราอยู่ แต่ยังไม่ลงมือ” แต่ในขณะที่ทุกคนระวังหน้า ระวังหลัง… ...ไม่มีใครหันไปมอง “ต้นไม้ใหญ่” ทางซ้ายมือ มันคือไม้เก่าแก่ที่สุดต้นหนึ่งในบริเวณนั้น เปลือกไม้แตกเป็นเส้น มีบางอย่างคล้ายรูปร่างมนุษย์ฝังแนบอยู่กับลำต้น บิดเบี้ยว เหมือนถูกหล่อรวมกับเนื้อไม้มาเป็นร้อยปี ตาไม่มีลูกกระตา ปากอ้าค้าง แต่กลับมีไอหมอกสีดำค่อย ๆ รินออกมาจากรอยแยก เดร็กซ์เป็นคนที่เดินตามหลังกองขบวน เขายืนปัสสาวะข้างทางชั่วครู่ ก่อนจะหันกลับ… แล้วเงยหน้าขึ้นมองสิ่งที่เขาคิดว่าเป็น “รากไม้” > “เฮ้…ต้นไม้นี่…หน้าตาแม่งเหมือนคน…” ไม่ทันที่เสียงจะสิ้นสุด… เสียง “ฉึก!” เงียบกริบ มือดำทะมึนพุ่งฉับเข้าจับปากของเดร็กซ์จากด้านหลัง ร่างของเขาถูกลากเข้าไปในลำต้นไม้เน่าเปื่อย เสียงกระดูกหักดังกร๊อบในความเงียบ เลือดหยดลงพื้น... แต่ไม่มีใครได้ยิน กลุ่มโจรสลัดที่เหลือเดินลึกเข้าไปโดยไม่มีใครรู้เลยว่า… “เดร็กซ์หายไปแล้ว” บนเปลือกไม้ ตรงจุดที่ร่างนั้นเคยหลอมรวม บัดนี้กลายเป็นสองร่าง และ “ต้นไม้ต้นนั้น” ก็ค่อย ๆ กลืนน้ำลาย…เป็นเสียงครืดแผ่วเบา เหมือนกับยังไม่อิ่มเสียงลมทะเลคำรามปะทะเรือซีฟินิกซ์ที่ถูกดึงออกจากท่า เจ้าชายฟลอเรสยืนตรงกลางลานกว้างของเมืองอควาเรียส ดวงตาของเขาเปล่งประกายความเด็ดเดี่ยวท่ามกลางแสงวาบวับของสายฟ้าที่กระชาก“ทุกคน! ฟังข้าให้ดี!” ฟลอเรสตะโกนเสียงก้องจนคำสั่งของเขาตัดผ่านเสียงคลื่นและพายุ “พายุใหญ่กำลังซัดเข้าใกล้เมืองของเรา!”เสียงตะโกนจากผู้คนแตกตื่น ชายหญิงและเด็กต่างหยุดทำกิจกรรมที่ทำอยู่ หันมาจ้องมองเขาด้วยความหวาดกลัวและรอคำสั่ง“อควาเรียสต้องไม่พังทลาย! พวกเจ้าทุกคนต้องเตรียมอพยพทันที!” ฟลอเรสเดินไปตามถนนสายหลักของเมือง มือยกขึ้นสั่งการ “ย้ายไปยังเขตปลอดภัยทางตะวันตก หลีกเลี่ยงชายฝั่งและพายุที่จะโหมกระหน่ำ”เสียงระฆังเตือนภัยดังกึกก้องทั่วเมือง ทหารและผู้รักษาความปลอดภัยรีบเข้าควบคุมสถานการณ์ ขณะที่ชาวเมืองรีบเก็บข้าวของจำเป็น พากันขึ้นเรือเล็กและแพไม้ไผ่ เพื่อไปยังที่มั่นปลอดภัยที่เจ้าชายสั่งไว้“อย่าลืม! ทุกคนที่อาจช่วยกันได้ จงอยู่เป็นกลุ่ม! ช่วยเหลือกันและกัน!” ฟลอเรสสั่ง พร้อมหันมองฟ้าครึ้มที่เริ่มปกคลุมไปด้วยเมฆดำทมิฬ เสียงคำรามของพายุและคลื่นยักษ์ก่อตัวเป็นสัญญาณเตือนภัยสุดอันตราย“คืนนี้…เราจะไม่ปล่อยให้อ
ลมทะเลพัดกลิ่นเกลือและควันไฟเข้ามาในตรอกแคบๆ ที่เต็มไปด้วยเสียงสลับระหว่างนักดนตรีเร่กับคนเมาหัวเราะ อีธานสวมเสื้อคลุมหนา ดึงฮู้ดปิดหน้า ลอบเดินผ่านผู้คนไปจนถึงหน้าประตูใหญ่ของคฤหาสน์หินสีขาวที่มีตราสัญลักษณ์ “ดอกบัวคราม”ยามสองคนไขว้หอกขวางทาง “ไม่มีนัดหมาย ห้ามเข้า”อีธานยื่นตราประทับโลหะที่สลักเป็นรูปดาบไขว้เหนือคลื่น “บอกเจ้าชายฟลอเรสว่า อีธานแห่งวาลคีร์ มาขอพบ และนี่คือเรื่องเกี่ยวกับสมบัติแห่งมหาสมุทร”ยามสบตากันเล็กน้อย ก่อนจะส่งสัญญาณ เปิดประตูให้เขาเข้าไปในห้องโถงหินอ่อนแสงจากคบเพลิงสะท้อนกับกระจกสี ทำให้เงาร่างของชายผู้กำลังนั่งบนบัลลังก์ไม้แกะสลักดูยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าเดิม — เจ้าชายฟลอเรส สวมเกราะเงินบางๆ และผ้าคลุมยาวสีกรมเข้ม ดวงตาคมกริบสีฟ้าเหมือนน้ำลึก“นานเท่าไหร่แล้ว…ที่เจ้ามาเยือนโดยไม่ส่งสาส์น” ฟลอเรสเอ่ยเสียงเรียบ แต่แฝงความระแวงอีธานค้อมหัว “ข้าไม่มีเวลาส่งสาส์น ที่จริง…ข้าแทบไม่มีเวลาเหลือเลย”ฟลอเรสเลิกคิ้ว “พูดมา”อีธานก้าวเข้าใกล้ ดึงแผนที่ผืนเก่าออกมา วางลงบนโต๊ะตรงหน้า จุดหนึ่งบนแผนที่มีรอยไหม้รูปวงกลม และเส้นลายมือวิ่งออกจากมันไปยังหลายทิศทาง“ราชินีเซอร์เพ็
คลื่นยักษ์ซัดกระแทกเข้าด้านข้างราวกับมีภูเขาน้ำถล่มลงมา นีร่าพยายามยืนหยัดบนแผ่นไม้ลอย แต่ทันใดนั้น เงาดำสองสายพุ่งขึ้นจากความมืดใต้ผิวน้ำ ราวกับลูกศรที่ยิงจากนรกฉัวะ! กรงเล็บแหลมของเงือกนักรบปักลงบนแขนเธอ เลือดอุ่นไหลออกผสมกับน้ำทะเลเย็นเฉียบ ดรานตะโกนชื่อเธอ แต่ไม่ทัน — อีกตัวโอบรัดรอบเอว ลากเธอดิ่งลงไปใต้ผิวน้ำอย่างรวดเร็วเสียงทะเลถูกแทนที่ด้วยเสียงหัวใจเต้นโครมครามในหัวของนีร่า โลกกลายเป็นสีฟ้ามืดขุ่นเต็มไปด้วยฟองน้ำและเงาที่ไหวไปมา เงือกนักรบสองตัวเคลื่อนไหวเร็วราวสายฟ้า กล้ามเนื้อแขนแข็งราวกับเหล็ก บังคับเธอให้ผ่านช่องหินใต้น้ำคาเอลพุ่งตามลงมา แทงหอกสั้นใส่หนึ่งในนั้น เลือดสีฟ้ากระจายเป็นหมอกในน้ำ แต่เงือกอีกตัวฟาดหางกระแทกเขาจนกระดูกดัง กร๊อบ คาเอลลอยกระเด็นไปกระแทกหิน ดรานดำน้ำตามแต่ถูกฝูงเงือกเสริมกำลังเข้าขวางเป็นชั้นๆนีร่าพยายามดิ้น เธอกัดฟันบังคับร่างให้ไม่กลืนมากเกินไป แต่น้ำเค็มก็เริ่มแทรกเข้าปอด ลูกแก้วในมือส่องสว่างแรงขึ้นจนแทบเผามือ เงือกที่จับเธอเหลือบตามองแสงนั้นและยิ้มเยาะ “ราชินีของเรา…จะดีพระทัยมาก” เสียงมันดังในหัวราวกับพูดผ่านน้ำช่องหินเปิดออกสู่โพรงมหึมาท
คลื่นกลางคืนซัดกระแทกตัวเรือรบขนาดมหึมาที่โคลงเคลงไปมากลางท้องทะเล แสงตะเกียงน้ำมันเรียงรายบนดาดฟ้าเหมือนดวงดาวลอยอยู่บนผืนน้ำ เสียงโซ่และล้อหมุนของปืนใหญ่หมุนเข้าที่ดัง ครืด…ครืด… ผสมกับเสียงตะโกนของลูกเรือที่เร่งเตรียมศึกกัปตันแบร์กตัน — ชายร่างสูงใหญ่ ผิวกร้านจากเกลือทะเล ดวงตาข้างหนึ่งปิดด้วยที่ปิดตาหนังฉลาม — ยืนเท้ากับหัวเรือ เขามองไปทางทิศตะวันตกด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความระแวงผู้ช่วยส่วนตัวรีบวิ่งขึ้นมารายงาน “ท่านกัปตัน! ข่าวจากฝั่งตะวันออก…มีการเคลื่อนไหวของพลังโบราณในเขตวิหารใต้ทะเล”แบร์กตันหรี่ตา “เป็นข่าวจริงหรือข่าวลวง?”ชายหนุ่มกลืนน้ำลาย “คนของเราที่ประจำหมู่เกาะดานวินยืนยันแล้ว เห็นแสงจากใต้ทะเล…และน้ำปั่นวนเหมือนมีอะไรตื่นขึ้น”แบร์กตันไม่พูดอะไร เขาหันไปมองกลุ่มคนที่กำลังขึ้นเรืออีกลำ — กลุ่มชายหญิงในชุดเกราะสีเงินขลิบทอง มีตราสัญลักษณ์ดาบบนอก ผู้นำของกลุ่มนั้นก้าวออกมา — “ผู้รักษากฎ” หญิงผมยาวสีดำขลับ ดวงตาสีเทาเย็นเฉียบ เธอชื่อ เซเลน่า เสียงเธอดังก้องเหนือเสียงคลื่น“กัปตันแบร์กตัน…พลังที่ตื่นขึ้นคือ ‘ผู้ถือสมดุล’ หากปล่อยให้ตกอยู่ในมือผิดคน มหาสมุทรจะลุกเป็นไ
เสียงหยดน้ำจากเพดานสูงหยดลงแอ่งน้ำดัง ติ๋ง...ติ๋ง แต่แล้วเสียงนั้นก็ถูกกลบด้วยเสียงครืดๆ เหมือนโซ่เหล็กถูกลากไปตามหินดรานยกดาบขึ้นพร้อมคำรามต่ำ “พวกมันมาแล้ว”เงามืดตรงทางเข้าขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะเผยให้เห็นร่างสูงใหญ่ของเงือกพิทักษ์เกราะปะการัง ดวงตาสีแดงเรืองแสง และแหลมขวานหินยาวเกือบครึ่งตัว มันไม่มาเพียงตัวเดียว — เบื้องหลังยังมีอีกสองร่างโผล่ตามมาเป็นปีกซ้ายขวาคาเอลกลืนน้ำลาย “บอกข้าเถอะว่าพวกนั้นแค่มาแจกโบรชัวร์ต้อนรับ ไม่ใช่มาหั่นพวกเรา”นีร่าก้าวขึ้นหน้า พลังจากลูกแก้วที่สลายไปยังวนเวียนรอบตัวเธอ น้ำรอบเท้าเริ่มสั่นเป็นวงคลื่น “เราต้องออกไปจากที่นี่ก่อนที่ทางออกจะถูกปิด”“ปิด?!” คาเอลเงยหน้ามองรอยแยกเหนือเพดานที่เริ่มมีเศษหินร่วง “เดี๋ยวนะ! ข้าพึ่งล้างผมเมื่อเช้า!”เสียงคำรามของเงือกพิทักษ์ก้องสะท้อนทั่ววิหาร พวกมันพุ่งลงน้ำแล้วโผล่ขึ้นตรงทางเดินกลางน้ำด้วยความเร็วราวกับฉลามดรานปัดการโจมตีของตัวแรก ดาบกระทบขวานจนประกายไฟกระจาย “นีร่า! ใช้พลังของเจ้าซะ!”เธอหลับตา มือทั้งสองกวาดขึ้น — น้ำจากแอ่งดำพุ่งขึ้นกลายเป็นผนังน้ำขวางทาง แต่แรงของพวกมันก็ทุบทะลุจนผนังแตกกระจายเป็นฝ
อุโมงค์หินใต้ดินคดเคี้ยวและแคบจนแทบต้องคลาน รอยสลักเวทมนตร์เรืองแสงสีน้ำเงินริบหรี่เป็นระยะ แสงจากเปลวไฟพกพาทำให้เงาทั้งสามยาวยืดบนผนังเหมือนปีศาจในตำนานคาเอลหอบเบาๆ ขณะคลานตามหลังดราน “อย่าเข้าใจผิดนะ ข้าไม่กลัวที่มืด...แค่ไม่ค่อยถูกกับที่ที่ มีอะไรดุกว่าข้าอยู่ข้างหน้า เท่านั้นเอง”“เงียบหน่อย” ดรานสบถเบาๆ “เสียงสะท้อนมันดังไกลมากที่นี่”“โอเค โอเค ข้าจะเงียบ…หลังจากบอกว่าเข่าข้าไปบี้หอยที่พื้นนี่เข้าแล้วแน่ๆ มันแหลมเหมือนมีความแค้น!”นีร่าอดหัวเราะไม่ได้ “นี่ถ้าติดเกราะเหมือนเงือกที่เมืองใต้น้ำ คงรอดหอยได้ล่ะมั้ง”คาเอลยักคิ้วให้ทั้งคู่ แม้ในความมืด “พวกนั้นเกล็ดหนา ฉันแค่...บางกว่า นุ่มกว่า เรียกได้ว่าเป็นเงือกฉบับขนมปังปิ้ง”ดรานหลุดขำจมูก “เงือกขนมปังปิ้งเนี่ยนะ”“ใช่ และขนมปังปิ้งจะพาคุณรอดจากความตายได้ทันใดนั้น แผ่นหินใต้เท้าพังครืดลง! ทั้งสามร่วงลงไปในโพรงเบื้องล่าง ก่อนจะกระแทกพื้นน้ำตื้นเสียงดัง ซ่า!นีร่าดีดตัวลุกขึ้นก่อน มือลูบน้ำออกจากตา “ทุกคนปลอดภัยไหม!?”“ขาอยู่ แขนอยู่” ดรานคราง“ข้าเจอน้ำ...แล้วก็หอยอีก” คาเอลพูดพลางดีดเปลือกหอยออกจากคอเสื้อ “เอาจริงนะ—ข้าเริ่มคิด