“มันทำอะไรแบบนี้ได้ด้วยเหรอ”
ความตกอกตกใจของมิวยังไม่สร่าง เขาทบทวนทุกอย่างด้วยน้ำเสียงกระวนกระวาย เพื่อให้แน่ใจว่าความมึนเมาไม่ได้หลอนประสาทหูของตัวเอง
ดวงอาทิตย์รุ่งสางเริ่มทอประกายแสดจากภายนอกอาคาร ทว่าแสงสว่างนั้นก็ไม่อาจสาดส่องความอึมครึมแห่งความสับสนให้กระจ่าง
ทุกอย่างไปไกลเกินการควบคุม ฉีกทุกกฎการเรียนรู้ของมิวที่สะสมมานานยี่สิบสี่ปี เขาหวนคิดถึงนักเดินเรือสมัยก่อนที่ค้นพบทวีปใหม่ มันทั้งตื่นและชวนให้รู้สึกอันตรายไปพร้อมกัน
“ตอนนี้มนุษย์รอบตัวนายไม่มีใครเชื่อใจได้สักคน” ดันเต้เกลี้ยกล่อม “เป็นเอกเป็นคนพาอาร์เต้ไปสัก ผู้จัดการร้านของนายอาจเป็นผู้ช่วยของคิวปิดอยู่ก็ได้”
มิวใส่คะแนนให้ดันเต้ไปอีกหนึ่งแต้มเมื่อฟังจบ ถึงไม่เห็นกับตาแต่ด้วยม่านควันบังตาทำให้ ความน่าเชื่อถือของคิวบัสนั้นมากกว่ารุ่นน้องคนสนิท
“พวกนั้นอาจลงมือกับนายอีกเมื่อไหร่ก็ได้ ถ้าหากนายโดนจับไปทำอะไรแบบที่อาร์เต้โดน แล้วนายเกิดเกลียดฉันขึ้นมา ตอนนั้นฉันคงเข้าใกล้นายไม่ได้อีกต่อไป”
มิวใส่คะแนนเพิ่มให้ดันเต้อีกสองคะแนน เพราะน้ำเสียงของดันเต้ฟังดูเศร้าสร้อย และท่าทางเป็นห่วงเป็นใยนั้นสมจริงมากในสายตาของมิว
“เวลาของพวกเราเหลือน้อยลง ฉันรู้สึกได้ว่าพวกนั้นจ้องจะเล่นงานไม่ฉันก็นาย”
“ทำไมพวกนั้นต้องเล่นงานฉัน ฉันไม่ได้ทำอะไรใครสักหน่อย”
“เพราะนายมีกลิ่นที่พิเศษอยู่ในตัว” ดันเต้เปลี่ยนโทนเสียงให้ฟังดูลึกลับ “การได้คุยกับเพื่อนฉันเมื่อครั้งก้อนทำให้ฉันนึกถึงมนุษย์คนหนึ่งได้ เขามีกลิ่นที่คล้ายของนาย และทุกรายก็โดนคิวปิดเล่นงาน”
“ยังไง? แล้วทำไมนายเพิ่งนึกอะไรออก?”
“ถ้านายมีอายุยืนยาวเป็นร้อยเป็นพันปีแบบฉัน นายไม่มีทางจำทุกช่วงเวลาได้อย่างแม่นยำหรอก”
“แล้ว…? ฉันต้องทำตามที่นายบอกเท่านั้นเหรอ? แล้วถ้าเกิดทุกอย่างเปลี่ยนไปล่ะ ถ้าฉันไม่ใช่เป้าหมายของพวกนั้นล่ะ?”
“งั้นก็ถือเป็นเรื่องดี” ดันเต้ยิ้มแฉ่ง “นายก็คิดเสียว่าการโอบอุ้มเมล็ดพันธุ์ปีศาจเป็นการรักษา”
เมื่อพูดถึงการรักษามิวก็นึกน้อยถึงความเจ็บปวดที่ผ่านมา ไม่น่าเชื่อว่าการที่น้องชายไม่แข็งตัวจะสร้างบาดแผลทั้งทางกายและใจได้มากขนาดนี้
ครั้งหนึ่งมิวเคยเข้ารับการรักษาด้วยการฝังเข็ม ไอ้แท่งเหล็กเล็กๆยาวๆนับร้อยทิ่มไปทั่วร่างกาย ถึงมันจะไม่ได้เจ็บจนทนไม่ไหว ทว่าก็สร้างความอึดอัดและทรมานจิตใจ ตลอดช่วงเวลาที่ไอ้เข็มนั่นอยู่ฝังอยู่ในเนื้อตัว มิวทำแบบนั้นอยู่นานหลายเดือนกระทั่งมั่นใจว่าไม่หายจึงล้มเลิก
ยังมีการใช้ไฟฟ้ากระตุ้นตามเส้นประสาท การใช้ปลิง กรีดเลือด ความร้อนหรืออุณหภูมิเย็นจัด และอื่นๆที่เสี่ยงอีกมากมาย บางวิธียังทิ้งร่องรอยตราบจนวันนี้
รวมถึงบาดแผลทางจิตใจที่ต้องดื่มหรือกินอะไรพิสดาร และความเครียดสะสม ทั้งหมดให้ผลเป็นศูนย์จนกระทั่งดันเต้นำความฝันสุดแสนวิเศษมาให้
คงเหลือแค่เวทมนตร์เท่านั้นที่มิวยังไม่ได้ลอง หากไม่นับการทำบุญกับทรงเจ้า
“หรือนายยังอยากให้ใช้วิธีตามสืบแบบเดิมก็ได้ เสียเวลาไปกับเบาะแสที่ไม่เคยได้รับเพิ่ม ตามหาคนที่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน และมาลุ้นว่าเขาจะช่วยหรือเปล่า” ดันเต้ยังคงข่มขวัญอย่างต่อเนื่อง “สุดท้ายถ้าล้มเหลวขั้นใดขั้นตอนหนึ่ง ก็เท่ากับเสียเวลาที่ไม่รู้ว่าจะนานกี่ปีกี่ชาติไปโดยเปล่าประโยชน์”
ฟังก็รู้ว่าดันเต้กำลังกระแนะกระแหน แต่ที่มิวไม่รู้คือ… ปีศาจนิสัยเหมือนคนด้วยเหรอ
“ถ้าวิธีที่ฉันบอกแค่สามเดือนเห็นผลชัดเจน” ดันเต้ยักไหล่
“แน่ใจใช่ไหมว่าวิธีนี้ของนายจะทำให้ฉันหายแน่นอน” มิวลังเล
“ชัวร์! ถึงฉันจะไม่ค่อยได้ลงตราปีศาจใส่มนุษย์บ่อยก็ตาม แต่ฉันรู้ดีว่ามันทำอะไรได้บ้าง” ดันเต้ไม่ลดละความพยายามเจาะเกราะป้องกัน และลดแรงต่อต้านในจิตใจของมิว “นายแค่รับเมล็ดพันธุ์ของฉันไปฟูมฟักแค่สามเดือน เผลอแป๊บเดียว นายไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำว่าชีวิตได้กลับไปเป็นปกติแล้ว”
สามเดือนเพื่อยุติความทุกข์ทรมานในจิตใจมานานหลายปี หากคำนวณทุกอย่างแล้วก็นับว่าคุ้มค่าพอตัว การแบกท้องโตๆไปไหนมาไหนมันคงไม่ลำบากเท่าไหร่หรอก ในเมื่อร่างกายความเป็นชายของมิวมีความแข็งแกร่งขนาดนี้ อีกอย่างไอ้เมล็ดพันธุ์นั้นคงไม่น่าหนักเกินกว่าแมวหนึ่งตัว
“ฉันเชื่อใจนายได้ใช่ไหม?”
คำถามสั้นๆ ของมิวคือคำถามสุดท้ายก่อนตัดสินใจ กลั่นกรองออกจากก้นบึ้งของจิตใจ เขาพร้อมเสี่ยงกับทุกอย่างหากมันคุ้มค่ามากพอ
ปีศาจในอุดมคติของมนุษย์ทั่วไปนั้นต้องเจ้าเล่ห์เพทุบาย คิดคดทรยศต่อศรัทธาทุกวินาที แม้ดันเต้จะดูแตกต่างกับภาพจำ ทว่า… ยังไงเขาก็เป็นปีศาจ
การกระโดดเข้าหาสิ่งอันตรายที่ไม่เคยเจอกับใครสักคน ต้องอาศัยความไว้วางใจอย่างสูง มิวต้องมั่นใจว่าอีกฝ่ายรักษาทุกคำพูด
“นายเชื่อใจฉันได้แน่นอน” ดันเต้กล่าวอย่างหนักแน่น “เพราะในเมล็ดพันธุ์นั้นมีจิตวิญญาณครึ่งหนึ่งของฉันอยู่ข้างใน ฉันเองก็ต้องไว้ใจและเชื่อใจอีกฝ่ายเหมือนกัน หากเขาคนนั้นเป็นอะไรไปนั่นหมายถึงฉันเองก็อาจต้องพบจุดจบไม่ต่างกัน”
เด็กหนุ่มลอบกลืนน้ำลาย นอกจากชีวิตตัวเองแล้วยังต้องดูแลชีวิตคนอื่นอีกด้วย
“ปีศาจส่วนใหญ่รู้ดีว่าหากเมล็ดพันธุ์นั้นเมื่อเบ่งบานออกมาจะให้พลังแห่งการกำเนิดที่ยิ่งใหญ่ แต่ด้วยความเสี่ยงก็ไม่ค่อยมีใครทำกัน”
“นายหมายถึงไอเมล็ดพันธุ์นั้นมีความสามารถอื่นอีกเหรอ?”
“ใช่! พวกเราจะนำมันไปให้ลอร์ดเพื่อสร้างปีศาจตนใหม่ขึ้นมาได้ หรือประสาทพรให้แก่มนุษย์ได้หนึ่งข้อ”
“ประสาทพร?”
“ขอพรที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เป็นอยู่… ที่เคยเป็น… หรืออาจจะเป็น… ได้หนึ่งอย่าง ยกเว้นสิ่งที่ต้องพัวพันกับกาลเวลา”
“เหมือนพวกยักษ์ในตะเกียงเหรอ?”
“จะว่างั้นก็ไม่ผิด” ดันเต้ยืดตัวขึ้นสูงใหญ่ จนเงาพาดผ่านอีกร่าง
“น่าสนใจ” มิวนึกถึงสิ่งที่ตัวเองจะเสียและได้รับคืนอย่าง่าย เขามองว่าคุ้มค่า… นอกจากโรคบ้านี่จะหายแล้ว ยังได้ข้อพรอีกข้อ ทว่าอีกใจของมิวตะโกนด่าตัวเองอย่างเงียบๆว่า ‘มึงก็เชื่อเขาเนอะ… ไอ้มิว!’
“ถ้าฉันยื่นข้อเสนอนี้ออกไป ไม่ว่ามนุษย์หน้าไหนก็ตอบรักโดยไม่ต้องคิดด้วยซ้ำ” ดันเต้ไม่เลิกกดดันเมื่อมองเห็นหนทางบรรลุประสงค์อยู่ตรงหน้า “แค่สามเดือนแลกกับความสุขนิรันดร์ของนาย… หากตีคำว่านิรันดรเป็นตัวเลขยังไมันก็ล้ำค่ามากกว่าไม่ใช่เหรอ?”
เด็กหนุ่มแทบไม่มีเวลาให้ครุ่นคิดนาน มิวเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าดันเต้เป็นปีศาจหรือเซลล์ขายของกันแน่
ด้วยวัยวุฒิที่เหนือชั้นกว่าหลายร้อยหลายพันปี รวมกับลักษณะร่างกายสูงใหญ่ ทำให้ผู้ฟังรู้สึกอันตรายหากจะต่อกร และรู้สึกปลอดภัยหากได้รับการปกป้อง
การระมัดระวังตัวของมิวลดลงเมื่อถูกป้อยอด้วยภาพฝันเหนือสุดขอบจินตนาการ อำนาจล้นเหลือที่ดันเต้เสกสรรปั้นแต่งนั้น ล่อลวงได้แม้กระทั่งคนที่ไม่ค่อยโลภยังหลังกลจนดวงตาลุกวาว
“แล้วถ้าฉันรับข้อเสนอจากนาย ฉันจะเป็นยังไง? หมายถึงจะเกิดอะไรขึ้นกับฉันบ้าง?”
“ถ้าตราปีศาจถูกเปิดใช้งานท้องของนายจะโตขึ้นความเร็วเป็นสองเท่าของการตั้งท้องปกติของมนุษย์ แต่เมล็ดพันธุ์จะใช้เวลาฟูมฟักแค่สามเดือน เพราะฉะนั้นท้องของนายก็ไม่ใหญ่มาก”
“ฉันต้องกลายเป็นคนท้องนี่นะ!”
“ไม่เชิงหรอก นายจะเหมือนคนท้องก็จริง แต่เมล็ดพันธุ์จะไม่ได้เข้าไปอยู่ในท้องของนาย แต่จะสร้างกระเป๋าหน้าท้องคล้ายม้าน้ำตัวผู้” ดันเต้ตั้งใจอธิบายราวกับกำลังดูแลลูกค้าที่เข้ามาซื้อประกันชีวิต “แต่อย่างที่บอกเมล็ดพันธุ์จะเชื่อมโยงสายสัมพันธ์เข้ากับประสาทสัมผัสของนาย ดังนั้นนายอาจจะรู้สึกไม่ค่อยสบายเนื้อสบายตัว เพราะจะรู้สึกเหมือนคนท้องจริงๆ”
“ละ… แล้วฉันต้องคลอดเองด้วยไหม?” มิวคิดถึงความเจ็บปวดจากคลิปคลอดลูกที่มีพระอาจารย์เคยเปิดให้ดูตอนเด็ก “แล้วมันจะออกมาทางไหน? ไม่ใช่ที่ฉันกำลังคิดอยู่ใช่ไหม?”
“ไม่!” ดันเต้อดขำกับสีหน้าประหวั่นพรั่นพรึงของมิวไม่ได้ “เมื่อถึงเวลาที่เมล็ดพันธุ์เติบโตเต็มที่ ฉันจะรับรู้แล้วปลดปล่อยมันออกให้ด้วยการเสพสังวาสเป็นครั้งสุดท้าย”
“บ้าฉิบ! ฉันต้องกลายเป็นเครื่องมือบำเรอกามของนายจนกว่าไอ้เมล็ดนี้มันจะโตเต็มที่สินะ”
ถึงจะฟังดูไม่แย่เท่าไหร่แต่มิวก็คิดภาพตัวเองเป็นเมียของใครไม่ออก อันที่จริงชายหนุ่มไม่เคยคิดถึงตำแหน่งนี้มาก่อนเลยด้วยซ้ำ
“เมื่อเมล็ดพันธุ์กักเก็บพลังได้มากพอมันจะปลดปล่อยตัวเอง แล้วครรภ์เทียมจะแยกออกจากตัวนายเอง”
“มันแบบ… ไม่มีเลือดหรือแบบ ร่างกายของฉันต้องฉีกขาดอะไรไหม? ฉันเห็นในหนังเอเลี่ยนที่มันต้องแหวกอกออกมาอะไรแบบนั้น”
“ไม่เลย! ความเจ็บปวดเดียวที่นายจะได้รับก็คือตอนฉันสอดองค์กำเนิดของฉันเข้าในตัวนาย แต่ฉันมั่นใจว่านั่นคงไม่ใกล้เคียงกับคำว่าเจ็บปวดด้วยซ้ำ”
ความทะลึ่งตึงตังไม่อาจสยบความว้าวุ่นของมิวได้หมด มิหนำซ้ำมันยังทำให้จินตนาการของเขาเตลิดไปยังสิ่งที่ไม่ถูกไม่ควร
“นายทำให้ฉันกลัว”
“เวลานั้นมาถึงสีหน้านายจะไม่ใช่แบบนี้แน่นอน” ดันเต้ยักคิ้วเฝ้ามองอีกฝ่าทำท่าทางขยะแขยง
ปีศาจคิวบัสเฝ้ามองใบหน้าแดงระเรื่อของมิวหนุ่มไม่ลดละ เขารู้สึกว่าความบริสุทธิ์เป็นความน่ารักที่พบเจอได้จากมนุษย์เพียงเท่านั้น
ผิดกับมิวที่เริ่มถูกมลทินครอบงำ จิตใจเริ่มละโมบและหื่นกระหาย ดวงตาของเขาถมึงทึง สันกรามอ้าค้าง จมูกยับย่น
จินตนาการในหัวยังไม่เด่นชัดเท่าไหร่ ทว่าก็เห็นภาพเค้าลาง มิวพลันคิดว่าหากมีหลักสูตรหรือตำราสอนเรื่องพวกนี้มาก่อนก็คงดี เขาจะได้รับมือกับมันได้อย่างแม่นยำ
“เฮ้! รู้ไหมว่าฉันอาจเป็นสิ่งแปลกใหม่และแปลกหน้าสำหรับนาย” ดันเต้โปรยรอยยิ้มอบอุ่นออกมา “แต่แค่มองแววตานายฉันก็รู้ว่านายกับฉันเราเหมือนกันมากกว่าที่คิด นายเป็นเด็กกำพร้าส่วนฉันก็ไม่มีพ่อแม่ ความรู้สึกโดดเดี่ยวท่ามกลางผู้คนมากมายนั้นน่ะ ฉันเข้าใจนายดีนะมิว”
“เมื่อไหร่นายจะเลิกอ่านใจฉัน”
“ฉันเปล่า! ความคิดของนายยุ่งเหยิงเกินกว่าจะอ่านได้ แต่สายตาของนายตอนมองฉันมันบอกทุกอย่างแล้ว”
เด็กหนุ่มหน้าแดงก่ำหลุบสายตาลงต่ำ
“หลังจบเรื่องนี้แล้ว… ถ้านายลองขอพรให้ครอบครัวกลับมา มันอาจจะเป็นจริงก็ได้นะ”
จังหวะรบเร้าของดันเต้ผ่อนคลายลงเมื่อมั่นใจว่าเหยื่อในมือไม่มีทางหนีไปไหนแล้วแน่นอน เขาพยายามนิ่งให้มากขึ้นเพื่อรอจังหวะช้อนปลาตัวน้อยขึ้นจากน้ำ
“ครอบครัวเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนควรมีไม่ใช่เหรอ?”
ภายนอกร่างกายที่สงบนิ่งข้างในกลับตื่นเต้นจนเกินจะควบคุม “ตกลง! ฉันจะยอมทำตามที่นายบอก”
คำยืนยันโพล่งออกมาจากริมฝีปากหนานุ่ม มิวรีบตัดสินใจเพราะรู้ว่าขืนช้ากว่านี้ จิตใจอีกด้านจะยื้อยุดฉุดเขาไปอีกทาง
“แล้วแบบ… ฉันต้องเตรียมตัวอะไรบ้าง?” มิวอึกอัก “หรือต้องรอฤกษ์ยามอะไรไหม?”
“ไม่ต้องเตรียมตัว! ไม่ต้องรอ! พวกเราสามารถเริ่มทำกันได้เลย”
“อย่างนั้นเหรอ?” มิวบีบมือแน่น พยายามกดความหวั่นไหวซ่อนลงไปให้ลึกสุดของจิตใจ
“นายแค่เตรียมใจก็พอ เพราะฉันต้องใช้อีกร่างเพื่อทำพิธี”
“ทวดของผม” โพรงปากของเด็กหนุ่มอ้าค้างจนมองเห็นลิ้นไก่ข้างในลึกสุด “นี่พี่เกิดสมัยอยุธยาเป็นเมืองหลวงเลยไหมเนี่ย?” “ไม่นานขนาดนั้น” เสียงหัวเราะร่วนของเป็นเอกดัง “พี่เกิดหลังทวดของนายไม่กี่ปี ปี พ.ศ. สองพันสี่ร้อยกว่าเห็นจะได้” “แล้วพี่เป็นใครกันแน่?… ผีบรรพบุรุษส่งให้พี่มาดูแลตระกูลของผมหรือยังไง?” “ฉันว่าเรื่องของนายเหลือเชื่อกว่าเรื่องของฉันอีก” ยังไม่ทันจะต่อความยาวสาวความยืด เสียงฝีเท้าตึงตังก็ดังมาจากบันไดไม้ หญิงสาวแรกรุ่นพรวดพราดเข้ามาในห้องนอนที่ชายทั้งคู่อยู่ เธอกระโจนเข้าหาเป็นเอกและสวมกอดรอบคอจนแน่น “คิดถึงคุณลุงจัง” น้ำเสียงของหญิงสาวสดใสพอกันกับหน้าตา ดวงตาของเธอสุกใสเป็นประกาย ผิวหนังเนียนหนุ่มอ่อนเยาว์สมกับการเป็นสาวแรกรุ่น “คิดถึงลุงหรือคิดถึงของฝากกันแน่” มือของชายผู้แก่กว่ามากลูบศีรษะอย่างเอ็นดู “ก็ต้องคิดถึงคุณลุงอยู่แล้วสิคะ” “ถ้าอย่างนั้นวันนี้ลุงไม่มีของฝาก นิดหน่อยก็จะยังคิดถึงลุงอยู่ใช่ไหม?” หญิงสาวตัวเล็กยืดตัวขึ้นทำแก้มป่อง “ไม่มีจริงเหรอ?”
ไม่ได้มีโอกาสบ่อยนักที่อาร์เต้จะได้อ้าแขนกอดรับดวงอาทิตย์ยามสาย ถึงมันออกจะร้อนสักหน่อยก็เถอะแต่สำหรับชายหนุ่มที่ไม่ค่อยชอบชีวิตช่วงกลางคืนเท่าไหร่นัก นี่ก็นับว่าเป็นคุ้มค่าที่จะแลก หลังจากได้ฟังเรื่องราวอันไกลเกินขอบเขตของความเชื่อมาแล้ว แววตาของอาร์เต้ตอนมองเป็นเอกกลับไม่ได้ต่างจากเดิมเท่าไหร่ หากไม่ใช่เพราะยังไม่เชื่ออย่างสมบูรณ์แบบบ ก็คงเป็นเพราะอคติบางอย่างที่สร้างความเอนเอียง ความรู้สึกในใจของชายทั้งสองไม่อาจถูกคั่นกลางด้วยสิ่งแปลกปลอม ระยะห่างระหว่างกันยังคงเส้นคงวา ไม่อาจใกล้มากกว่านี้หรือถอยห่างจากที่เป็น ถึงหมุดหมายของทริปนี้เป็นเอกจะบอกไว้ว่าเป็นการออกตามหาความจริง ทว่าอาร์เต้มองแตกต่างออกไป เขาคิดเงียบๆ อยู่คนเดียวว่าการเดินทางครั้งนี้เป็นเสมือนการออกเดตนอกสถานที่ครั้งแรกของพวกเขา นั่นเลยช่วยทำให้รู้สึกดีมากกว่ากังวล อาร์เต้ไม่เอ่ยถามถึงจุดหมายปลายทาง เขารู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่ยอมพูดอะไรแน่นอน ซึ่งเป็นเอกก็คิดเช่นนั้น ชายแก่ในร่างหนุ่มคิดไว้ว่าการอธิบายกลางอากาศอย่างเดียว คงไม่หนักแน่นพอจะยืนยันทุกอย่าง ท้องฟ้าปลอ
เมื่อความสุขสุดขีดพุ่งสูงจนทะลุหลอด ความเหนื่อยล้าก็เข้ามาห่อหุ้มร่างกึ่งเปลือยเปล่าของเด็กหนุ่ม หน้าอกภายใต้เสื้อตัวบางกระเพื่อมหนักหน่วง ริมฝีปากเผยออ้าเติมอากาศเข้าไปทดแทนกับที่ขาดหาย ใบหน้าฝาดก่ำด้วยสีเลือดสดๆ และเข้มมากขึ้นไปอีกเมื่อนึกถึงความดังของเสียงที่เพิ่งเปล่งออกไป ท่อนล่างโล่งโจ้งเลอะเทอะด้วยคราบของเหลวจากร่างกาย ในใจของมิวร้องตะโกนกู่ก้องเมื่อความรู้สึกที่อัดอั้นถูกระบายออกมาได้เสียที นั่นเป็นสิ่งประจักษ์แน่ชัดแล้วว่า ร่างกายและความเป็นชายได้กลับเป็นปกติอย่างที่ควรจะเป็น ทว่าก็ยังรู้สึกติดค้างบางอย่างแถวก้นบึ้งของจิตใต้สำนึก รอยยิ้มกางกว้างบนใบหน้าเรียวงาม เด็กหนุ่มรีบจัดแจงตัวเองให้เรียบร้อย ด้วยกลัวจะมีใครเปิดประตูเข้ามา การโดนมองเห็นไม่น่าหนักใจเท่ากับการโดนล้อ มิวนึกออกว่าดันเต้จะพูดอะไรบ้างหากเห็นสภาพของเขาในตอนนี้ ‘ไม่คิดจะชวนกันสักหน่อยเหรอ?’ ‘ทำไมนายถึงหนีมาสนุกคนเดียวล่ะ!’ ‘อีกรอบไหม?’ ‘คิดถึงดุ้นยักษ์ของฉันล่ะสิ!’ น้ำเสียงทะลึ่งตึงตังรวมกับสีหน้าหื่นกระหายของดันเต้ ผุดขึ้นมาใน
ความเงียบบรรเลงดนตรีกระซิบข้างใบหู ความเหนื่อยล้าขับกล่อมท่วงทำนองยืดยานจนชายหนุ่มหลับใหลไปอย่างง่ายดาย พื้นที่แสนปลอดภับโอบกอดมิวเอาไว้แน่นไปถึงความฝัน ชายหนุ่มทิ้งความหวาดระแวงเอาไว้ข้างเตียง และปล่อยความอิสระให้คืนสู่จิตใจ เวลาในกำมือหมดไปอย่างรวดเร็ว จนแอบนึกเสียไม่ได้ว่าสิ่งล้ำค่านี้ไม่เคยเพียงพอในหนึ่งชีวิต… ร่างกายของมิวนั้นฟื้นฟูได้ดีอย่างน่าเหลือเชื่อ ทั้งความเหนื่อยล้าหรือบาดแผลบนร่างกาย อันที่จริงเขาไม่จำเป็นต้องนอนเลยด้วยซ้ำหากในตัวมีเมล็ดพันธุ์ปีศาจอยู่ ความรู้สึกเบาสบายจากห้วงนิทราถูกความร้อนตรงท้องทำลาย เด็กหนุ่มกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงขนาดใหญ่ ลำตัวบิดงองุ่นง่าน การข่มตาให้หลับกลายเป็นเรื่องยากขึ้นทุกที การโดนร่างกายของตัวเองรังควานสร้างความหงุดหงิดนิดๆ มิวลืมตาตื่นนั่งพิงหัวเตียง ดวงตาแจ่มใสทั้งที่เพิ่งนอนไปได้แค่สองชั่วโมง ด้านล่างของลำตัวร้อนรุ่มอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนบาง ปลายเท้าบิดงอเข้าหากัน ต้นขาหนีบแน่นจนสะโพกเกร็ง อาการวูบวาบแผ่ซ่านจากศูนย์รวมความรู้สึกไปยังเส้นประสาท ดวงตาของมิวหั
เบื้องบนโปรยแสงรำไรออกมาจากมาจากรูโหว่อันดำมืดของท้องฟ้า เช้าวันใหม่นี้แสนอึมครึมไม่สดใส ส่งผลโดยตรงต่อจิตใจให้ขมุกขมัว หัวงมหรรณพแห่งเวลาสงบเสงี่ยมเฉกเช่นหนุ่มน้อยหน้าตาใสซื่อ ปกติท่าทีของอาร์เต้จะกระโดกกระเดกไม่เรียบร้อย บัดนี้กลับสงวนกิริยาขัดจากนิสัยปกติราวกับเป็นอีกคน อาจเพราะเขาถนัดการซ่อนมุมจริงจังเอาไว้เพื่อบดบังตัวตน จึงมีน้อยคนจะเคยได้เห็นอีกด้าน “ที่จริงแล้วพี่เลือกจะโกหกต่อไปก็ได้ แต่พี่ไม่อยากทำ” ชายวัยกลางคนนั่งบนโซฟาที่คุ้นเคย สายตาจับจ้องร่างเด็กกว่าตรงกันข้ามด้วยความสับสน หลังจากพยายามเลี่ยงการเปิดปากตอนอยู่ในรถอยู่นาน เขาก็มาถึงสถานที่เหมาะแก่การคายทุกอย่างออกมา “พี่รู้ว่ามันอาจจะฟังแล้วเหลือเชื่อไปหน่อย แต่พี่ก็อยากให้อาร์ตเปิดใจ” หนุ่มน้อยเอียงคอสงสัย ปกติเป็นเอกเป็นคนขึงขังอยู่แล้ว ยังมีเรื่องอะไรที่ทำให้ผู้จัดการร้านคนนี้หัวเสียได้มากกว่าเดิมอีกเหรอ “ผมเปิดใจให้พี่อยู่แล้ว… พี่รู้ใช่ไหม?” “แต่เรื่องที่พี่จะเล่ามันจะเปลี่ยนความคิดของนายที่มีต่อพี่ไปเลย” นี่คือสิ่งที่อาร์เต้ไม่ชอบ
การโดนสปอยด์ตอนจบไม่น่าอภิรมย์ของพิธีกรรมปีศาจที่ได้ยินจากปากของกามเทพ เป็นสิ่งที่มิวพกติดตัวออกจากห้องคุมขังมาด้วย หากเป็นก่อนหน้านี้เด็กหนุ่มคงดวงตาเบิกโพลง จิตใจแช่มชื่นเมื่อรู้ว่าตัวเองมีส่วนพัวพันกับเรื่องราวลี้ลับที่น้อยคนจะได้พบเจอ ตอนนี้ทุกอย่างตาลปัตรกลับด้านชวนใจหาย เขาเริ่มหวาดกลัวในสิ่งเหนือธรรมชาติที่ไม่อาจคาดเดาได้ และโทษที่ตัวเองคิดน้อยเกินไป บนถนนที่แออัดไปด้วยรถยนต์อุ่นหนาฝาคั่ง ในห้องโดยสารนั้นกลับอึดอัดมากกว่าข้างนอกนั่นหลายเท่า การหายใจไม่อาจทั่วท้องเมื่อต้องนั่งชิดติดอยู่กับความหงุดหงิด บรรยากาศธรรมดาที่สามารถพบเจอได้ทุกวัน ท้องฟ้าขมุกขมัวสาดไปด้วยแสงของดวงดาว เสียงบีบแตรและไฟท้ายของรถที่สะท้อนเข้าดวงตา ทุกอย่างในการมองเห็นตอนนี้กลับพิเศษเมื่อเด็กหนุ่มขาดหายไปหลายวัน ปกติมิวไม่ค่อยชอบคนขับรถที่ซอกแซกชีวิตส่วนตัวของผู้โดยสาร ยกเว้นวันนี้… เขารู้สึกอยากกดทิปให้หลายร้อยบาทเพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณที่ช่วยให้สมองวุ่นวายได้คิดเรื่องอื่นบ้าง คำพูดยาวเหยียดก่นด่าไปทั่ว ตั้งแต่ลม ฟ้า อากาศ รวมไปถึงปัญหาค่าครองชีพถูกยัด