เสียงเคาะแป้นพิมพ์ดังถี่รัวกลางดึก แสงจากหน้าจอโน้ตบุ๊กสะท้อนเงาใบหน้าเข้มขรึมของดนุ ชายหนุ่มนั่งลำพังในห้องทำงานที่ไม่มีหน้าต่าง แสงไฟสีขาวส่องลงบนกองเอกสาร รหัสผ่านที่เขาใส่ผ่านไปทีละชั้น จนกระทั่ง...ข้อมูลลับจากฝ่ายการเงินของบริษัทมีนาก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าเขาไม่ยิ้ม ไม่พูดสักคำ แค่จ้องข้อมูลนั้นนิ่ง ๆ ดวงตาของเขาไม่ได้แค่สื่อความมุ่งมั่น แต่มันเหมือนกับว่า ความเย็นชาที่เคยเก็บไว้ถูกปลดปล่อยออกมาทีละนิดเสียงประตูเลื่อนเปิดเบา ๆ มีนาก้าวเข้ามาช้า ๆ ร่มเปียกน้ำฝนยังคงหยดลงที่พื้น หญิงสาวยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่กล้าเดินต่อ"นายกำลังทำอะไร..."ดนุไม่หันกลับไปมอง เขาตอบเสียงเรียบ "สิ่งที่ควรทำตั้งนานแล้ว"หญิงสาวยืนอยู่นิ่ง ๆ มองแผ่นหลังของเขาที่ไม่ไหวติง เธอเม้มปากแน่น สายตาเริ่มแข็งขึ้น แม้เสียงจะยังเบาแต่มั่นคงกว่าเดิม"นายไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้เพื่อฉันก็ได้... ไม่ต้องเปลี่ยนตัวเองเป็นคนที่นายไม่อยากเป็น แค่เพราะเรื่องของฉัน"ดนุหยุดมือที่กำลังพิมพ์ ก่อนเอ่ยขึ้นเบา ๆ โดยไม่หันมา"เราสองคนไม่ได้อยู่ในสังคมเดียวกัน ต่อไปอย่ามาอีก" ดนุพูดโดยไม่หันกลับมา เสียงของเขานิ่งเรียบแต่เหมือนมีอะไรบาง
เสียงประตูห้องหนังสือภายในบ้านดังเบา ๆ พ่อของมีนาเดินเข้ามาในห้องอย่างเงียบเชียบ ก่อนจะวางแฟ้มเอกสารเล่มหนึ่งลงตรงหน้าลูกสาวมีนานั่งอยู่บนโซฟาเงียบ ๆ สีหน้าดูไม่แน่ใจนักว่าถูกเรียกมาทำไม จนกระทั่งชายวัยกลางคนผลักแฟ้มออกมาหาเธอช้า ๆ แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นจัด"มันไม่ได้รักแกหรอก แกคิดเหรอว่ามันจริงใจ? มันแค่หลอกใช้แกเพื่อประโยชน์ของมันเท่านั้น!"มีนาขมวดคิ้ว แต่ยังไม่พูดอะไรพ่อของเธอเปิดแฟ้มออก ภาพถ่ายเก่า ๆ หล่นออกมา พร้อมเอกสารหลายแผ่น"แหกตาดูซะ มันเคยเป็นหัวขโมย เคยถูกจับได้ที่งานการกุศล ถ้าตาแกไม่บอด ก็น่ารู้นะว่ามันไม่ใช่คนดี สันดานโจรชัด ๆ"หญิงสาวมองภาพเหล่านั้นอย่างช้า ๆ ภาพเด็กชายผอมบางในเครื่องแบบนักเรียน และรอยแผลบนใบหน้าที่เธอคุ้นตามากเกินไป"มันเป็นลูกของโสเภณี แม่ของมันเคยโดนคดีค้ามนุษย์ คนแบบนี้น่ะเหรอ ที่แกจะคบด้วย"มีนาเงยหน้าขึ้นช้า ๆ สายตาไม่หลบอีกต่อไป "แล้วถ้าเขาไม่ใช่แค่นั้นล่ะคะ? ถ้าเขาคือคนที่พยายามทุกอย่างเพื่อจะออกจากสิ่งที่ตัวเองไม่ได้เลือก?"พ่อของเธอชะงักไปเพียงนิด แต่ยังคงสีหน้าแข็งกร้าว"ฉันไม่สนว่ามันเปลี่ยนตัวเองไปเป็นแบบไหน แต่ที่แน่ ๆ มันคือลูก
ร่างของดนุนอนนิ่งบนเตียงขาวในโรงพยาบาล ห้องทั้งห้องเงียบจนได้ยินเสียงเครื่องวัดชีพจรเต้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ผ้าพันแผลยังพันอยู่เหนือคิ้ว บาดแผลใหม่ซ้อนทับร่องรอยเดิมที่ยังไม่ทันหายดีมีนานั่งเงียบอยู่ข้างเตียง มือเธอวางซ้อนอยู่บนมือเขา ไม่ได้ขยับ ไม่ได้เรียก แค่รับรู้ถึงอุณหภูมิที่ยังอุ่นอยู่ใต้ฝ่ามือ ดวงตาเธอแดงช้ำจากการร้องไห้ที่ไม่ได้ปล่อยให้ใครเห็น เสี้ยวหน้าเธอสะท้อนแสงไฟสีขาวของห้องพยาบาลอย่างหม่นหมองเธอสูดลมหายใจลึก ก่อนจะพูดเบา ๆ เหมือนกลัวว่าหากเสียงดังเกินไป เขาจะตื่นขึ้นมาแล้วทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น"ฉัน...อาจจะชอบคุณเข้าจริง ๆ ก็ได้นะ"ประโยคนั้นหลุดออกมาพร้อมลมหายใจ มือเธอกระชับแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว ปลายนิ้วเย็นเยียบเล็กน้อยเพราะอุณหภูมิในห้อง แต่สัมผัสนั้นมั่นคงเปลือกตาของดนุกระพริบช้า ๆ ก่อนจะค่อย ๆ ลืมตา สายตายังพร่าเล็กน้อยจากยาที่ได้รับ แต่เขารับรู้ได้ถึงแรงกดเบา ๆ จากมือเธอ ใบหน้าของเขาไม่ได้แสดงความเจ็บปวด มีเพียงความเงียบที่คล้ายเข้าใจทุกอย่างที่ได้ยินเขาไม่พูดอะไรทันที แค่ยกมือที่มีสายรัดกับเข็มน้ำเกลือขึ้นมา จับมือเธอไว้แน่นขึ้น สัมผัสนั้นมั่นคงจนเธอรู้สึกเหม
สนามแข่งใต้ทางด่วนคืนนี้ไม่เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ฝนตกกระหน่ำไม่หยุด พื้นเปียกฉ่ำสะท้อนแสงไฟจากป้ายและไฟหน้ารถจนแสบตา กลิ่นน้ำมันกับกลิ่นยางไหม้ปะปนกับไอฝนจนรู้สึกอึดอัดฝูงชนเบียดเสียดอยู่รอบรั้วกั้น บ้างตะโกนเชียร์ บ้างถ่ายคลิป บ้างสบถเป็นจังหวะกับเสียงเครื่องยนต์ มีนาเดินฝ่าฝูงชนเข้ามา ร่มในมือเอียงกระแทกลมจนแทบหลุด เธอเบียดคนจนถึงขอบทาง หัวใจเต้นแรงจนหูอื้อรถสองคันจอดประจันหน้ากันที่จุดสตาร์ต รถสีดำด้านของดนุอยู่ฝั่งซ้าย ส่วนรถเงินเมทัลลิกของณภัทรอยู่ฝั่งขวา ไฟหน้าเหมือนจ้องกันไม่กะพริบมีนาเห็นดนุนั่งอยู่หลังพวงมาลัย ใบหน้าเงียบขรึม ไม่รู้คิดอะไรอยู่ ณภัทรเองก็มองตรงเหมือนคนที่ไม่มีอะไรต้องเสียเสียงนับถอยหลังจากไมค์ของกรรมการสนามดังขึ้น ฝูงชนเงียบกะทันหันเหมือนลมหายใจถูกกลืนไปกับเสียงฝน"สาม... สอง... หนึ่ง!"เสียงยางบดพื้นดังลั่น น้ำกระเซ็นเป็นทางยาว รถทั้งสองพุ่งทะยานออกไปด้วยความเร็วที่ไม่น่าจะควบคุมได้บนพื้นลื่นแบบนี้มีนากำรั้วแน่นจนปลายนิ้วชา ดวงตาจับจ้องรถทั้งสองไม่กะพริบ แม้ภาพจะเบลอจากละอองน้ำแต่เธอไม่กล้าละสายตาแม้แต่วินาทีเดียวรถของดนุนำเล็กน้อย แต่ช่วงโค้งที่สี่ล้
ลานด้านหลังอาคารเรียนที่มักเงียบสงัดในยามค่ำ ถูกแสงจากโคมติดผนังสาดลงอย่างครึ่งใจ มีนาไม่ได้ตั้งใจจะเดินผ่านตรงนี้ แต่เสียงเรียกที่ดังขึ้นจากความมืดด้านข้างทำให้เธอชะงักเท้า"มีนา..."เสียงนั้นเย็นจัดจนคล้ายกับหยุดเวลาไว้ ณภัทรก้าวออกมาจากข้างเสาอาคารที่ถูกเงาทาบ แววตาที่เคยอ่อนโยนกลายเป็นแข็งกระด้างจนเธอแทบไม่อยากเชื่อว่านี่คือคนเดียวกัน"เดินตามฉันมา เราต้องคุยกัน"เธอลังเล แต่สายตาของเขาไม่เปิดช่องให้ปฏิเสธณภัทรพาเธอมาหยุดในมุมมืดข้างอาคาร ไม่มีใครเดินผ่าน ไม่มีแสงกล้อง ไม่มีเสียงหัวเราะ ไม่มีอะไรเลยนอกจากความเงียบและลมหายใจที่เริ่มติดขัด"เธอคิดจริง ๆ เหรอ ว่าดนุรักเธอ?" เขาพูดตรง ไม่มีการอ้อม ไม่มีการชี้แจงเธอนิ่ง ไม่ตอบ"เขาแค่หลอกใช้เธอ" เขากดเสียงต่ำลงกว่าเดิม "เหมือนที่เขาเคยหลอกใช้คนอื่น ทำทุกอย่างเพื่อปิดบังตัวเอง ทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองรอด"มือของเขาล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อสูท ก่อนจะคว้าเอากระดุมข้อมือเงินขึ้นมาถือ"รู้ไหมว่านี่คืออะไร?" เขายกให้เธอดู ก่อนจะขว้างมันทิ้งลงบนพื้นเสียงกระดุมกระทบพื้นคอนกรีตเบา ๆ แต่ในจังหวะที่ไม่มีคำพูด ไม่มีใครขยับ มันดังพอจะทำให้มือของเ
วันก่อนงานเลี้ยงวันสถาปนา มีนาเจอการ์ดเชิญที่วางอยู่บนโต๊ะเรียนของตัวเอง มันเป็นซองเรียบ ๆ ไม่มีชื่อคนส่ง แต่เมื่อเปิดออกดู ก็พบกระดาษแผ่นเล็กที่เขียนด้วยลายมือประณีตเกินกว่าที่เธอคาดไว้“เธอว่างวันงานไหม?”ประโยคสั้น ๆ แต่เธออ่านมันอยู่หลายรอบ“เขียนเอง หรือให้คนอื่นเขียน?” หญิงสาวพึมพำ พลางหมุนกระดาษในมือไปมา เธอไม่ได้ยิ้ม แต่แววตาที่จ้องลงบนตัวหนังสือ…บอกไม่ได้ว่ากำลังรู้สึกแบบไหนวันต่อมาเธอแอบไปหาชุดกับเพื่อน แค่บอกว่าเป็นงานทางการ แต่เพื่อนกลับหัวเราะ“มีนาจะไปเดตหรือเปล่าเนี่ย?”“ไม่ใช่ซะหน่อย…” เธอปฏิเสธเสียงเบา แล้วก็ไม่พูดอะไรอีกวันงานมาถึงเร็วกว่าที่คิด มีนาเดินเข้าสู่งานเลี้ยงด้วยชุดกระโปรงยาวสีอ่อน แสงไฟในห้องประชุมสะท้อนเงาลงบนพื้นจนดูเหมือนทุกอย่างช้าลงนิดหนึ่งเสียงดนตรีจากวงเครื่องสายลอยแผ่วอยู่ทั่วห้อง บรรยากาศหรูหราแต่ไม่โอ้อวด ทุกคนแต่งตัวดี พูดคุยกันเป็นกลุ่ม ๆ มีเสียงหัวเราะแทรกอยู่เป็นระยะ แต่มีนาเหมือนไม่ได้ยินอะไรเลยดนุยืนอยู่ใกล้มุมหนึ่งของห้อง เขาสวมสูทพอดีตัว สีเข้มเรียบ ไม่มีเครื่องประดับเกินจำเป็น แต่แค่นั้นก็ทำให้เขาโดดเด่นกว่าใคร ๆเมื่อเธอก้าวเข้าไปใก