LOGINเธอรีบหลบหน้าหันมา แล้วมันเป็นจังหวะที่ดูเหมือนว่าเธอกำลังก้มไปซบอกเพื่อนร่วมทางที่เพิ่งรู้จักกันเมื่อครู่ กลิ่นหอมอ่อนๆ และแก้มนุ่มนิ่มที่สัมผัสอกแกร่งทำเอาภาษิตนั่งอึ้งตัวเกร็ง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
“คุณอย่าขยับนะคะ”
ภาษิตไม่คิดจะขยับหนี เขายินดีให้หญิงสาวแนบศีรษะลงมาซบอกด้วยซ้ำ แต่ไม่เข้าใจเหมือนกัน เธอทำเหมือนกำลังหลบอะไรอย่างนั้นละ
ศศิกาญจน์กรอกเสียงลงไปเบาที่สุด “ค่ะ พี่มีอะไรคะ?”
ขณะที่ใบหน้าสวยยังคงซุกอยู่ตรงอกของภาษิต ที่เวลานี้ ชายหนุ่มแข็งเกร็งไปทั้งตัว เขาผ่านผู้หญิงมามากมาย ไม่เข้าใจเลยว่า แค่สาวสวยที่พบกันเพียงครั้งแรกก้มหน้าหลบอะไรบางอย่างโดยใช้แผ่นอกของเขาเป็นเกราะกำบัง ทำไมหัวใจของเขามันถึงเต้นโครมครามแทบไม่เป็นจังหวะ
ส่วนคนที่โทร.มากรอกเสียงเกรี้ยวกราด เมื่อรู้ว่าน้องเลี้ยงโกหก เขามีคนรู้จักอยู่ที่ไร่กำนันผ่อง บิดาของ ‘แป๋ว หรือ ปรารถนา’ เพื่อนสนิทของน้องเลี้ยงจึงโทร.ไปเช็กที่ไร่ คนทางนั้นบอกว่า ปรารถนาไปกระบี่ จะกลับอาทิตย์หน้า
“ซอ ซออยู่ตรงไหน ซื้อตั๋วแล้วหรือยัง?” กรวิชญ์พูดด้วยน้ำเสียงร้อนรน สายตายังคงมองหาศศิกาญจน์ไปตามที่นั่งด้านหน้าเรื่อยมาถึงเกือบถึงประตูหลัง
“เอ่อ…ซื้อแล้วค่ะ ขึ้นรถแล้วด้วย”
“ซอขึ้นคันไหน ซอลงมาหาพี่เดี๋ยวนี้ เดี๋ยวพี่ไปส่งเอง พี่ขอคุณลุงแล้ว คุณลุงอนุญาตให้พี่ไปส่งซอที่ไร่กาแฟได้ แต่ถ้าไม่ลงมา พี่จะโทร.บอกคุณลุงว่าซอโกหก ซอไม่ได้ไปกับแป๋ว เพราะแป๋วไปกระบี่”
หญิงสาวถลึงตา หัวใจดวงน้อยหล่นตุบ
‘ซวยแล้ว’
“ไม่เป็นไรค่ะพี่กร รถทัวร์ที่ซอโดยสารกำลังจะออกแล้วค่ะ แค่นี้นะคะ” หญิงสาวรีบตัดสายทิ้งทันที
เมื่อรถทัวร์เริ่มเคลื่อนตัวออกไป เธอค่อยๆ ดึงตัวกลับเข้าที่ สายตาเหลือบมองไปนอกหน้าต่างหาคนที่โทร.เข้ามาเมื่อครู่ เป็นจังหวะเดียวกับที่กรวิชญ์มองเข้ามาในตัวรถแล้วเจอหน้าเธอพอดี เขาทำท่าจะวิ่งตามรถทัวร์ แต่ศศิกาญจน์รีบโบกมือลาและทำหน้าเยาะเย้ยใส่เขา
‘ลาขาด ตั้งหลักได้แล้วจะกลับมาหาทางจัดการกับพวกแก’
เธอบ่นกับตัวเอง แล้วถอนหายใจอย่างแรงด้วยความโล่งอก
“เอ่อ...คุณโอเคไหมครับ” ภาษิตเอ่ยถามด้วยความห่วงใยเมื่อเห็นท่าทางแปลกๆ ของหญิงสาว
“ค่ะ เอิ่ม...เมื่อกี้ ซอต้องขอโทษด้วยนะคะที่เสียมารยาทใช้อกคุณเป็นหลุมหลบภัย” หญิงสาวยิ้มแหยๆ มองหน้าชายหนุ่มตรงหน้าอย่างรู้สึกผิด
“ไม่เป็นครับ” เขาพูดด้วยท่าทีเขินเล็กน้อยอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน พลางยกมือซ้ายลูบท้ายทอยไปมา “ใช้อีกก็ได้นะครับ ไม่คิดค่าบริการ” อยากรู้เหมือนกันว่าเมื่อครู่เธอหลบอะไร
เห็นสายตาสงสัยแต่มีมารยาทที่จะไม่เปิดปากถามก็รู้สึกว่าชายตรงหน้าไว้วางใจได้ ทั้งที่ในยามปกติ เธอเองก็ไม่ใช่คนไว้วางใจใครง่ายๆ หากไม่ชัดเจนก็ไม่คิดจะเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวให้ใครรู้
“คือ...เมื่อครู่ ฉันหลบไอ้พี่เลี้ยงโรคจิตค่ะ”
“พี่เลี้ยงโรคจิต!” สายตาของชายหนุ่มที่ทอดมองดวงหน้าสวยหวานเพิ่มความอยากรู้มากขึ้นไปอีก
ระหว่างทาง ศศิกาญจน์จึงอธิบายเรื่องสายที่โทร.มาเมื่อครู่ คือ พี่เลี้ยง ลูกติดของภรรยาคนใหม่บิดา ที่จ้องจะเคลมเธอ จนเธอต้องหนีไปทำงานที่ลำปางให้เขาฟัง ภาษิตฟังเรื่องราวแล้วรู้สึกเห็นใจเธออย่างมาก พลอยทำให้อารมณ์ของเขาขุ่นเคืองไปด้วย
“ผมว่าคุณซอตัดสินใจถูกแล้วครับที่หาทางหลบเลี่ยงไปให้ไกลจากคนชั่วแบบนั้น”
ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง รถทัวร์ก็เลี้ยวเข้าปั๊มเพื่อเติมน้ำมัน สายตาคู่หวาน เหลือบไปเห็นกรวิชญ์สวมกางเกงยีนส์ เสื้อยืดคอกลมสีดำ รองเท้าผ้าใบ กำลังปิดประตูรถกระบะแล้วเดินตรงมาหาเธอบนรถทัวร์ทันที มือเรียวยกขึ้นปิดปากที่อ้าค้างด้วยความตกใจ
“ขับรถตามมาเลยเหรอ ซวยแล้ว”
อาการเลิ่กลั่ก ท่าทางตกใจของหญิงสาวที่เขากำลังจะหาโอกาสแลกไลน์เพราะสนใจอยากทำความรู้จักเธอมาก ทำให้ภาษิตขมวดคิ้วเล็กๆ เขาชอบผู้หญิงสวย แต่ไม่เคยถูกใจแล้วคุยกับใครสบายใจเท่ากับเธอ
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับคุณซอ”
“ยินดีที่ได้รู้จักและร่วมทางนะคะคุณภาษิต แต่ซอต้องไปแล้วละค่ะ พี่เลี้ยงของซอตามมา เขาต้องลากตัวซอกลับไปแน่ๆ ”
ศศิกาญจน์ได้ยินจอมทัพพูดแบบนั้นพร้อมมองตรงมาก็รีบลดเมนูลง แล้วมองคนตรงหน้าที่กินดุจริงๆ อาหารมากมายบนโต๊ะถูกเขาจัดการเกือบเกลี้ยงทุกจานแล้วยังพูดอีกว่าหิว นี่เธอกำลังเผชิญกับตัวอะไร“พ่อเลี้ยง...” พอนึกขึ้นได้ศศิกาญจน์ก็ถึงกับชะงัก “กินอาหารไปตั้งเยอะ ยังไม่อิ่มอีกเหรอคะ”จอมทัพพูดแก้เก้อ เขาไม่ได้หิวข้าว ที่หิวก็คือคนน่าอร่อยตรงหน้าต่างหาก“ช่วงนี้ พี่หิวบ่อย” แล้วแก้เก้อด้วยการขอให้ศศิกาญจน์ช่วยสั่งของหวานเหมือนของเธอให้เขาอีกถ้วยจอมทัพกินขนมหวานที่ศศิกาญจน์สั่งมาเหมือนแบบเดียวกับเธอ พร้อมลอบมองใบหน้าหวานๆ ก่อนจะสะดุดตากับนิ้วนางข้างขวาที่มี ‘แหวนคลัดดาห์’ ซึ่งเป็นเครื่องประดับดั้งเดิมของชาวไอริช แหวนชนิดนี้มีลักษณะเป็นรูปมือทั้งสองข้าง โอบประคองหัวใจ เป็นตัวแทนแห่งมิตรภาพ ความรัก และความภักดีจอมทัพรู้สึกคุ้นตากับแหวนวงนี้ แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก แม้ว่าแหวนคลัดดาห์จะมีมากมาย แต่แหวนคลัดดาห์วงนี้มีเพชรรูปหัวใจสีฟ้าซึ่งหาได้ยาก และเขาต้องเคยเห็นแหวนวงนี้ที่ไหนมาก่อน พอเห็นศศิกาญจน์สว
อีกฟากเป็นเวลาใกล้เที่ยง จอมทัพเหลียวมองคนนั่งข้างๆ พลางเอ่ยขึ้น เพราะคนที่ต้องใช้ทั้งแรงและสมองในการทำงานอย่างเขาต้องกินให้อิ่มท้อง จะได้มีเรี่ยวแรงทำงาน“ใกล้เที่ยงแล้ว ซอหิวไหม”ศศิกาญจน์มองเวลาที่นาฬิกาข้อมือ เมื่อเช้าเธอกินอาหารได้ไม่กี่คำ อาจเป็นเพราะมีเรื่องเครียดๆ ในหัว พอถูกเขาสะกิดเรื่องอาหารเที่ยง น้ำย่อยในกระเพาะก็ร้องประท้วงว่าหิวแล้ว หญิงสาวจึงไม่ทันจะตอบร่างกายมันก็ตอบแทนไปก่อนจอมทัพได้ยินเสียงน้ำย่อยก็นึกขำ แต่ยังตีหน้าขรึม ไม่พูดอะไรออกมา เพราะเกรงว่าอีกฝ่ายจะเขิน“เดี๋ยวข้างหน้าจะผ่านร้านอาหาร เป็นร้านอร่อยแถวนี้ แวะกินอะไรกันหน่อย กินเสร็จเราจะได้เข้าไร่กัน”“ก็ได้ค่ะ ถ้าคุณหิว เดี๋ยวฉันลงไปกินเป็นเพื่อน”จอมทัพเหลือบมอง ใบหน้าหล่อขรึมขึ้น “บอกแล้วไงว่าให้เรียกผมว่าพี่ แล้วแทนตัวเองว่าซอ มันดูสนิทกันมากว่า จะได้ไม่มีใครสงสัย”เธอไม่อยากต่อล้อต่อเถียงจึงพยักหน้ารับ “ได้ค่ะ ต่อไปซอจะเรียกคุณว่าพี่”“พูดง่ายๆ แบบนี้น่ารักมาก แต่พี่จะไม่ให
ร่างสูงใหญ่เหลือบมองคนข้างก่อนจะส่ายหัวแรงๆ “เป็นไปไม่ได้”บังเอิญศศิกาญจนได้ยินเลยหันมาถามเขา “อะไรเป็นไปไม่ได้คะ”“ยุ่ง” เขาตอบกลับเหมือนรำคาญ ทำเอาคนถามชักสีหน้างอง้ำสะบัดหน้าหนีกลับไปมองถนนจอมทัพลอบถอนหายใจ ดูท่าจะไม่ดีแล้ว เขาเป็นคนไม่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ นอกจากเรื่องที่พิสูจน์ได้ แล้วเหลือบมองคนนั่งข้างที่สะบัดหน้าหนีไปเหมือนงอนเขา ที่เธออยู่ในหัวของเขาตลอดเวลาก็คงเพราะ เขานึกอยากตักตววงความสุขในเรื่องเซ็กซ์กับเธอมากกว่ามั้ง ตั้งแต่แรกเห็นต้องยอมรับว่าศศิกาญจน์เป็นสเปคของเขาเลย อกเป็นอก เอวเป็นเอว หน้าตาก็สวยหวาน น่ารัก น่าฟัดขนาดนี้‘ถ้าต้องจ้างเป็นแสน แขนไม่ได้จับ ไม่ใช่เขาหรอก’ความคิดที่วุ่นวาย สับสน อาจเพราะเขาจ่ายไปหนัก เธอน่าจะมีของแถมอะไรให้เขาบ้าง แต่พอเห็นอีกฝ่ายเงียบใส่“เดี๋ยวกลับไปที่ไร่พี่จะพาซอเข้าไปในไร่ ให้คนงานรู้จัก คนงานมันจะได้รู้ไงว่าพี่มีเมียแล้ว ไอ้พวกนี้กระจายข่าวไว แค่ไม่กี่วันเขาก็รู้กันทั้งจังหวัด คราวนี้ผู้หญิงคนนั้นจะได้ เลิกเข้ามายุ่งในชีวิตพี่ซะท
ศศิกาญจน์กรีดร้องอยู่ในอก อยากจะชกหน้าเข้าให้สักที นอกจากปากเสียแล้ว ในหัวคงมีแต่เรื่องแย่ๆ มองเธอลบมาก คนอะไรในหัวคงคิดเรื่องดีๆ เหมือนชาวบ้านไม่เป็น ดวงหน้าหวานสวยยิ่งตาขุ่นเขียวขึ้นไปอีก หญิงสาวถอนหายใจแรงๆ พยายามข่มอารมณ์ก่อนจะอธิบาย“พ่อเลี้ยงแสนเป็นเพื่อนของข้าวสวย เพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัย เราเคยเจอกันสองครั้ง ตอนที่พ่อเลี้ยงแสนไปเยี่ยมข้าวสวยที่หอพัก ก็เท่านั้นค่ะ แล้วก็เพิ่งมาเจอกันอีกครั้งที่นี่” เธอเล่าไปตามความจริง ไม่ได้ปกปิดอะไรจอมทัพแอบโล่งอกเบาๆ ก่อนจะหัวเราะในลำคอ ที่มุมปากปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย คิ้วหนาเลิกสูงเมื่อนึกหน้าน้องสาวพ่อเลี้ยงแสนชัยออก อายุรุ่นราวคราวเดียวกับเมียกำมะลอของเขาจริงๆ นั่นละ ที่แท้ก็เป็นแบบนี้เอง แต่ถึงยังไงก็ไม่ปรารถนาให้มันมาใกล้ผู้หญิงของเขาอยู่ดี“ก็แล้วไป ในเมื่อไอ้พ่อเลี้ยงแสนเป็นแค่พี่ชายของเพื่อนเธอ งั้นก็ไม่ต้องเจอกันบ่อยหรอก เพราะมันเป็นแค่พี่ชายเพื่อน ไม่ใช่เพื่อนของเธอสักหน่อย จริงไหม”ศศิกาญจน์มองเขากลับด้วยแววตาไม่เข้าใจ “เดี๋ยวนะคะ เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า ซอรับงานเล่
ศศิกาญจน์นึกถึงคำพูดแม่หมอที่ทำนายทายทักว่า เธอได้พบโซลเมต แล้วยังเลือกได้ไพ่อัศวินขี่ม้า นั่นหมายความว่าผู้ชายคนนั้นจะมาช่วยแก้ไขปัญหามืดดำในชีวิตที่เธอกำลังเผชิญอยู่ ซึ่งก็คงเป็นสองแม่ลูกที่กำลังจะพยายามฮุบสมบัติทุกชิ้นของบิดา โดยเฉพาะพี่เลี้ยงของเธอ มันไม่อยากได้แค่สมบัติ เธอรู้ดีอยู่แก่ใจนายณกรณ์หวังจะฮุบตัวเธอไปเป็นสมบัติด้วย และผู้ชายลักษณะรูปร่างสูง ผิวขาว ที่แม่หมอบอกคนนั้นจะต้องเป็นใครไปไม่ได้...‘ใช่แหละ...พ่อเลี้ยงแสนชัย’เพราะจำได้ว่า พอเดินออกมาจากร้านที่รับทำนายโชคชะตาเธอก็บังเอิญเจอเขาเข้าพอดี“ต้องใช่เขาแน่ๆ”“เธอบ้าหรือเปล่า ยิ้มคนเดียวพูดคนเดียว”เสียงเข้มดังขึ้นมาทำลายความคิด ศศิกาญจน์เหลือบตามองไปที่คนกุมพวงมาลัยไว้แน่น แต่จอมทัพหันมามองที่เธอเต็มๆ จนคนตัวเล็กรับรู้ถึงพลังบางอย่างที่จับจ้องมา เจ้าของดวงหน้าเรียวสวยรู้สึกว่าเขามองเธอแปลกๆ“ไม่ได้บ้าค่ะ มีคนบอกว่าซอกำลังโชคดีต่างหาก...”คนถามอยากรู้แต่เก็บอาการเอาไว้แล้วถามเสียงเรียบ“โชคดีเรื่องอะไร”
ลมที่พัดมาหอบหนึ่งทำให้เครื่องแขวนไหววูบกระทบกันส่งเสียงกรุ๋งกริ๋ง ดึงสายตาให้ศศิกาญจน์หันไปมองที่ห้องหนึ่ง ม่านไหมสีเงินยวงดึงดูดสายตาให้หันไปมอง รู้ตัวอีกทีก็ยืนอยู่หน้าร้านพยากรณ์ดวงชะตาแล้ว ศศิกาญจน์เบิกตากว้าง เธอไม่ใช่สาวสายมูจึงคิดจะหันหลังกลับ ตั้งใจเดินไปหาน้ำดื่ม ทว่า น้ำเสียงไม่เบาไม่ดังที่ชวนเชิญให้เข้าไปในร้านทำให้หญิงสาวลังเล“เข้ามาก่อนสิ”มือบางขาวสะอาดแหวกม่านไหมเข้าไป ภายในเป็นห้องสี่เหลี่ยมที่กวาดสายตาทีเดียวก็เห็นทั่วทั้งร้าน ภายในร้านดูสะอาดสะอ้าน ทว่ากลับให้ความรู้สึกชวนค้นหา สตรีวัยห้าสิบเศษนั่งอยู่บนโต๊ะซึ่งมีกองไพ่ดูเก่าคร่ำคร่าแต่ก็แฝงพลังบางอย่าง“นั่งลงก่อนสิหนู”ศศิกาญจน์ส่ายหน้า “ขอโทษนะคะ แต่หนูไม่ชอบดูดวงค่ะ” จากนั้นคิดจะหันหลังเดินกลับออกจากร้าน“ฉันก็ไม่ได้ดูดวงให้ทุกคนที่เข้ามาหรอกนะ แต่หนูมีพลังบางอย่าง เหมือนไพ่กำลังอยากจะบอกอะไร กำลังไม่สบายใจเรื่องครอบครัวอยู่ใช่ไหม”ร่างบางสวยที่กำลังจะเดินจากไปชะงักเท้าแล้วหันกลับไปมองผู้ส่งสาร “ใช่ค่ะ คุณป้าทราบได







