LOGINฝน: ฮัลโหลพลอย ว่างคุยไหม?
พลอย: ว่าไงแก คุยได้ตลอด มีอะไรหรือเปล่า? เสียงแกดูแปลกๆ
ฝน: คือ... ฉันเผลอไปนอนกับผู้ชายมา
พลอย: (น้ำเสียงตกใจ) อะไรนะ! ฝน แกพูดอะไรเนี่ย?
ฝน: แกไม่ได้หูฝาดหรอกพลอย ฉันเมาแล้วขาดสติจริงๆ
พลอย: แล้วนี่แกจะเอาไงต่อ? แกรักเขารึเปล่า? ทำไมถึงยอมง่ายๆ แบบนี้?
ฝน: ใจเย็นก่อนพลอย อย่าเพิ่งยิงคำถามมาเป็นชุดสิ! ฉันว่าฉันจะรักเขานะ แต่เขาน่ะ... อายุเยอะกว่าฉันตั้งเยอะ!
พลอย: ใครวะ? ฉันเคยเจอเหรอ?
ฝน: แกก็เคยเจอนั่นแหละ! แล้วทีนี้ฉันจะทำยังไงดีวะ ไม่รู้จะแก้ปัญหานี้ยังไงเลย!
พลอย: นี่มันเกิดขึ้นเมื่อไหร่?
ฝน: เมื่อคืน
พลอย: เขาปล้ำแกเหรอ?
ฝน: เปล่า! ฉันต่างหากที่เป็นคน... (ฝนพูดด้วยความอับอาย) โอ๊ย พลอย ฉันจะทำยังไงดีวะ อายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว!
พลอย: (น้ำเสียงจริงจัง) ฝน! ตั้งสติ! ก่อนอื่นเลย แก... เขาได้ป้องกันไหม?
ฝน: ไม่รู้สิ ฉันจำไม่ได้
พลอย: (น้ำเสียงเริ่มโมโห) ฝน! นี่แกพูดอะไรเนี่ย! แกไม่ใช่เด็กแล้วนะ! สุขศึกษาแกก็เคยเรียนมาแล้วไม่ใช่เหรอ!
พลอย: เอาอย่างนี้ แกตั้งสติให้ดีที่สุดตอนนี้ รีบไปร้านขายยาแล้วซื้อยาคุมฉุกเฉินมากินซะ! ตอนนี้ยังทันนะเว้ย!
ฝน: ฉันไม่กล้า...
พลอย: ไม่กล้าก็ต้องไป!
ฝน: แต่มันแค่ครั้งเดียวเองนะ คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง...
พลอย: ไอ้คำว่า 'ครั้งเดียว' นี่แหละที่เห็นมานักต่อนักแล้วว่าจะไม่ท้องแต่สุดท้ายก็ท้อง! รีบไปเดี๋ยวนี้เลย!
ฝน: เออๆ ได้ๆ! แล้ว... ถ้าเกิดมีคนรู้ขึ้นมาล่ะ ฉันจะทำยังไง?
พลอย: แกก็ไปร้านที่อยู่ไกลๆ สิ! ร้านที่ไม่มีคนรู้จัก ไม่มีใครเขามาสนใจเรื่องของแกหรอกน่า! ทุกวันนี้โลกมันไปถึงไหนต่อไหนแล้ว แกอย่าเพิ่งไปคิดเรื่องอื่นเลยนะ ตอนนี้คิดแค่เรื่องต้องรีบไปซื้อยามากินก่อน!
ฝน: เออ...ได้ๆ
หลังจากวางสายจากพลอยใส ฝนรีบขับรถออกจากบ้านตรงไปที่ร้านขายยาที่อยู่ห่างออกไป เธอเดินเข้าไปในร้านด้วยความประหม่าก่อนจะเอ่ยปากบอกเภสัชกร
ฝน: ขอซื้อยาคุมฉุกเฉินค่ะ
เภสัชกร: ทราบวิธีทานแล้วใช่ไหมคะ? เดี๋ยวจะแนะนำให้ค่ะ
ฝน: อ๋อ...ทราบค่ะ ไม่เป็นไรค่ะ
ฝนรีบจ่ายเงินและคว้ายามาไว้ในมือ ก่อนจะชะงักเมื่อสายตาปะทะเข้ากับรถของ อาสมาน! ชายที่ขับรถผ่านหน้าบ้านเธอเมื่อเช้า
สมานเห็นท่าทีของเธอและหัวเราะพลางพูดขึ้นว่า "แหม...เรื่องธรรมชาติไม่ต้องเขินหรอกน่า! รู้ๆ กันอยู่ !"
ฝนรีบเดินออกมาจากร้านขายยาและขับรถกลับบ้านด้วยหัวใจที่เต้นรัว ส่วนสมานที่กำลังเดินเข้ามาในร้านขายยาเพื่อซื้อของ ก็ยังคงพูดคุยกับเภสัชกรด้วยท่าทีสบายๆ
สมาน: นี่แหละครับ ปกติคนเราเวลา "เข้าใหม่ปลามัน" ก็มักจะลืมพกถุง! (หัวเราะ) เมียเด็กไม่ธรรมดาจริงๆ...แหมเอาซะเมียเด็กลนลานทำตัวไม่ถูกเลยนะ
เภสัชกรยิ้มบางๆ ไม่ได้พูดอะไร แต่สมานก็ยังคงเล่าต่อ
สมาน: ผมรู้จักกับฝนครับ นั่นน่ะ ลูกสาวคนเล็กของลุงนพ สงสัยจะมีข่าวดีเร็วๆ นี้แหละครับ ที่เคยเห็นผู้ชายรูปหล่อภูมิฐานอยู่ในงานศพทุกวัน ที่แท้ก็ลูกเขยนี่เอง แต่เสียดายที่เขาไม่ยอมเปิดตัว คงจะรอให้แต่งงานกันก่อน แต่นี่พ่อเขาเพิ่งเสีย ก็คงต้องชะลอไปก่อนแหละครับ แต่ใครจะไปอดใจไหวล่ะครับ! วัวเคยค้าม้าเคยขี่แล้วจะมารอให้แต่งตามประเพณีก็ไม่ไหวหรอกครับ!
สมานพูดไปยิ้มไปอย่างอารมณ์ดี ในขณะนั้นก็มีเพื่อนบ้านอีกสามสี่คนที่อยู่ในร้านขายยาซึ่งได้ยินทุกคำพูดของเขาอย่างชัดเจน...
เรื่องราวไม่หยุดอยู่แค่ในร้านขายยา ข่าวลือแพร่กระจายไปทั่วชุมชนภายในวันเดียว ผู้คนต่างซุบซิบนินทากันถึงลูกเขยของบ้านลุงนพที่เพิ่งเสียไปบ้างก็ว่า "สงสัยว่าตอนพ่อเขายังมีชีวิตอยู่คงจะตกลงจัดงานแต่งงานแล้ว แต่ดันมาเสียก่อนก็เลยต้องอยู่ด้วยกันไปก่อน" บางคนก็ว่า "ที่ไหนได้ เรียนจบก็เอาผัวกลับมาอยู่ที่บ้านเลย" หรือแม้แต่ "ลุงนพอยากจะหาคู่ให้ลูกสาวก็เลยพาผู้ชายเข้ามาอยู่ใกล้ๆ หวังว่าจะได้สานสัมพันธ์กัน" และที่ร้ายแรงที่สุดคือ "ลูกสาวบ้านนี้มีผัวคนเดียวกันหรือเปล่า? คนนี้เป็นแฟนของทิพย์พี่สาวคนโตไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงมาเป็นสามีของฝนได้?" ข่าวลือกระจายไปเร็วยิ่งกว่าเสียงฟ้าร้อง ไม่นานนักเรื่องนี้ก็ไปถึงหูของ แม่แวว แม่เลี้ยงของฝน และนี่แหละคือปัญหาใหญ่ที่สุด...
ฝนมีสามีก่อนแต่งงาน ซึ่งสำหรับคนในชุมชนภาคอีสานแถบนี้มักจะมีความเชื่อเรื่อง "ผิดผี" การไม่แต่งงานตามประเพณีถือเป็นเรื่องน่าอับอายและจะถูกคนในชุมชนติฉินนินทาได้
บ้านของฝน
บรรยากาศในบ้านเงียบสงัด มีเพียงเสียงพัดลมที่ดังเบาๆ แต่ความตึงเครียดกลับปกคลุมไปทั่ว ฝนยืนอยู่หน้าแม่แววซึ่งนั่งอยู่บนโซฟาด้วยสีหน้าจริงจังผิดปกติ
แม่แวว: ฝน... แม่มีเรื่องจะคุยด้วย
ฝน: เรื่องอะไรคะแม่แวว?
แม่แวว: เรื่องนี้... ฝนจะโทรบอกแม่นวลเอง หรือจะให้แม่โทร?
ฝน: เรื่องอะไรกันคะแม่แวว ฝนไม่เห็นรู้เรื่องเลย?
แม่แวว: เฮ้อ! ก็อย่างว่าแหละ เรื่องของเรา ใครจะมาเล่าให้เราฟัง ถ้าแม่ไม่ไปตลาดก็คงไม่รู้เรื่องนี้หรอก
ฝน: เรื่องอะไรคะแม่แวว ทำไมดูซีเรียสจัง?
แม่แวว: ก็เรื่องฝนกับเอกไง! ไหนเล่ามาให้แม่ฟังซิ มันยังไงกันแน่?
ฝน: คือ... คือว่า...
เอก: (เสียงทุ้มดังขึ้นจากหน้าประตู) ผมจะรับผิดชอบทุกอย่างเองครับ อาแวว
เอกเดินเข้ามาในบ้านด้วยใบหน้าจริงจัง สายตาของเขามุ่งตรงไปที่แม่แวว ก่อนจะหันมาสบตากับฝนเพียงครู่เดียว
แม่แวว: เอก! มาตั้งแต่เมื่อไหร่ลูก?
เอก: ผมได้ยินเรื่องนี้มาเหมือนกันครับ ผมผิดเอง... ผมจะรับผิดชอบเอง
แม่แววหันไปมองฝน แล้วถอนหายใจยาวๆ
แม่แวว: ไม่ใช่ว่าแม่ไม่รักหนูนะฝน แต่แม่ตัดสินใจคนเดียวไม่ได้เรื่องนี้ หนูต้องโทรบอกแม่นวลนะ เพราะแมนวลเป็นแม่แท้ๆ ของฝน
ฝน: แต่ว่า...
แม่แวว: ไม่มีแต่! เรื่องมันมาถึงขนาดนี้แล้ว! แล้วเอกจะเอายังไง? น้องยังเด็กอยู่เลย แล้วอายุเราสองคนก็ห่างกันด้วย
เอก: ผมพูดจริงๆ ครับอาแวว ต่อไปนี้เด็กผู้หญิงคนนี้จะเป็นของผม... ผมจะรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้นเองครับ ทุกอย่างผมเป็นคนผิด
แม่แวว: ก็อย่างที่อาพูดไปนั่นแหละ ยังไงก็ต้องให้เจ้าตัวบอกแม่แท้ๆ ก่อน แล้วเอกก็ต้องให้ผู้ใหญ่มาคุยให้รู้เรื่อง ไม่ใช่ปล่อยไว้แบบนี้ ฝนเป็นผู้หญิงมันเสียหาย!
แม่แวว: แล้วข่าวลือที่ว่า... เอกเป็นแฟนกับทิพย์... แล้วมาได้น้องสาวเป็นเมีย? อาไม่เข้าใจที่คนเขาพูดเลย มันคืออะไรกันแน่?
เอก: เรื่องนั้น... ผมกับทิพย์เรารู้จักกันมาก่อนจริงครับ แต่เราไม่ได้ติดต่อกันนานแล้ว เพิ่งมาเจอกันอีกทีก็ตอนงานศพอานพ... ผมไม่รู้มาก่อนว่าทิพย์เป็นลูกของอานพ และเป็นพี่สาวของฝน ผมเพิ่งรู้ในวันงานจริงๆ ครับ
เอก: ส่วนเรื่องฝน อย่างที่บอก... ผมจะรับผิดชอบทุกอย่างเอง แต่เรื่องที่จะให้ผู้ใหญ่มาจัดการ ผมขอเวลาหน่อยนะครับ
เอกทำหน้าครุ่นคิดอย่างหนัก ฝนรู้ดีว่าเขาเหลือตัวคนเดียว เธอจึงพูดตัดบทขึ้น
ฝน: ส่วนหนึ่งหนูก็ผิดด้วยค่ะแม่แวว ไม่ใช่แค่พี่เอกคนเดียว อย่าเพิ่งไปเล่นงานอะไรพี่เอกเลยนะคะ ถ้าวันนั้นฝนดูแลตัวเองดีกว่านี้ก็คงไม่เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นมา... ให้เวลาพวกเราหน่อยนะคะ
แม่แวว: งั้นก็ได้... รีบโทรไปบอกแม่นวลซะนะ หรือถ้าไม่กล้าเดี๋ยวแม่จะโทรไปเอง
ฝน: ไม่เป็นไรค่ะแม่แวว ขอบคุณมากนะคะ เดี๋ยวฝนจะโทรบอกแม่เอง
ฝนหันไปมองหน้าเอกที่ดูเป็นกังวล เธอยังคงสับสนว่าทำไมเรื่องนี้ถึงได้แพร่กระจายไปเร็วขนาดนี้ ทั้งๆ ที่เพิ่งเกิดขึ้น เธอเห็นแววตาครุ่นคิดของเขา ก่อนจะตัดสินใจเดินนำเขาไปที่ กระท่อมริมบึง ที่เป็นเซฟโซนของเธอ
กระท่อมริมบึง
บรรยากาศยามเย็นที่กระท่อมริมบึงเงียบสงบ มีเพียงเสียงลมพัดและเสียงใบไม้ไหว ฝนกับเอกนั่งอยู่ด้วยกัน ความอึดอัดทำให้ฝนไม่กล้าสบตาเขา
เอก: คือ... พี่จะบอกฝนเรื่องเมื่อคืน...
ฝน: (รีบพูดแทรก) ไม่ต้องพูดแล้วค่ะพี่เอก ฝนไม่อยากได้ยิน... ฝนรู้แล้ว...
ฝน: ฝนเองที่เป็นคนเริ่ม... ฝนไม่รู้ว่าทำไมถึงทำแบบนั้นเหมือนกัน...
เอกมองฝนด้วยความงงงวย
เอก: นี่ฝนคิดว่าเมื่อคืนพี่กับฝน...
ฝน: (เสียงสั่น) บอกแล้วไงว่าไม่ต้องพูด! ฝนเข้าใจทุกอย่างแล้ว... ฝนแค่ไม่เข้าใจตัวเอง...
เอกนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะนึกขึ้นได้
เอก: พี่ว่าจะบอกอยู่เหมือนกันเรื่องนี้... พี่ว่านายด้วงน่าจะเอาอะไรให้ฝนกินคืนนั้น... พูดแล้วยังเจ็บใจไม่หาย
ฝน: ฝนก็ว่าแล้ว... ฝนจะไปจัดการมันเดี๋ยวนี้แหละ!
ขณะที่ฝนกำลังจะลุกขึ้น เอกก็คว้าแขนเธอไว้แล้วดึงเธอมากอดจากด้านหลัง
เอก: ถ้าสมมติว่าไม่มีเรื่องเมื่อคืน ฝนอยากจะใช้ชีวิตร่วมกับพี่ไหม?
ฝน: (แกะมือเอกออกแล้วหันมาเผชิญหน้า) พูดอะไรของพี่! ใช้ชีวิตร่วมอะไร? ฝนยังไม่ได้ใช้ชีวิตอิสระของฝนเลย จะอยากเอาตัวเองไปยึดติดกับใครได้ยังไง?
เอกรู้สึกไม่มั่นใจกับสิ่งที่เขาจะบอกว่าเมื่อคืนไม่ได้เกิดอะไรขึ้น เขารู้สึกหนักใจและชั่งใจว่าจะบอกความจริงดีหรือไม่ เพราะถ้าบอกไป ฝนอาจจะไม่ยอมรับเขาเป็นสามี
ทันใดนั้น ฝนก็ถามขึ้น
ฝน: พี่เอกหนักใจเรื่องที่แม่แววพูดวันนี้ใช่ไหมคะ?
เอก: เรื่องอะไรครับ?
ฝน: ก็เรื่องที่แม่แววบอกจะให้ผู้ใหญ่มาสู่ขอ... หน้าพี่เอกดูกลุ้มใจมาก เป็นเพราะพี่เหลือตัวคนเดียวใช่ไหมคะ? เรื่องนั้นพี่ไม่ต้องสนใจนะคะ
เอก: (ใจชื้นขึ้น) ถามว่าหนักใจไหม... มันก็ไม่ใช่ว่าไม่มีผู้ใหญ่ที่จะมาจัดการให้ แต่ถ้าให้พูดถึงญาติผู้ใหญ่จริงๆ พี่ก็ไม่รู้จะทำยังไง... แต่ถ้าเป็นผู้ใหญ่ที่พี่เคารพนับถือ ก็มี...
ฝน: เรื่องนั้นมันไม่ใช่ปัญหาหรอกค่ะ
ฝนเอื้อมมือไปจับมือของเอกที่กอดเธอไว้ เหมือนพยายามปลอบโยนเขาไม่ให้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในตัวเอง
เอก: แล้วตอนนี้... ปลาตัวน้อยๆ ของพี่จะยอมบอกว่ารักพี่ได้รึยัง?
ฝนแกะมือเอกออกแล้วหันกลับมาสบตาเขา เธอยกตัวขึ้นแล้วจูบลงบนริมฝีปากของเอกอย่างแผ่วเบา ก่อนจะถอนจูบออกแล้วพูดขึ้น
ฝน: แบบนี้... เป็นคำตอบได้ไหมคะ?
เอก: ขอบคุณนะครับ... ขอบคุณสำหรับคำตอบ
ในใจของเอกตอนนั้น มีความเห็นแก่ตัวเกิดขึ้น เขาเลือกที่จะไม่บอกความจริงกับฝนว่าเมื่อคืนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะกลัวว่าเธอจะเปลี่ยนใจและจะไม่ยอมอยู่กับเขา เขาเลือกที่จะเงียบไว้ก่อน และปล่อยให้เรื่องราวเป็นไปตามที่ทุกคนเข้าใจ
นพพลเริ่มสงสัยตอนไหน?เรื่องราวทั้งหมดต้องย้อนกลับไปในงานแต่งงานของฟ้า ลูกสาวคนกลางของนพพล ที่นั่นนพพลได้เจอกับเอกเป็นครั้งแรก และรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด เมื่อได้พูดคุยก็ยิ่งรู้สึกเอ็นดู เขาจึงแลกช่องทางการติดต่อกับเอกไว้เมื่อรู้ว่าเอกต้องย้ายมาทำงานที่สาขาต่างจังหวัดซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้าน นพพลจึงชวนเอกให้มาเช่าบ้านใกล้ๆ ซึ่งในตอนนั้นเขายังไม่ได้มีความสงสัยใดๆจนกระทั่งวันหนึ่ง ท่อน้ำที่บ้านแตก เอกได้เข้ามาช่วยซ่อมจนเสื้อผ้าเปียก นพพลจึงให้ฝนนำเสื้อมาให้เอกเปลี่ยน ขณะที่เอกถอดเสื้อ นพพลได้เห็นปานรูปใบหม่อนใต้ราวนมของเอก ซึ่งทำให้เขาตกใจและเริ่มสงสัยในตัวเอกอย่างมากหลังจากนั้น ในวันที่ฝนหมดสติและเอกโทรศัพท์ให้นพพลไปหาที่บ้าน ขณะที่เอกกำลังอุ้มฝนไปวางบนที่นอน นพพลได้แอบเข้าไปในห้องน้ำและเก็บเส้นผมรวมถึงแปรงสีฟันของเอกมา เพื่อนำไปตรวจ DNAนพพลจัดการเรื่องทั้งหมดด้วยตัวคนเดียว เพราะเขาไม่อยากให้ประทินต้องผิดหวังหากผลตรวจออกมาไม่ใช่พ่อลูกกัน เขาอยากจะแน่ใจก่อนถึงจะบอกทุกคน เขาพยายามหาโอกาสให้ประทินได้พบกับเอกที่เขื่อน และตั้งใจว่าจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้ประทินฟัง แต่โชคร้ายที่นพพลกลับพลัด
บรรยากาศยามเช้าตรู่ ณ กระท่อมน้อยริมบึงกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง แสงแดดสีทองสาดส่องกระทบผิวน้ำเป็นประกายระยิบระยับ ดอกบัวสีชมพูและขาวพากันชูช่อบานรับแสงอรุณราวกับกำลังยิ้มทักทาย สายลมพัดเอื่อยๆ พากลิ่นหอมของดอกไม้ป่าลอยมาตามลม ผีเสื้อหลากสีโบยบินไปมาอย่างร่าเริง เถาไม้เลื้อยที่เคยดูโรยรากลับเขียวชอุ่มและมีดอกไม้เล็กๆ แซมอยู่ประปราย เสียงนกร้องเจื้อยแจ้วดังแว่วมาจากป่า บรรยากาศโดยรอบอบอวลไปด้วยความสุขและความหวัง ราวกับธรรมชาติกำลังเยียวยาบาดแผลที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้บนเฉลียงไม้เล็กๆ ของกระท่อมกลางบึง ฝน นั่งอยู่คนเดียวในชุดสีขาวเรียบง่าย ใบหน้าของเธอดูสงบและผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน สายตาของเธอมองไปยังผืนน้ำนิ่งๆ ที่สะท้อนเงาของท้องฟ้าสีคราม เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ รับเอาความสดชื่นจากธรรมชาติเข้าสู่ปอดอย่างเต็มที่ในวินาทีนั้นเอง อ้อมแขนแกร่งก็โอบเข้าที่เอวของเธอจากด้านหลังอย่างแผ่วเบา พร้อมกับกลิ่นหอมสะอาดของเสื้อเชิ้ตสีขาวที่คุ้นเคย เอก ยืนอยู่ด้านหลังของเธอด้วยใบหน้าหล่อเหลาที่ดูสมบูรณ์แบบ แววตาของเขาเต็มไปด้วยความรักที่ยากจะปิดบัง ทั้งคู่ทอดสายตามองยาวไปยังผืนน้ำเบื้องหน้าพ
เปลือกตาสีไข่ค่อยๆ ขยับ ก่อนที่นิ้วกลางจะกระตุกขึ้นอย่างแผ่วเบา พลอยใสที่นั่งอยู่ข้างเตียงรู้ทันทีว่าเพื่อนของเธอกำลังจะฟื้น ฝนค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ เห็นพลอยใสนั่งอยู่ข้างๆ ก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบห้องด้วยความสงสัยและความงุนงง ในใจเธอยังคงตั้งคำถาม "ฉันยังมีชีวิตอยู่เหรอ? ฉันยังไม่ตายอีกเหรอ?" ภาพสุดท้ายที่จำได้ก่อนหมดสติคือภาพของเอกกับแม่ที่อยู่ข้างๆฝนหันไปถามพลอยใส "ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง? แล้วแกมาได้ยังไง?"พลอยใสไม่ตอบคำถามนั้น แต่กลับพูดขึ้นเสียงสั่นเครือ "ฝน แกเป็นอะไร ทำไมแกไม่บอกฉัน! ทำไมถึงคิดแบบนี้ได้ยังไง แกรู้ไหมว่าถ้าแกเป็นอะไรไป จะมีคนอีกตั้งหลายคนที่เสียใจ...ทำไมถึงคิดสั้นแบบนี้!" พลอยใสโผเข้ากอดเพื่อนรักที่กำลังอ่อนเพลียจนพูดอะไรไม่ออก มีเพียงน้ำตาที่ไหลอาบแก้มอย่างเงียบๆทันใดนั้น ฟ้าเปิดประตูเข้ามา "ฝน! เป็นยังไงบ้าง? พี่ได้ข่าวก็รีบมาเลย ทำไมทำแบบนี้ มีอะไรทำไมไม่บอกพี่!" ฟ้าโผเข้ากอดน้องสาวแล้วร้องไห้ ฝนร้องไห้ตามอีกครั้ง กอดพี่สาวด้วยความเสียใจกับเรื่องราวที่ตัวเองต้องเผชิญ เธอได้แต่ร้องไห้โดยไม่พูดอะไร พลอยใสทำได้เพียงลูบหลังปลอบใจ ก่อนจะหันไปมองฟ้าด้วยความไม่เข้า
ฝนกอดรองเท้าข้างน้อยของพ่อไว้แน่น ความรู้สึกเดียวที่เหลืออยู่คือความเจ็บปวด ด้วยความสิ้นหวัง รู้ตัวอีกที เธอก็ไปยืนอยู่ริมตลิ่งของเขื่อนชลประทาน สายตาเหม่อมองไปยังผืนน้ำกว้างที่นิ่งสงบ ราวกับกำลังรอคอยที่จะกลืนกินความเจ็บปวดทั้งหมดของเธอลงไป"พ่อ...หนูจะตามพ่อไป..." เธอพึมพำ น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าร่วงหล่นลงสู่พื้นดิน ความทรงจำที่เคยมีร่วมกับพ่อฉายชัดขึ้นในหัว ภาพที่พ่อเคยยิ้มให้เธอ เคยโอบกอดเธออย่างอบอุ่น และภาพที่พ่อบอกว่าเขาจะไม่มีวันทิ้งเธอไปไหนแต่ตอนนี้...พ่อไม่อยู่แล้ว...และคนที่เธอรักก็กำลังทำให้เธอเจ็บปวดที่สุดฝนค่อย ๆ ยื่นมือออกไป ปล่อยรองเท้าข้างน้อยของพ่อให้ร่วงหล่นลงสู่ผืนน้ำช้า ๆ ราวกับกำลังปล่อยความหวังสุดท้ายในชีวิตให้จมหายไปกับสายน้ำนั้น"ลาก่อน...ทุกอย่าง..."ในวินาทีนั้นเอง...เธอก็ตัดสินใจที่จะไม่ทนต่อความเจ็บปวดอีกต่อไป ร่างของเธอค่อย ๆ ก้าวเดินลงไปในน้ำอย่างเชื่องช้า น้ำที่เย็นเยียบไม่สามารถหยุดยั้งความรู้สึกที่ร้อนรุ่มในหัวใจได้ เธอเดินลึกเข้าไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งผืนน้ำค่อย ๆ กลืนร่างของเธอไปจนมิดและในตอนนั้นเอง...ทุกอย่างก็ดับลง...เธอรู้สึกเหมือนร่างกายลอยเคว้งคว้
"ผมไม่เข้าใจเลยครับคุณอา ท่าทีของนวลในตอนนั้น..."นวล มองซ้ายมองขวา เนื่องจากเป็นสถานที่ที่ไม่ควรใช้เสียง นวลจึงรากเอกออกมา ยังบริเวณข้างนอกวอร์ด จาก สถานที่ ที่ห้ามรบกวนผู้ป่วยและ บุคลากรของโรงพยาบาลเอกมองหน้าอาด้วยความสับสน ทั้งที่เขาชื่อเอก แต่ทำไมทุกคนถึงเรียกเขาว่า 'นนท์' นนท์เป็นใคร แล้วเอกคือนนท์ นนท์คือเอกจริงหรือ? ความรู้สึกที่เหมือนมีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากลค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นในใจ"ภาพความทรงจำเมื่อ 28 ปีก่อนย้อนกลับมาฉายซ้ำในหัวนวล"วันนั้น เอก หรือ นนท์ ในวัยเด็กกำลังจะไปเยี่ยมน้องสาวคนใหม่ที่เพิ่งคลอดได้ไม่กี่เดือนพร้อมกับพ่อ ขณะที่พ่อกับอาขอตัวไปทำธุระ เอกจึงต้องอยู่กับนวลที่โรงพยาบาลนวลพาน้องสาวตัวน้อยมาฉีดวัคซีน เอกเลยตามมาด้วย แต่แล้วพ่อของเอกก็ขอตัวไปทำธุระอีก ปล่อยให้เอกอยู่กับนวลและน้องสาวตัวน้อยลำพังขณะที่นวลกำลังติดต่อชำระเงินค่าบริการโรงพยาบาล ก็มีหญิงสาวเสียสติคนหนึ่งเดินมาอุ้มน้องสาวตัวน้อยไป เธอคิดว่าเด็กคนนั้นคือลูกของตัวเองที่เพิ่งเสียชีวิตไปไม่นาน เอกเห็นดังนั้นจึงรีบวิ่งตามไปทันทีแต่ในระหว่างที่กำลังวิ่งตามออกไปนั้นเอง รถคันหนึ่งก็เฉี่ยวเข้าที่ร่างของเอ
ฝนตื่นขึ้นมาในอ้อมกอดที่อบอุ่นของเอก เธอเงยหน้าขึ้นมองเขาที่ยังคงหลับใหลอย่างมีความสุข รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอ ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นอย่างเงียบเชียบเพื่อไม่ให้รบกวนการนอนของเขาฝนเดินไปที่ระเบียงและมองออกไปยังวิวทะเลที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา เธอรู้สึกราวกับว่ากำลังอยู่ในความฝัน ความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความสุข ความรัก และความอบอุ่นเข้ามาแทนที่ความเหงาที่เคยมีในใจมาตลอด ฝนยืนมองวิวอยู่นาน ก่อนที่วงแขนแข็งแรงของเอกจะเข้ามากอดเธอจากด้านหลัง พร้อมกับจุมพิตที่ท้ายทอยแผ่วเบา"ฝนไม่หนีไปจากพี่จริงๆ ด้วย..." เอกพึมพำด้วยเสียงแหบพร่าในยามเช้า ฝนจึงหันไปมองเขาแล้วซบหน้าลงกับแผงอกที่เปลือยเปล่าของเขาอย่างออดอ้อน"จะให้ฝนหนีไปจากความโรแมนติกของพี่เอกได้ยังไงคะ" เธอกระซิบตอบพร้อมกับรอยยิ้มที่สดใส เอกหัวเราะในลำคออย่างพอใจ ก่อนจะกอดเธอไว้แน่นขึ้น"พี่รักฝนนะครับ""ฝนก็รักพี่เอกค่ะ...รักหมดหัวใจเลย"เอกก้มลงจูบฝนอย่างดูดดื่มอีกครั้ง เป็นการเริ่มต้นที่แสนโรแมนติกของทั้งคู่"พี่เอกคะ... กลับจากที่นี่ เราเข้าไปหาแม่ของฝนดีไหมคะ"เอกที่กำลังกอดเธออยู่จากด้านหลังคลายอ้อมกอดเล็กน้อย ก่อนจะหันมาสบตาเธออย่าง







