LOGINอะไรนะ...คุณเอกกับฝนเนี่ยนะ!
หมอกฤษณ์ถามพ่อด้วยความตกใจ “ได้ยินมาผิดหรือเปล่าครับ” “ไม่ผิดหรอกลูก ทีแรกพ่อก็คิดว่าข่าวลือ บ้านห่างกัน 30 กิโลยังรู้เรื่อง พ่อก็เลยตัดสินใจโทรหาอาแวว อาแววก็บอกว่าอย่างที่คนเขาพูดกันนั่นแหละ” หมอกฤษณ์ได้ฟังแทบทรุด “แค่นี้ก่อนนะครับพ่อ” “จะเป็นไปได้ยังไง ฝนที่พี่รู้จัก จะเป็นไปได้ยังไง” หมอกฤษณ์แทบไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่ได้ยินจากปากพ่อตัวเอง ในใจเขาคิดจะโทรหาฝนแต่ก็ไม่กล้า ในตอนนั้นเองก็ได้ยินเสียงฝน “พี่หมอคะ เข็มสุดท้ายแล้ว” หมอกฤษณ์หันไปมอง เห็นฝนกับเอกที่มาพร้อมกัน ในใจเขารู้สึกเจ็บปวด เหมือนถูกทอดทิ้งทันที “คุณพยาบาลครับ ช่วยจัดการให้ด้วยนะครับ” “พี่หมอจะไปไหน!” ฝนรีบคว้าแขนหมอกฤษณ์ไว้ “ถ้าพี่หมอไม่ดูแลฝนแล้วใครจะดูแลฝน ใครกันที่บอกว่าจะยกทั้งชีวิตให้ฝน แล้วนี่อะไร แค่คนมาฉีดยา พี่ยังไม่ใส่ใจคนอีกเหรอ” ฝนพูดด้วยความไร้เดียงสา หมอกฤษณ์เริ่มตาแดงก่ำ หันไปมองที่เอกที่ยืนอยู่ข้างๆ ซึ่งเอกก็มองตอบด้วยสายตาที่เจ็บปวดและหึงหวง แต่ก็ต้องเก็บอาการไว้ “ฝนก็มีคนดูแลแล้วนี่ ต้องพึ่งพี่หมออย่างพี่เหรอ” หมอกฤษณ์พูดด้วยน้ำเสียงสั่นและเจ็บปวด “ทำไมพี่หมอพูดแบบนี้ ถ้าไม่ใช่พี่หมอแล้วใครจะดูแลฝน ใครกันที่สัญญาว่าจะยกทั้งชีวิตให้ฝน แค่นี้ก็ลืมแล้วเหรอ” ด้วยหน้าที่และเวลางาน หมอกฤษณ์ไม่ได้พูดอะไรมาก เขาพยายามเก็บอาการถึงที่สุด “งั้นไป เดี๋ยวพี่พาไปฉีดยา” ในขณะที่กำลังจะฉีดยา ฝนที่กลัวเข็มรีบจับมือหมอกฤษณ์ไว้แน่น ในตอนนั้นเอง เอกที่เห็นก็รู้สึกหึงหวงและไม่พอใจขึ้นมาทันที เขามองหญิงสาวที่เป็นที่รักของเขา แต่กลับจับมือผู้ชายคนอื่น ถึงแม้จะรู้ว่าเป็นหมอและเป็นพี่ชายที่ฝนคิดมาตลอดก็ตาม หลังจากฉีดยาเสร็จ ฝนก็นอนพักผ่อนเหมือนเช่นเคย หมอกฤษณ์เดินออกมาถามเอกตรงๆ “มันเกิดอะไรขึ้นครับ ทำไมเรื่องคุณกับฝนถึงเป็นแบบนั้น มันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่าครับ” เอกอ้ำอึ้ง ไม่ได้ตอบตรงประเด็น พูดแค่ว่า “ผมจะดูแลฝนให้ดีที่สุดครับ พี่ชายอย่างหมอ ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ” คำนี้ทำให้หมอกฤษณ์รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาทันที “แล้วคุณรู้หรือเปล่า ว่าเธอชอบไม่ชอบอะไร คุณจะดูแลเธอได้ไหม คุณจะดูแลได้ดีกว่าผมไหม” “ผมจะพยายามทำทุกอย่างให้เธอมีความสุข พี่ชายอย่างคุณหมอจะได้ไม่ต้องกังวลเลยนะครับ มันหมดหน้าที่คุณแล้ว ต่อไปผมจะรับหน้าที่นั้นแทน... หน้าที่คนรัก ไม่ใช่หน้าที่พี่ชาย” หมอกฤษณ์ถึงกับน้ำตาคลอเบ้า “งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ พอดีผมมีคนไข้ที่ต้องไปตรวจ” เขาข่มอารมณ์แล้วเดินจากไป ในขณะนั้น เอกก็ยังมีความรู้สึกผิดกับเรื่องที่เกิดขึ้น เขาใช้เรื่องที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริงในคืนนั้น เพื่อที่จะผูกมัดหญิงสาวไว้ให้เป็นของเขา เขารู้ว่าเขาเห็นแก่ตัว แต่ก็ไม่อยากจะปล่อยให้เธอหลุดมือไป เพราะด้วยนิสัยของฝน เธอน่าจะไม่อยากยึดติดกับใครในตอนนี้ ด้วยอายุที่ห่างกัน เธอยังมีโอกาสที่จะพบเจอคนอีกมากมาย แต่สำหรับเอกในวัย 35 เขารอขนาดนั้นไม่ได้ ถึงจะเป็นความเห็นแก่ตัว แต่มันก็เกิดจากความรักของเขา 30 นาทีผ่านไป เอกเข้าไปพยุงฝนขึ้นจากเตียงผู้ป่วย เขาใช้มือลูบไปที่แก้มของเธออย่างอ่อนโยน “หน้ามืดอยู่ไหม” “หน้ามืดอะไรกันคะ ฝนไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย” เธอยิ้ม “งั้นกลับกันเถอะ” “ได้ค่ะ แล้วพี่หมอกฤษณ์ล่ะคะ” “พอดีมีคนไข้ที่ต้องไปตรวจ งานน่าจะยุ่งครับ กับกันก่อนก็ได้ไม่ต้องรอหรอก” “งั้นก็ได้ค่ะ” ทั้งคู่เดินออกจากโรงพยาบาลไป หมอกฤษณ์ที่เห็นภาพนั้น รู้สึกเหมือนถูกทอดทิ้ง ทั้งที่ผ่านมาเขาได้ทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อฝน เพื่อมาเป็นหมอ ทิ้งความฝันที่จะไปเป็นทหารก็เพื่อฝน เพราะคำที่พ่อบอกไว้ว่าต้องดูแลฝน ต้องตอบแทนพระคุณของคุณย่าของอานพ และต้องทำให้ฝนมีความสุข จนหลายปีที่ผ่านมาหมอกฤษณ์ไม่รู้เลยว่าเขาต้องทำอะไรเพื่อตัวเอง ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อตัวเองตั้งแต่แรก จนตอนนี้ เมื่อฝนได้เป็นของคนอื่น หมอกฤษณ์กลับไม่รู้ว่าจะไปทิศทางไหน ไม่รู้ว่าจุดหมายของตัวเองอยู่ตรงไหน เขาไม่อยากจะเชื่อว่าเรื่ื่องราวทั้งหมดจะกลายเป็นแบบนี้ ระหว่างทางบนรถ เอกปรับเบาะให้ฝนได้นอนสบายๆ เธอมองหน้าเขาอย่างงงงวยกับการกระทำ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไร เธอนอนพร้อมกับห่มเสื้อของเอกที่คลุมให้ ฝนยังไม่รู้ว่าเอกรู้เรื่องความกลัวเลือดของเธอ เอกขับรถไปช้าๆ เพราะอยากใช้เวลาอยู่กับฝนให้นานที่สุด เขาจอดรถข้างทาง แล้วมองหญิงสาวที่กำลังหลับตาพริ้ม แววตาของเขาดูเหมือนคนที่อยากสารภาพผิดแต่ไม่กล้า ในหัวเขามีความคิดที่เห็นแก่ตัวขึ้นมา... หรือว่าเขาจะทำให้เรื่องที่ไม่เป็นความจริง ให้มันเป็นความจริงไปเลย เขาจะได้ไม่ต้องรู้สึกผิดที่ต้องโกหกฝน แต่จะทำยังไงให้เป็นความจริง ในเมื่อเจ้าตัวไม่ได้มีท่าทีอะไรเลยในคืนนั้นที่เกิดเหตุการณ์ขึ้น เขาคิดว่าอาจจะเป็นฤทธิ์ยาที่ด้วงวางยา เขาพยายามสลัดความคิดชั่วร้ายนั้นทิ้งไป ทันใดนั้นเอง รถจักรยานยนต์ของด้วงและวัดก็ขับผ่านมา เอกรีบเปิดประตูรถดักหน้าไว้ ทำให้ทั้งคู่เบรกกะทันหัน พอเห็นหน้าเอกเท่านั้น ทั้งคู่ก็ตกใจกำลังจะบิดหนี เอกตะโกนเรียก “ถ้าไม่หยุด เรื่องนี้ถึงตำรวจแน่!” ทั้งคู่หยุดชะงัก เอกเดินเข้าไปใกล้ ร่างสูงใหญ่กำยำทำให้จิ๊กโก๋กระจอกอย่างพวกเขารู้สึกเกรงกลัว “มีอะไรหรือเปล่าครับ” “วันนั้นพวกนายเอาอะไรให้ฝนกิน ทำไมฝนถึงมีอาการแบบนั้น” “อะไรครับ ผมไม่รู้เรื่อง” “นายอย่ามาโกหก!” เอกกระชากคอเสื้อของวัดแล้วง้างกำปั้น “บะ... บะ...บอกแล้วครับๆ ก็แค่ยาบำรุงนิดๆ หน่อยๆ เพิ่มความสุข ความเร่าร้อนแค่นั้นเองครับ” เอกโมโหจนจะต่อย แต่วัดก็กระเด็นไปเสียก่อน ด้วยแรงฝ่าเท้าของฝนที่กระโดดถีบเข้ามา “เรื่องนี้ไม่ต้องให้ถึงมือพี่เอกหรอกค่ะ ฝนจัดการเอง!” เธอพุ่งเข้าไปต่อย เตะ และกระทืบวัดต่อหน้าเอก เอกรีบเข้าไปกอดฝนจากด้านหลังแล้วยกตัวเธอขึ้นมา เธอพยายามจะดิ้นลงไปเตะต่อยอีก แต่ด้วยตัวที่เล็กกว่า เอกจึงยกเธอขึ้นมาได้ง่ายดาย “พอแล้วๆ!” “เป็นเพราะแก! แกสองคนมันชั่ว! ถ้าไม่ใช่เพราะแกฉันก็ไม่เป็นแบบนี้!” “เป็นอะไรน้องฝน ก็สบายดีนี่” “เออ! ฉันสบายดี สบายมากเลยแหละ สบายจนมีผัวแล้ว อยู่ดีๆ พวกแกก็ทำให้ฉันมีผัว ให้คนเลว!” “อะไรนะ! น้องฝนพูดอะไรนะ อยู่ดีๆ ก็มีผัว” “ก็มีผัวคืนนั้นไง!" " น้องฝนกับไอ้หล่อคนนี้!” “ไม่นะ! ไม่นะ!” ด้วงรับไม่ได้กับคำตอบ เขาปิดหูแล้ววิ่งจากไป ทิ้งไว้แค่วัดที่โดนฝนกระทืบจนต้องเข็นมอเตอร์ไซค์วิ่งตามไป เอกมองดูท่าทางของคนที่แก่นแก้วคนเดิมที่กลับมา เขาอดไม่ได้ที่จะยิ้ม แล้วหันมาถามฝน “สรุปว่าตอนนี้ พี่เป็นผัวซะงั้น” ฝนหน้าแดง ทำตัวไม่ถูกกับคำพูดของเขา “อะไร! ขึ้นรถได้แล้ว ไม่ต้องพูดแบบนั้น” เธอรีบเดินหนีกลับมาที่รถด้วยความเขินอาย พอเข้ามานั่งในรถ เอกก็ถามต่อ “คนที่นี่เขาพูดคำว่า ‘ผัว’ ได้ง่ายจัง ไม่รู้สึกเขินปากตัวเองเหรอ” “จะเขินทำไม ผัวก็คือผัว ก็สามีนั่นแหละ” เอกที่ได้ยินถึงกับยิ้มแก้มปริ “ทำไมพี่ฟังแล้วพี่รู้สึกยังไงไม่รู้ มันวูบวาบๆ” ฝนได้ยินแบบนั้นก็หัวเราะ ก่อนจะเอาหัวไปซบที่ไหล่ของเขาแล้วอ้อนเสียงหวาน “ไปกันเถอะผัวขา” เอกขำในใจ “ทำไมผู้หญิงคนนี้ไม่โรแมนติกเอาซะเลย” ไม่ว่าจะพูดอะไรหรือคุยอะไรก็กลายเป็นเรื่องขำขันไปเสียหมด แต่เขาก็ชอบที่ฝนเป็นแบบนี้ ดีกว่าต้องเห็นเธอเศร้าและอ่อนแอ มันทำให้เอกรู้สึกปวดใจมาก เอกจอดรถ “อ้าว ทำไมไม่ไปส่งฝนที่บ้าน มาที่นี่ทำไม” “ก็พี่เหนื่อย อยากเข้าห้องน้ำก่อน เดี๋ยวไปส่ง” “ถ้าพี่เหนื่อยเดี๋ยวฝนเดินกลับก็ได้นะ” เอกรีบคว้ามือฝนไว้แล้วดึงกลับมากอด “อย่าเพิ่งไป อยู่เป็นเพื่อนพี่ก่อน พี่เหงา” ฝนยิ้ม “งั้นก็ได้”นพพลเริ่มสงสัยตอนไหน?เรื่องราวทั้งหมดต้องย้อนกลับไปในงานแต่งงานของฟ้า ลูกสาวคนกลางของนพพล ที่นั่นนพพลได้เจอกับเอกเป็นครั้งแรก และรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด เมื่อได้พูดคุยก็ยิ่งรู้สึกเอ็นดู เขาจึงแลกช่องทางการติดต่อกับเอกไว้เมื่อรู้ว่าเอกต้องย้ายมาทำงานที่สาขาต่างจังหวัดซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้าน นพพลจึงชวนเอกให้มาเช่าบ้านใกล้ๆ ซึ่งในตอนนั้นเขายังไม่ได้มีความสงสัยใดๆจนกระทั่งวันหนึ่ง ท่อน้ำที่บ้านแตก เอกได้เข้ามาช่วยซ่อมจนเสื้อผ้าเปียก นพพลจึงให้ฝนนำเสื้อมาให้เอกเปลี่ยน ขณะที่เอกถอดเสื้อ นพพลได้เห็นปานรูปใบหม่อนใต้ราวนมของเอก ซึ่งทำให้เขาตกใจและเริ่มสงสัยในตัวเอกอย่างมากหลังจากนั้น ในวันที่ฝนหมดสติและเอกโทรศัพท์ให้นพพลไปหาที่บ้าน ขณะที่เอกกำลังอุ้มฝนไปวางบนที่นอน นพพลได้แอบเข้าไปในห้องน้ำและเก็บเส้นผมรวมถึงแปรงสีฟันของเอกมา เพื่อนำไปตรวจ DNAนพพลจัดการเรื่องทั้งหมดด้วยตัวคนเดียว เพราะเขาไม่อยากให้ประทินต้องผิดหวังหากผลตรวจออกมาไม่ใช่พ่อลูกกัน เขาอยากจะแน่ใจก่อนถึงจะบอกทุกคน เขาพยายามหาโอกาสให้ประทินได้พบกับเอกที่เขื่อน และตั้งใจว่าจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้ประทินฟัง แต่โชคร้ายที่นพพลกลับพลัด
บรรยากาศยามเช้าตรู่ ณ กระท่อมน้อยริมบึงกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง แสงแดดสีทองสาดส่องกระทบผิวน้ำเป็นประกายระยิบระยับ ดอกบัวสีชมพูและขาวพากันชูช่อบานรับแสงอรุณราวกับกำลังยิ้มทักทาย สายลมพัดเอื่อยๆ พากลิ่นหอมของดอกไม้ป่าลอยมาตามลม ผีเสื้อหลากสีโบยบินไปมาอย่างร่าเริง เถาไม้เลื้อยที่เคยดูโรยรากลับเขียวชอุ่มและมีดอกไม้เล็กๆ แซมอยู่ประปราย เสียงนกร้องเจื้อยแจ้วดังแว่วมาจากป่า บรรยากาศโดยรอบอบอวลไปด้วยความสุขและความหวัง ราวกับธรรมชาติกำลังเยียวยาบาดแผลที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้บนเฉลียงไม้เล็กๆ ของกระท่อมกลางบึง ฝน นั่งอยู่คนเดียวในชุดสีขาวเรียบง่าย ใบหน้าของเธอดูสงบและผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน สายตาของเธอมองไปยังผืนน้ำนิ่งๆ ที่สะท้อนเงาของท้องฟ้าสีคราม เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ รับเอาความสดชื่นจากธรรมชาติเข้าสู่ปอดอย่างเต็มที่ในวินาทีนั้นเอง อ้อมแขนแกร่งก็โอบเข้าที่เอวของเธอจากด้านหลังอย่างแผ่วเบา พร้อมกับกลิ่นหอมสะอาดของเสื้อเชิ้ตสีขาวที่คุ้นเคย เอก ยืนอยู่ด้านหลังของเธอด้วยใบหน้าหล่อเหลาที่ดูสมบูรณ์แบบ แววตาของเขาเต็มไปด้วยความรักที่ยากจะปิดบัง ทั้งคู่ทอดสายตามองยาวไปยังผืนน้ำเบื้องหน้าพ
เปลือกตาสีไข่ค่อยๆ ขยับ ก่อนที่นิ้วกลางจะกระตุกขึ้นอย่างแผ่วเบา พลอยใสที่นั่งอยู่ข้างเตียงรู้ทันทีว่าเพื่อนของเธอกำลังจะฟื้น ฝนค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ เห็นพลอยใสนั่งอยู่ข้างๆ ก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบห้องด้วยความสงสัยและความงุนงง ในใจเธอยังคงตั้งคำถาม "ฉันยังมีชีวิตอยู่เหรอ? ฉันยังไม่ตายอีกเหรอ?" ภาพสุดท้ายที่จำได้ก่อนหมดสติคือภาพของเอกกับแม่ที่อยู่ข้างๆฝนหันไปถามพลอยใส "ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง? แล้วแกมาได้ยังไง?"พลอยใสไม่ตอบคำถามนั้น แต่กลับพูดขึ้นเสียงสั่นเครือ "ฝน แกเป็นอะไร ทำไมแกไม่บอกฉัน! ทำไมถึงคิดแบบนี้ได้ยังไง แกรู้ไหมว่าถ้าแกเป็นอะไรไป จะมีคนอีกตั้งหลายคนที่เสียใจ...ทำไมถึงคิดสั้นแบบนี้!" พลอยใสโผเข้ากอดเพื่อนรักที่กำลังอ่อนเพลียจนพูดอะไรไม่ออก มีเพียงน้ำตาที่ไหลอาบแก้มอย่างเงียบๆทันใดนั้น ฟ้าเปิดประตูเข้ามา "ฝน! เป็นยังไงบ้าง? พี่ได้ข่าวก็รีบมาเลย ทำไมทำแบบนี้ มีอะไรทำไมไม่บอกพี่!" ฟ้าโผเข้ากอดน้องสาวแล้วร้องไห้ ฝนร้องไห้ตามอีกครั้ง กอดพี่สาวด้วยความเสียใจกับเรื่องราวที่ตัวเองต้องเผชิญ เธอได้แต่ร้องไห้โดยไม่พูดอะไร พลอยใสทำได้เพียงลูบหลังปลอบใจ ก่อนจะหันไปมองฟ้าด้วยความไม่เข้า
ฝนกอดรองเท้าข้างน้อยของพ่อไว้แน่น ความรู้สึกเดียวที่เหลืออยู่คือความเจ็บปวด ด้วยความสิ้นหวัง รู้ตัวอีกที เธอก็ไปยืนอยู่ริมตลิ่งของเขื่อนชลประทาน สายตาเหม่อมองไปยังผืนน้ำกว้างที่นิ่งสงบ ราวกับกำลังรอคอยที่จะกลืนกินความเจ็บปวดทั้งหมดของเธอลงไป"พ่อ...หนูจะตามพ่อไป..." เธอพึมพำ น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าร่วงหล่นลงสู่พื้นดิน ความทรงจำที่เคยมีร่วมกับพ่อฉายชัดขึ้นในหัว ภาพที่พ่อเคยยิ้มให้เธอ เคยโอบกอดเธออย่างอบอุ่น และภาพที่พ่อบอกว่าเขาจะไม่มีวันทิ้งเธอไปไหนแต่ตอนนี้...พ่อไม่อยู่แล้ว...และคนที่เธอรักก็กำลังทำให้เธอเจ็บปวดที่สุดฝนค่อย ๆ ยื่นมือออกไป ปล่อยรองเท้าข้างน้อยของพ่อให้ร่วงหล่นลงสู่ผืนน้ำช้า ๆ ราวกับกำลังปล่อยความหวังสุดท้ายในชีวิตให้จมหายไปกับสายน้ำนั้น"ลาก่อน...ทุกอย่าง..."ในวินาทีนั้นเอง...เธอก็ตัดสินใจที่จะไม่ทนต่อความเจ็บปวดอีกต่อไป ร่างของเธอค่อย ๆ ก้าวเดินลงไปในน้ำอย่างเชื่องช้า น้ำที่เย็นเยียบไม่สามารถหยุดยั้งความรู้สึกที่ร้อนรุ่มในหัวใจได้ เธอเดินลึกเข้าไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งผืนน้ำค่อย ๆ กลืนร่างของเธอไปจนมิดและในตอนนั้นเอง...ทุกอย่างก็ดับลง...เธอรู้สึกเหมือนร่างกายลอยเคว้งคว้
"ผมไม่เข้าใจเลยครับคุณอา ท่าทีของนวลในตอนนั้น..."นวล มองซ้ายมองขวา เนื่องจากเป็นสถานที่ที่ไม่ควรใช้เสียง นวลจึงรากเอกออกมา ยังบริเวณข้างนอกวอร์ด จาก สถานที่ ที่ห้ามรบกวนผู้ป่วยและ บุคลากรของโรงพยาบาลเอกมองหน้าอาด้วยความสับสน ทั้งที่เขาชื่อเอก แต่ทำไมทุกคนถึงเรียกเขาว่า 'นนท์' นนท์เป็นใคร แล้วเอกคือนนท์ นนท์คือเอกจริงหรือ? ความรู้สึกที่เหมือนมีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากลค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นในใจ"ภาพความทรงจำเมื่อ 28 ปีก่อนย้อนกลับมาฉายซ้ำในหัวนวล"วันนั้น เอก หรือ นนท์ ในวัยเด็กกำลังจะไปเยี่ยมน้องสาวคนใหม่ที่เพิ่งคลอดได้ไม่กี่เดือนพร้อมกับพ่อ ขณะที่พ่อกับอาขอตัวไปทำธุระ เอกจึงต้องอยู่กับนวลที่โรงพยาบาลนวลพาน้องสาวตัวน้อยมาฉีดวัคซีน เอกเลยตามมาด้วย แต่แล้วพ่อของเอกก็ขอตัวไปทำธุระอีก ปล่อยให้เอกอยู่กับนวลและน้องสาวตัวน้อยลำพังขณะที่นวลกำลังติดต่อชำระเงินค่าบริการโรงพยาบาล ก็มีหญิงสาวเสียสติคนหนึ่งเดินมาอุ้มน้องสาวตัวน้อยไป เธอคิดว่าเด็กคนนั้นคือลูกของตัวเองที่เพิ่งเสียชีวิตไปไม่นาน เอกเห็นดังนั้นจึงรีบวิ่งตามไปทันทีแต่ในระหว่างที่กำลังวิ่งตามออกไปนั้นเอง รถคันหนึ่งก็เฉี่ยวเข้าที่ร่างของเอ
ฝนตื่นขึ้นมาในอ้อมกอดที่อบอุ่นของเอก เธอเงยหน้าขึ้นมองเขาที่ยังคงหลับใหลอย่างมีความสุข รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอ ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นอย่างเงียบเชียบเพื่อไม่ให้รบกวนการนอนของเขาฝนเดินไปที่ระเบียงและมองออกไปยังวิวทะเลที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา เธอรู้สึกราวกับว่ากำลังอยู่ในความฝัน ความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความสุข ความรัก และความอบอุ่นเข้ามาแทนที่ความเหงาที่เคยมีในใจมาตลอด ฝนยืนมองวิวอยู่นาน ก่อนที่วงแขนแข็งแรงของเอกจะเข้ามากอดเธอจากด้านหลัง พร้อมกับจุมพิตที่ท้ายทอยแผ่วเบา"ฝนไม่หนีไปจากพี่จริงๆ ด้วย..." เอกพึมพำด้วยเสียงแหบพร่าในยามเช้า ฝนจึงหันไปมองเขาแล้วซบหน้าลงกับแผงอกที่เปลือยเปล่าของเขาอย่างออดอ้อน"จะให้ฝนหนีไปจากความโรแมนติกของพี่เอกได้ยังไงคะ" เธอกระซิบตอบพร้อมกับรอยยิ้มที่สดใส เอกหัวเราะในลำคออย่างพอใจ ก่อนจะกอดเธอไว้แน่นขึ้น"พี่รักฝนนะครับ""ฝนก็รักพี่เอกค่ะ...รักหมดหัวใจเลย"เอกก้มลงจูบฝนอย่างดูดดื่มอีกครั้ง เป็นการเริ่มต้นที่แสนโรแมนติกของทั้งคู่"พี่เอกคะ... กลับจากที่นี่ เราเข้าไปหาแม่ของฝนดีไหมคะ"เอกที่กำลังกอดเธออยู่จากด้านหลังคลายอ้อมกอดเล็กน้อย ก่อนจะหันมาสบตาเธออย่าง







