เสียงนาฬิกาแขวนบนผนังดังเป็นจังหวะราวกับเร่งเร้าให้บรรยากาศในห้องรับแขกเงียบสงัดยิ่งขึ้น ประมุขของบ้านนั่งหน้าเคร่งขรึม ทุกสายตาจับจ้องมายังชายหนุ่มเจ้าของบ้านที่ยืนนิ่งอยู่กลางห้อง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกังวลและลังเล
“มีอะไรภูริถึงได้รีบร้อน” น้ำเสียงเข้มของผู้เป็นพ่อเอ่ยถาม ทำให้หัวใจของเขาแทบหยุดเต้น
“ผมมีเรื่องสำคัญที่ต้องบอกกับทุกคน”
“พูดมาสิปู่รอฟังอยู่” พิชิตซึ่งเป็นของภูริจ้องหน้าหลานชายคนเดียว คนที่ผ่านร้อนผ่านมาหนาวมาก่อนรู้ว่าไม่ใช่เรื่องดีแน่
ภูริดันสูดหายใจเข้าลึกพยายามรวบรวมความกล้า เสียงสั่นพร่าเล็ดลอดออกมา เขากำมือแน่นจนสั่นก่อนจะหลุบตามองต่ำ
“ผมทำเดียร์ท้อง”
ทันทีที่คำพูดหลุดออกมา ความเงียบกลับกลายเป็นเสียงฮือฮา ทุกคนเบิกตากว้างราวกับไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน
“อะไรนะภูริเดียร์นี่ใช่เด็กในบ้านเรามั้ย” ผู้เป็นพ่ออุทานด้วยความตกใจ ดวงตาเต็มไปด้วยทั้งความสับสนและผิดหวัง
“ใช่ครับ ความจริงแล้วผมกับเดียร์เราแอบคบหากันมาเกือบสองปีแล้วครับ” แต่ภูริดันยังไม่หยุด เขากัดฟันเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
บรรยากาศในห้องถึงกับเย็นยะเยือกลงทันตา ทุกคนเงียบกริบราวกับไม่มีใครกล้าขยับ เสียงหายใจของแต่ละคนดังชัดเจนขึ้นอย่างประหลาด ความตกใจและความอึ้งงันปะปนไปทั่วใบหน้า
“แกรู้ตัวหรือเปล่าว่าพูดอะไรออกมา ลูกสาวป้าดาอายุยังไม่พ้น 18 เลยแกจะถูกข้อหาพรากผู้เยาว์เอานะไอ้ภู แกเองอายุเท่าไหร่มีปัญญาเลี้ยงลูกเองแล้วเหรอ” แววตาของผู้พชรคมกริบ ทั้งตกใจบวกกับสิ่งที่รับรู้มาหากอีกฝ่ายเอาเรื่อง ลูกชายเขาคงไปนอนอยู่ในคุก
“แล้วป๊าจะให้ผมไปนอนคุกเหรอครับ ป๊าไม่ถามหน่อยเหรอว่าผมจะรับผิดชอบยังไง” เขาดันมองสบตาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและสิ้นทางถอย
“แล้วแกจะรับผิดชอบยังไงไหนพูดมาสิ”
“เด็กในท้องก็เป็นหลานของป๊านะ ป๊าจะยอมให้เขาจับผมเข้าคุกลูกกำพร้าพ่อพอดี” เขาเถียงตามสไตล์เด็กดื้อรั้นไม่ยอมใครง่ายๆ
“ไอ้ภู! แล้วทำไมไม่รู้จักป้องกัน”
“เลิกเถียงกันได้แล้ว! ไปตามเด็กมา” ประมุขของบ้านนั่งหน้าเครียด แบบนี้อนาคตของเด็กทั้งสองคนอาจจะพังลงในพริบตา รับผิดชอบตัวเองยังไม่ดีพอแล้วไหนจะลูกที่กำลังจะเกิดมาอีก
เดียร์นั่งตัวเล็กอยู่บนพื้นข้างเก้าอี้ ดวงตาแดงก่ำ น้ำตาไหลรินไม่ขาดสาย ข้างๆ กันคือผู้เป็นแม่ที่ยังไม่เข้าใจว่าลูกสาวถูกเรียกมาที่นี่เพื่อเรื่องอะไร
ก่อนที่จะเอ่ยปากถาม เสียงเข้มของพชรผู้เป็นพ่อของภูริดันก็ดังขึ้นแทบจะฟาดกลางวงสนทนา
“ไอ้ภูมันทำหนูเดียร์ท้อง”
คำพูดนั้นราวกับสายฟ้าฟาดกลางใจ ทุกคนในห้องเงียบกริบ ก่อนที่ป้าดาจะเบิกตากว้าง หันขวับมามองลูกสาวทันที
“อะไรนะ!?” น้ำเสียงสั่นเครือของเธอเปล่งออกมาอย่างไม่อยากเชื่อ หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกมานอกอก มือไม้เย็นเฉียบ
“เดียร์มันจริงเหรอลูก แม่ถามว่ามันจริงหรือเปล่า!” ดาทองหันไปคว้าต้นแขนลูกสาวที่นั่งก้มหน้าน้ำตาร่วงพราก
“แม่หนูขอโทษค่ะ” เดียร์ไม่กล้าเงยหน้ามองแม่ ได้แต่สะอื้นไห้ เสียงขาดห้วงตอบกลับมาเบาแผ่วแทบไม่เป็นคำพูด
ดาทองถึงกับชะงักร่างทั้งร่างสั่นสะท้าน น้ำตาคลอเบ้าอย่างห้ามไม่อยู่ เธอหันไปมองภูริดันที่นั่งนิ่งหน้าซีด สายตาเต็มไปด้วยทั้งความโกรธความเสียใจ และความผิดหวังปะปนกัน
“นายน้อยทำจริงๆ เหรอคะ” เสียงตวาดดังสะท้อนก้องไปทั่วห้อง
“คุกเข่าลงไปกราบขอโทษซะ” พชรสั่งเสียงเข้ม
“ผมขอโทษครับ ผมผิดไปแล้วป้าดาอย่าเอาผมเข้าคุกเลยนะครับ แล้วเดียร์กับลูกจะอยู่ยังไง” ภูริค่อยๆ นั่งคุกเข่าต่อหน้าแม่ของเดียร์พร้อมกับพนมมือไหว้ผู้ใหญ่
“เรื่องมันเกิดขึ้นแล้วป้าดาจะเอายังไงว่ามาเลย” พชรเอ่ยเสียงเรียบ เขาไม่อยากให้อนาคตของลูกชายพังไปเหมือนกัน
“ทั้งสองคนยังเด็กอนาคตยังไปได้อีกไกล อีกอย่างภูริต้องขึ้นมาดูงานแทนผมจะให้ใครรู้เรื่องนี้ไม่ได้”
“คุณท่านจะบอกให้เดียร์ไปเอาลูกออกเหรอคะ” ดาทองสวนกลับขึ้นมา พร้อมมองพชรอย่างผิดหวังที่คิดแบบนั้น
เดียร์นั่งตัวสั่นเทามืออีกข้างกุมท้องตัวเองไว้ ไม่กล้าแม้จะมองสบตาเขา ความรู้สึกสับสนไปหมดทุกอย่าง ถึงแม้จะยังเด็กแต่การทำลายอีกหนึ่งชีวิตเธอยอมไม่ได้เช่นกัน
“ป๊าทำไมพูดแบบนี้ละ” ภูริไม่คิดว่าเรื่องจะเป็นแบบนี้ เขามองคนตัวเล็กที่นั่งตัวสั่นเทาอยู่ไม่ห่าง
“ก็จริงถ้าในอนาคตไปกันไม่รอดแล้วเด็กล่ะ ผู้ใหญ่คนอื่นจะมองหน้าแกยังไง”
“ผู้ใหญ่นี่ใครเหรอครับ ไม่ใช่เพราะป๊าหน้าบางแคร์คนอื่นมากกว่าลูกตัวเองเหรอ”
“ไอ้ภู! ฉันเป็นพ่อแกนะ”
“เลิกเถียงกันได้แล้ว! เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้วยังไงเด็กในท้องก็เป็นทายาทคนหนึ่ง”
ด้วยความที่ปู่ของภูริเป็นคนไม่ชอบเห็นความไม่ยุติธรรมหรือการถูกเอาเปรียบ ทั้งเขายังไม่ได้รู้สึกรังเกียจอะไรถ้าภูริและเดียร์จะรักกัน ส่วนอนาคตก็ปล่อยให้มันเป็นเรื่องของอนาคต สุดท้ายหากไปกันไม่รอดก็สุดแล้วแต่กรรมใครกรรมมัน
“ฉันจะจัดงานแต่งให้เองส่วนเรื่องสินสอดก็เรียกมาได้ จะอยู่กันรอดหรือไม่รอดก็เป็นเรื่องของคนสองคน” พิชิตเอ่ยเสียงเรียบ การพูดคุยกันวันนี้ถือว่าเป็นการสิ้นสุดลงเพียงเท่านี้
พิธีแต่งงานของภูริและเดียร์ผ่านพ้นไปอย่างเรียบง่ายตามความเห็นชอบของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย ญาติพี่น้องมากันพร้อมหน้า เสียงหัวเราะและคำอวยพรคลอเคล้าไปกับบรรยากาศอบอุ่น แต่ภายใต้ความยินดีนั้นยังคงมีแววตาเศร้าซ่อนอยู่ของผู้เป็นแม่
ดาทองยืนมองลูกสาวในชุดเจ้าสาวอย่างซึ้งใจความรู้สึกทั้งภูมิใจและเจ็บปวดตีตลบกันในอก แม้จะไม่ได้เรียกร้องค่าสินสอดใดๆ แต่ปู่ของภูริกลับยืนกรานหนักแน่น
“แต่งทั้งทีก็ต้องมีสินสอดเก็บเอาไว้ให้ตั้งตัว ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยที่จะให้ผู้หญิงเดินเข้าบ้านเราเปล่าๆ” ท่านเอ่ยพลางวางซองเงินก้อนโตลงตรงหน้า
ดาทองมองเงินก้อนนั้นด้วยความลังเลใจ สุดท้ายก็ยอมรับเอาไว้ด้วยเหตุผลที่ไม่ใช่ความโลภ แต่เป็นเพราะเห็นแก่ลูกสาวที่กำลังจะเริ่มต้นชีวิตใหม่
ไม่กี่วันต่อมาหลังงานแต่งสิ้นสุดลง ดาทองตัดสินใจเก็บกระเป๋าและเดินทางกลับต่างจังหวัด บ้านเก่าที่มีเพียงพ่อชรารอคอยการดูแลยังคงอยู่ที่นั่น เธอเลือกจะกลับไปอยู่ถาวร เพราะเชื่อว่าลูกสาวที่วันนี้มีครอบครัวมั่นคงแล้ว คงไม่จำเป็นต้องกังวลหรือห่วงหาเธอมากเหมือนก่อน
บนรถทัวร์ที่กำลังแล่นออกจากกรุงเทพฯ น้ำตาของผู้เป็นแม่ไหลเงียบๆ เธอพยายามบอกตัวเองว่า นี่คือความสุขของลูก ลูกสาวได้อยู่อย่างสุขสบายไม่ต้องเหนื่อย ไม่ต้องลำบากเหมือนเธออีกต่อไป
ระหว่างทางกลับบ้านเดียร์ยังคงสะอื้นเบาๆ น้ำตาไหลเป็นระยะ แม้เธอจะพยายามกลั้นแต่ก็ไม่อาจซ่อนความรู้สึกได้
ภูริหันมามองด้วยแววตาอ่อนโยน มือใหญ่ยกขึ้นเช็ดน้ำตาที่แก้มเธออย่างเบามือ ก่อนจะเอ่ยสัญญาเสียงทุ้มหนักแน่น
“เดียร์ตั้งแต่นี้ไป พี่จะไม่ปล่อยให้เดียร์รู้สึกเหงาอีกแล้ว ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นพี่จะอยู่ข้างๆ เสมอ”
“เดียร์เป็นห่วงแม่”
“ไม่ต้องห่วงหรอก” เขายื่นมือมาเช็ดน้ำตาให้อย่างเบามือ
“พี่สัญญาว่าจะรักเดียร์กับลูกให้มากที่สุด ให้สมกับที่เดียร์ยอมอยู่เคียงข้างพี่ เดียร์จะไม่มีวันถูกทอดทิ้ง” เขากุมมือเธอแน่นขึ้น
ดวงตาของหญิงสาวสั่นไหวเมื่อสบกับสายตาเต็มไปด้วยความรักและความมั่นคงของเขา ความอบอุ่นจากคำพูดนั้นค่อยๆ ลบเลือนความเจ็บปวดในใจเธอยิ้มทั้งน้ำตา ก่อนจะพยักหน้ารับอย่างเชื่อมั่น
“เดียร์เชื่อพี่ภู”
“ดีมากเด็กดี” ภูริดึงเธอเข้ามากอดแนบอกแน่น
เดียร์ซบอยู่ในอ้อมกอดเขาอย่างสบายใจความหวั่นไหวค่อยๆ คลายลง กลายเป็นความมั่นใจว่าต่อจากนี้ เธอและลูกจะมีครอบครัวที่อบอุ่นจริงๆ
“เรื่องเรียนคลอดลูกแล้วค่อยกลับไปเรียนต่อก็ได้”
“เดียร์อยากเลี้ยงลูกเอง เดียร์ยอมเหนื่อยคนเดียวอยากให้พี่ภูไปมีอนาคต เดียร์กับลูกจะคอยมองอยู่ตรงนี้เสมอ” ชีวิตเขาต้องได้ไปต่อส่วนเธอกับลูกจะไม่กวนใจของเขา ภูริควรมีสังคมของเขาไม่ใช่มาจมปลักกับเธอ
“เรียนคลาสพิเศษก็ได้นี่ไม่เห็นต้องทิ้งอนาคตตัวเองเลย” เขาอยากให้เดียร์เรียนให้จบวันข้างหน้าหากเกิดอะไรขึ้น หญิงสาวจะได้ไม่ต้องลำบาก
“รอคลอดลูกก่อนเดียร์จะคิดอีกที” ชีวิตนี้คงรักใครไม่ได้อีกนอกจากเขาคนเดียว เลยคิดจะฝากฝังชีวิตไว้กับเขาเพียงคนเดียว รักกันขนาดนี้เขาไม่กล้าทิ้งเธอไปหรอกเธอเชื่อแบบนั้น
ภูริยืนตรงหน้าเดียร์มองดวงตาเขาที่เย็นชาและว่างเปล่า น้ำเสียงเรียบแต่ชัดเจนตอกย้ำราวกับมีดกรีดลงกลางใจ“เดียร์พี่หมดรักแล้ว พี่คิดว่าควรให้เราทั้งสองคนเลิกกันเถอะ” เขาตัดสินใจพูดออกมาไม่ใช่เพราะอารมณ์ชั่ววูบ แต่เขาเหนื่อยเกินไป ยิ่งใกล้กันยิ่งทะเลาะกันมากขึ้นคำพูดนั้นเหมือนฟ้าผ่ากลางใจเดียร์ตัวแข็งค้าง รู้สึกเหมือนโลกทั้งใบพังทลายลงตรงหน้า“เดียร์ไม่ยอม เราผ่านอะไรมาด้วยกันมากมาย พี่อย่าทิ้งเดียร์นะเราแก้ปัญหาด้วยกันได้” เธอร้องเสียงสั่น พุ่งเข้าไปยึดแขนเขาแน่น“พี่บอกแล้วไง ว่าความรักของพี่มันเปลี่ยนไปแล้วเดียร์ไม่เข้าใจหรอก ถ้าเราอยู่ต่อไปทั้งคู่ก็จะเจ็บมากกว่านี้” เขาถอนหายใจหนักๆ มองเธอด้วยสายตาที่เจ็บปวดไม่แพ้กัน“ไม่เอาอย่าทิ้งเดียร์ เดียร์ยังรักพี่! พี่ต้องรักเดียร์เหมือนเดิมสิ ฮือ~” น้ำตาไหลพราก เธอพยายามเกาะแขนเขาแน่นขึ้นร้องไห้สะอื้น“พี่ยอมกราบก็ได้แค่เดียร์ยอมปล่อยพี่ไป เพราะหัวใจดวงนี้ไม่มีเดียร์อยู่ในนั้นอีกแล้ว”หญิงสาวชะงักเธออยากจะก้าวเข้าไปกอดเขา แต่ทุกคำพูดเหมือนตรึงขาเธอไว้กับพื้น น้ำตาคลอเบ้าน้ำเสียงสั่นเครือ“พี่ยอมกราบเดียร์เพื่อให้เดียร์ยอมปล่อยพี่ไป แต่พี่ยัง
“ไหนว่าพี่ภูมาทำรายงานแล้วนี่อะไร!” เดียร์ตะโกนออกไปทำให้ชายหนุ่มสะดุ้ง หันมามองหญิงสาว “มาได้ยังไง” เขาถามด้วยความตกใจที่เดียร์มาที่นี่ถูก “พี่ทำแบบนี้กับเดียร์ได้ยังไง” เธอถามเสียงสั่นทั้งเสียใจและโกรธเขามาก จนแวบหนึ่งความรู้สึกของเธอบอกให้พอตั้งแต่ตอนนี้ “เดียร์ใจเย็นก่อนสิ” เพื่อนที่อยู่ในห้องต่างให้ความสนใจเป็นอย่างมากว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใครแล้วทำไมภูริถึงได้มีท่าทีที่แปลกไป แต่ถึงแบบนั้นพวกเขาก็ทำเพียงแค่ใส่ใจกันแบบเงียบๆ “จะให้ใจเย็นได้ยังไง!” รอบนี้เดียร์โกรธจนเริ่มไม่มีสติ ความอดทนทั้งหมดขาดสะบั้นลงทันที “ตั้งสติหน่อยออกมาคุยกันด้านนอก” พี่กลัวใครรู้เหรอว่าพี่มีเมียมีลูกแล้ว หรือกลัวใครจะเสียใจ” “ภูพริมว่ากลับไปคุยกันดีๆ ดีกว่า” พีรญาลุกขึ้นมาห้ามทั้งสอง ไม่อยากให้คนอื่นมองภูริไม่ดี เพี๊ยะ!เสียงฝ่ามือกระทบแก้มดังลั่นจนคนรอบข้างหันมอง พีรญาเซไปเล็กน้อยมือกุมแก้ม ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ“เดียร์ทำบ้าอะไรของเธอ” เพื่อนต่างพากันอึ้งที่พีรญาโดนตบ“นี่พี่ไปทำอะไรให้” พีรญาถามเสียงสั่น แววตาเต็มไปด้วยค
หลายวันมานี่ภูริกับเดียร์ไม่ค่อยทะเลาะกัน ช่วงนี้ชายหนุ่มอยู่แต่บ้านช่วยเธอเลี้ยงลูก จนทำให้เธอเริ่มกลับมาเชื่อมั่นในตัวเขามากขึ้น “เดียร์” “พี่ภูจะเอาอะไรคะ” “คือเย็นนี้พี่ต้องไปทำรายงานที่บ้านเพื่อน” “จะกินเหล้ากันอีกหรือเปล่า” ทุกครั้งที่เขากลับมามักจะมีกลิ่นเหล้าติดมาตลอด แรกๆ ทะเลาะกันบ้านแทบแตก แต่ตอนนี้เธอเหนื่อยจะพูดเลยปล่อยเขา “อาจจะมีบ้างแต่ไม่ได้ออกไปผับ” เขาบอกตามความจริง ช่วงนี้เขาติดเพื่อนและชอบออกเที่ยวผับตามประสาวัยของเขา “ค่ะ อย่ากลับดึกนะ” เธออนุญาตเพราะรู้ดีว่าห้ามเขาไม่ได้อยู่แล้ว “ขอบคุณนะที่เข้าใจ” “ทำรายงานที่บ้านใครคะ?” เธอหันมาถามเขา เพื่อนของชายหนุ่มเธอไม่เคยเจอหน้า แต่พอจะรู้จักชื่อบ้าง “ก็มีไอ้สิงห์ไอ้เต” “ดูแลตัวเองตัวนะ” เธอยอมรับว่าไม่ค่อยไว้ใจภูริ เพราะการกระทำที่ผ่านมาของเขา ถ้ามัวแต่ระแวงกันอยู่แบบนี้ชีวิตของเธอคงไม่มีความสุข“ขอบคุณนะเดียร์พี่สัญญา จะรีบทำให้เสร็จแล้วรีบกลับไม่ดึกแน่นอน” ใบหน้าของภูริก็ผ่อนคลายราวกับยกภูเขาออกจากอก เขารีบยกมือขึ้นประคองแก้มเธอเบาๆ
เดียร์ที่เห็นสภาพเขาแล้วก็รีบลุกขึ้นมาและเดินเข้าไปพยุงร่างของภูริเอาไว้ อยากจะทิ้งให้เขานอนอยู่ตรงนี้ก็สงสาร“ไม่ต้องมายุ่ง”“พี่ภูพี่เปลี่ยนไปเยอะเลยนะ เมื่อก่อนไม่เคยเป็นแบบนี้” เสียงของเธอสั่นเครือ น้ำตาคลอเต็มสองตา“สันดานพี่ก็เป็นแบบนี้แหละ รับได้ไหมล่ะรับไม่ได้ก็เรื่องของเดียร์”ภูริเหลือบมองใบหน้าที่เปื้อนน้ำตาของเธอ ก่อนยกยิ้มเล็กน้อย รอยยิ้มที่ไม่ได้อบอุ่นเหมือนเคย แต่กลับเต็มไปด้วยความเฉยชาและเหนื่อยหน่าย“พี่ภูแล้วเดียร์กับลูกล่ะ”“พี่ก็ต้องมีเพื่อนมีสังคมบ้างสิจะให้วันๆ เอาแต่อยู่กับเดียร์กับลูกมันก็ไม่ใช่ พี่ก็อยากมีชีวิตส่วนตัวเหมือนกัน”คำพูดนั้นเหมือนฟ้าผ่าลงกลางใจของเธอร่างกายสั่นสะท้านราวกับไม่มีแรงประคองเขาอีกต่อไป เธอเบือนหน้าหนีเพราะกลัวว่าถ้าเธอมองนานกว่านี้ น้ำตาที่รอจะพรั่งพรูออกมาจะกลายเป็นเสียงสะอื้นโหยหวน“ฮึก หรือพี่หมดรักเดียร์แล้ว” เธอถามเสียงแผ่วราวกับจะหลุดออกมาเพียงลมหายใจภูริเงียบไปครู่หนึ่งหันหน้าไปทางอื่น ไม่ได้ตอบอะไรต่อ ปล่อยให้ความเงียบและความเจ็บปวดโอบรัดหัวใจของหญิงสาวจนแทบขาดใจ“ไม่เกี่ยวว่ารักหรือไม่รักหรอก เดียร์ดูตัวเองสิมัวแต่ดูแลคนอื่นจ
เกือบสว่างภูริโซซัดโซเซกลับเข้ามาในคอนโด กลิ่นเหล้ายังคละคลุ้งติดตามเสื้อผ้า เขาวางกระเป๋าแล้วหันไปมองบนเตียงในห้องนอนเล็กๆ เห็นลูกชายตัวน้อยนอนดิ้นไปมามือเล็กๆ ฟาดอากาศ ก่อนที่ดวงตากลมใสจะลืมขึ้น“อือ…”น้องภูผาส่งเสียงครางเบาๆ ก่อนจะเงยหน้ามายิ้มให้เขา ยิ้มเล็กๆ ที่ทำให้หัวใจภูริสะดุดไปชั่วขณะ รอยยิ้มที่ไร้เดียงสานั้นเหมือนจะปลดเปลื้องความเหนื่อยล้าและความผิดทั้งหมดที่เขาแบกไว้เขาเหลือบมองไปทางเดียร์ที่หลับสนิทอยู่บนเตียง ใบหน้าซีดเซียวบอกชัดว่าเธอเหนื่อยมากเพียงใด ภูริอุ้มลูกชายออกมาที่ห้องโถงวางตัวเล็กไว้บนตัก มือใหญ่ลูบแก้มกลมใสเบาๆ“ไงครับคนเก่ง ตื่นมาหาปะป๊าเหรอ หืมมม”น้องภูผาหัวเราะคิกคัก มือเล็กคว้าจมูกของเขาอย่างซุกซน เสียงหัวเราะเล็กๆ ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงันของยามเช้าภูริยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว เขาก้มลงหอมแก้มลูกซ้ายทีขวาที“ปะป๊าขอโทษนะครับ ที่ไม่ค่อยได้อยู่ด้วยต่อไปปะป๊าจะพยายามนะ” เสียงกระซิบเบาๆ ราวกับคำสัญญาที่เขายังไม่รู้เลยว่าจะรักษาได้หรือไม่เสียงหัวเราะเจื้อยแจ้วของน้องภูผาดังพอจะปลุกเดียร์ให้สะลึมสะลือตื่น เธอค่อยๆ ลุกขึ้น เดินออกมาที่ห้องโถง ภาพที่เห็นคือภูร
น้องภูผาลืมตาตื่นดวงตากลมโตสดใสไร้ไข้ ริมฝีปากเล็กๆ ยกยิ้มกว้างจนเห็นไรฟันน้อยๆ พลางส่งเสียงอย่างร่าเริง มือเล็กๆ ตบผ้าห่มไปมาอย่างตื่นเต้น “อือๆ บ๊ะๆ”“ไข้ลดแล้วยิ้มใหญ่เลยนะลูกของแม่ เก่งที่สุดเลย” เธอโล่งใจ เธอก้มลงกอดลูกน้อยแนบอกแล้วหัวเราะเบาๆน้องภูผาหัวเราะคิก เสียงใสแจ๋วสะท้อนก้องไปทั่วห้องราวกับดนตรีที่กล่อมใจให้แม่หายเหนื่อย ความร่าเริงของเขาทำให้หญิงสาวลืมความเหนื่อยที่ต้องอดหลับอดนอนมาหลายวันในพริบตาตอนนี้ลูกชายวัยแปดเดือนของเธอไม่ใช่เด็กตัวน้อยที่เอาแต่นอนอย่างเดียวอีกต่อไป แต่เริ่มส่งเสียงคุยเจื้อยแจ้วตอบโต้ และใช้รอยยิ้มเป็นภาษาที่เติมเต็มหัวใจแม่ได้อย่างสมบูรณ์ เดียร์กดจมูกหอมแก้มกลมๆ ของลูกฟอดใหญ่“ลูกตื่นแล้วเหรอ” เสียงแหบพร่าดังขึ้นเขาเพิ่งกลับมาถึงตอนเช้าหลังจากที่เมื่อคืนทะเลาะกันอย่างหนัก“มองไม่เห็นเหรอ” เธอไม่ยอมมองหน้าเขา โกรธที่เขาทิ้งเธอกับลูกไว้ตามลำพัง แถมยังพูดจาไม่น่ารัก“เดียร์พี่ขอโทษเมื่อคืนพี่เมาไปหน่อยเลยพูดอะไรออกไปแบบนั้น” เขายอมลดทิฐิลง ภูริจับต้นแขนเธอไว้แน่น แต่เสียงลูกชายร้องไห้ดังขัดจังหวะเสียก่อน“ปล่อย เดียร์จะไปดูลูก” น้ำเ