หลินเหม่ยเหยารู้ดีว่าหยางสุ่ยเซียนไม่มีทางยอมถูกทำร้ายโดยไม่ตอบโต้ หลังจากที่สาวใช้ที่นางส่งไปจับตาที่เรือนหนิงฝูเข้ามารายงานว่าหลินเจวี๋ยผู้เป็นบิดาของนางกลับมาถึงจวนแล้วและยามนี้กำลังพักผ่อนอยู่ที่เรือนแห่งนั้นนางก็รีบตรงไปที่เรือนหนิงฝูเพื่อขอเข้าพบบิดาในทันที
“เกิดอะไรขึ้นเหตุใดวันนี้เจ้าจึงได้มาหาพ่อจนถึงเรือนแห่งนี้ได้” หลินเจวี๋ยเอ่ยพลางยื่นมือรับถ้วยชาที่ชุยอวี้หลันส่งให้ด้วยสีหน้าผ่อนคลาย
“ข้าก็แค่มีเรื่องอยากจะเรียนให้ท่านพ่อและแม่เล็กทราบเอาไว้ก่อน จะได้ไม่ตื่นตระหนกยามที่คนสกุลหยางส่งคนมาเจ้าค่ะ” คำพูดของหลินเหม่ยเหยาทำให้หลินเจวี๋ยวางถ้วยชาลงในทันที
“เกิดอันใดขึ้น เจ้าสามารถบอกกับพ่อมาได้ตามตรง” คำพูดของบิดาทำให้หลินเหม่ยเหยายิ้มออกมาในทันที
“วันนี้ข้าตบหน้าของหยางสุ่ยเซียนเจ้าค่ะ ยามนี้นางน่าจะเอาเรื่องที่ถูกข้าทำร้ายไปฟ้องนายท่านหยางผู้เป็นบิดาของนางแล้ว “คำพูดของนางทำให้หลินเจวี๋ยพลันขมวดคิ้วในทันที
"นางล่วงเกินเจ้าหรือ พ่อรู้ว่าเจ้าไม่มีทางลงมือทำร้ายคนอย่างไม่มีเหตุผลแน่" คำพูดของบิดาทำให้นางยิ้มออกมา ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อันใดขึ้นอย่างน้อยก็ยังมีบิดาของนางที่สามารถเข้าอกเข้าใจนางได้มากที่สุด
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ นางพูดจาล่วงเกินข้าจริงๆ อีกทั้งยังล่วงเกินสกุลหลินของพวกเราด้วย” เมื่อหลินเหม่ยเหยาเอ่ยเช่นนี้หลินเจวี๋ยก็พลันขมวดคิ้ว นางจึงเล่าให้บิดาฟังว่าวันนี้หยางสุ่ยเซียนมาพูดอะไรบ้าง
“เรื่องของข้ากับสกุลซ่งยังเป็นเรื่องที่ยังไม่ได้มีการยืนยัน สัญญาการหมั้นหมายก็เป็นแค่เพียงคำสัญญาปากเปล่าของผู้อาวุโสทั้งสองสกุล อีกทั้งยังเป็นสตรีจึงยังไม่กล้าออกความคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้แต่นางกลับถือดีว่าตนเองเป็นน้องสาวของหยางกุ้ยเฟย พูดจาให้ร้ายหาว่าลูกและจวนสกุลหลินของพวกเราคิดดูแคลนจวนสกุลซ่ง จนไม่คิดจะรักษาสัจจะของผู้อาวุโสในสกุล” คำพูดของหลินเหม่ยเหยาทำให้หลินเจวี๋ยพลันมีโทสะในทันที
“เป็นน้องสาวในสกุลเดิมของกุ้ยเฟยแล้วอย่างไร ต่อให้เป็นกุ้ยเฟยเองก็ไม่มีทางที่จะมาเอ่ยถึงเรื่องการหมั้นหมายของผู้อื่นเช่นนี้ เพียงแต่ลูกรักในเมื่อนางกล้าทำเช่นนั้นเหตุใดจึงไม่นำมาเล่าให้พ่อฟังก่อน เจ้าลงมือทุบตีผู้อื่นเช่นนี้พ่อเกรงว่าเรื่องนี้อาจจะกระทบกับชื่อเสียงของเจ้าในภายหลังเสียแล้ว” เมื่อหลินเจวี๋ยเอ่ยเช่นนี้หลินเหม่ยเหยาก็ส่ายหน้า
“ถ้าแค่คำพูดของนาง ข้าคงจะไม่ลงมือตบตีนางหรอกเจ้าค่ะ แต่เป็นนางคิดจะตบตีข้าก่อน ข้าก็เลยลงมือตอบโต้นางไป” เมื่อหลินเหม่ยเหยาเอ่ยเช่นนี้หลินเจวี๋ยก็รีบถามบุตรสาวด้วยความเป็นห่วงในทันที
“แล้วเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง เหตุใดนางจึงได้ลงมือทำร้ายเจ้าได้” เมื่อบิดาถามเช่นนี้หลินเหม่ยเหยาก็พลันส่ายหน้าในทันที
“ข้าไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ ท่านพ่อก็น่าจะรู้ว่าข้าไม่มีทางปล่อยให้ผู้อื่นมาทำร้ายลูกได้หรอกเจ้าค่ะ ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมนางจึงได้ลงมือทำร้ายลูก ลูกก็แค่ตำหนิที่นางมาพูดจาก้าวก่ายเรื่องการหมั้นหมายของลูก แถมยังใส่ใจความเคลื่อนไหวของคุณชายใหญ่สกุลซ่งอย่างที่สตรีทั่วไปไม่ควรจะกระทำ อีกทั้งก่อนหน้านี้นางยังกล้าพูดจาดูถูกแม่เล็กว่าเป็นแค่เพียงอนุในจวน ข้าก็เลยตำหนินางไปว่ามารดาแท้ๆ ของนางก็เป็นอนุเช่นกันจึงไม่ควรที่จะมาดูถูกแม่เล็กของข้า อีกทั้งวันหน้าก็ไม่แน่ว่านางจะไม่ได้เป็นอนุ ดังนั้นนางจึงได้โกรธเคืองจนถึงขั้นลงไม้ลงมือกับข้า” หลินเหม่ยเหยาเอ่ยเล่าออกไปตามตรง หากเกิดข้อพิพาทขึ้นมาบิดาของนางจะได้ตอบคำถามของจวนสกุลหยางได้อย่างครบถ้วน
“เจ้านี่นะ ยามอยู่กับแม่เล็กของเจ้าทั้งดื้อรั้นทั้งต่อต้านนาง แต่พอมีคนมาว่านางเจ้ากลับทนไม่ได้เสียแล้ว” หลินเจวี๋ยเอ่ยออกมาพลางส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจในความคิดของบุตรสาว
“หลายปีมานี้แม่เล็กเป็นคนคอยเคี่ยวเข็ญและคอยอบรมสั่งสอนข้ามาโดยตลอด ใช้น้ำอดน้ำทนกับข้าอย่างสุดกำลัง มีหรือที่ข้าจะไม่เห็นและไม่รับรู้ ยามนี้ข้าเองก็พยายามที่จะปรับปรุงตนเองให้ดีขึ้นเพื่อที่แม่เล็กจะได้ไม่ต้องมาเหน็ดเหนื่อยเพราะข้า ดังนั้นนางจึงไม่มีสิทธิ์มาเอ่ยถึงแม่เล็กด้วยคำพูดและน้ำเสียงดูแคลนเช่นนั้น” คำพูดของหลินเหม่ยเหยาไม่เพียงทำให้หลินเจวี๋ยตกตะลึง แต่ยังทำให้ชุยอวี้หลันยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดน้ำตาด้วยความซาบซึ้งใจด้วย หลินเหม่ยเหยาจึงได้เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“อันที่จริงท่านแม่ของข้าก็จากไปนานแล้ว ตำแหน่งนายหญิงของจวนก็ไม่ควรจะเว้นว่าง แม่เล็กไม่เพียงเป็นคุณหนูสกุลขุนนาง แต่ยังคลอดน้องชายให้ท่านอีกด้วย หลายปีมานี้แม่เล็กไม่เพียงคอยดูแลจวนอย่างใส่ใจแต่ยังคอยดูแลทั้งท่านและข้าโดยไม่มีสิ่งใดขาดตกบกพร่อง ท่านพ่อ! ถ้าเช่นนั้นท่านก็เลื่อนฐานะให้แม่เล็กเถิด อย่าปล่อยให้แม่เล็กและน้องชายต้องถูกผู้อื่นมาดูหมิ่นเช่นนี้เลย” คำพูดของหลินเหม่ยเหยาทำให้หลินเจวี๋ยยิ้มออกมาส่วนชุยอวี้หลันพลันมีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความคาดไม่ถึง
“คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะคิดแทนน้องชายและแม่เล็กของเจ้าเช่นนี้” เมื่อหลินเจวี๋ยเอ่ยเช่นนี้หลินเหม่ยเหยาก็พลันยิ้มให้บิดาของตน
“เมื่อก่อนข้าคิดถึงแต่ตนเองมากจนเกินไปหน่อย กว่าจะรู้ตัวก็มีเรื่องให้ต้องเสียใจตั้งมากมาย ตอนนี้พอมีโอกาสได้พูดถึงเรื่องนี้ข้าจึงได้ขอพูดในสิ่งที่ใจของข้าคิดเถิดเจ้าค่ะ” คำพูดของหลินเหม่ยเหยาทำให้หลินเจวี๋ยหันไปมองชุยอวี้หลันที่ในยามนี้มีหยาดน้ำตาเต็มใบหน้าไปแล้ว
หลินเหม่ยเหยารู้ดีว่าชุยอวี้หลันไม่ได้หมายปองตำแหน่งฮูหยินผู้เป็นภรรยาเอก แต่หากเอ่ยถึงหลินโม่วขึ้นมา แน่นอนว่าจะมีมารดาคนไหนอยากให้ลูกชายของตนเองได้ขึ้นชื่อว่าเป็นบุตรชายของอนุบ้าง ทันทีที่ชุยอวี้หลันได้เลื่อนฐานะหลินโม่วผู้เป็นบุตรชายของนางก็จะมีความชอบธรรมในการสืบทอดจวนสกุลหลินต่อจากบิดาในทันที แล้วจะไม่ให้ชุยอวี้หลันหลั่งน้ำตาออกมาด้วยความซาบซึ้งใจได้อย่างไร
“หยุดร้องไห้เถิด เหยาเหยาออกความคิดเช่นนี้มาได้แสดงว่านางเริ่มจะเปิดใจให้เจ้าแล้ว ความพยายามของเจ้าหลายปีมานี้ถือว่าไม่สูญเปล่า ในเมื่อเหยาเหยาเอ่ยออกมาเช่นนี้ข้าก็ย่อมจะต้องจัดการเลือกฐานะให้เจ้า” หลินเจวี๋ยเอ่ยกับชุยอวี้หลันด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความยินดี หลายปีมานี้ใช่ว่าเขาจะไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้แต่เพราะกังวลถึงความรู้สึกของบุตรสาวเขาจึงได้รั้งรอไม่แต่งตั้งตำแหน่งฮูหยินผู้เป็นภรรยาเอกของเขาให้กับชุยอวี้หลันเสียที