“ซ่งเสี่ยวเชียน คุณทำอะไรอยู่ข้างนอก เรียกให้คุณมาดูคนไข้ทำไมคุณไม่ตั้งใจเลย” ศัลยแพทย์ผู้มากประสบการณ์กวักมือเรียกซ่งเสี่ยวเชียนให้ตามเขาไปอย่างรวดเร็ว ซ่งเสี่ยวเชียนตอบกลับ
“ค่ะ” เอามือปัดๆ เสื้อกาวน์ หลังจากนั้นเธอก็ถลึงตาใส่ถังซุน ก่อนจะหันศีรษะกลับไปอย่างเย็นชา และรีบตามอาจารย์แพทย์ที่พาเธอเข้าไปในวอร์ด
ข้างในมีผู้ป่วยสามถึงสี่คน บางคนมือหักบางคนขาหัก แน่นอนว่าพวกเขาทั้งหมดเป็นแค่กระดูกหัก ไม่ใช่กระดูกหักทั้งหมด... อาจารย์แพทย์อธิบายให้ซ่งเสี่ยวเชียน ฟังมากมาย และ ซ่งเสี่ยวเชียนสับสนมึนงงไปหมด ดูเหมือนคนที่ไม่ได้ตั้งใจฟังอะไรเลย
จริงๆ แล้วช่วงนี้เธอเหม่อลอยใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ช่วงสองสามวันนี้เธอคิดถึงแต่เย่จื่อหยาง ไม่ว่ายังไงพวกเขาก็แต่งงานกันแล้ว แต่หลังจากวันนั้นโทรศัพท์สักสายก็ไม่ติดต่อมาหาเธอ ทำให้เธอรู้สึกเหมือนว่าตัวเองโดนหลอก
อาจารย์แพทย์ที่พาเธอเดินสำรวจคนไข้เห็นเธอใจเหม่อไม่อยู่กับเนื้อกับตัวจึงตำหนิเธอให้ตั้งใจมากกว่านี้ หลังจากการอธิบายที่แสนยาวนาน ในที่สุดอาจารย์แพทย์ก็มีธุระต้องไปสะสางเรื่องอื่น ทำให้เธอถอดหายใจด้วยความโล่งอก
บังเอิญผ่านห้อง ICU เหลือบมองหน้าต่างกระจกก็เห็นใบหน้าที่คุ้นเคย ห้อง ICU เต็มไปด้วยผู้ป่วยบาดเจ็บที่เพิ่งผ่าตัดเสร็จไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างอิสระ คนนอกเข้าไปไม่ได้ มีเพียงกระจกหน้าต่างที่สามารถดดูภายในจากภายนอกได้
ซ่งเสี่ยวเชียนหยุดอยู่หน้าประตู หัวใจของเธอเริ่มเต้นเร็วขึ้น นั่นคือเย่จื่อหยาง! ถ้าขยี้ตาก็ไม่น่าจะเข้าใจผิดคนนั้นใช่ไหม? นั่นคือเขา! เขาจริงๆ! เธอดีใจเล็กน้อยและโกรธเล็กน้อย แต่ก็ไม่สามารถระบายออกไปได้
เธอเห็นขาของเย่จื่อหยางอยู่ในเฝือก เขาได้รับบาดเจ็บและดูเหมือนจะสาหัสมาก เป็นเพราะอาการบาดเจ็บใช่ไหมนะ ทำให้เขาไม่ได้ติดต่อเธอตลอดเวลานี้? อาจจะเพราะสาเหตุนี้แหละเมื่อเห็นใบหน้าที่ซีดเซียวของเขา สีหน้าที่เป็นทุกข์ของเธอก็เผยออกมาอย่างไม่ต้องสงสัย จนเธอก็ลืมไปว่านี่คืออาคารพักผู้ป่วยที่มีผู้คนเข้าออก
ทันใดนั้นก็มีคนตบไหล่เธอ ซ่งเสี่ยวเชียนสะดุ้งโหย่ง และรีบหันกลับไปมองอย่างระวัง มองดูถังซุ่น ที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นข้างหลังเธอ
"น้องนักศึกษาแพทย์ฝึกหัด ทำไมคุณถึงจ้องหัวหน้าของผมขนาดนั้นล่ะคุณรู้จักหัวหน้าผมเหรอ
พวกคุณเป็นอะไรกัน?" ถังซุ่นคิดว่าผู้หญิงคนนี้ค่อนข้างน่าสนใจ และสายตาที่เธอมองเย่จื่อหยางมันไม่ใช่สายตาที่ปกติเลย
"!!"
ซ่งเสี่ยวเชียนไม่รู้จะตอบอย่างไร เธอลังเลอยู่นาน แต่ก็พูดไม่ได้ว่าเขาเป็นสามีของเธอ! จดทะเบียนสมรสแล้ว! เป็นสามีภรรยาถูกต้องตามกฎหมาย! ถ้าตอบไปแบบนี้เขาอาจจะคิดว่าฉันเป็นบ้าก็ได้
เธอตอบอย่างประหม่า "ฉัน…. ทำไมฉันดูไม่ได้ ฉันเป็นหมอ!"
"เป็นหมอฝึกหัด! หัวหน้าของเราต้องการพักผ่อนแล้ว และไม่อนุญาตให้เยี่ยม!" จากนั้นถังซุ่นก็รีบไปยืนอยู่หน้าหน้าต่างกระจกโดยเอามือไพล่หลัง ยืนเฝ้าอย่างจริงจังราวกับว่ามันเป็นความลับของรัฐ แต่ในความเป็นจริงเขาเหมือนกับเด็กเพื่อไม่อยากให้เธอดูเท่านั้น
ซ่งเสี่ยวเชียนยืนเขย่งปลายเท้าและต้องการมองเข้าไปข้างใน แต่ถังซุ่นขัดขวางเธอเป็นพิเศษ ซ่งเสี่ยวเชียนโกรธมากจนเธออยากจะชกเขาจริงๆ! ไม่ดูก็ได้ เธอเป็นนักศึกษาแพทย์ฝึกงานที่นี่ ต้องมีโอกาสเจอแน่ๆเ!
เย่จื่อหยาง ตื่นขึ้นมาในตอนบ่ายและถูกย้ายไปที่ห้องผู้ป่วยทั่วไป แต่ก็เป็นห้อง VIP เช่นกัน และเขาเป็นคนเดียวที่พักอยู่ที่นั่น เท้าของเขาอยู่ในเฝือกไม่สามารถขยับได้แม้แต่นิ้วเดียวซึ่งทำให้เขาอึดอัดมาก ห้องพักเงียบสงัด แม้แต่การเคลื่อนไหวเพียงสักเล็กน้อยก็ไม่มี เขามองไปรอบ ๆ ในห้องที่ว่างเปล่า
รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ขยับมือสองข้างและลำตัว ยกเว้นขาที่บาดเจ็บ อาการอย่างอื่นปกติดี เขาพยายามลุกขึ้นนั่งเอาหัวพิงหัวเตียง จู่ๆ ก็รู้สึกเหงาขึ้นมาอย่างประหลาด แต่….ประตูอยู่ๆก็ถูกเปิดออกก ชายร่างสูงสง่าในชุดทหารเดินเข้ามาพร้อมแฟ้มเอกสาร
เย่จื่อหยางก็เอากล่องที่บรรจุยาบํารุงที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไรมาคืนให้ซ่งเสี่ยวเชียน "ไม่จําเป็น" "ทําไมถึงไม่จําเป็นล่ะ คุณจะกลับบ้านมือเปล่าแบบนี้ไม่ได้" ซ่งเสี่ยวเชียนมองเขาอย่างเงียบ ๆ"ฉันบอกว่าไม่จําเป็นต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจกับเรื่องนี้ เขามองปราดเดียวก็มองออก" เย่จื่อหยางเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงอีก ทําท่าทางเหมือนเธอให้ฉันทําอะไรฉันก็ไม่ทํา ซ่งเสี่ยวเชียนตะโกนว่า "คุณอยากคืนดีกับคุณพ่อของคุณหรือเปล่า ถ้าคิด คุณก็ต้องลงมือทํา อย่าเอาแต่พูดเฉย ๆ ไม่ได้นะ" จิ้มหน้าอกของเย่จื่อหยาง "คุณเป็นทหาร แน่นอนว่าต้องรู้ว่าการกระทําเป็นพื้นฐานของการทําภารกิจทั้งหมดให้สําเร็จ"เย่จื่อหยางก็มหน้ามองเธอและคิดในใจว่าเขาจะคืนดีกับพ่อของเขาหรือไม่มันเกี่ยวอะไรกับเธอ?ดูเหมือนเธอจะซีเรียสกว่าเขาอีกเขาถอนหายใจ ซ่งเสี่ยวเชียนพูดถึงขนาดนี้แล้ว เขาคงอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ใช่ไหม ยิ่งไปกว่านั้นการได้คืนดีกับคุณพ่อก็เป็นการแก็ปัญหาที่เขากังวลมานานได้จริง ๆ เขาเงยหน้าขึ้นและลูบหัวของซ่งเสี่ยวเชียน "ทํา เพียงแต่ว
เธอกอดหมอนและยิ้มอย่างพอใจ เธอสาบานว่าเธอไม่เคยเจอใครที่เก่งขนาดนี้มาก่อน สามารถปกป้องเธอและขจัดวิกฤตให้เธอได้ทันทีในเวลาฉุกเฉิน ราวกับว่าจู่ๆ กำแพงทึบก็ปรากฏขึ้นในชีวิตของเธอ จะปกป้องเธอตลอดเวลาต่อจากนี้ไป ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยซ่งเสี่ยวเชียนเชื่อ ในอนาคต ตราบใดที่มีเย่จื่อหยางอยู่ข้าง ๆ เธอก็ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น เมื่อฟ้าถล่มยังมีเขาคอยอยู่ข้างๆไม่ใช่หรอเย่จื่อหยางเขียนรายงานเสร็จก็ปิดคอมพิวเตอร์และเดินออกจากห้องหนังสือ ห้องนั่งเล่นมืดสนิท มีเพียงไฟสีเหลืองเข้มดวงเดียวที่เปิดอยู่ ฝาหลังของรีโมทกระจัดกระจายอยู่บนพื้นพร้อมถ่าน เขาหยิบขึ้นมาและวางไว้ มองไปที่ซ่งเสี่ยวเชียนที่นอนอยู่บนโซฟาลืมตาก็ไม่รู้ว่ากําลังคิดอะไรอยู่ เอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง "มีเรื่องอะไรหรอ ทําไมดูมีความสุขขนาดนี้""ไม่มีนิ ฉันก็แค่ดีใจ" ซ่งเสี่ยวเชียนลุกขึ้นยืนต่อหน้าเย่จื่อหยางยิ้มให้เขา แล้วทันใดนั้นก็กระพริบตาให้เขา มุมปากของเขามีรอยยิ้มที่ทําให้เย่จื่อหยางเดาไม่ออก กําลังจะถามว่าทําไมถึงยิ้ม ทันใดนั้นซ่งเสี่ยวเชียนก็เอื้อมมืออ้อมไปข้างหลังเย่
คิดถึงเด็กคนหนึ่งที่อายุ 15-16 ปี เร่ร่อนอยู่กับพวกเขามา 4-5 ปี เพื่อขอทานทุกที่ และเงินที่ขอมามอบให้กับหัวหน้าแก๊งนั้น รับรองว่าทุกคนจะได้กินอาหารไม่อั้นสิ่งที่ทําให้ซ่งเสี่ยวเชียนเจ็บปวดมากกว่าเดิมคือเด็กคนที่ตาบอดทั้งสองข้าง เขาไม่ได้ตาบอดมาตั้งแต่เกิด แต่เมื่อเขาอายุเจ็ดขวบ เขาถูกจับโดยคนของแก๊งและจากพ่อแม่ไปตั้งแต่นั้นมา คนเหล่านั้นล้างสมองเขาเพื่อให้เขาได้รับเงินมากขึ้น ทําให้เขาคิดว่าการช่วยพวกเขาขอเงินมากขึ้นเป็นเรื่องที่ดีคนเหล่านั้นใช้เหล็กแทงเข้าไปในดวงตาของเด็กน้อย ตั้งแต่นั้นมาเขาก็มองไม่เห็นและคนเหล่านั้นสอนเขาวิธีการแยกแยะขนาดของธนบัตรด้วยมือของเขาและติดตามพวกเขามานานหลายปี และความสามารถในการแยกแยะเงินด้วยมือของเขานั้นมีความชำนาญมากและไม่เคยพลาดเลยซ่งเสี่ยวเชียนก็คิดว่าตอนนั้นเธอให้เด็กคนนั้นไปหนึ่งร้อยหยวน เขาก็สัมผัสไปหลายครั้ง ปากก็ยิ้ม แล้วบอกว่าวันนี้เขาเลิกงานได้แล้วรอยยิ้มบนใบหน้าของเขามั่นใจมาก ดูเหมือนว่าเด็กคนนั้นจะถูกล้างสมองโดยคนเหล่านั้นจริง ๆ และจะไม่อดตายเพราะตาบอดสองข้าง ดูเหมือนว่าเขาจะมองว่าเป้าหมายนี้เป็นเป้าหมายเดียว
ซ่งเสี่ยวเชียนไม่ทําอะไรเลย เย่จื่อหยางต้องไปทำกับข้าวด้วยตัวเอง ครั้งนี้เป็นอาหารมังสวิรัติจริง ๆ มังสวิรัติมากกว่าพระกินอีก แม้แต่ผัดกะหล่ำปลีจีนก็ใช้น้ำมันเรพซีด ไม่เปื้อนน้ำมันหมูสักนิดซ่งเสี่ยวเชียนมองอาหารมังสวิรัติที่โต๊ะแล้วพูดไม่ออก ความอยากอาหารเปลี่ยนเป็นระดับต่ำ แต่เย่จื่อหยางกลับกินอย่างเอร็ดอร่อย แต่ระหว่างที่เย่จื่อหยางกินข้าว เขาขยี้เหนือศีรษะเป็นครั้งคราว ซ่งเสี่ยวเชียนมองเขาอย่างสงสัยในที่สุดหลังจากกินข้าวเสร็จ ขณะที่เขากําลังล้างจาน เธอรีบไปเอามือไปสัมผัสหัวเขา ไม่ลูบก็ไม่รู้พอลูบก็ตกใจโดยไม่รู้ตัว บนหัวของเย่จื่อหยางบวมโนขึ้น แม้ว่าจะไม่ได้โนใหญ่มากแต่ก็พองเล็กน้อยซ่งเสี่ยวเชียนนึกถึงก่อนหน้านี้เธอโยนเจลอาบน้ำใส่หัวเย่จื่อหยางอย่างแรง ที่แท้หัวปูดโนขนาดนี้เขากลับไม่พูดอะไรโอเค ซ่งเสี่ยวเชียนเป็นคนจิตใจดี ตอนนี้เมื่อได้เห็นสิ่งนี้แล้ว ในใจของเธอก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา คิดว่าเธอใจร้ายไปหน่อยจริง ๆ บางทีเย่จื่อหยางอาจไม่ได้ตั้งใจบุกเข้ามาแอบดูเธอจริง ๆก็ได้ และใครแอบดูคนอื่นแถมจงใจเปิดประตูอีกพอในใจรู้สึกผิดเธอก็อยากชดเชยไง ดึ
เธอดูเวลาในโทรศัพท์ของเธอ นาทีและวินาทีผ่านไป และห้านาทีผ่านไป เย่จื่อหยางก็ยังไม่ออกมา มีบางอย่างเกิดขึ้นเหรอ? ไม่มีทาง? เขาไม่ใช่เก่งมากหรอ? ไม่ใช่ว่าออกโลงแล้วล้มเหลวเลยนะ?เธอเงยหน้าขึ้นเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นในอาคารที่อยู่ไม่ไกล จู่ๆ ก็มีเสียงผู้ชายหยาบคายดังมาจากข้างหลังเธอ “เธอเป็นใคร!? มาทำตัวลับๆล่อๆก็ที่นี่ทำอะไร”ถูกจับได้แล้ว! นี่เป็นความคิดแรกที่เข้ามาหัวของซ่งเสี่ยวเชียนในเวลานั้น จู่ๆ เธอหันกลับมาและเห็นร่างผู้ชายที่มืดๆดำๆ ยืนอยู่ข้างหลังเธอไม่ไกลนัก เขามองดูเธอและทำท่าป้องกันตัว สายตาของเขาดูน่ากลัวเล็กน้อย"ฉ ฉัน...ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย! ฉันหลงทาง..." ซ่งเสี่ยวเชียนมองไปรอบ ๆ และชี้นิ้วไปรอบ ๆ ชายคนนั้นก้าวไปข้างหน้าสองก้าวดูเหมือนจะสงสัย "มากับฉัน!"เมื่อพูดเช่นนั้น ชายคนนั้นก็ก้าวไปข้างหน้าสองก้าวและจับมือของซ่งเสี่ยวเชียน ปฏิกิริยาตัวสั่นของซ่งเสี่ยวเชียนอยู่ในระดับสูงสุดและเธอก็หลบมือของชายคนนั้นทันที เธอจะปล่อยให้เขาจับเธอได้อย่างไร? นั่นเรียกว่ายอมจำนนฟ้านะ ซ่งเสี่ยวเชียนกระโดด
เย่จื่อหยางสังเกตมันอย่างละเอียด ดังนั้นจึงไม่มีข้อผิดพลาด เด็กน้อยเล่นซอได้อย่างชำนาญมาก เหมือนว่าเขาเริ่มเรียนรู้มันตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก"น่าสงสารจัง..." ซ่งเสี่ยวเชียนมองเด็กตาบอดคนนั้นซึ่งอายุน่าจะเพียงสิบสามหรือสิบสี่ปีเท่านั้น แต่ไม่สามารถมองเห็นโลกที่สวยงามใบนี้ แม้ว่าตอนนี้โลกจะปกคลุมไปด้วยหมอกควัน แต่ในบางครั้งก็มีท้องฟ้าเป็นสีฟ้าและเมฆเป็นสีขาวสำหรับเด็ก นี่เป็นสิ่งที่โหดร้ายมาก เดิมทีซ่งเสี่ยวเชียนเป็นคนที่มีจิตใจดีอยู่แล้ว เธออดไม่ได้ที่จะหยิบกระเป๋าสตางค์ของเย่จื่อหยางออกมา หยิบแบงค์ร้อยหยวนออกมาแล้วยื่นให้เด็กน้อย "เด็กน้อย เอาเงินไปซื้อของอร่อยๆที่อยากกินนะ อย่าอดไว้”เด็กหยุดเล่นซอ รีบหยิบธนบัตรจากมือของซ่งเสี่ยวเชียน วางไว้ใต้จมูกแล้วดมกลิ่น จากนั้นใช้มือแตะอย่างระมัดระวัง และในที่สุดก็ยิ้ม “ขอบคุณผู้มีน้ำใจ วันนี้งานของผมเสร็จแล้ว ผมสามารถกลับก่อนได้”เมื่อพูดจบ ก็รีบเก็บสิ่งด้วยความไว หยิบไม้นำทางเดินหนีไป จากไปโดยไม่หันกลับมามองซ่งเสี่ยวเชียน