“เย่จื่อหยางทำความเคารพ "ผู้บัญชาการ!" หลู่เซียงหรงโบกมือห้าม "คุณได้รับบาดเจ็บ ทำไมคุณถึงทักทายด้วยล่ะ พักผ่อนให้เต็มที่ แล้วฉันจะมาถามสถานการณ์และบันทึกมันตามปกติ"
หลู่เซียงหรง และ เย่จื่อหยาง เป็นพี่น้องกันมานานกว่าสิบปี เขาอายุมากกว่าเย่จื่อหยางไม่กี่ปี เนื่องจากเขาเข้าร่วมกองทัพเร็วกว่า อย่างไรก็ตามทั้งสองเข้ากันได้ดีมาก หลังจากที่รู้จักพวกเขาก็กลายเป็นเพื่อนรักกัน พวกเขาเคยออกไปทำภารกิจด้วยและไว้เนื้อเชื่อใจกันเป็นอย่างมาก
หลู่เซียงหรง จดบันทึกอย่างจริงจัง เย่จื่อหยางรู้สึกฟุ้งซ่านเล็กน้อย และถามขึ้นทันทีว่า
"นายแจ้งพ่อของฉันเกี่ยวกับขาที่หักของฉันหรือยัง?"
หลู่เซียงหรงหยุดเขียน เงยหน้าขึ้นแล้วถามว่า "เขาไม่มาหานายเหรอ?" เมื่อมองอีกครั้งใบหน้าของ เย่จื่อหยางก็แสดงอารมณ์ผิดหวังเล็กน้อย และ หลู่เซียงหรง ก็เข้าใจทันที เขาตบไหล่เขาและปลอบโยน
"พ่อนาย เป็นเจ้านายของบริษัทใหญ่ เขาคงจะยุ่งมาก น่าจะมาหานายทีหลัง ฉันแจ้งนายพลเย่ด้วย และเขาก็บอกทางโทรศัพท์ว่าเขาจะมา”
นายพลเย่ที่หลู่เซียงหรงพูดถึงก็คือปู่ของ เย่จื่อหยางนั้นเอง เขาสวมชุดทหารมาครึ่งชีวิตและประสบความสำเร็จมานับไม่ถ้วน ปีนี้เขาอายุเจ็ดสิบแล้วและร่างกายของเขาแข็งแกร่งกว่าคนหนุ่มสาว เขาเกษียณไปไม่กี่ก่อน ก่อนองค์กรได้เลื่อนตำแหน่งให้เขา ในฐานะพลเรือเอก เขามีชื่อเสียงอย่างมากในกองทัพและได้รับความเคารพนับถืออย่างมาก
เย่จื่อหยางตอบกลับด้วย โอ้ และดึงสีหน้าที่ผิดหวังเมื่อครู่กลับมา และใบหน้าของเขาก็จริงจังและเย็นชาอีกครั้ง
"อย่าปลอบฉันเลย ฉันไม่สนใจว่าเขาจะมาหาฉันหรือป่าว นายคิดว่าฉันเสียใจกับเรื่องนี้ อ่า ไม่! ฉันไม่ได้เสียใจเลย!”
"ใช่ ใช่ ใช่ นายไม่เสียใจเลย" น้ำเสียงของหลู่เซียงหรงดูเหมือนปลอบเด็ก
หลู่เซียงหรงจดบันทึกต่อ เมื่อเห็นว่าใบหน้าของเย่จื่อหยางกลับมาเป็นปกติแล้ว พลางถอนหายใจ เขาเข้าใจว่าทำไมเขาถึงเป็นแบบนี้ แต่อาการทางใจก็ต้องการยาทางใจนิ
"พักผ่อนเยอะๆ ผู้บังคับบัญชาได้อนุมัติให้คุณ ลาพักร้อนสามเดือนจนกระทั่งเมื่อนายกลับเข้ากองทัพหลังจากอาการบาดเจ็บที่ขาหายแล้ว นายก็ควรจะลาพักร้อนให้สบายนะ มันแค่สามเดือนเท่านั้น! มันนานกว่าการพักร้อนของผู้บัญชาการของฉันซะอีก!"
“ขาของฉันหัก แล้วให้ฉันพักร้อนจะมีประโยชน์อะไรล่ะ นอนบนเตียงทุกวัน ทำให้ฉันหายใจไม่ออก! ถังซุนเจ้าเด็กคนนั้นล่ะอยู่ที่ไหน? ข้างนอกเหรอ ? ไปลากมันมาให้ฉันเดี๋ยวนี้!”
เย่จื่อหยางแทนที่จะคิดถึงเรื่องยุ่งๆวุ่นวายเหล่านั้น เขากลับฉุดคิดถึงเพื่อนร่วมทีมสุดโง่เง่าอย่างถังซุนขึ้นมาทันที
“พอแล้วๆ หยุดตะโกนได้แล้ว นี่คือโรงพยาบาล ถังซุ่นรู้ว่านายย้ายมาห้องVIPแล้วก็รีบหนีไปเลย สามเดือนต่อจากนี้คิดว่านายคงไม่ได้เจอหน้าเจ้าเด็กนั้นแต่ฉันกลับไปจะลงโทษเขาแน่นอน! "
"ในที่สุดเขาก็ฉลาดพอที่จะรู้ว่าต้องหนีไป แต่หนียังไงก็หนีไม่รอด รอให้ขาฉันหายดีก่อเถอะ จะเตะให้ตูดบวมกันไปข้าง!"
เพียงพอแล้วๆ ทำไมเริ่มสบถอีกละเนี๋ย หลู่เซียงหรงรู้ว่าเย่จื่อหยางเริ่มฟื้นตัวแล้ว หัวเราะอย่างชอบใจ และปิดแฟ้ม
"ฉันไปทำงานก่อน ถ้ามีธุระด่วนก็โทรหาฉันนะ "
กำลังจะเปิดประตู ประตูก็เปิดออกพอดี หลู่เซียงหรงทำความเคารพเมื่อเห็นใครบางคนมา
“สวัสดีครับ นายพลเย่!” เย่หูพยักหน้าและตอบกลับว่า
“ทำงานเสร็จแล้วเหรอ? ฉันมีเรื่องจะพูดกับหลานชายฉัน” หลังจากทำความเคารพอีกครั้ง หลู่เซียงหรงก็ออกจากห้องผู้ป่วยอย่างรวดเร็ว
เย่จื่อหยาง รู้สึกประหลาดใจมากที่คุณปู่ของเขามาจริงๆ ไม่เพียงแต่คุณปู่มาคนเดียว แต่ยังรวมถึงคุณย่าด้วย อุบัติเหตุทางรถยนต์ของแม่ของเขาเมื่อปีที่แล้วเกือบจะทำให้ความสัมพันธ์ของทุกคนในครอบครัวถึงจุดแตกหัก
ดังนั้น เย่จื่อหยางจึงรู้สึกแปลกที่พวกเขามาเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล
เย่จื่อหยางก็เอากล่องที่บรรจุยาบํารุงที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไรมาคืนให้ซ่งเสี่ยวเชียน "ไม่จําเป็น" "ทําไมถึงไม่จําเป็นล่ะ คุณจะกลับบ้านมือเปล่าแบบนี้ไม่ได้" ซ่งเสี่ยวเชียนมองเขาอย่างเงียบ ๆ"ฉันบอกว่าไม่จําเป็นต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจกับเรื่องนี้ เขามองปราดเดียวก็มองออก" เย่จื่อหยางเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงอีก ทําท่าทางเหมือนเธอให้ฉันทําอะไรฉันก็ไม่ทํา ซ่งเสี่ยวเชียนตะโกนว่า "คุณอยากคืนดีกับคุณพ่อของคุณหรือเปล่า ถ้าคิด คุณก็ต้องลงมือทํา อย่าเอาแต่พูดเฉย ๆ ไม่ได้นะ" จิ้มหน้าอกของเย่จื่อหยาง "คุณเป็นทหาร แน่นอนว่าต้องรู้ว่าการกระทําเป็นพื้นฐานของการทําภารกิจทั้งหมดให้สําเร็จ"เย่จื่อหยางก็มหน้ามองเธอและคิดในใจว่าเขาจะคืนดีกับพ่อของเขาหรือไม่มันเกี่ยวอะไรกับเธอ?ดูเหมือนเธอจะซีเรียสกว่าเขาอีกเขาถอนหายใจ ซ่งเสี่ยวเชียนพูดถึงขนาดนี้แล้ว เขาคงอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ใช่ไหม ยิ่งไปกว่านั้นการได้คืนดีกับคุณพ่อก็เป็นการแก็ปัญหาที่เขากังวลมานานได้จริง ๆ เขาเงยหน้าขึ้นและลูบหัวของซ่งเสี่ยวเชียน "ทํา เพียงแต่ว
เธอกอดหมอนและยิ้มอย่างพอใจ เธอสาบานว่าเธอไม่เคยเจอใครที่เก่งขนาดนี้มาก่อน สามารถปกป้องเธอและขจัดวิกฤตให้เธอได้ทันทีในเวลาฉุกเฉิน ราวกับว่าจู่ๆ กำแพงทึบก็ปรากฏขึ้นในชีวิตของเธอ จะปกป้องเธอตลอดเวลาต่อจากนี้ไป ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยซ่งเสี่ยวเชียนเชื่อ ในอนาคต ตราบใดที่มีเย่จื่อหยางอยู่ข้าง ๆ เธอก็ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น เมื่อฟ้าถล่มยังมีเขาคอยอยู่ข้างๆไม่ใช่หรอเย่จื่อหยางเขียนรายงานเสร็จก็ปิดคอมพิวเตอร์และเดินออกจากห้องหนังสือ ห้องนั่งเล่นมืดสนิท มีเพียงไฟสีเหลืองเข้มดวงเดียวที่เปิดอยู่ ฝาหลังของรีโมทกระจัดกระจายอยู่บนพื้นพร้อมถ่าน เขาหยิบขึ้นมาและวางไว้ มองไปที่ซ่งเสี่ยวเชียนที่นอนอยู่บนโซฟาลืมตาก็ไม่รู้ว่ากําลังคิดอะไรอยู่ เอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง "มีเรื่องอะไรหรอ ทําไมดูมีความสุขขนาดนี้""ไม่มีนิ ฉันก็แค่ดีใจ" ซ่งเสี่ยวเชียนลุกขึ้นยืนต่อหน้าเย่จื่อหยางยิ้มให้เขา แล้วทันใดนั้นก็กระพริบตาให้เขา มุมปากของเขามีรอยยิ้มที่ทําให้เย่จื่อหยางเดาไม่ออก กําลังจะถามว่าทําไมถึงยิ้ม ทันใดนั้นซ่งเสี่ยวเชียนก็เอื้อมมืออ้อมไปข้างหลังเย่
คิดถึงเด็กคนหนึ่งที่อายุ 15-16 ปี เร่ร่อนอยู่กับพวกเขามา 4-5 ปี เพื่อขอทานทุกที่ และเงินที่ขอมามอบให้กับหัวหน้าแก๊งนั้น รับรองว่าทุกคนจะได้กินอาหารไม่อั้นสิ่งที่ทําให้ซ่งเสี่ยวเชียนเจ็บปวดมากกว่าเดิมคือเด็กคนที่ตาบอดทั้งสองข้าง เขาไม่ได้ตาบอดมาตั้งแต่เกิด แต่เมื่อเขาอายุเจ็ดขวบ เขาถูกจับโดยคนของแก๊งและจากพ่อแม่ไปตั้งแต่นั้นมา คนเหล่านั้นล้างสมองเขาเพื่อให้เขาได้รับเงินมากขึ้น ทําให้เขาคิดว่าการช่วยพวกเขาขอเงินมากขึ้นเป็นเรื่องที่ดีคนเหล่านั้นใช้เหล็กแทงเข้าไปในดวงตาของเด็กน้อย ตั้งแต่นั้นมาเขาก็มองไม่เห็นและคนเหล่านั้นสอนเขาวิธีการแยกแยะขนาดของธนบัตรด้วยมือของเขาและติดตามพวกเขามานานหลายปี และความสามารถในการแยกแยะเงินด้วยมือของเขานั้นมีความชำนาญมากและไม่เคยพลาดเลยซ่งเสี่ยวเชียนก็คิดว่าตอนนั้นเธอให้เด็กคนนั้นไปหนึ่งร้อยหยวน เขาก็สัมผัสไปหลายครั้ง ปากก็ยิ้ม แล้วบอกว่าวันนี้เขาเลิกงานได้แล้วรอยยิ้มบนใบหน้าของเขามั่นใจมาก ดูเหมือนว่าเด็กคนนั้นจะถูกล้างสมองโดยคนเหล่านั้นจริง ๆ และจะไม่อดตายเพราะตาบอดสองข้าง ดูเหมือนว่าเขาจะมองว่าเป้าหมายนี้เป็นเป้าหมายเดียว
ซ่งเสี่ยวเชียนไม่ทําอะไรเลย เย่จื่อหยางต้องไปทำกับข้าวด้วยตัวเอง ครั้งนี้เป็นอาหารมังสวิรัติจริง ๆ มังสวิรัติมากกว่าพระกินอีก แม้แต่ผัดกะหล่ำปลีจีนก็ใช้น้ำมันเรพซีด ไม่เปื้อนน้ำมันหมูสักนิดซ่งเสี่ยวเชียนมองอาหารมังสวิรัติที่โต๊ะแล้วพูดไม่ออก ความอยากอาหารเปลี่ยนเป็นระดับต่ำ แต่เย่จื่อหยางกลับกินอย่างเอร็ดอร่อย แต่ระหว่างที่เย่จื่อหยางกินข้าว เขาขยี้เหนือศีรษะเป็นครั้งคราว ซ่งเสี่ยวเชียนมองเขาอย่างสงสัยในที่สุดหลังจากกินข้าวเสร็จ ขณะที่เขากําลังล้างจาน เธอรีบไปเอามือไปสัมผัสหัวเขา ไม่ลูบก็ไม่รู้พอลูบก็ตกใจโดยไม่รู้ตัว บนหัวของเย่จื่อหยางบวมโนขึ้น แม้ว่าจะไม่ได้โนใหญ่มากแต่ก็พองเล็กน้อยซ่งเสี่ยวเชียนนึกถึงก่อนหน้านี้เธอโยนเจลอาบน้ำใส่หัวเย่จื่อหยางอย่างแรง ที่แท้หัวปูดโนขนาดนี้เขากลับไม่พูดอะไรโอเค ซ่งเสี่ยวเชียนเป็นคนจิตใจดี ตอนนี้เมื่อได้เห็นสิ่งนี้แล้ว ในใจของเธอก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา คิดว่าเธอใจร้ายไปหน่อยจริง ๆ บางทีเย่จื่อหยางอาจไม่ได้ตั้งใจบุกเข้ามาแอบดูเธอจริง ๆก็ได้ และใครแอบดูคนอื่นแถมจงใจเปิดประตูอีกพอในใจรู้สึกผิดเธอก็อยากชดเชยไง ดึ
เธอดูเวลาในโทรศัพท์ของเธอ นาทีและวินาทีผ่านไป และห้านาทีผ่านไป เย่จื่อหยางก็ยังไม่ออกมา มีบางอย่างเกิดขึ้นเหรอ? ไม่มีทาง? เขาไม่ใช่เก่งมากหรอ? ไม่ใช่ว่าออกโลงแล้วล้มเหลวเลยนะ?เธอเงยหน้าขึ้นเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นในอาคารที่อยู่ไม่ไกล จู่ๆ ก็มีเสียงผู้ชายหยาบคายดังมาจากข้างหลังเธอ “เธอเป็นใคร!? มาทำตัวลับๆล่อๆก็ที่นี่ทำอะไร”ถูกจับได้แล้ว! นี่เป็นความคิดแรกที่เข้ามาหัวของซ่งเสี่ยวเชียนในเวลานั้น จู่ๆ เธอหันกลับมาและเห็นร่างผู้ชายที่มืดๆดำๆ ยืนอยู่ข้างหลังเธอไม่ไกลนัก เขามองดูเธอและทำท่าป้องกันตัว สายตาของเขาดูน่ากลัวเล็กน้อย"ฉ ฉัน...ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย! ฉันหลงทาง..." ซ่งเสี่ยวเชียนมองไปรอบ ๆ และชี้นิ้วไปรอบ ๆ ชายคนนั้นก้าวไปข้างหน้าสองก้าวดูเหมือนจะสงสัย "มากับฉัน!"เมื่อพูดเช่นนั้น ชายคนนั้นก็ก้าวไปข้างหน้าสองก้าวและจับมือของซ่งเสี่ยวเชียน ปฏิกิริยาตัวสั่นของซ่งเสี่ยวเชียนอยู่ในระดับสูงสุดและเธอก็หลบมือของชายคนนั้นทันที เธอจะปล่อยให้เขาจับเธอได้อย่างไร? นั่นเรียกว่ายอมจำนนฟ้านะ ซ่งเสี่ยวเชียนกระโดด
เย่จื่อหยางสังเกตมันอย่างละเอียด ดังนั้นจึงไม่มีข้อผิดพลาด เด็กน้อยเล่นซอได้อย่างชำนาญมาก เหมือนว่าเขาเริ่มเรียนรู้มันตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก"น่าสงสารจัง..." ซ่งเสี่ยวเชียนมองเด็กตาบอดคนนั้นซึ่งอายุน่าจะเพียงสิบสามหรือสิบสี่ปีเท่านั้น แต่ไม่สามารถมองเห็นโลกที่สวยงามใบนี้ แม้ว่าตอนนี้โลกจะปกคลุมไปด้วยหมอกควัน แต่ในบางครั้งก็มีท้องฟ้าเป็นสีฟ้าและเมฆเป็นสีขาวสำหรับเด็ก นี่เป็นสิ่งที่โหดร้ายมาก เดิมทีซ่งเสี่ยวเชียนเป็นคนที่มีจิตใจดีอยู่แล้ว เธออดไม่ได้ที่จะหยิบกระเป๋าสตางค์ของเย่จื่อหยางออกมา หยิบแบงค์ร้อยหยวนออกมาแล้วยื่นให้เด็กน้อย "เด็กน้อย เอาเงินไปซื้อของอร่อยๆที่อยากกินนะ อย่าอดไว้”เด็กหยุดเล่นซอ รีบหยิบธนบัตรจากมือของซ่งเสี่ยวเชียน วางไว้ใต้จมูกแล้วดมกลิ่น จากนั้นใช้มือแตะอย่างระมัดระวัง และในที่สุดก็ยิ้ม “ขอบคุณผู้มีน้ำใจ วันนี้งานของผมเสร็จแล้ว ผมสามารถกลับก่อนได้”เมื่อพูดจบ ก็รีบเก็บสิ่งด้วยความไว หยิบไม้นำทางเดินหนีไป จากไปโดยไม่หันกลับมามองซ่งเสี่ยวเชียน