Share

ความวุ่นวาย

last update Last Updated: 2025-07-25 11:39:08

หลังจากครอบครัวหลินทำการค้าขายไปแล้ว 7 วัน วันนี้ครอบครัวขอปิดร้าน 2 วัน พบปัญหาว่าจำนวนลูกค้ามากขึ้นทุกวันจึงตัดสินใจไปหาโรงเตี๊ยมที่เปิดให้เช่า ความจริงซื้อเป็นของตัวเองจะดีกว่า เนื่องจากตอนนี้เงินที่หามายังไม่เพียงพอที่จะซื้อโรงเตี๊ยมได้

ยามเฉิน (07.00 – 08.59 น.) ฮุ่ยเหมยและครอบครัวเข้าเมืองไปหาเช่าโรงเตี๊ยม โดยนั่งเกวียนลุงหานเข้าเมืองเช่นเดิม เมื่อมาถึงตลาดในเมืองผู้คนต่างก็พากันมาจับจ่ายซื้อสินค้ากันเนืองแน่นเช่นเคย

"ท่านแม่ข้าหิวแล้วเจ้าค่ะ ข้าอยากกินบะหมี่ร้านนั้นเจ้าค่ะ"

เสียงฮุ่ยเหมยเอ่ยขึ้นและชี้ไปที่ร้านของบะหมี่ที่อยู่ข้างทาง คนในร้านแน่นมาก น่าจะอร่อยเพราะคนเข้าร้านเยอะ เมื่อได้ยินเสียงเด็กน้อยเอ่ยขึ้นจึงตัดสินใจเดินตรงไปร้านบะหมี่ทันที

"เถ้าแก่ข้าเอาบะหมี่ 4 ชามขอรับ" ท่านพ่อเอ่ยสั่งกับเถ้าแก่ร้านขายบะหมี่

"เชิญนั่ง ๆ รอสักครู่นะขอรับ"

เสียงเด็กชายวัย 8 หนาวเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นลูกค้าทั้งสี่เดินเข้าร้านของตน น่าจะเป็นลูกชายของเถ้าแก่เจ้าของร้านเพราะหน้าตาที่ละม้ายคล้ายกันเป็นอย่างมาก ซึ่งเขากำลังนำบะหมี่ในร้านเสิร์ฟลูกค้าที่แน่นจนเต็มร้านอยู่ในขณะนี้อย่างขยันขันแข็ง

ครอบครัวหลินจึงเดินไปนั่งยังโต๊ะท้ายสุดที่ยังว่างอยู่ รอไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็ได้กิน เมื่อได้ลองกินเข้าไปคำนึงก็รสชาติอร่อยใช้ได้ถึงว่าลูกค้าเข้าร้านมากมาย เมื่อทุกคนกินเสร็จแล้วก็จ่ายเงินขายชามละ 8 อีแปะ ท่านพ่อนับเงินจ่ายให้เถ้าแก่และเดินหาโรงเตี๊ยมที่เปิดให้เช่าทันที

ทุกคนเดินสำรวจที่ทางไปเรื่อย ๆ ก็ยังไม่เห็นโรงเตี๊ยมไหนที่ประกาศให้เช่า เมื่อเดินจนสุดซอยนี้แล้วก็พบว่ามีเสียงคนเอะอะโวยวาย ชาวบ้านต่างยืนมุงอยู่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นจนไม่เห็นข้างใน เมื่อเดินเข้าไปแทรกได้ก็เห็นชายฉกรรจ์คนหนึ่งด่าทอทุบดีสองพี่น้องฝาแฝดอยู่

พลั่ก ตุบ ตุบ ตุบ!!!

เสียงไม้ฟาดเข้าที่แผ่นหลังของชายวัย 13 หนาว ข้าง ๆ มีดรุณีน้อยนางหนึ่งหน้าตาคล้าย ๆ กันรูปร่างผอมบางยืนร้องไห้และพยายามขัดขืนพวกเจ้าหนี้ที่ถูกลูกน้องของชายคนนั้นจับไว้

"ปล่อยพวกข้า เจ้าคนชั่ว ฮือๆ" เสียงผู้หญิงที่ถูกจับไว้ร้องตะโกนด่า

"เจ้าหาเงินมาไถ่ตัวเจ้าก่อนสิข้าจะปล่อยพวกเจ้าไป"

เสียงเจ้าหนี้คนนั้นตอบกลับและมองสองพี่น้องด้วยสายตาน่าสมเพชและกล่าวต่อไปอีกว่า

"50 ตำลึงเงิน ข้าจะปล่อยพวกเจ้าไป ถ้าไม่มีนางนี่ก็ต้องมาเป็นนางบำเรอข้าคืนนี้ ฮ่า ฮ่า ฮ่า"

มันคิดในใจว่า 'คืนนี้นางผู้นี้ต้องมาเป็นนางบำเรอข้า หึหึ'

"ข้าติดเงินเจ้าแค่ 50 อีแปะเท่านั้น ไยถึง 50 ตำลึงเงิน พวกเจ้ามันชั่วช้าเกินไปแล้ว"

อึก ชายที่ถูกทุบตีจนสภาพดูไม่ได้เอ่ยขึ้นและพยายามดึงน้องสาวของตนออกมา

พลั่ว พลัก~

เสียงเตะของเจ้าหนี้คนนั้นที่เตะเขาจนกระเด็น พร้อมกระอักเลือดออกมาคำโต

อัก อัก อึก ~

เมื่อทนดูเรื่องราวชั่วช้านี้ไม่ไหวฮุ่ยเหมยจึงออกไปประจันหน้ากับเจ้าหนี้พวกนั้น โดยไม่สนว่าตอนนี้ตนเองยังเป็นเด็กน้อยวัย 3 หนาวอยู่ และกางแขนออกเอ่ยขึ้นว่า

"หยุดนะ เจ้าคนชั่ว ไอ้สารเลว ไอ้หน้าหม้อ ไอ้หน้าตัวเมีย"

"นี่นางเด็กบ้าไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเจ้า ออกไปซะ"

ชายที่เป็นเจ้าหนี้คนนั้นจ้องหน้าเด็กน้อยเขม็ง ข้าเจ้าหนี้หน้าเลือดแห่งเมืองผิงเหยา ไม่มีผู้ใดในเมืองนี้ไม่เกรงกลัวเขาจึงทำให้ไม่มีผู้ใดให้ความช่วยเหลือสองคนพี่น้อง เพราะกลัวพวกมันจะมาหาเรื่องตนเหมือนกัน

"ไม่! พวกเจ้ารังแกคนแบบนี้ไม่เกินไปหน่อยรึ"

"หลีกไปข้าไม่อยากทำร้ายเด็กอย่างเจ้า" เมื่อเห็นเด็กน้อยที่กล้าต่อล้อต่อเถียงกับเจ้าหนี้พวกนั้นท่านพ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า

"ค่อยๆ คุยกันดีกว่านะพี่ชาย"

"ไม่ใช่เรื่องของพวกเจ้า!!!" เสียงเจ้าหนี้เอ่ยขึ้นด้วยความโมโหที่โดนขัด

"ท่านทำแบบนี้มันเกินไปหน่อยนะ เขาแค่ติดเงินท่านแค่ 50 อีแปะ ไม่ใช่รึไยต้องเก็บเป็น 50 ตำลึงเงินด้วย"

ท่านพ่อเอ่ยขึ้นทวงความยุติธรรมให้กับสองพี่น้อง และเจ้าหนี้ก็หยิบสัญญาขึ้นมาปรากฏว่า ติดหนี้ 50 ตำลึงเงินจริง ๆ

"ไม่จริงพวกเจ้าให้ข้ายืมแค่ 50 อีแปะเท่านั้น" เสียงนางเอ่ยท้วงขึ้นเมื่อพวกเขาไม่รู้หนังสือจึงทำให้ถูกหลอก

"ในสัญญาเขียนบอกว่ายืม 50 ตำลึงเงิน นี่ทุกท่านเป็นพยาน" แล้วก็ยื่นสัญญากู้ยืมให้ทุกคนดู

"พะ พวกเจ้า หลอกข้า เจ้าคนชั่ว ฮือ ๆ" เสียงเด็กสาวคนนั้นเอ่ยขึ้นด้วยความเหลืออด

"งั้นข้าจะจ่ายหนี้พวกเขาให้เอง"

เสียงฮุ่ยเหมยเอ่ยขึ้น ด้วยไม่เห็นด้วยที่ถูกโกงแล้วต้องไปเป็นนางบำเรอเจ้าคนชั่วพวกนี้อีก ด้วยความเป็นผู้หญิงด้วยกันจึงเห็นใจให้ความช่วยเหลือ และขอเงินจากท่านพ่อนำมาจ่ายให้แก่เจ้าหนี้หน้าเลือด

"อะ นี่เงิน 50 ตำลึงเงินที่พวกเขาติดหนี้เจ้า" ท่านพ่อนับเงินจ่ายให้แก่เจ้าหนี้ และมันก็หยิบไป

"จ่ายเงินแล้วก็ให้แล้วกัน จบเรื่องแล้วกลับกันเถอะเจ้าค่ะ" จากนั้นเด็กน้อยก็จูงมือท่านพ่อเตรียมตัวจะออกไป

"ขอบคุณเจ้าค่ะ/ขอรับ ที่ช่วยพวกข้าไว้" ทั้งสองพี่น้องเอ่ยขอบคุณด้วยความซาบซึ้งใจ พร้อมกับนั่งลงโขกศีรษะ

"ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ลุกขึ้นเถอะ" เสียงเด็กน้อยเอ่ยขึ้น พร้อมพยุงสองพี่น้องขึ้นมา

"โปรดรับการคารวะจากพวกข้าด้วยเจ้าค่ะ/ขอรับคุณหนู"

โปก โปก โปก

ทั้งสองคนโขกศีรษะอย่างรวดเร็ว และฮุ่ยเหมยก็รีบห้ามกลัวว่าทั้งสองคนหัวจะแตกเอาได้

"พวกเจ้ามีเงินเมื่อไหร่ค่อยเอามาใช้ให้พวกข้าก็ได้"

ฮุ่ยเหมยเอ่ยขึ้น ทันใดนั้นท่านแม่และพี่ชายก็ฝ่าฝูงชนมาหาลูกสาวตัวน้อยและสำรวจว่าลูกสาวบาดเจ็บตรงไหนบ้าง

"เหมยเอ๋อร์ /เหมยเอ๋อร์" ท่านแม่และพี่หนิงหลงเอ่ยขึ้นพร้อมกัน

"บาดเจ็บตรงไหนหรือไม่ลูก" ท่านแม่เอ่ยขึ้นพร้อมสำรวจลูกสาวตัวน้อยที่มีความกล้าเกินเด็กไปมาก

"ทีหลังน้องอย่าทำอย่างนี้อีกนะ"

และทุกคนก็บ่นให้เด็กน้อยจนหูแทบชา ก็รู้แหละว่าตัวเองเป็นเด็กน้อยไม่ควรไปเถียงกับพวกสวะนั่นจริง ๆ

"คุณหนูข้าไม่มีเงินมาคืนให้หรอกเจ้าค่ะ" เสียงนางเอ่ยขึ้น ทำให้ทุกคนในครอบครัวหันมามองและหยุดบ่น

"ใช่แล้วขอรับ ของมีค่าของพวกข้า พวกเจ้าหนี้มันยึดไปหมดแล้วขอรับ"

"มีเมื่อไหร่ค่อยเอามาคืน" ท่านพ่อเป็นคนเอ่ยขึ้น

"พวกข้าตกลงจะเป็นบ่าวรับใช้พวกท่านตอบแทนบุญคุณที่ช่วยชีวิต เจ้าค่ะ/ขอรับ"

พวกตนตกลงกันว่าจะขอทดแทนพระคุณนายท่านคุณหนูน้อยด้วยชีวิต เพราะลำพังต้องอยู่อย่างอด ๆ อยากๆ ต้องหนีเจ้าหนี้หัวซุกหัวซุน ถ้าไม่จำเป็นต้องนำเงินไปทำศพให้แก่ท่านพ่อท่านแม่ของตนคงไม่ไปขอยืมเงินเจ้าหนี้หน้าเลือดพวกนั้นแน่

พวกตนมั่นใจว่าไปรับใช้นายท่านกับคุณหนูต้องมีของกินไม่ขาดแน่ ๆ เพราะดูท่าทางมีจิตเมตตากรุณาต่อพวกตนแล้ว ตอนพวกตนไปขอทานนั้นได้เห็นพวกเขาขายของและคนเข้าร้านอย่างเนืองแน่นเช่นนี้แล้ว และมีคนที่เคยได้ลิ้มรสอาหารของร้านนี้แล้วล้วนบอกปากต่อปากว่าอร่อยมากแค่ไหน นี่พวกเขาไม่ได้เห็นแก่กินจริง ๆ นะ

เมื่อได้เห็นสภาพของทั้งสองคนผอมแห้งน่าเวทนามาก ด้วยความสงสารครอบครัวหลิน จึงตัดสินใจให้ไปอยู่ด้วย

"อืม ตกลง ๆ" ท่านพ่อเอ่ยขึ้นเมื่อปรึกษากันเสร็จแล้วจึงตัดสินใจรับพวกเขาไปอยู่ด้วย เพราะในภายหน้าต้องหาพนักงานมาทำงานในร้านมากทีเดียว

"ท่านพ่อพาพี่ชายท่านนี้ไปรักษาที่โรงหมอก่อนเถิดเจ้าค่ะ"

เมื่อเห็นบาดแผลและรอยซ้ำที่มีอยู่เต็มตัวของพี่ชายท่านนี้แล้วจึงคิดว่าไปโรงหมอก่อนค่อยเดินไปหาเช่าโรงเตี๊ยม

เมื่อเดินออกไปก็ถามความเป็นมาของสองพี่น้องว่าทั้งสองมีนามว่า คนพี่ชื่อเยว่เทียน คนน้องชื่อเยว่ฉี ทั้งสองคนบอกว่าท่านพ่อและท่านแม่ของเขานั้นถูกทำร้ายจนถึงแก่ชีวิตจึงไปหยิบยืมเงินจากเจ้าหนี้หน้าเลือดคนนั้น เมื่อท่านพ่อท่านแม่ของตนเสียชีวิตจึงใช้ชีวิตเป็นขอทานประทังชีวิตของสองพี่น้อง

เมื่อท่านแม่ได้ฟังจึงน้ำตาคลอด้วยความสงสาร จึงตัดสินใจให้พวกเขาได้กินดีอยู่ดีกว่านี้แน่นอน และเมื่อพวกเขาทั้ง 6 คนเดินออกมาได้ไม่นานก็มีเสียงเรียกขึ้นว่า

"เฮ้ย พวกเจ้าหยุดดด!!" เสียงเจ้าหนี้คนนั้นเอ่ยขึ้นพร้อมกับลูกน้องทั้ง 5 คน เดินขนาบข้างมาด้วยท่าทางหาเรื่อง

"วันนี้ข้าจะเอานางนั่นไปด้วย ถ้าอยากมีชีวิตอยู่ก็ทิ้งนางนั่นไว้ที่นี่แล้วไปซะ"

เขาชี้ไปที่เยว่ฉีที่เดินอยู่ข้างหลัง นางมีท่าทีหวาดกลัวเป็นอย่างมาก และไม่คิดว่าพวกนั้นจะไม่ยอมจบ พร้อมทั้งขู่จะทำร้ายผู้มีพระคุณของตนอีกด้วย นางก็ยอมที่จะสละชีวิตของตนเองเพื่อทุกคน นางจึงกล่าวขึ้นว่า

"ข้าจะไปกับพวกท่าน ได้โปรดปล่อยพวกเขาไป" นางเอ่ยขึ้นพร้อมกับจะเดินออกไป

"หยุด ไม่มีใครนำนางไปได้ พวกเจ้ารีบไปซะถ้าไม่อยากตาย"

เสียงท่านพ่อเอ่ยขึ้นก่อนที่เยว่ฉีจะเดินไป

"ฮ่า ฮ่า ฮ่า เจ้ามีคนเดียวคิดจะสู้กับพวกข้าทั้ง 6 คนเลยรึ"

เจ้าหนี้คนนั้นเอ่ยขึ้นอย่างเหลือเชื่อ และทระนงตนว่าเก่งกว่าเจ้านี่อย่างแน่นอน หึ หึ หึ

"พวกเจ้าจัดการมันซะ หึหึหึ" เสียงเจ้าหนี้เอ่ยขึ้นสั่งงานกับลูกน้อง

"ท่านพ่อระวังเจ้าค่ะ/ขอรับ!!!" เสียงลูกทั้งสองคนเอ่ยขึ้นอย่างตื่นตระหนก ท่านแม่รีบดึงลูกทั้งสองมากอดไว้ ฮุ่ยเหมยและสองพี่น้องฝาแฝดคิดว่าพวกตนเป็นคนหาเรื่องให้ท่านพ่อและนายท่านต้องเจ็บตัว

"อ๊ากก อัก โอ้ยยยยย โอ้ยยย ๆๆๆๆ"

"พลั่ก ผลั่ว ข้ายอมแล้ว ๆๆๆ"

เสียงพวกลูกน้องทั้ง 5 เอ่ยขึ้นขอร้องให้หยุดทำร้ายพวกตนสักที และคิดว่ามาทำงานกับนายท่านคนนี้ช่างเป็นเรื่องที่ผิดมหันต์

ท่านพ่อจับไปที่แขนพวกนั้นแล้วหัก และถีบอย่างเต็ม ๆ เมื่อมีอีกคนเข้ามาก็เตะเข้าที่ท้อง ทำให้มันกระอักเลือดออกมา

ท่านพ่อใช้วิชาตัวเบาหลบหลีกอย่างว่องไว ฮุ่ยเหมยพึ่งรู้ว่าท่านพ่อเป็นวรยุทธ์ด้วย ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเห็นท่านพ่อต่อสู้เลยสักครั้ง เมื่อเด็กน้อยทั้งสองเห็นท่านพ่อต่อสู้ที่เก่งกาจแล้วจึงเอ่ยขึ้นเชียร์ท่านพ่อของตนทันที

"ท่านพ่อสู้ๆ ขอรับ/เจ้าค่ะ"

"ตีมันให้ตายไปเลยขอรับ/เจ้าค่ะ"

เมื่อเจ้าหนี้คนนั้นเห็นว่าลูกน้องของตนพ่ายแพ้แล้วก็ตกใจวิ่งออกไปแทบไม่คิดชีวิต ครั้งนี้เขาคงไปหาเรื่องคนที่ไม่ควรไปหาเรื่องเสียแล้ว

"ท่านพ่อเก่งมากเลยเจ้าค่ะ" เสียงลูกสาวตัวน้อยเอ่ยชมท่านพ่อของตน พี่ชายที่อยู่ข้าง ๆ ที่พยักหน้าเห็นด้วย ทำให้ท่านแม่ย้อนคิดไปที่ตอนท่านพี่ของตนเคยช่วยเหลือเมื่อยามที่ตนเคยโดนคนชั่วรังแก และได้ท่านพี่มาช่วยไว้ได้ทำให้นางปักใจรักเขามาตลอดหลายปีที่ผ่านมา

เมื่อจัดการพวกลูกน้องเจ้าหนี้คนนั้นเสร็จแล้วจึงเดินไปโรงหมอภายในตลาดแห่งนี้ทันที เมื่อถึงโรงหมอก็พบว่ามีผู้คนเดินทางมารักษาอยู่ตลอด และเดินเข้าไปรักษาบาดแผลที่โดนทุบตีให้เยว่เทียนและท่านพ่อ

เมื่อรักษาเสร็จแล้วก็คิดค่ายา และพูดคุยกับเถ้าแก่ร้านขายยาแห่งนี้ว่ามาทำอะไร เถ้าแก่เป็นลูกค้าประจำของร้านเลยทีเดียวทำให้จำพวกเขาได้ จึงเสนอให้เช่าตึกข้าง ๆ ที่ตนไม่ค่อยได้ใช้ให้ครอบครัวหลิน

ครอบครัวหลินลองสำรวจที่ทางก็พบว่าที่นี่ทำเลดีไม่น้อยจึงตอบตกลงเช่าที่นี่ทันที และเถ้าแก่ก็เสนอลดราคาให้พิเศษและยื่นข้อเสนอว่าตนต้องได้กินอาหารก่อนใคร ทุกคนจึงตอบตกลงและจะนำมาให้เถ้าแก่เยอะ ๆ อีกด้วย

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ขอเกิดใหม่มาร่ำรวย   ความวุ่นวาย

    หลังจากครอบครัวหลินทำการค้าขายไปแล้ว 7 วัน วันนี้ครอบครัวขอปิดร้าน 2 วัน พบปัญหาว่าจำนวนลูกค้ามากขึ้นทุกวันจึงตัดสินใจไปหาโรงเตี๊ยมที่เปิดให้เช่า ความจริงซื้อเป็นของตัวเองจะดีกว่า เนื่องจากตอนนี้เงินที่หามายังไม่เพียงพอที่จะซื้อโรงเตี๊ยมได้ยามเฉิน (07.00 – 08.59 น.) ฮุ่ยเหมยและครอบครัวเข้าเมืองไปหาเช่าโรงเตี๊ยม โดยนั่งเกวียนลุงหานเข้าเมืองเช่นเดิม เมื่อมาถึงตลาดในเมืองผู้คนต่างก็พากันมาจับจ่ายซื้อสินค้ากันเนืองแน่นเช่นเคย"ท่านแม่ข้าหิวแล้วเจ้าค่ะ ข้าอยากกินบะหมี่ร้านนั้นเจ้าค่ะ"เสียงฮุ่ยเหมยเอ่ยขึ้นและชี้ไปที่ร้านของบะหมี่ที่อยู่ข้างทาง คนในร้านแน่นมาก น่าจะอร่อยเพราะคนเข้าร้านเยอะ เมื่อได้ยินเสียงเด็กน้อยเอ่ยขึ้นจึงตัดสินใจเดินตรงไปร้านบะหมี่ทันที"เถ้าแก่ข้าเอาบะหมี่ 4 ชามขอรับ" ท่านพ่อเอ่ยสั่งกับเถ้าแก่ร้านขายบะหมี่"เชิญนั่ง ๆ รอสักครู่นะขอรับ"เสียงเด็กชายวัย 8 หนาวเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นลูกค้าทั้งสี่เดินเข้าร้านของตน น่าจะเป็นลูกชายของเถ้าแก่เจ้าของร้านเพราะหน้าตาที่ละม้ายคล้ายกันเป็นอย่างมาก ซึ่งเขากำลังนำบะหมี่ในร้านเสิร์ฟลูกค้าที่แน่นจนเต็มร้านอยู่ในขณะนี้อย่างขยันขันแข็งครอบคร

  • ขอเกิดใหม่มาร่ำรวย   ไม่พอขาย

    3 วันผ่านไป กับการเตรียมพร้อมขายของครั้งแรกของครอบครัวหลิน ทุกคนต่างตื่นเต้นกันอย่างมาก ท่านพ่อได้เข้าเมืองติดต่อเช่าร้านค้าเล็ก ๆ ราคา 10 อีแปะต่อวัน ตกลงขาย ยามอู๋ถึงยามโหย่ว (12.00-17.00 น.) การเตรียมตัวมีอะไรบ้าง คือมะละกอดิบ 3 ตะกร้าใหญ่ และเครื่องปรุงรส อาทิเช่น พริก กระเทียม มะนาว เกลือ น้ำตาล กุ้งแห้ง หอยเชอรี่ ผักบุ้งป่าไว้กินกับส้มตำ และข้าวคั่ว ครอบครัวหลินหุงข้าวเหนียวให้ลูกค้าทดลองชิมกับส้มตำไปด้วยขายราคา 5 อีแปะ กุ้งฝอยสด ๆ ไปด้วย 3 ตะกร้าใหญ่ ปลา 50 ตัวนำไปทดลองขายก่อน ถ้าขายดีวันหน้าก็จะไปจับมาเพิ่ม แบ่งหน้าในการทำแต่ละอย่างมีดังนี้ ท่านแม่ตำส้มตำ ท่านพ่อย่างปลาเผา และพี่ชายทำยำกุ้งเต้น ส่วนเธอเป็นหน่วยสนับสนุน นั่นคือเรียกลูกค้าและเก็บเงินนั่นเอง ครอบครัวหลินไปติดต่อขอให้ ท่านลุงหานไปส่งในตัวเมืองโดยเฉพาะ คิดราคาแค่ 5 อีแปะ ใกล้ถึงยามซื่อ (09.00-10.00 น.) ก็ออกเดินทาง ไปถึงก็ยามอู๋พอดี ยามซื่อ ลุงหานขับรถวัวเทียมเกวียนมารับที่บ้านครอบครัวหลิน ทุกคนช่วยกันยกของขึ้นเกวียน เมื่อขนจนหมดแล้วก็ออกเดินทางได้ เสียง กุบกับ กุบกับ ของรถวัวเทียมเกวียนตลอดระยะเวลา 1 ชั่วยา

  • ขอเกิดใหม่มาร่ำรวย   ริเริ่มการค้า

    เสียงไก่ขันเซ็งแซ่ บ่งบอกว่าเป็นเวลาของห้วงวันใหม่ ฮุ่ยเหมยค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาช้า ๆ พร้อมยกแขนทั้งสองบิดขี้เกียจแล้วค่อย ๆ เดินไปล้างหน้าล้างตา และหยิบชุดในราวมาใส่ วันนี้เด็กน้อยเลือกใส่ชุดสีชมพู และเดินออกไปให้ท่านแม่ทำผมให้เช่นทุกวัน "ข้ามาแล้วเจ้าค่ะ" เสียงเรียกจากเด็กน้อย ทำให้ทั้งสามคนหันมามอง และยิ้มกว้างให้กับความน่ารัก ยามเหม่า (คือ 05.00 – 06.59 น.) เป็นเวลาที่ท่านพ่อเตรียมตัวขึ้นวัวเทียมเกวียนเข้าเมืองไปขายของป่า โดยสารรถของบ้านลี่จูที่ออกเดินทาง เมื่อเห็นท่านพ่อจะไปเด็กน้อยรีบวิ่งไปออดอ้อน ขอเข้าเมืองไปด้วย ท่านพ่อตอบตกลงและให้ท่านแม่อยู่ที่บ้านคนเดียว "เหมยเอ๋อร์ ต้องอยู่ใกล้ ๆ พ่อตลอดนะลูก" "เจ้าค่ะ ท่านพ่อ" ''ข้าจะดูแลน้องเองขอรับ" และทั้งสามคนก็ออกเดินทางไปขึ้นเกวียน คนแน่นเต็มคันรถ และลี่จูก็โบกมือให้เมื่อพบว่าเด็กน้อยทั้งสองคนจะไปด้วย และคิดว่าตนเองจะมีเพื่อนเที่ยวเล่นแล้ว "อ้าววันนี้ เหมยเอ๋อร์ไปด้วยรึ" ท่านลุงหานเอ่ยทัก พ่อของลี่จูนั่นเอง "คารวะท่านลุงหาน เจ้าค่ะ/ขอรับ" หนิงหลงและฮุ่ยเหมยเอ่ยพร้อมกัน "มา ๆ ขึ้นรถ ข้างในคนเต็มแล้วนั่งข้างหน้ากับลี่จูก็ได้"

  • ขอเกิดใหม่มาร่ำรวย   ปิ้งหอย

    หลังจากทานอาหารเที่ยงเสร็จแล้ว ด้วยความสงสัยเด็กน้อยเลยถามแม่ขึ้นในทันที "ท่านแม่เจ้าคะ หอยนั่นมันกินได้นะเจ้าคะ" เธอชี้นิ้วป้อม ๆ ไปที่คนกำลังทิ้งหอยเชอร์รี่อยู่ป่าข้างบ้าน "นั่นมันหอยพิษลูก มันกัดข้าวชาวบ้าน" ลี่หลินเอ่ยบอกกับลูกสาว เมื่อเห็นว่าหอยพวกนั้นเป็นศัตรูตัวฉกาจที่ทำร้ายนาข้าวเสียหายอย่างมาก ที่ตอนนี้แม้แต่ทางการก็ยังหาทางแก้ปัญหาไม่ได้ "ท่านแม่ไม่เชื่อลูกหรือเจ้าคะ" ฮุ่ยเหมยกะพริบตาปริบๆ ที่มีน้ำตาคลอมองท่านแม่ เมื่อมองไปที่ดวงตากลมโตของเด็กน้อยแล้วก็อดใจอ่อนไม่ได้ "มันกินได้จริงหรือ?" เสียงท่านพ่อเอ่ยถามด้วยความสงสัย และทำสีหน้าหวาดกลัว เจ้าหอยพวกนี้ไม่นิยมนำมารับประทาน ไม่มีใครนำมากินเลยต่างหาก กลัวว่ามันจะกัดกินร่างกายของคนเราเหมือนต้นข้าว!! "จริงเจ้าค่ะ ข้าจะทำให้กิน" ฮุ่ยเหมยบอกด้วยความแน่วแน่ ท่าทางเอาจริงเอาจัง และยืนขึ้นกำหมัดน้อย ๆ "ข้าจะช่วยน้องทำเองขอรับ" หนิงหลงคิดในใจเชื่อว่า ‘น้องสาวต้องมีอาหารอร่อยๆ ให้ตนกินอีกแน่ ฮิ ฮิ ฮิ’ "ท่านแม่เชื่อลูกเถอะนะเจ้าคะ" เธอเขย่าแขนท่านแม่อย่างอ้อนวอน "นะนะๆ ท่านแม่" ลี่หลินทนลูกอ้อนของลูกสาวไม่ไ

  • ขอเกิดใหม่มาร่ำรวย   เกิดใหม่

    "แอ้ แอ้ แอ้" เมื่อเธอลืมตาขึ้นมาก็พบกับแสงสว่างและผนังผุพังมีรูรั่วอยู่ และคนที่แต่งตัวจีนโบราณเต็มไปหมด และพอมองไปที่แขนของเธอทำไมเล็กอย่างนี้อย่าบอกนะว่าส่งเธอมาเกิดใหม่จริง ๆ "ลูก ลูก แม่" เสียงผู้หญิงอายุประมาณ 20 หนาวหน้าตาซีดเซียว เสียงแหบแห้งเพราะว่าเสียแรงในการคลอดลูก "ได้ลูกสาวจ้ะ ลี่หลิน" หมอตำแยเอ่ยบอกพร้อมกับอุ้มเด็กทารกให้กับนาง พอลี่หลินได้เห็นหน้าลูกสักพักก็สลบไปเพราะความอ่อนเพลีย ตึก ตึก ตึก เสียงฝีเท้าของผู้มาใหม่ เป็นผู้ชายอายุประมาณ 25 หนาว หน้าตาดี สีผิวเข้ม ดูบึกบึนเนื่องจากทำงานหนัก เดินเข้ามาอุ้มเด็กหญิง "โอ๋ เอ๋ ๆ ลูกพ่อน่ารักมากเลย ไม่ร้องไห้เลย" หลินฟางหรงอุ้มเด็กหญิงขึ้นมามองหน้าตา กลมโตที่ใสซื่อบริสุทธิ์หน้าตาน่ารัก จริง ๆ ลูกสาวของเขา "ใช่ ขอรับท่านพ่อ น้องดูเป็นเด็กรู้เรื่องตั้งแต่เกิดเลยขอรับ" เสียงเจี๊ยวจ๊าวของเด็กชายอายุ 4 หนาวนามว่า หลินหนิงหลง หลังจากเดินตามหลังท่านพ่อมาเมื่อรู้ว่าคลอดน้องสาวของตนแล้ว "ท่านพ่อจะตั้งชื่อน้องสาวว่าอะไรดีขอรับ" "อืม งั้นชื่อว่า ฮุ่ยเหมยละกันนะลูกพ่อ" หรือที่แปลว่าความเมตตาที่งดงาม เหมาะกับหน้าตาน่าร

  • ขอเกิดใหม่มาร่ำรวย   บทนำ

    โรส หญิงสาววัย 24 ปีเป็นลูกครึ่งไทย-จีน พ่อของเธอนั้นเป็นคนจีน แม่เป็นคนไทยอาศัยอยู่จังหวัดอุบลราชธานี เนื่องจากเป็นลูกครึ่งไทยจีนเธอจำต้องเทียวไปเทียวมาระหว่างไทยกับจีนตลอด เมื่อปี 25x3 เกิดโรคระบาดที่ชื่อว่า โควิด 19 ระบาดอยู่ที่อู่หั่น ซึ่งตอนนั้นโรสได้ไปเที่ยวอยู่ที่นั่นพอดี แต่ไม่ว่าจะโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ประจวบเหมาะกับเธอดันหนีกลับไทยมาก่อนจะระบาดหนัก แต่แล้วเมื่อกลับไทยได้ไม่นานก็มีอาการไข้ขึ้นสูง พร้อมกับอาการไออย่างหนักกอปรกับเธอเคยเดินทางไปอู่หั่น ทำให้เธอลองไปตรวจที่โรงพยาบาลในตัวเมือง ผลปรากฏว่าเธอติดโควิด 19 เธอได้นอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลในตัวเมืองจังหวัดอุบลราชธานีจนกว่าจะหายดี ด้วยเนื่องจากโรคระบาดยังไม่มีวัคซีน ทำให้โรสนอนอยู่โรงพยาบาลประมาณเดือนกว่าจึงเสียชีวิตลงด้วยโควิด19 ในวัย 24 ปี ท่ามกลางความเศร้าโศกของครอบครัวของเธอ ตายญาติไม่สามารถมาทำศพได้ เธอต้องตายอย่างโดดเดี่ยวไม่เห็นหน้าครอบครัวเป็นครั้งสุดท้าย นับว่าน่าเวทนาชีวิตไม่น้อยเลยทีเดียว ก่อนตายโรสผู้ชื่นชอบการอ่านนิยายย้อนยุคเป็นชีวิตจิตใจ ในห้วงภวังค์ก่อนจะสิ้นใจนึกย้อนไปว่าถ้าเธอได้ย้อนเวลาไป

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status