เมื่อตกลงว่าจะเช่าที่ข้างโรงหมอแล้ว และเขียนสัญญากันเรียบร้อย ทุกคนจึงเดินตลาดหาซื้อของเข้าร้าน ฮุ่ยเหมยกำลังคิดว่าจะซื้ออะไรดี มีข้าวเหนียว เสื้อผ้าใหม่ตัดให้พนักงาน มีผ้ากันเปื้อน ผ้าโพกผม และกระดาษสำหรับจดรายการอาหาร และต้องจ้างคนอีกหลายคน
"ท่านพ่อท่านแม่ซื้อของไปเก็บไว้ที่โรงเตี๊ยมก่อนไหมเจ้าคะ จะได้ไม่ต้องขนมาจากบ้านอีกทีเจ้าค่ะ" "อืมเป็นความคิดที่ดี เหมยเอ๋อร์ลูกพ่อ ช่างคิดรอบคอบจริง ๆ" ท่านพ่อมองลูกสาวตัวน้อยของตนที่มีความคิดที่โตกว่าอายุมาก และลูบหัวลูกสาวด้วยความเอ็นดู และทั้ง 6 คนก็เดินหาซื้อของที่จำเป็นต้องใช้ ท่านพ่อเป็นคนจูงลูกสาว ท่านแม่จูงพี่ชายเพราะคนค่อนข้างเยอะ กลัวลูกน้อยของตนจะพลัดหลงกัน ท่านพ่อคิดว่าอย่างแรกที่จำเป็นคือข้าวเหนียว ที่ทุกคนเริ่มชื่นชอบที่จะกินข้าวเหนียว จึงเดินไปยังร้านขายข้าวสารทันที "สวัสดีนายท่านต้องการซื้อข้าวสารแบบใดเชิญแจ้งมาเลยขอรับ" พนักงานในร้านเข้ามาต้อนรับลูกค้าอย่างกระตือรือร้นและแนะนำข้าวสารให้แก่ลูกค้าด้วยเสียงเจื้อยแจ้ว "เอาข้าวเหนียว 20 ชั่ง ข้าวสารธรรมดา 20 ชั่ง" ท่านพ่อเอ่ยสั่งข้าวสารกับพนักงานและนับเงินจ่ายให้กับหลงจู๊ และบอกว่าให้นำไปส่งที่โรงเตี๊ยมข้างโรงหมอ "นำไปส่งที่โรงเตี๊ยมข้าง ๆ โรงหมอได้หรือไม่" "ได้ขอรับ" หลงจู๊ตอบตกลง และทุกคนก็เดินออกจากร้าน และฮุ่ยเหมยก็เอ่ยสิ่งที่ตัวเองต้องการทันทีคือซื้อเสื้อผ้าใหม่ "ท่านพ่อข้าอยากได้ผ้าไปตัดทำชุดพนักงานของร้านเจ้าค่ะ" "แบบใดรึเหมยเอ๋อร์" ท่านแม่เอ่ยขึ้นด้วยความสงสัยว่าลูกสาวของตนจะทำอันใด "ชุดพนักงานในร้านเจ้าค่ะ ทุกคนในร้านจะใส่ชุดเป็นแบบเดียวกัน มีผ้ากันเปื้อน และผ้าโพกผมไม่ให้ผมหล่นใส่อาหาร และทำให้ร้านเรามีเอกลักษณ์ด้วยเจ้าค่ะ" เด็กน้อยเอ่ยอธิบายกับทุกคน เมื่อทุกคนได้ฟังความคิดที่แปลกใหม่นี้แล้วก็เกิดความคิดว่า ช่างเป็นความคิดที่ดีอะไรเช่นนี้ "ได้ ๆ ลูกแม่เข้าไปเลือกได้เลย แม่จะเป็นคนตัดชุดให้เจ้าเอง" ท่านแม่เอ่ยขึ้นตั้งใจจะตัดชุดให้ลูกสาว "สวัสดีเจ้าค่ะ นายท่านทุกท่านเชิญเข้ามาเลือกดูเสื้อผ้าได้เลยเจ้าค่ะ" เสียงหลงจู๊สาววัยกลางคนออกมาต้อนรับลูกค้าด้วยหน้าตายิ้มแย้ม แม้ว่าทั้ง 6 คนที่มาด้วยกันจะดูเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาและสองคนพี่น้องนั้นจะใส่เสื้อผ้าสีจางและมีรอยปะชุนอยู่หลายแห่งก็ตาม "อยากได้แบบใดเชิญบอกข้ามาได้เลยเจ้าค่ะ" "ข้าขอเลือกดูก่อนแล้วกัน" เสียงท่านแม่เอ่ยขึ้นและจูงลูกสาวเข้าไปเลือก "ฮูหยินพวกข้าขอรอที่ด้านนอกนะเจ้าคะ" เสียงของเย่วฉีเอ่ยขึ้นที่ได้เห็นสายตาลูกค้าที่อยู่ในร้านมองด้วยสายตารังเกียจจึงขอรอที่ด้านนอก "ไม่ต้องหรอกข้าว่าจะซื้อเสื้อผ้าให้พวกเจ้าใหม่ด้วย" เสียงท่านแม่เอ่ยขึ้นบอกแก่ทั้งสองเพราะสงสารที่ใส่เสื้อผ้าเก่าแทบจะขาดอยู่แล้ว "ใช่เจ้าค่ะ ท่านหลงจู๊มีเสื้อผ้าสำเร็จรูปให้แก่ท่านพี่ทั้งสองหรือไม่เจ้าคะ" เสียงเด็กน้อยเอ่ยขึ้นสั่งกับหลงจู๊ "มีเจ้าค่ะคุณหนูน้อย เสื้อผ้ามีหลายแบบเลือกแบบใดดีเจ้าคะ" หลงจู๊เอ่ยถามและแนะนำสินค้าให้กับเด็กน้อย "อันนี้แบบหยาบตัวละ 20 อีแปะ แบบธรรมดา 40 อีแปะ อย่างดีหน่อยก็ 60 อีแปะเจ้าค่ะ" "เอาแบบธรรมดาเจ้าค่ะ อย่างละ 5 ชุด" ฮุ่ยเหมยเอ่ยสั่งกับหลงจู๊ และเมื่อเห็นคุณหนูสั่งเสื้อผ้าให้ราคาแพงก็รีบห้ามทันที ที่จ่ายเงินให้เจ้าหนี้ก็มากพอแล้ว ทั้งสองมองคุณหนูด้วยน้ำตาคลอเบ้า "คุณหนูข้ารับไม่ไหวเจ้าค่ะ ที่ท่านให้ข้ามันมากเกินไปเจ้าค่ะ ข้าขอผ้าแบบหยาบดีกว่าเจ้าค่ะคุณหนู ถือว่าข้าขอร้อง" เมื่อเด็กน้อยทนเห็นท่าทางน้ำตาจะไหลของทั้งสองคนก็ตกลงและให้ทั้งสองเลือกสีที่ชอบไปได้เลย "งั้นเอาผ้าแบบหยาบแล้วกันเจ้าค่ะ พวกท่านเลือกสีที่ชอบได้เลยนะ" "ขอบคุณเจ้าค่ะ/ขอรับคุณหนู" และทั้งสองคนก็ไปเลือกชุดด้วยสายตาเป็นประกาย ประหนึ่งว่าเป็นผ้าไหมราคาแพงทันที และคิดในใจว่าจะจงรักภักดีต่อครอบครัวนี้ตลอดไปจนจะชีวิตจะหาไม่ "ท่านแม่เลือกสีไหนดีเจ้าคะ" เอ่ยถามความเห็นของท่านแม่ เพราะตัวเองก็เลือกสีไม่ถูก "อืมเอาเป็นสีฟ้าดีไหมลูก" ท่านแม่เอ่ยขึ้นเพราะคิดว่าสีนี้ใส่ได้ทุกเพศทุกวัย "ท่านพ่อและพี่ใหญ่คิดเช่นไรเจ้าคะ" "อืม เรื่องพวกนี้ให้พวกเจ้าเลือกเถอะ พ่อใส่ได้ทุกสี สีชมพูก็สวยดีนะ" ท่านพ่อเอ่ยขึ้นเพราะเรื่องนี้ตนก็ไม่รู้จักเลือกเช่นกัน 'ท่านพ่อชอบสีชมพูรึเนี่ย ฮิฮิฮิ' "พี่ว่าเอาทั้งสองสีไปเลยดีกว่านะ" หนิงหลงเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าพ่อและแม่ต่างก็ชอบทั้งสองสี "งั้นเอาทั้งสองสีเลยเจ้าค่ะ" "อืมตกลงตามนี้ ข้าเอาสีอย่างละ 3 พับ" ท่านแม่สั่งกับท่านหลงจู๊เมื่อทุกคนตกลงสีที่ชอบได้แล้ว ท่านหลงจู๊จึงเดินไปคิดเงินให้อย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นท่านพ่อก็นับเงินจ่ายแก่หลงจู๊ ร้านนี้ถือว่าบริการได้ดียิ่ง ทำให้ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ร้านนี้จะมีลูกค้าเข้ามาในร้านมากมายเยี่ยงนี้ "อยากได้อะไรอีกหรือไม่เหมยเอ๋อร์" ท่านแม่เอ่ยถามลูกสาว และคิดว่ายังขาดเหลืออะไรบ้างนะ "ข้าขอเดินดูไปก่อนนะเจ้าค่ะท่านแม่" "ได้ ๆ เดินเล่นไปก่อนอยากได้อะไรค่อยซื้อแล้วกัน" ท่านพ่อเป็นคนบอกและจูงมือลูกสาวตัวน้อยของเขาเดินตลาดไปเรื่อย ๆ "ท่านพ่อข้าอยากได้กระดาษเจ้าค่ะ" เด็กน้อยเอ่ยความต้องการของตนทันทีที่เห็นร้านขายเครื่องเขียน "อืม งั้นเราเข้าไปดูกันก่อน" ท่านพ่อตอบตกลงและเข้าไปในร้าน ฮุ่ยเหมยจึงบอกท่านพ่อว่าจะนำไปใช้ในการจดรายการอาหาร และวาดรูปอาหารที่มีขายอยู่ในร้านด้วย และท่านพ่อก็ตามใจลูกสาวซื้อแท่นฝนหมึกพู่กันและกระดาษอย่างดีไปด้วยเพื่อใช้ในการวาดรูปอาหาร "ท่านพ่อพอจะรู้จักคนที่วาดรูปสวย ๆ หรือไม่เจ้าคะ" ฮุ่ยเหมยเอ่ยถามท่านพ่อด้วยเพราะตัวเองนั้นไม่มีความสามารถในด้านนี้จริงๆ ถ้ามีคงเป็นอัจฉริยะแห่งยุคแล้ว "ไม่ต้องไปหาไกล ท่านแม่ของเจ้ามีความสามารถวาดให้ได้แน่นอน" ท่านพ่อเอ่ยบอกและหันไปมองท่านแม่ที่เดินมาอยู่ข้าง ๆ "ท่านแม่วาดรูปให้ลูกได้หรือไม่เจ้าคะ" "ได้สิเหมยเอ๋อร์ แม่จะวาดให้สวยๆ เลย" ท่านแม่เอ่ยรับปากกับบุตรสาว เมื่อซื้อเครื่องเขียนกระดาษเสร็จแล้วทั้ง 6 คนก็เดินซื้อของกิน ขนมเต็มไม้เต็มมือของเด็กน้อยไปหมดและแบ่งให้ทั้งสองพี่น้องฝาแฝดกินอีกด้วย และเดินทางกลับบ้านไปเตรียมตัวสำหรับเปิดเหลาอาหาร เมื่อมาถึงบ้านแล้วทุกคนทานข้าวเสร็จแล้วก็ปรึกษาและแบ่งหน้าที่ที่ต้องทำ ท่านพ่อจัดทำเรื่องโต๊ะเก้าอี้ ส่วนแม่รับผิดชอบตัดชุดและวาดรูป พี่หนิงหลงจัดหาวัตถุดิบ ฮุ่ยเหมยเป็นคนออกแบบผ้ากันเปื้อนและผ้าผูกผมให้ท่านแม่ ส่วนสองพี่น้องคนพี่ช่วยท่านพ่อทำโต๊ะเก้าอี้ คนน้องอาสาช่วยพี่หนิงหลง อย่างแรกต้องหาคนงานเด็กน้อยเลยเสนอแบบโต๊ะเก้าอี้ให้ท่านพ่อให้นำไม้ไผ่มาทำ ไม้ไผ่สามารถนำมาทำได้หลายอย่างและหาได้ทั่วไป จึงให้ท่านพ่อนำคนงานไปทำที่โรงเตี๊ยมเลยจะได้ไม่ต้องขนส่งลำบากมันต้องใช้อยู่หลายตัวเลยล่ะ "ท่านพ่อท่านไปหาคนงานมาทำโต๊ะเก้าอี้ที่โรงเตี๊ยมเลยเจ้าค่ะเวลาขนไปจะได้ไม่ลำบาก" "อืมได้เหมยเอ๋อร์ พ่อจะไปหาจ้างคนงานในหมู่บ้านนี่แหละ" "ท่านพ่อใช้ไม้ไผ่มาทำก็ดีนะเจ้าคะ" "ได้ ๆ ไม้ไผ่สามารถหาได้ทั่วไปแถมไม่ต้องซื้ออีก" ท่านพ่อตอบตกลงและไปหาคนงานในหมู่บ้านและตกลงค่าจ้างวันละ 50 อีแปะเท่ากับไปทำงานในตัวเมือง "ใช้เวลานานหรือไม่เจ้าคะ" ฮุ่ยเหมยเอ่ยถามกับท่านพ่อ "ประมาณ 3 - 4 วันไม่เกินนี้ก็น่าจะเสร็จแล้วนะ" ท่านพ่อตอบลูกสาวตัวน้อย "งั้นพ่อไปก่อนนะ" "เจ้าค่ะท่านพ่อ" เมื่อท่านพ่อจากไปฮุ่ยเหมยก็ออกแบบผ้ากันเปื้อนและผ้าโพกผมให้ท่านแม่ดูว่าทำแบบใด "ท่านแม่ปักชื่อร้านอาหารไว้ที่ผ้ากันเปื้อนด้วยนะเจ้าคะ" "ได้ลูกแม่ แล้วคิดชื่อร้านว่าอะไรดีล่ะ" ท่านแม่เอ่ยขึ้นพร้อมกับคิดชื่อร้านในใจ และก็คิดออกว่าชื่อนี้ดีที่สุดคือ "ฮว๋าหง แปลว่า สว่างไสวรุ่งโรจน์ ยิ่งใหญ่โอ่อ่า ดีหรือไม่เหมยเอ๋อร์" ท่านแม่บอกชื่อกับลูกสาวและถามความเห็นว่าชื่อนี้ดีหรือไม่ด้วยสายตาคาดหวัง เมื่อเห็นสายตาคาดหวังของท่านแม่แล้วก็ตอบตกลง ความหมายก็ดีไม่น้อย "เอาชื่อนี้แหละท่านแม่" เมื่อทั้งสองคนตกลงกันได้แล้วก็ลงมือทำผ้ากันเปื้อนกับผ้าโพกผมทันที ฮุ่ยเหมยก็นั่งคิดนอนคิดอะไรเรื่อยเปื่อย และก็นอนหลับไปในที่สุด ยามเซิน (15.00-16.00 น.) ฮุ่ยเหมยก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาช้าๆ และลุกขึ้นบิดขี้เกียจ เห็นท่านแม่ยังทำผ้ากันเปื้อนได้หลายชิ้นแล้ว ฝีมือท่านแม่ปักผ้าคือฝีมือดีมากเลย ไม่ได้อวยท่านแม่เลยจริง ๆ นะ "เหมยเอ๋อร์ ตื่นแล้วหรือลูก" "เจ้าค่ะท่านแม่ ทำได้หลายชิ้นแล้วหรือเจ้าคะ " "ใช่ แม่ทำได้ 15 ผืนแล้วล่ะ" นางเอ่ยบอกกับลูกสาวตัวน้อยและนั่งปักผ้าต่อ "ท่านแม่ ท่านพ่อกับพี่ใหญ่ไปไหนรึเจ้าคะ" เด็กน้อยถามขึ้นเมื่อตื่นมาไม่พบทั้งสอง "อ๋อ ไปตักน้ำที่ลำธารน่ะ" "และพี่ชายพี่สาวฝาแฝดก็ไปด้วยหรือเจ้าคะ" "ใช่แล้วเหมยเอ๋อร์ ทุกคนไปช่วยกันตักน้ำจนใกล้จะเสร็จแล้วล่ะ ว่าจะตกปลามาทำมื้อเย็นด้วย" "ท่านแม่ข้าไปหาท่านพ่อที่ลำธารนะเจ้าคะ" "ได้สิ เดินระวัง ๆ ด้วยนะเหมยเอ๋อร์" นางเอ่ยอนุญาตให้ลูกสาวไปได้ด้วยเพราะไม่ไกลจากที่บ้านนักพร้อมกับกำชับลูกสาวไปด้วยให้ระวังตัว "เจ้าค่ะ" เมื่อท่านแม่อนุญาตจึงรีบเดินออกไปยังลำธาร เมื่อมาถึงก็เห็นชาวบ้านมาตักน้ำ ซักผ้า อาบน้ำบ้าง ตกปลาบ้าง เพราะเริ่มจากที่ครอบครัวของฮุ่ยเหมยนำไปรับประทาน ก็มีชาวบ้านมาตกอยู่ตลอดและรู้วิธีทำปลาให้ไม่คาวอีกแล้ว จึงเป็นที่นิยมนำมารับประทานมากขึ้น ทำให้ท่านพ่อบางวันก็ตกปลาได้น้อยลง 'บางทีข้าอาจจะเสนอให้ท่านพ่อทำบ่อเลี้ยงปลาเลี้ยงกุ้งดีนะ' ฮุ่ยเหมยคิดในใจและคิดว่าจะทำน้ำปลากับปลาร้าไปด้วย เพื่อความนัวใช่เลย ๆ "ท่านพ่อ ทำอะไรกันอยู่เจ้าคะ" "อ้าว เหมยเอ๋อร์/เหมยเอ๋อร์" ท่านพ่อและพี่ชายหันมาเรียกเด็กน้อย " คุณหนู /คุณหนู" ทุกคนหยุดกันแข่งตกปลาและหันมามองฮุ่ยเหมย ที่กำลังเดินมาหา "พ่อกำลังแข่งกันตกปลาอยู่น่ะสิ" "ดูสิพ่อตกได้เยอะกว่าทุกคนเลย ฮ่า ฮ่า ฮ่า" "คนชนะได้อะไรหรือเจ้าคะ" "คนแพ้ก็ต้องยกปลาทั้งหมดกลับบ้านนะสิ" ท่านพ่อเป็นคนบอกและไปตกปลาต่อด้วยความมุ่งมั่น เมื่อทุกคนตกปลาไปได้สักพักก็รู้ผลท่านพ่อเป็นคนชนะได้ปลาจำนวน 20 ตัว หนิงหลง 8 ตัวและเย่วเทียนได้ 11 ตัว สรุปคนที่แพ้คือหนิงหลงนั่นเอง ฮุ่ยเหมยก็นั่งดูทุกคนตกปลาที่สนุกสนานกันมาก ใช้ชีวิตในยุคนี้ที่ไม่มีเทคโนโลยีก็ดีอีกแบบ และมีธรรมชาติที่สวยงามแสนบริสุทธิ์เช่นนี้ก็ดีไม่น้อยเลยทีเดียวทุกคนต่างช่วยกันขนกล้วยกลับเหลาอาหารจนเต็มสองมือ เมื่อมาถึงที่ร้านก็ยามซื่อ (คือ 09.00 - 10.59 น.) กำหนดเวลาเริ่มทำงานของพนักงานในร้านต่างเริ่มปัดกวาดเช็ดถูพื้น โต๊ะ เก้าอี้ และแม่ครัวก็รีบทำตามออร์เดอร์ที่ได้รับมาจากยอดสั่งจองเมื่อวานนี้ ฟางหรงเมื่อเห็นเด็ก ๆ มากันแล้วและยังถือกล้วยมาอีก"ได้กล้วยมาเยอะแยะพวกเจ้าจะเอาไปทำอะไรกัน?""ท่านพ่อ เหมยเอ๋อร์บอกว่าจะทำอาหารแบบใหม่ให้กินขอรับ""ใช่เจ้าค่ะ ข้าจะดูว่าฮุ่ยเหมยจะเอากล้วยดิบมาทำอะไร"ลี่จูกล่าวกับฟางหรง ทำให้ทุกคนในร้านก็อยากรู้เหมือนกัน"งั้นพวกเรามาช่วยกันทำกันเถอะเจ้าค่ะ"ฮุ่ยเหมยเอ่ยบอกกับทุกคนและบอกให้ทุกคนปอกเปลือกกล้วยทั้งดิบและสุกไว้ใส่จาน จากนั้นทุกคนก็เริ่มช่วยกันทำจนปอกเปลือกเสร็จแล้ว ฮุ่ยเหมยจึงบอกขั้นตอนต่อไปทันที"จากนั้นผ่าครึ่งกล้วยดิบและนำไปปิ้งจนสุกได้ที่ก็กินได้แล้วเจ้าค่ะ""อืม เดี๋ยวพี่จะไปปิ้งให้""คุณชายเดี๋ยวข้าช่วยท่านปิ้งเองขอรับ"เย่วเทียนที่ทำความสะอาดร้านเสร็จก็อาสาช่วยอีกแรง"รายการต่อไปคือแกงกล้วยดิบใส่เนื้อเจ้าค่ะ"เมื่อเด็กน้อยเอ่ยขึ้นทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า'หืม มันนำไปแกงได้ด้วยหรือเนี่ย'
ยามเซิน (15.00-16.59 น.) ในตอนนี้ในร้านยังคงมีลูกค้าที่นั่งทานอยู่เต็มร้าน แต่เนื่องจากตอนนี้วัตถุดิบในการทำอาหารหมดแล้ว มีมะละกอ หอยเชอร์รี่และกุ้งฝอย ที่เริ่มหมดและให้พี่เย่วเทียนไปเก็บจากในป่าท้ายตลาดที่ชาวบ้านสามารถเก็บของมาขายได้และนำมากินได้ดังนั้นจึงต้องให้ลูกค้ารอหรือบางคนก็เลือกทานเมนูอื่นแทน ท่านพ่อที่ช่วยกันรับออร์เดอร์กับลุงหานเมื่อเห็นว่าใกล้ยามโหย่ว (17.00-18.59 น.) ที่กำหนดเป็นเวลาปิดร้านจึงตกลงกับลุงหานว่าจะหยุดรับออร์เดอร์สำหรับวันนี้"ข้าคิดว่าจะหยุดรับรายการอาหารวันนี้ไว้ก่อน นี่ใกล้ยามโหย่วแล้ว""อืมได้ ข้าจะแจ้งให้ลูกค้าทราบ"ลุงหานเอ่ยตอบตกลงจึงให้ลูกค้าที่มาสั่งอาหารทีหลังสั่งจองไว้กินวันพรุ่งนี้ ลูกค้าก็เข้าใจจึงตกลงสั่งจองไว้พรุ่งนี้ เมื่อมีคนรู้ว่าสามารถสั่งจองได้จึงรีบต่อแถวสั่งจองอาหารไว้แต่ทั้งสองคนไม่คาดคิดว่ายอดสั่งจองจะมากถึง 45 คิวและแต่ละคนสั่งกัน 8-9 อย่าง ท่านพ่อจึงคิดว่าวัตถุดิบที่นำมาขายในวันพรุ่งนี้ต้องหาให้ได้มากที่สุด"พี่หานข้าวานท่านไปรับซื้อ ปลา หอย ปู กุ้ง จากชาวบ้านในหมู่บ้านให้ด้วยนะ""ได้สิ""ขอบคุณท่านมาก นี่เงิน 500 อีแปะข้าให้ไว้เผ
เมื่อเปิดร้านเสร็จทุกคนก็เริ่มไปประจำที่ ที่ได้รับมอบหมาย นอกจากท่านนายอำเภอแล้วก็มีลูกค้าเพียง 2-3 โต๊ะเท่านั้นตอนนี้ทุกคนล้วนว่างงานโดยเฉพาะไม่ใช่พนักงานที่บริการห้องพิเศษฮุ่ยเหมยอยู่กับท่านแม่ที่โต๊ะรับออร์เดอร์ชั้นสองที่บริการลูกค้าห้องพิเศษ ที่ตอนนี้มีเพียงหนึ่งห้อง เมื่อเสิร์ฟอาหารเสร็จก็เหมือนจะไม่มีงานทำ"ท่านแม่ข้าขอไปข้างล่างนะเจ้าค่ะ" เด็กน้อยนั่งเล่นกับท่านแม่ก็รู้สึกเบื่อ ๆ จึงคิดว่าจะไปเรียกลูกค้าให้ท่านแม่เยอะ ๆ ดีกว่า"ได้ ไปเล่นกับพี่ชายเจ้ากับลี่จูอย่าซนกันนักละ""เจ้าค่ะ"ตึก ตึก ตึก เสียงฝีเท้าของเด็กน้อยเดินลงมาข้างล่างมันเงียบมากจนได้ยินเสียง ถึงแม้ว่าก่อนหน้านั้นที่ได้ขายไป 7 วันจะขายดีมากแต่เหมือนว่าจะบอกลูกค้าว่ามาขายที่นี่แต่บางทีผู้คนอาจจะไม่รู้จักมากนัก ดังนั้นจึงคิดว่าต้องทำอะไรสักอย่างไม่งั้นไม่มีเงินจ่ายค่าแรง ค่าเช่าโรงเตี๊ยมแน่ ๆ“อ้าว เหมยเอ๋อร์ เจ้าไม่อยู่กับท่านแม่หรือไง?” เสียงหนิงหลงเอ่ยขึ้นถามขณะที่กำลังนั่งหยิบหอยเชอร์รี่เสียบไม้“ข้าจะมาเรียกลูกค้าเข้าร้านนะสิ”ฮุ่ยเหมยเอ่ยตอบและเห็นว่าพี่ชายกับลี่จูช่วยกันเสียบหอยกันอยู่ จึงคิดว่าพวกเขาจะทำปิ
เมื่อฟางหรงแนะนำอาหารและพูดคุยกับท่านลุงนายอำเภอและท่านหลงจู๊ได้สักพักก็ขอตัวออกมาทานข้าวกับครอบครัวอีกห้องหนึ่ง และแนะนำน้ำอ้อยกับชามะนาวให้กับทั้งสามท่านก่อนมารับอาหารเที่ยงกับครอบครัว"อ้อ ข้าขอแนะนำน้ำอ้อยกับชามะนาวให้แก่ท่านทั้งสามด้วยนะขอรับ""อืม อันนี้รสชาติหวานมาก นี่มีรสเปรี้ยวหวาน อืมชุ่มคอแปลกใหม่น้ำทั้งสองอย่างนี้ อร่อยรสชาติดีทีเดียว" เสียงท่านลุงอู๋เจ๋อเอ่ยขึ้นเมื่อลองชิมครั้งแรก"อืม โอ้ ข้าไม่เคยกินน้ำอะไรอร่อยเช่นนี้มาก่อน"ท่านหลงจู๊เอยชิมครั้งแรกและอุทานขึ้นมาด้วยสายตาเป็นประกายและเอ่ยถามขึ้นว่า"น้ำชามะนาวกับน้ำอ้อยนี่ท่านนำมาขายด้วยหรือไม่""ข้านำมาให้ลูกค้าดื่มเฉพาะในร้านเท่านั้นขอรับ""อ้อ ดี ๆ ข้าจะมาซื้ออาหารทุกวันเลย""ขอบพระคุณทุกท่านมากขอรับ งั้นข้าขอตัวก่อนเชิญทุกท่านกินให้เต็มที่ขอรับ""ได้ ๆ เชิญ ๆ"ฟางหรงก็เดินมารับประทานอาหารกับครอบครัว ฮุ่ยเหมยจึงรีบแนะนำ ส้มตำปูปลาร้า ที่ยังไม่เคยใส่ปูดองให้ท่านพ่อชิม"ท่านพ่อลองทานส้มตำปูปลาร้าดูเจ้าค่ะ""รสชาติอร่อยมากเหมยเอ๋อร์"แล้วทุกคนก็เริ่มทานอาหารกัน ทุกคนที่ได้ชิมล้วนชื่นชอบส้มตำปูปลาร้ากันมาก พนักงานที่จ้
ฮุ่ยเหมยนั่งเล่นอยู่ดี ๆ รู้สึกว่าเหมือนมีอะไรมาไต่ที่ขาของตน พอมองไปก็พบว่าเป็นปูนา 'เฮ้ยยุคนี้มีปูนาด้วย' เมื่อพบเข้ากับปูนาหลายตัวก็คิดเมนูอาหารที่จะกินเย็นนี้ ปูนาสามารถนำมาดองใส่ส้มตำได้และใส่ยำมะม่วงได้ ใช่เลยนี้มันของอร่อยเลยล่ะ "ท่านพ่อเจ้าคะ ข้ามีของอร่อยมานำเสนอเจ้าค่ะ" เมื่อท่านพ่อรู้ว่ามีของอร่อยมาให้กินก็รีบเดินมาหาลูกสาวอย่างรวดเร็ว "อะไรหรือเหมยเอ๋อร์?" ท่านพ่อเอ่ยขึ้นด้วยตาเป็นประกายที่ตนจะได้กินของอร่อย และเด็กน้อยก็หยิบปูให้พ่อของตนดู "นี่เจ้าค่ะ ปูนา" "นี่ นี่ นี่!!! ตัวประหลาดเช่นนี้มันกินได้รึ" เมื่อท่านพ่อได้เห็นก็ถึงกับผงะไปเลยทีเดียว เมื่อตั้งสติได้ท่านพ่อก็เอ่ยถามลูกสาวใหม่เพื่อความแน่ใจ "เจ้าแน่ใจอย่างนั้นหรือ เหมยเอ๋อร์!!!" "มันกินได้และนำไปใส่ส้มตำอร่อยมากเจ้าค่ะ" เมื่อได้ยินว่านำไปใส่ส้มตำได้ท่านพ่อก็ยอมตกลงที่จะจับมาให้ลูกสาว เมื่อได้ยินเสียงท่านพ่อร้องตกใจทุกคนจึงเดินมารวมตัวกันที่นี่ "มีอะไรกันท่านพ่อ" หนิงหลงเป็นคนเอ่ยถามขึ้น "เหมยเอ๋อร์นะสิ บอกว่าเจ้านี่มันกินได้" "จริงหรือเหมยเอ๋อร์" "ใช่เจ้าค่ะ มันนำไปทำอาหารได้ ใส่ส้มตำอร่อยมากด้วยนะ
เมื่อตกลงว่าจะเช่าที่ข้างโรงหมอแล้ว และเขียนสัญญากันเรียบร้อย ทุกคนจึงเดินตลาดหาซื้อของเข้าร้าน ฮุ่ยเหมยกำลังคิดว่าจะซื้ออะไรดี มีข้าวเหนียว เสื้อผ้าใหม่ตัดให้พนักงาน มีผ้ากันเปื้อน ผ้าโพกผม และกระดาษสำหรับจดรายการอาหาร และต้องจ้างคนอีกหลายคน"ท่านพ่อท่านแม่ซื้อของไปเก็บไว้ที่โรงเตี๊ยมก่อนไหมเจ้าคะ จะได้ไม่ต้องขนมาจากบ้านอีกทีเจ้าค่ะ""อืมเป็นความคิดที่ดี เหมยเอ๋อร์ลูกพ่อ ช่างคิดรอบคอบจริง ๆ"ท่านพ่อมองลูกสาวตัวน้อยของตนที่มีความคิดที่โตกว่าอายุมาก และลูบหัวลูกสาวด้วยความเอ็นดูและทั้ง 6 คนก็เดินหาซื้อของที่จำเป็นต้องใช้ ท่านพ่อเป็นคนจูงลูกสาว ท่านแม่จูงพี่ชายเพราะคนค่อนข้างเยอะ กลัวลูกน้อยของตนจะพลัดหลงกัน ท่านพ่อคิดว่าอย่างแรกที่จำเป็นคือข้าวเหนียว ที่ทุกคนเริ่มชื่นชอบที่จะกินข้าวเหนียว จึงเดินไปยังร้านขายข้าวสารทันที"สวัสดีนายท่านต้องการซื้อข้าวสารแบบใดเชิญแจ้งมาเลยขอรับ" พนักงานในร้านเข้ามาต้อนรับลูกค้าอย่างกระตือรือร้นและแนะนำข้าวสารให้แก่ลูกค้าด้วยเสียงเจื้อยแจ้ว"เอาข้าวเหนียว 20 ชั่ง ข้าวสารธรรมดา 20 ชั่ง"ท่านพ่อเอ่ยสั่งข้าวสารกับพนักงานและนับเงินจ่ายให้กับหลงจู๊ และบอกว่าให