เมื่อตกลงว่าจะเช่าที่ข้างโรงหมอแล้ว และเขียนสัญญากันเรียบร้อย ทุกคนจึงเดินตลาดหาซื้อของเข้าร้าน ฮุ่ยเหมยกำลังคิดว่าจะซื้ออะไรดี มีข้าวเหนียว เสื้อผ้าใหม่ตัดให้พนักงาน มีผ้ากันเปื้อน ผ้าโพกผม และกระดาษสำหรับจดรายการอาหาร และต้องจ้างคนอีกหลายคน
"ท่านพ่อท่านแม่ซื้อของไปเก็บไว้ที่โรงเตี๊ยมก่อนไหมเจ้าคะ จะได้ไม่ต้องขนมาจากบ้านอีกทีเจ้าค่ะ" "อืมเป็นความคิดที่ดี เหมยเอ๋อร์ลูกพ่อ ช่างคิดรอบคอบจริง ๆ" ท่านพ่อมองลูกสาวตัวน้อยของตนที่มีความคิดที่โตกว่าอายุมาก และลูบหัวลูกสาวด้วยความเอ็นดู และทั้ง 6 คนก็เดินหาซื้อของที่จำเป็นต้องใช้ ท่านพ่อเป็นคนจูงลูกสาว ท่านแม่จูงพี่ชายเพราะคนค่อนข้างเยอะ กลัวลูกน้อยของตนจะพลัดหลงกัน ท่านพ่อคิดว่าอย่างแรกที่จำเป็นคือข้าวเหนียว ที่ทุกคนเริ่มชื่นชอบที่จะกินข้าวเหนียว จึงเดินไปยังร้านขายข้าวสารทันที "สวัสดีนายท่านต้องการซื้อข้าวสารแบบใดเชิญแจ้งมาเลยขอรับ" พนักงานในร้านเข้ามาต้อนรับลูกค้าอย่างกระตือรือร้นและแนะนำข้าวสารให้แก่ลูกค้าด้วยเสียงเจื้อยแจ้ว "เอาข้าวเหนียว 20 ชั่ง ข้าวสารธรรมดา 20 ชั่ง" ท่านพ่อเอ่ยสั่งข้าวสารกับพนักงานและนับเงินจ่ายให้กับหลงจู๊ และบอกว่าให้นำไปส่งที่โรงเตี๊ยมข้างโรงหมอ "นำไปส่งที่โรงเตี๊ยมข้าง ๆ โรงหมอได้หรือไม่" "ได้ขอรับ" หลงจู๊ตอบตกลง และทุกคนก็เดินออกจากร้าน และฮุ่ยเหมยก็เอ่ยสิ่งที่ตัวเองต้องการทันทีคือซื้อเสื้อผ้าใหม่ "ท่านพ่อข้าอยากได้ผ้าไปตัดทำชุดพนักงานของร้านเจ้าค่ะ" "แบบใดรึเหมยเอ๋อร์" ท่านแม่เอ่ยขึ้นด้วยความสงสัยว่าลูกสาวของตนจะทำอันใด "ชุดพนักงานในร้านเจ้าค่ะ ทุกคนในร้านจะใส่ชุดเป็นแบบเดียวกัน มีผ้ากันเปื้อน และผ้าโพกผมไม่ให้ผมหล่นใส่อาหาร และทำให้ร้านเรามีเอกลักษณ์ด้วยเจ้าค่ะ" เด็กน้อยเอ่ยอธิบายกับทุกคน เมื่อทุกคนได้ฟังความคิดที่แปลกใหม่นี้แล้วก็เกิดความคิดว่า ช่างเป็นความคิดที่ดีอะไรเช่นนี้ "ได้ ๆ ลูกแม่เข้าไปเลือกได้เลย แม่จะเป็นคนตัดชุดให้เจ้าเอง" ท่านแม่เอ่ยขึ้นตั้งใจจะตัดชุดให้ลูกสาว "สวัสดีเจ้าค่ะ นายท่านทุกท่านเชิญเข้ามาเลือกดูเสื้อผ้าได้เลยเจ้าค่ะ" เสียงหลงจู๊สาววัยกลางคนออกมาต้อนรับลูกค้าด้วยหน้าตายิ้มแย้ม แม้ว่าทั้ง 6 คนที่มาด้วยกันจะดูเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาและสองคนพี่น้องนั้นจะใส่เสื้อผ้าสีจางและมีรอยปะชุนอยู่หลายแห่งก็ตาม "อยากได้แบบใดเชิญบอกข้ามาได้เลยเจ้าค่ะ" "ข้าขอเลือกดูก่อนแล้วกัน" เสียงท่านแม่เอ่ยขึ้นและจูงลูกสาวเข้าไปเลือก "ฮูหยินพวกข้าขอรอที่ด้านนอกนะเจ้าคะ" เสียงของเย่วฉีเอ่ยขึ้นที่ได้เห็นสายตาลูกค้าที่อยู่ในร้านมองด้วยสายตารังเกียจจึงขอรอที่ด้านนอก "ไม่ต้องหรอกข้าว่าจะซื้อเสื้อผ้าให้พวกเจ้าใหม่ด้วย" เสียงท่านแม่เอ่ยขึ้นบอกแก่ทั้งสองเพราะสงสารที่ใส่เสื้อผ้าเก่าแทบจะขาดอยู่แล้ว "ใช่เจ้าค่ะ ท่านหลงจู๊มีเสื้อผ้าสำเร็จรูปให้แก่ท่านพี่ทั้งสองหรือไม่เจ้าคะ" เสียงเด็กน้อยเอ่ยขึ้นสั่งกับหลงจู๊ "มีเจ้าค่ะคุณหนูน้อย เสื้อผ้ามีหลายแบบเลือกแบบใดดีเจ้าคะ" หลงจู๊เอ่ยถามและแนะนำสินค้าให้กับเด็กน้อย "อันนี้แบบหยาบตัวละ 20 อีแปะ แบบธรรมดา 40 อีแปะ อย่างดีหน่อยก็ 60 อีแปะเจ้าค่ะ" "เอาแบบธรรมดาเจ้าค่ะ อย่างละ 5 ชุด" ฮุ่ยเหมยเอ่ยสั่งกับหลงจู๊ และเมื่อเห็นคุณหนูสั่งเสื้อผ้าให้ราคาแพงก็รีบห้ามทันที ที่จ่ายเงินให้เจ้าหนี้ก็มากพอแล้ว ทั้งสองมองคุณหนูด้วยน้ำตาคลอเบ้า "คุณหนูข้ารับไม่ไหวเจ้าค่ะ ที่ท่านให้ข้ามันมากเกินไปเจ้าค่ะ ข้าขอผ้าแบบหยาบดีกว่าเจ้าค่ะคุณหนู ถือว่าข้าขอร้อง" เมื่อเด็กน้อยทนเห็นท่าทางน้ำตาจะไหลของทั้งสองคนก็ตกลงและให้ทั้งสองเลือกสีที่ชอบไปได้เลย "งั้นเอาผ้าแบบหยาบแล้วกันเจ้าค่ะ พวกท่านเลือกสีที่ชอบได้เลยนะ" "ขอบคุณเจ้าค่ะ/ขอรับคุณหนู" และทั้งสองคนก็ไปเลือกชุดด้วยสายตาเป็นประกาย ประหนึ่งว่าเป็นผ้าไหมราคาแพงทันที และคิดในใจว่าจะจงรักภักดีต่อครอบครัวนี้ตลอดไปจนจะชีวิตจะหาไม่ "ท่านแม่เลือกสีไหนดีเจ้าคะ" เอ่ยถามความเห็นของท่านแม่ เพราะตัวเองก็เลือกสีไม่ถูก "อืมเอาเป็นสีฟ้าดีไหมลูก" ท่านแม่เอ่ยขึ้นเพราะคิดว่าสีนี้ใส่ได้ทุกเพศทุกวัย "ท่านพ่อและพี่ใหญ่คิดเช่นไรเจ้าคะ" "อืม เรื่องพวกนี้ให้พวกเจ้าเลือกเถอะ พ่อใส่ได้ทุกสี สีชมพูก็สวยดีนะ" ท่านพ่อเอ่ยขึ้นเพราะเรื่องนี้ตนก็ไม่รู้จักเลือกเช่นกัน 'ท่านพ่อชอบสีชมพูรึเนี่ย ฮิฮิฮิ' "พี่ว่าเอาทั้งสองสีไปเลยดีกว่านะ" หนิงหลงเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าพ่อและแม่ต่างก็ชอบทั้งสองสี "งั้นเอาทั้งสองสีเลยเจ้าค่ะ" "อืมตกลงตามนี้ ข้าเอาสีอย่างละ 3 พับ" ท่านแม่สั่งกับท่านหลงจู๊เมื่อทุกคนตกลงสีที่ชอบได้แล้ว ท่านหลงจู๊จึงเดินไปคิดเงินให้อย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นท่านพ่อก็นับเงินจ่ายแก่หลงจู๊ ร้านนี้ถือว่าบริการได้ดียิ่ง ทำให้ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ร้านนี้จะมีลูกค้าเข้ามาในร้านมากมายเยี่ยงนี้ "อยากได้อะไรอีกหรือไม่เหมยเอ๋อร์" ท่านแม่เอ่ยถามลูกสาว และคิดว่ายังขาดเหลืออะไรบ้างนะ "ข้าขอเดินดูไปก่อนนะเจ้าค่ะท่านแม่" "ได้ ๆ เดินเล่นไปก่อนอยากได้อะไรค่อยซื้อแล้วกัน" ท่านพ่อเป็นคนบอกและจูงมือลูกสาวตัวน้อยของเขาเดินตลาดไปเรื่อย ๆ "ท่านพ่อข้าอยากได้กระดาษเจ้าค่ะ" เด็กน้อยเอ่ยความต้องการของตนทันทีที่เห็นร้านขายเครื่องเขียน "อืม งั้นเราเข้าไปดูกันก่อน" ท่านพ่อตอบตกลงและเข้าไปในร้าน ฮุ่ยเหมยจึงบอกท่านพ่อว่าจะนำไปใช้ในการจดรายการอาหาร และวาดรูปอาหารที่มีขายอยู่ในร้านด้วย และท่านพ่อก็ตามใจลูกสาวซื้อแท่นฝนหมึกพู่กันและกระดาษอย่างดีไปด้วยเพื่อใช้ในการวาดรูปอาหาร "ท่านพ่อพอจะรู้จักคนที่วาดรูปสวย ๆ หรือไม่เจ้าคะ" ฮุ่ยเหมยเอ่ยถามท่านพ่อด้วยเพราะตัวเองนั้นไม่มีความสามารถในด้านนี้จริงๆ ถ้ามีคงเป็นอัจฉริยะแห่งยุคแล้ว "ไม่ต้องไปหาไกล ท่านแม่ของเจ้ามีความสามารถวาดให้ได้แน่นอน" ท่านพ่อเอ่ยบอกและหันไปมองท่านแม่ที่เดินมาอยู่ข้าง ๆ "ท่านแม่วาดรูปให้ลูกได้หรือไม่เจ้าคะ" "ได้สิเหมยเอ๋อร์ แม่จะวาดให้สวยๆ เลย" ท่านแม่เอ่ยรับปากกับบุตรสาว เมื่อซื้อเครื่องเขียนกระดาษเสร็จแล้วทั้ง 6 คนก็เดินซื้อของกิน ขนมเต็มไม้เต็มมือของเด็กน้อยไปหมดและแบ่งให้ทั้งสองพี่น้องฝาแฝดกินอีกด้วย และเดินทางกลับบ้านไปเตรียมตัวสำหรับเปิดเหลาอาหาร เมื่อมาถึงบ้านแล้วทุกคนทานข้าวเสร็จแล้วก็ปรึกษาและแบ่งหน้าที่ที่ต้องทำ ท่านพ่อจัดทำเรื่องโต๊ะเก้าอี้ ส่วนแม่รับผิดชอบตัดชุดและวาดรูป พี่หนิงหลงจัดหาวัตถุดิบ ฮุ่ยเหมยเป็นคนออกแบบผ้ากันเปื้อนและผ้าผูกผมให้ท่านแม่ ส่วนสองพี่น้องคนพี่ช่วยท่านพ่อทำโต๊ะเก้าอี้ คนน้องอาสาช่วยพี่หนิงหลง อย่างแรกต้องหาคนงานเด็กน้อยเลยเสนอแบบโต๊ะเก้าอี้ให้ท่านพ่อให้นำไม้ไผ่มาทำ ไม้ไผ่สามารถนำมาทำได้หลายอย่างและหาได้ทั่วไป จึงให้ท่านพ่อนำคนงานไปทำที่โรงเตี๊ยมเลยจะได้ไม่ต้องขนส่งลำบากมันต้องใช้อยู่หลายตัวเลยล่ะ "ท่านพ่อท่านไปหาคนงานมาทำโต๊ะเก้าอี้ที่โรงเตี๊ยมเลยเจ้าค่ะเวลาขนไปจะได้ไม่ลำบาก" "อืมได้เหมยเอ๋อร์ พ่อจะไปหาจ้างคนงานในหมู่บ้านนี่แหละ" "ท่านพ่อใช้ไม้ไผ่มาทำก็ดีนะเจ้าคะ" "ได้ ๆ ไม้ไผ่สามารถหาได้ทั่วไปแถมไม่ต้องซื้ออีก" ท่านพ่อตอบตกลงและไปหาคนงานในหมู่บ้านและตกลงค่าจ้างวันละ 50 อีแปะเท่ากับไปทำงานในตัวเมือง "ใช้เวลานานหรือไม่เจ้าคะ" ฮุ่ยเหมยเอ่ยถามกับท่านพ่อ "ประมาณ 3 - 4 วันไม่เกินนี้ก็น่าจะเสร็จแล้วนะ" ท่านพ่อตอบลูกสาวตัวน้อย "งั้นพ่อไปก่อนนะ" "เจ้าค่ะท่านพ่อ" เมื่อท่านพ่อจากไปฮุ่ยเหมยก็ออกแบบผ้ากันเปื้อนและผ้าโพกผมให้ท่านแม่ดูว่าทำแบบใด "ท่านแม่ปักชื่อร้านอาหารไว้ที่ผ้ากันเปื้อนด้วยนะเจ้าคะ" "ได้ลูกแม่ แล้วคิดชื่อร้านว่าอะไรดีล่ะ" ท่านแม่เอ่ยขึ้นพร้อมกับคิดชื่อร้านในใจ และก็คิดออกว่าชื่อนี้ดีที่สุดคือ "ฮว๋าหง แปลว่า สว่างไสวรุ่งโรจน์ ยิ่งใหญ่โอ่อ่า ดีหรือไม่เหมยเอ๋อร์" ท่านแม่บอกชื่อกับลูกสาวและถามความเห็นว่าชื่อนี้ดีหรือไม่ด้วยสายตาคาดหวัง เมื่อเห็นสายตาคาดหวังของท่านแม่แล้วก็ตอบตกลง ความหมายก็ดีไม่น้อย "เอาชื่อนี้แหละท่านแม่" เมื่อทั้งสองคนตกลงกันได้แล้วก็ลงมือทำผ้ากันเปื้อนกับผ้าโพกผมทันที ฮุ่ยเหมยก็นั่งคิดนอนคิดอะไรเรื่อยเปื่อย และก็นอนหลับไปในที่สุด ยามเซิน (15.00-16.00 น.) ฮุ่ยเหมยก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาช้าๆ และลุกขึ้นบิดขี้เกียจ เห็นท่านแม่ยังทำผ้ากันเปื้อนได้หลายชิ้นแล้ว ฝีมือท่านแม่ปักผ้าคือฝีมือดีมากเลย ไม่ได้อวยท่านแม่เลยจริง ๆ นะ "เหมยเอ๋อร์ ตื่นแล้วหรือลูก" "เจ้าค่ะท่านแม่ ทำได้หลายชิ้นแล้วหรือเจ้าคะ " "ใช่ แม่ทำได้ 15 ผืนแล้วล่ะ" นางเอ่ยบอกกับลูกสาวตัวน้อยและนั่งปักผ้าต่อ "ท่านแม่ ท่านพ่อกับพี่ใหญ่ไปไหนรึเจ้าคะ" เด็กน้อยถามขึ้นเมื่อตื่นมาไม่พบทั้งสอง "อ๋อ ไปตักน้ำที่ลำธารน่ะ" "และพี่ชายพี่สาวฝาแฝดก็ไปด้วยหรือเจ้าคะ" "ใช่แล้วเหมยเอ๋อร์ ทุกคนไปช่วยกันตักน้ำจนใกล้จะเสร็จแล้วล่ะ ว่าจะตกปลามาทำมื้อเย็นด้วย" "ท่านแม่ข้าไปหาท่านพ่อที่ลำธารนะเจ้าคะ" "ได้สิ เดินระวัง ๆ ด้วยนะเหมยเอ๋อร์" นางเอ่ยอนุญาตให้ลูกสาวไปได้ด้วยเพราะไม่ไกลจากที่บ้านนักพร้อมกับกำชับลูกสาวไปด้วยให้ระวังตัว "เจ้าค่ะ" เมื่อท่านแม่อนุญาตจึงรีบเดินออกไปยังลำธาร เมื่อมาถึงก็เห็นชาวบ้านมาตักน้ำ ซักผ้า อาบน้ำบ้าง ตกปลาบ้าง เพราะเริ่มจากที่ครอบครัวของฮุ่ยเหมยนำไปรับประทาน ก็มีชาวบ้านมาตกอยู่ตลอดและรู้วิธีทำปลาให้ไม่คาวอีกแล้ว จึงเป็นที่นิยมนำมารับประทานมากขึ้น ทำให้ท่านพ่อบางวันก็ตกปลาได้น้อยลง 'บางทีข้าอาจจะเสนอให้ท่านพ่อทำบ่อเลี้ยงปลาเลี้ยงกุ้งดีนะ' ฮุ่ยเหมยคิดในใจและคิดว่าจะทำน้ำปลากับปลาร้าไปด้วย เพื่อความนัวใช่เลย ๆ "ท่านพ่อ ทำอะไรกันอยู่เจ้าคะ" "อ้าว เหมยเอ๋อร์/เหมยเอ๋อร์" ท่านพ่อและพี่ชายหันมาเรียกเด็กน้อย " คุณหนู /คุณหนู" ทุกคนหยุดกันแข่งตกปลาและหันมามองฮุ่ยเหมย ที่กำลังเดินมาหา "พ่อกำลังแข่งกันตกปลาอยู่น่ะสิ" "ดูสิพ่อตกได้เยอะกว่าทุกคนเลย ฮ่า ฮ่า ฮ่า" "คนชนะได้อะไรหรือเจ้าคะ" "คนแพ้ก็ต้องยกปลาทั้งหมดกลับบ้านนะสิ" ท่านพ่อเป็นคนบอกและไปตกปลาต่อด้วยความมุ่งมั่น เมื่อทุกคนตกปลาไปได้สักพักก็รู้ผลท่านพ่อเป็นคนชนะได้ปลาจำนวน 20 ตัว หนิงหลง 8 ตัวและเย่วเทียนได้ 11 ตัว สรุปคนที่แพ้คือหนิงหลงนั่นเอง ฮุ่ยเหมยก็นั่งดูทุกคนตกปลาที่สนุกสนานกันมาก ใช้ชีวิตในยุคนี้ที่ไม่มีเทคโนโลยีก็ดีอีกแบบ และมีธรรมชาติที่สวยงามแสนบริสุทธิ์เช่นนี้ก็ดีไม่น้อยเลยทีเดียวเมื่อตกลงว่าจะเช่าที่ข้างโรงหมอแล้ว และเขียนสัญญากันเรียบร้อย ทุกคนจึงเดินตลาดหาซื้อของเข้าร้าน ฮุ่ยเหมยกำลังคิดว่าจะซื้ออะไรดี มีข้าวเหนียว เสื้อผ้าใหม่ตัดให้พนักงาน มีผ้ากันเปื้อน ผ้าโพกผม และกระดาษสำหรับจดรายการอาหาร และต้องจ้างคนอีกหลายคน"ท่านพ่อท่านแม่ซื้อของไปเก็บไว้ที่โรงเตี๊ยมก่อนไหมเจ้าคะ จะได้ไม่ต้องขนมาจากบ้านอีกทีเจ้าค่ะ""อืมเป็นความคิดที่ดี เหมยเอ๋อร์ลูกพ่อ ช่างคิดรอบคอบจริง ๆ"ท่านพ่อมองลูกสาวตัวน้อยของตนที่มีความคิดที่โตกว่าอายุมาก และลูบหัวลูกสาวด้วยความเอ็นดูและทั้ง 6 คนก็เดินหาซื้อของที่จำเป็นต้องใช้ ท่านพ่อเป็นคนจูงลูกสาว ท่านแม่จูงพี่ชายเพราะคนค่อนข้างเยอะ กลัวลูกน้อยของตนจะพลัดหลงกัน ท่านพ่อคิดว่าอย่างแรกที่จำเป็นคือข้าวเหนียว ที่ทุกคนเริ่มชื่นชอบที่จะกินข้าวเหนียว จึงเดินไปยังร้านขายข้าวสารทันที"สวัสดีนายท่านต้องการซื้อข้าวสารแบบใดเชิญแจ้งมาเลยขอรับ" พนักงานในร้านเข้ามาต้อนรับลูกค้าอย่างกระตือรือร้นและแนะนำข้าวสารให้แก่ลูกค้าด้วยเสียงเจื้อยแจ้ว"เอาข้าวเหนียว 20 ชั่ง ข้าวสารธรรมดา 20 ชั่ง"ท่านพ่อเอ่ยสั่งข้าวสารกับพนักงานและนับเงินจ่ายให้กับหลงจู๊ และบอกว่าให
หลังจากครอบครัวหลินทำการค้าขายไปแล้ว 7 วัน วันนี้ครอบครัวขอปิดร้าน 2 วัน พบปัญหาว่าจำนวนลูกค้ามากขึ้นทุกวันจึงตัดสินใจไปหาโรงเตี๊ยมที่เปิดให้เช่า ความจริงซื้อเป็นของตัวเองจะดีกว่า เนื่องจากตอนนี้เงินที่หามายังไม่เพียงพอที่จะซื้อโรงเตี๊ยมได้ยามเฉิน (07.00 – 08.59 น.) ฮุ่ยเหมยและครอบครัวเข้าเมืองไปหาเช่าโรงเตี๊ยม โดยนั่งเกวียนลุงหานเข้าเมืองเช่นเดิม เมื่อมาถึงตลาดในเมืองผู้คนต่างก็พากันมาจับจ่ายซื้อสินค้ากันเนืองแน่นเช่นเคย"ท่านแม่ข้าหิวแล้วเจ้าค่ะ ข้าอยากกินบะหมี่ร้านนั้นเจ้าค่ะ"เสียงฮุ่ยเหมยเอ่ยขึ้นและชี้ไปที่ร้านของบะหมี่ที่อยู่ข้างทาง คนในร้านแน่นมาก น่าจะอร่อยเพราะคนเข้าร้านเยอะ เมื่อได้ยินเสียงเด็กน้อยเอ่ยขึ้นจึงตัดสินใจเดินตรงไปร้านบะหมี่ทันที"เถ้าแก่ข้าเอาบะหมี่ 4 ชามขอรับ" ท่านพ่อเอ่ยสั่งกับเถ้าแก่ร้านขายบะหมี่"เชิญนั่ง ๆ รอสักครู่นะขอรับ"เสียงเด็กชายวัย 8 หนาวเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นลูกค้าทั้งสี่เดินเข้าร้านของตน น่าจะเป็นลูกชายของเถ้าแก่เจ้าของร้านเพราะหน้าตาที่ละม้ายคล้ายกันเป็นอย่างมาก ซึ่งเขากำลังนำบะหมี่ในร้านเสิร์ฟลูกค้าที่แน่นจนเต็มร้านอยู่ในขณะนี้อย่างขยันขันแข็งครอบคร
3 วันผ่านไป กับการเตรียมพร้อมขายของครั้งแรกของครอบครัวหลิน ทุกคนต่างตื่นเต้นกันอย่างมาก ท่านพ่อได้เข้าเมืองติดต่อเช่าร้านค้าเล็ก ๆ ราคา 10 อีแปะต่อวัน ตกลงขาย ยามอู๋ถึงยามโหย่ว (12.00-17.00 น.) การเตรียมตัวมีอะไรบ้าง คือมะละกอดิบ 3 ตะกร้าใหญ่ และเครื่องปรุงรส อาทิเช่น พริก กระเทียม มะนาว เกลือ น้ำตาล กุ้งแห้ง หอยเชอรี่ ผักบุ้งป่าไว้กินกับส้มตำ และข้าวคั่ว ครอบครัวหลินหุงข้าวเหนียวให้ลูกค้าทดลองชิมกับส้มตำไปด้วยขายราคา 5 อีแปะ กุ้งฝอยสด ๆ ไปด้วย 3 ตะกร้าใหญ่ ปลา 50 ตัวนำไปทดลองขายก่อน ถ้าขายดีวันหน้าก็จะไปจับมาเพิ่ม แบ่งหน้าในการทำแต่ละอย่างมีดังนี้ ท่านแม่ตำส้มตำ ท่านพ่อย่างปลาเผา และพี่ชายทำยำกุ้งเต้น ส่วนเธอเป็นหน่วยสนับสนุน นั่นคือเรียกลูกค้าและเก็บเงินนั่นเอง ครอบครัวหลินไปติดต่อขอให้ ท่านลุงหานไปส่งในตัวเมืองโดยเฉพาะ คิดราคาแค่ 5 อีแปะ ใกล้ถึงยามซื่อ (09.00-10.00 น.) ก็ออกเดินทาง ไปถึงก็ยามอู๋พอดี ยามซื่อ ลุงหานขับรถวัวเทียมเกวียนมารับที่บ้านครอบครัวหลิน ทุกคนช่วยกันยกของขึ้นเกวียน เมื่อขนจนหมดแล้วก็ออกเดินทางได้ เสียง กุบกับ กุบกับ ของรถวัวเทียมเกวียนตลอดระยะเวลา 1 ชั่วยา
เสียงไก่ขันเซ็งแซ่ บ่งบอกว่าเป็นเวลาของห้วงวันใหม่ ฮุ่ยเหมยค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาช้า ๆ พร้อมยกแขนทั้งสองบิดขี้เกียจแล้วค่อย ๆ เดินไปล้างหน้าล้างตา และหยิบชุดในราวมาใส่ วันนี้เด็กน้อยเลือกใส่ชุดสีชมพู และเดินออกไปให้ท่านแม่ทำผมให้เช่นทุกวัน "ข้ามาแล้วเจ้าค่ะ" เสียงเรียกจากเด็กน้อย ทำให้ทั้งสามคนหันมามอง และยิ้มกว้างให้กับความน่ารัก ยามเหม่า (คือ 05.00 – 06.59 น.) เป็นเวลาที่ท่านพ่อเตรียมตัวขึ้นวัวเทียมเกวียนเข้าเมืองไปขายของป่า โดยสารรถของบ้านลี่จูที่ออกเดินทาง เมื่อเห็นท่านพ่อจะไปเด็กน้อยรีบวิ่งไปออดอ้อน ขอเข้าเมืองไปด้วย ท่านพ่อตอบตกลงและให้ท่านแม่อยู่ที่บ้านคนเดียว "เหมยเอ๋อร์ ต้องอยู่ใกล้ ๆ พ่อตลอดนะลูก" "เจ้าค่ะ ท่านพ่อ" ''ข้าจะดูแลน้องเองขอรับ" และทั้งสามคนก็ออกเดินทางไปขึ้นเกวียน คนแน่นเต็มคันรถ และลี่จูก็โบกมือให้เมื่อพบว่าเด็กน้อยทั้งสองคนจะไปด้วย และคิดว่าตนเองจะมีเพื่อนเที่ยวเล่นแล้ว "อ้าววันนี้ เหมยเอ๋อร์ไปด้วยรึ" ท่านลุงหานเอ่ยทัก พ่อของลี่จูนั่นเอง "คารวะท่านลุงหาน เจ้าค่ะ/ขอรับ" หนิงหลงและฮุ่ยเหมยเอ่ยพร้อมกัน "มา ๆ ขึ้นรถ ข้างในคนเต็มแล้วนั่งข้างหน้ากับลี่จูก็ได้"
หลังจากทานอาหารเที่ยงเสร็จแล้ว ด้วยความสงสัยเด็กน้อยเลยถามแม่ขึ้นในทันที "ท่านแม่เจ้าคะ หอยนั่นมันกินได้นะเจ้าคะ" เธอชี้นิ้วป้อม ๆ ไปที่คนกำลังทิ้งหอยเชอร์รี่อยู่ป่าข้างบ้าน "นั่นมันหอยพิษลูก มันกัดข้าวชาวบ้าน" ลี่หลินเอ่ยบอกกับลูกสาว เมื่อเห็นว่าหอยพวกนั้นเป็นศัตรูตัวฉกาจที่ทำร้ายนาข้าวเสียหายอย่างมาก ที่ตอนนี้แม้แต่ทางการก็ยังหาทางแก้ปัญหาไม่ได้ "ท่านแม่ไม่เชื่อลูกหรือเจ้าคะ" ฮุ่ยเหมยกะพริบตาปริบๆ ที่มีน้ำตาคลอมองท่านแม่ เมื่อมองไปที่ดวงตากลมโตของเด็กน้อยแล้วก็อดใจอ่อนไม่ได้ "มันกินได้จริงหรือ?" เสียงท่านพ่อเอ่ยถามด้วยความสงสัย และทำสีหน้าหวาดกลัว เจ้าหอยพวกนี้ไม่นิยมนำมารับประทาน ไม่มีใครนำมากินเลยต่างหาก กลัวว่ามันจะกัดกินร่างกายของคนเราเหมือนต้นข้าว!! "จริงเจ้าค่ะ ข้าจะทำให้กิน" ฮุ่ยเหมยบอกด้วยความแน่วแน่ ท่าทางเอาจริงเอาจัง และยืนขึ้นกำหมัดน้อย ๆ "ข้าจะช่วยน้องทำเองขอรับ" หนิงหลงคิดในใจเชื่อว่า ‘น้องสาวต้องมีอาหารอร่อยๆ ให้ตนกินอีกแน่ ฮิ ฮิ ฮิ’ "ท่านแม่เชื่อลูกเถอะนะเจ้าคะ" เธอเขย่าแขนท่านแม่อย่างอ้อนวอน "นะนะๆ ท่านแม่" ลี่หลินทนลูกอ้อนของลูกสาวไม่ไ
"แอ้ แอ้ แอ้" เมื่อเธอลืมตาขึ้นมาก็พบกับแสงสว่างและผนังผุพังมีรูรั่วอยู่ และคนที่แต่งตัวจีนโบราณเต็มไปหมด และพอมองไปที่แขนของเธอทำไมเล็กอย่างนี้อย่าบอกนะว่าส่งเธอมาเกิดใหม่จริง ๆ "ลูก ลูก แม่" เสียงผู้หญิงอายุประมาณ 20 หนาวหน้าตาซีดเซียว เสียงแหบแห้งเพราะว่าเสียแรงในการคลอดลูก "ได้ลูกสาวจ้ะ ลี่หลิน" หมอตำแยเอ่ยบอกพร้อมกับอุ้มเด็กทารกให้กับนาง พอลี่หลินได้เห็นหน้าลูกสักพักก็สลบไปเพราะความอ่อนเพลีย ตึก ตึก ตึก เสียงฝีเท้าของผู้มาใหม่ เป็นผู้ชายอายุประมาณ 25 หนาว หน้าตาดี สีผิวเข้ม ดูบึกบึนเนื่องจากทำงานหนัก เดินเข้ามาอุ้มเด็กหญิง "โอ๋ เอ๋ ๆ ลูกพ่อน่ารักมากเลย ไม่ร้องไห้เลย" หลินฟางหรงอุ้มเด็กหญิงขึ้นมามองหน้าตา กลมโตที่ใสซื่อบริสุทธิ์หน้าตาน่ารัก จริง ๆ ลูกสาวของเขา "ใช่ ขอรับท่านพ่อ น้องดูเป็นเด็กรู้เรื่องตั้งแต่เกิดเลยขอรับ" เสียงเจี๊ยวจ๊าวของเด็กชายอายุ 4 หนาวนามว่า หลินหนิงหลง หลังจากเดินตามหลังท่านพ่อมาเมื่อรู้ว่าคลอดน้องสาวของตนแล้ว "ท่านพ่อจะตั้งชื่อน้องสาวว่าอะไรดีขอรับ" "อืม งั้นชื่อว่า ฮุ่ยเหมยละกันนะลูกพ่อ" หรือที่แปลว่าความเมตตาที่งดงาม เหมาะกับหน้าตาน่าร