LOGINเสียงไก่ขันเซ็งแซ่ บ่งบอกว่าเป็นเวลาของห้วงวันใหม่ ฮุ่ยเหมยค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาช้า ๆ พร้อมยกแขนทั้งสองบิดขี้เกียจแล้วค่อย ๆ เดินไปล้างหน้าล้างตา
และหยิบชุดในราวมาใส่ วันนี้เด็กน้อยเลือกใส่ชุดสีชมพู และเดินออกไปให้ท่านแม่ทำผมให้เช่นทุกวัน "ข้ามาแล้วเจ้าค่ะ" เสียงเรียกจากเด็กน้อย ทำให้ทั้งสามคนหันมามอง และยิ้มกว้างให้กับความน่ารัก ยามเหม่า (คือ 05.00 – 06.59 น.) เป็นเวลาที่ท่านพ่อเตรียมตัวขึ้นวัวเทียมเกวียนเข้าเมืองไปขายของป่า โดยสารรถของบ้านลี่จูที่ออกเดินทาง เมื่อเห็นท่านพ่อจะไปเด็กน้อยรีบวิ่งไปออดอ้อน ขอเข้าเมืองไปด้วย ท่านพ่อตอบตกลงและให้ท่านแม่อยู่ที่บ้านคนเดียว "เหมยเอ๋อร์ ต้องอยู่ใกล้ ๆ พ่อตลอดนะลูก" "เจ้าค่ะ ท่านพ่อ" ''ข้าจะดูแลน้องเองขอรับ" และทั้งสามคนก็ออกเดินทางไปขึ้นเกวียน คนแน่นเต็มคันรถ และลี่จูก็โบกมือให้เมื่อพบว่าเด็กน้อยทั้งสองคนจะไปด้วย และคิดว่าตนเองจะมีเพื่อนเที่ยวเล่นแล้ว "อ้าววันนี้ เหมยเอ๋อร์ไปด้วยรึ" ท่านลุงหานเอ่ยทัก พ่อของลี่จูนั่นเอง "คารวะท่านลุงหาน เจ้าค่ะ/ขอรับ" หนิงหลงและฮุ่ยเหมยเอ่ยพร้อมกัน "มา ๆ ขึ้นรถ ข้างในคนเต็มแล้วนั่งข้างหน้ากับลี่จูก็ได้" ตกลงให้ฮุ่ยเหมยนั่งข้างหน้ากับลี่จู และท่านพ่อกับพี่ชายนั่งข้างหลัง ตลอดทางทั้งสองสาวนั่งคุยกัน เสียงเจื้อยแจ้วตลอดทาง และชี้นั่น ชี้นี่กันใหญ่ ฮุ่ยเหมยสอบถามลี่จูว่าอีกนานแค่ไหนจะถึงตัวเมือง ได้คำตอบมาว่า ประมาณ 1 ชั่วยาม ก็ถึงแล้ว (1 ชั่วยามเท่ากับ 2 ชั่วโมง) บรรยากาศในการเข้าเมือง เดินลัดเลาะตามทางภูเขา พอพ้นออกจากหมู่บ้านก็เจอกับแม่น้ำสายหลักที่ชาวบ้านใช้ดื่มกิน ทำการเพาะปลูกและขนส่งสินค้า แม่น้ำกว้างขวางมาก อีกฝั่งเป็นภูเขาสูงทอดยาวไปตามริมแม่น้ำ มีเรือข้ามฟากเล็ก ๆ ธรรมชาติอากาศบริสุทธิ์ ต้นไม้ใบหญ้าเต็มไปหมด "นั่นไงเหมยเอ๋อร์ ใกล้ถึงแล้ว" เสียงลี่จูเอ่ยขึ้นบอกแก่ฮุ่ยเหมยและชี้นิ้วน้อย ๆ ไปที่กำแพงเมือง เมื่อเริ่มมองเห็นกำแพงเมืองบ้างแล้ว ฮุ่ยเหมยมองตามเสียงลี่จู เห็นกำแพงเมืองสูงใหญ่อยู่ด้านหน้า มีทหารเฝ้าประตูร่างสูงใหญ่ หน้าตาขึงขัง น่ากลัวยืนอยู่หน้าประตูเมือง ตรวจคนเข้าเมืองอยู่ "คนเยอะมากเลยเจ้าค่ะ" เมื่อใกล้จะถึงตัวเมืองก็จะเริ่มมองเห็นกำแพงเมือง ที่นั่นด้วยสายตาของเด็กน้อยทำให้พอมองเห็นคนยืนต่อแถวเข้าเมืองมากมาย และรอเข้าแถวอย่างเป็นระเบียบ ด้วยเมืองนี้ปกครองด้วยคุณธรรมจึงไม่คิดค่าเข้าเมืองกับชาวบ้าน เมื่อรถวัวเทียมเกวียนมาถึงเมืองผิงเหยา ทุกคนก็เดินลงจากรถและนัดเจอกันที่ทางออก อีกหนึ่งชั่วยามค่อยมาเจอกัน ขณะที่เดินไปเข้าแถวลี่จูขอท่านพ่อไปเดินตลาดกับครอบครัวฮุ่ยเหมย "ท่านพ่อข้าขอไปกับฮุ่ยเหมยนะเจ้าคะ" ลี่จูกะพริบตาใสแป๋วมองท่านลุงหาน ปริบๆ ท่านลุงหานตกลงและคิดว่า ลูกสาวคงจะอยากเดินเล่นกับเพื่อนวัยเดียวกัน ปกติเข้ามาในเมืองมักจะไม่ค่อยมีเพื่อน เดินเล่นเท่าใดนัก พอสบโอกาสจึงเอ่ยปากขออนุญาตทันที "งั้นฝากลูกข้าด้วยนะ ฟางหลง" ท่านลุงหานเอ่ยบอกกับพ่อฮุ่ยเหมย สายตามองตามลูกสาวด้วยความเป็นห่วง "อืม เจ้าไปเถอะ อย่าได้กังวล ข้าจะดูแลลูกเจ้าให้เอง" ท่านพ่อพยักหน้าตอบ มองไปที่ลี่จู เขาเห็นลี่จูมาตั้งแต่เด็ก มองลี่จูเหมือนเป็นลูกของตัวเอง โครกคราก ~ เสียงท้องร้องของฮุ่ยเหมย เรียกเสียงหัวเราะให้กับทั้งสามคน และหยิบหมั่นโถว 2 ลูก ที่พกมาจากบ้านให้แก่เด็กน้อยกินรองท้อง เนื่องจากท่านพ่อนั่งอยู่คนละที่ในเกวียนจึงไม่ได้นำมาให้ลูกสาวกินระหว่างทาง ส่วนตนและลูกชายกินมาจากบนเกวียนแล้ว และฮุ่ยเหมยก็หยิบอีก 1 ลูกแบ่งให้กลับลี่จู เพราะคิดว่าคงจะหิวเหมือนตนแน่ ตอนนั่งเกวียนมาด้วยกันยังไม่เห็นลี่จูกินอะไรเลย "อะ ข้าให้เจ้า" "ข้ากินมาจากบ้านแล้วเจ้ากินเถอะ" ลี่จูปฏิเสธเนื่องจากตนกินข้าวต้มที่ท่านแม่ทำให้ ก่อนออกจากบ้านมาแล้ว หลังจากนั้นทั้งสี่คน จึงเดินเข้าไปในตลาด ตลาดในวันนี้คึกคักไปด้วยผู้คนที่ต่างหลั่งไหลกันมาจับจ่ายใช้สอยซื้อหาสินค้า กิจการมากมายกำลังวิ่งวุ่นไปกับการให้บริการลูกค้า ผู้คนเดินผ่านไปผ่านมาไม่ขาดสาย ฮุ่ยเหมยสอดสายตาสำรวจ มองด้วยความอยากรู้อยากเห็น ด้วยพึ่งออกมาจากหมู่บ้านครั้งแรก เดินตามท่านพ่อไปที่ร้านขายเนื้อสัตว์ที่รับซื้อประจำ เมื่อเดินเข้ามาเรียบร้อยแล้วท่านพ่อก็พาไปขายไก่ป่าได้เงินมา 350 อีแปะ และเดินออกจากร้านมายังร้านขายข้าวสาร เมื่อเดินเข้ามายังร้านข้าวสารก็มีหลงจู๊มาต้อนรับ "ข้าเอาข้าวสารธรรมดา 5 ชั่ง" เพราะข้าวสารอย่างดี ราคา 2 ตำลึงเงินซึ่งเงินที่มีอยู่ไม่เพียงพอต่อการซื้อ "ได้ ทั้งหมด 200 อีแปะ รอสักครู่" ราคาชั่งละ 40 อีแปะ และระหว่างรอหลงจู๊นำข้าวสารมาให้ ฮุ่ยเหมยก็เดินดูรอบ ๆ ร้าน ก็พบว่าข้าวเหนียวราคาถูกกว่ามาก เลยขอให้ท่านพ่อซื้อว่าเอาไปกินกับส้มตำคงจะอร่อยมาก "ท่านพ่อข้าอยากซื้อข้าวเหนียวไปด้วยเจ้าค่ะ" เด็กน้อยชี้ไปที่ข้าวเหนียวธรรมดา ชั่งละ 10 อีแปะเท่านั้น (1 ชั่ง= 600 กรัม) "ข้าเอาข้าวเหนียวด้วย 5 ชั่ง" "ทั้งหมด 250 อีแปะขอรับ" จากนั้นท่านพ่อก็นับเงินจ่ายแก่หลงจู๊ เมื่อเดินออกมาจากร้านฮุ่ยเหมยก็เดินออกมาด้วยสีหน้าหนักใจ เงินจากการขายของได้มาแค่ซื้อข้าวก็หมดแล้วและตกลงกันว่าจะเดินเล่นสักพัก ค่อยกลับไปที่ทางออก "ท่านพ่อข้าอยากกิน ถังหูลู่เจ้าค่ะ" ฮุ่ยเหมยชี้ไปที่ร้านขายถังหูลู่ เป็นพุทราเคลือบน้ำตาล เคยเห็นในซีรีส์จีน วันนี้ข้าอยากจะลองกินบ้าง "ถังหูลู่ไม้ละ 3 อีแปะ ๆ" เสียงพ่อค้าเรียกลูกค้า "ข้าเอา 3 ไม้เถ้าแก่" "ทั้งหมด 9 อีแปะพ่อหนุ่ม" ท่านพ่อจ่ายเงินให้กับเถ้าแก่ และยื่นถังหูลู่ให้กับเด็กทั้งสาม "ขอบคุณเจ้าค่ะ/ขอรับ" เด็กทั้งสามเอ่ยขอบคุณ และเดินไปรอขึ้นเกวียนที่หน้าทางเข้าเมือง เมื่อถึงเวลาที่นัดหมายทุกคนก็ขึ้นเกวียนกลับหมู่บ้านป่าท้อในทันที เมื่อถึงบ้านก็จ่ายเงินค่ารถให้ลุงหาน ท่านลุงคิดคนละ 1 อีแปะเท่านั้น รวมเป็น 3 อีแปะ "ข้าคิด 3 อีแปะเท่านั้น คนกันเองไม่คิดเยอะ" "ขอบคุณมากขอรับ/เจ้าค่ะ" ท่านพ่อจ่ายเงินเสร็จและกลับบ้าน นำข้าวไปเก็บไว้ในครัว เมื่อท่านแม่เห็น ข้าวเหนียวที่ซื้อมาเยอะเพราะที่บ้านไม่ค่อยได้กินกันจึงถามขึ้น "ท่านพี่ซื้อข้าวเหนียวมาทำไมเยอะแยะ" ท่านพ่ออธิบายว่า "ก็เหมยเอ๋อร์นะสิ ให้ข้าซื้อมา" "ท่านแม่ข้าวเหนียวกินกับส้มตำ อร่อยมากนะเจ้าคะ" "อ๋อ งั้นหรือ เดี๋ยวเย็นนี้แม่หุงให้กิน" "เจ้าค่ะท่านแม่" "แล้วไอ้ก้อนสีน้ำตาลในไหนั่นคืออะไรรึเหมยเอ๋อร์" ท่านแม่ชี้ไปที่ไหที่ใส่น้ำตาลที่เธอและพี่ชายทำเมื่อวาน "ก้อนน้ำตาลเจ้าค่ะ ท่านแม่ลองชิมดู" ฮุ่ยเหมยหยิบก้อนน้ำตาลให้ท่านแม่ชิม "อืม หวาน น้ำตาลจริงหรือเนี่ย" ท่านแม่เบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง และท่านพ่อก็ขอชิมด้วยและพบว่าเป็นน้ำตาลจริง ๆ เพราะน้ำตาลนั้นมีราคาแพง ไม่คิดว่าลูกสาวของตนเองจะมีพรสวรรค์ ทั้งสองได้แต่ขอบคุณสวรรค์ในใจ 'ขอบคุณสวรรค์ๆ' และมองลูกสาวคนเล็กด้วยความภาคภูมิใจ และสอบถามก็พบว่าไอ้ต้นที่เหมือนหญ้านั้นนำมาทำน้ำตาลได้ จึงตกลงว่าทานข้าวเที่ยงเสร็จแล้วจะพากันไปตัดต้นกานเจ้อ (อ้อย) มา เมื่อตัดกานเจ้อเสร็จแล้วหนิงหลงก็ช่วยท่านพ่อทำน้ำตาลและบอกวิธีให้แก่ท่านพ่อ และส่วนฮุ่ยเหมยก็ไปนอนกลางวันกับท่านแม่ ที่นั่งปักถุงหอมอยู่ในห้อง ยามเซิน (คือ 15.00 – 16.59 น.) ฮุ่ยเหมยค่อย ๆ ลืมขึ้นช้า ๆ ไม่พบท่านแม่อยู่ข้างๆ แล้วลุกไปล้างหน้าล้างตา และพบว่าท่านแม่กำลังทำอาหารเย็นอยู่ ท่านพ่อไปตักน้ำที่ลำธาร ห่างจากบ้านไปประมาณ 1 ลี้ (500 เมตร) ฮุ่ยเหมยเลยออกไปหาท่านพ่อที่ลำธาร ลำธารของหมู่บ้านป่าท้อเป็นลำธารเล็ก ๆ ที่ใช้หล่อเลี้ยงคนในหมู่บ้านแห่งนี้ ช่วงเย็นก็จะเห็นชาวบ้านมาตักน้ำไปใช้ในครอบครัว ฮุ่ยเหมยเดินลงไปสำรวจลำธาร ว่ามีอะไรให้กินบ้าง น้ำในลำธารใสสะอาดมาก ปราศจากสารเคมีและมลพิษ "เหมยเอ๋อร์" ท่านพ่อและพี่ชายเรียกเด็กน้อย "ท่านพ่อ พี่ใหญ่" "มาทำอะไรที่นี่?" "ข้าอยากกินปลาเจ้าค่ะ ท่านพ่อ" "มันคาวมากเลยนะ เหมยเอ๋อร์ เจ้าจะกินมันได้ยังไง?" ท่านพ่อถามเพื่อความแน่ใจ ด้วยความที่เคยกินมันมาแล้ว มันคาวมากจนชาวบ้านไม่ค่อยนิยมนำไปทำอาหารเท่าใดนัก "ใช่ ๆ" เสียงหนิงหลงเอ่ยขึ้น "ข้ามีวิธีเจ้าค่ะ" ฮุ่ยเหมยเอ่ยขึ้นด้วยความมั่นใจว่าเย็นนี้จะทำปลาเผาสุดแซ่บกินให้ได้ "งั้นพ่อจะจับมาให้เจ้า" เมื่อมองไปที่แววตามุ่งมั่นของลูกสาวตัวน้อย ก็คิดว่าลูกสาวคงจะมีพรสวรรค์ในการทำอาหารอย่างแน่นอน จึงตัดสินใจจะจับปลามาให้ลูกสาว "เย้ ขอบคุณเจ้าค่ะท่านพ่อ" ท่านพ่อก็ตกลงที่จะจับปลามาให้ จึงไปตัดไม้ไผ่มาจับปลา และฮุ่ยเหมยกับหนิงหลงก็เป็นกำลังใจให้ท่านพ่ออยู่ริมลำธาร และชี้บอกว่าปลาอยู่ทางนั้นทางนี้ท่านพ่อ เมื่อเดินลงน้ำไปก็พบว่ามีกุ้งฝอย ตัวเล็ก ๆ ใสๆ อยู่ในลำธารจึงเรียกพี่ชายช่วยกันจับไปทำอาหารเย็นนี้ด้วย ทีแรกก็สงสัยว่าตัวแบบนี้กินได้หรือ แต่เพราะน้องสาวได้ทำอาหารที่เหลือเชื่อที่กินได้จึงตัดสินใจช่วยกันจับได้มา 1 ชั่ง และพากันกลับบ้าน เมื่อมาถึงบ้านฮุ่ยเหมยก็บอกวิธีการทำปลาเผารสแซ่บให้แก่ท่านแม่ โดยท่านพ่อและพี่ชายเป็นลูกมือ "นำปลามาล้างให้สะอาด เอาไส้ออกให้หมด นำตะไคร้บุบเล็กน้อย ใส่เข้าไปในท้องปลา จากนั้นนำเกลือผสมคนเคล้าให้เข้ากัน นำไปพอกที่ตัวปลา และนำไปย่างจนสุกเจ้าค่ะ" หลังจากนั้นทุกคนก็ช่วยคนละไม้คนละมือ และต่อไปก็ทำน้ำจิ้ม อันนี้หนิงหลงขออาสาทำเอง เขาทำตามน้องสาวบอก โขลกพริกขี้หนู กระเทียม และรากผักชีเข้าด้วยกัน ปรุงรสด้วยน้ำมะนาว เกลือ น้ำตาล และน้ำต้มสุก พร้อมเสิร์ฟจ้า เมื่อทำน้ำจิ้มเสร็จต่อไปก็จัดการกุ้งที่นำมาด้วย คือเมนูยำกุ้งเต้น "ต่อไปคือเมนูกุ้งเจ้าค่ะ คือยำกุ้งเต้น" เมื่อทุกคนเผาปลาเสร็จแล้ว ฮุ่ยเหมยจึงเสนอเมนูต่อไปทันที ท่านแม่เป็นคนทำและเด็กน้อยก็เป็นคนบอกวิธีทำสุดแซ่บเช่นเคย “นำกุ้งฝอยเป็นๆ ล้างให้สะอาด ใส่กระชอนสะเด็ดน้ำไว้ จากนั้นเทใส่ชามหรือหม้อสำหรับคลุก ใส่น้ำมะนาว ข้าวคั่ว พริกป่น น้ำปลา ผักชีฝรั่ง ต้นหอม หอมแดงและตะไคร้ซอย เคล้าให้เข้ากัน ตักใส่จานโรยหน้าด้วยใบสะระแหน่ เป็นอันเสร็จเรียบร้อยเจ้าค่ะ" เมื่ออาหารทั้งสองอย่างเสร็จแล้วก็นำมารับประทานมื้อเย็นกับข้าวเหนียวที่ท่านแม่บอกว่าจะหุงไว้ให้ อาหารเย็นวันนี้มีส้มตำที่ท่านแม่ได้ทำไว้ก่อนหน้านี้แล้ว เป็นอาหารที่ชื่นชอบของครอบครัวมากและ ปลาเผา ยำกุ้งเต้น เมื่อลองทานกับข้าวเหนียวแล้วปรากฏว่าเข้ากันได้ดียิ่งนัก เมื่อฮุ่ยเหมยคิดถึงของป่าที่ท่านพ่อไปหามานั้นเงินที่ได้มันช่างน้อยนิดยิ่งนักจึงคิดว่า จะทำร้านส้มตำไปขาย จึงปรึกษาทุกคน "ท่านแม่ข้าอยากเปิดร้านขายส้มตำเจ้าค่ะ และขายปลาเผา ยำกุ้งเต้นไปด้วย" เมื่อได้เดินสำรวจตลาดแล้วพบว่าไม่มีคนนำอาหารพวกนี้ไปขายเลย คิดว่าความแปลกใหม่คงจะทำเงินได้ไม่น้อย เมื่อได้กินอาหารที่ฮุ่ยเหมยทำแล้วพบว่าอร่อย ทุกคนเลยตัดสินใจว่าอีกสามวันจึง ค่อยเตรียมของไปขายและฝึกฝีมือในการทำอาหารและแบ่งหน้าที่ในการทำไปด้วย ฮุ่ยเหมยได้แต่หวังว่าอาหารที่แปลกใหม่พวกนี้จะนำไปขายได้ และหวังว่าครอบครัวของตนจะมีคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีกว่านี้ และอีกไม่นานก็จะพบว่านอกจากจะขายดีแล้วยังจะเป็นอาหารที่ขึ้นชื่อของเมืองผิงเหยาเลยทีเดียว....หลังจากรักษาอาการของเยว่เทียนเสร็จแล้ว ฟางหรงก็ทำแผลที่โดนทำร้ายจากการต่อสู้ซึ่งมีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อพบว่าเยว่เทียนปลอดภัย จึงออกมาจัดการกับโจรที่ปล้นร้านวันนี้เยว่ฉีอยู่ดูแลพี่ชายที่โรงหมอ เมื่อเดินออกมาจากโรงหมอก็พบกับท่านมือปราบล้มลงนอนอยู่ที่พื้นอาการบาดเจ็บสาหัสและตัวหัวหน้าโจรก็หายไปแล้ว ฟางหรงจึงเข้าไปสอบถามท่านมือปราบว่า“นี่ท่านมือปราบไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นหรือขอรับ”“มีคนมาช่วยมันหนีไปแล้ว แค่ก ๆ”ท่านมือปราบกระอักเลือดออกมาคำโต ที่ตอนนี้ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลเหวะหวะจากการต่อสู้ เมื่อฟางหรงพบว่าบาดเจ็บสาหัสจึงเอ่ยขึ้น“งั้นข้าจะพาท่านไปรักษาก่อนนะขอรับ”ฟางหรงก็ช่วยพยุงท่านมือปราบไปที่โรงหมอที่กลับมาอีกครั้ง เมื่อมาถึงโรงหมอฟางหรงก็พยุงท่านมือปราบนั่งลงที่เตียง และท่านหมอก็มาทำแผลให้ จากนั้นก็สอบถามได้ความว่ามีคนหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นพวกโจรทมิฬ มาช่วยมันหนีไปวรยุทธ์ล้ำเลิศยิ่งนักตอนนี้คนของทางการเข้ามาเก็บกวาดศพและมาสอบปากคำครอบครัวหลิน ท่านพ่อจึงเป็นคนไปให้ปากคำที่ศาลกับเจ้าหน้าที่ เมื่อเห็นว่าลูก ๆ และภรรยายังขวัญเสียอยู่ลี่หลินจึงพาลูก ๆ ไปนอนเมื่อเห็นว่าทุกอย่างเ
เมื่อรับประทานอาหารเย็นเสร็จแล้วทุกคนจึงแยกย้ายกันอาบน้ำเข้านอน ฮุ่ยเหมยกับครอบครัวนอนห้องทำงาน ที่เป็นห้องเก็บบัญชีซื้อขายและเก็บเงินที่ขายได้ไว้ในลิ้นชัก สองพี่น้องฝาแฝดนอนห้องอาหารกลางดึกที่เงียบสงัดก็มีเสียงเปิดหน้าต่างและเสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามาประมาณ 10 คนแอ๊ด~ตึก ตึก ตึก"พวกเจ้าไปค้นที่โต๊ะนั่นดูสิ""ขอรับ"เมื่อหัวหน้าสั่งเสร็จแล้วพวกโจรก็รีบไปรื้อค้นที่โต๊ะรับออเดอร์ อีกกลุ่มก็เดินขึ้นไปชั้นสอง"หัวหน้าไม่เจออะไรเลยขอรับ"สมุนโจรเมื่อค้นหาภายในเหลาอาหารแห่งนี้แล้วไม่พบสิ่งมีค่าอะไรจึงรีบรายงานกับหัวหน้าของตน"งั้นหรือ แล้วมันจะเก็บไว้ที่ใด""ข้าว่าเราลองค้นห้องทุกห้อง""อืม งั้นพวกเจ้าไปค้นหาทุกห้อง" หัวหน้าโจรสั่งการและคิดว่า 'พวกมันเอาเงินไปไว้ที่ใดกัน' และเดินไปค้นทีละห้องปัง~ เสียงเปิดประตูห้องอาหารพิเศษห้องแล้วห้องเล่าก็ยังไม่พบเจอเพียงห้องที่ว่างเปล่า จนเดินไปสุดทางเดินพบว่ามีสองห้องที่ ล็อกประตูเอาไว้"หัวหน้าสองห้องนี้ล็อกจากข้างในขอรับ""หึ หึ พวกมันไม่กลับบ้านสินะ พวกเจ้าพังประตูเข้าไปเลย"ปังงงง!! แอ๊ดเสียงเปิดประตูอย่างแรงทำให้เยว่ฉีค่อยๆ ลืมตาขึ้น ท่ามกลางคว
ยามเซิน (คือ 15.00 - 16.59 น.) ยามนี้ลูกค้าจะไม่เยอะเหมือนยามอู๋หรือตอนเที่ยงทำให้ฮุ่ยเหมยกับลี่จูมีเวลาพักเหนื่อยและปล่อยให้เป็นหน้าที่พนักงานทำต่อไป"เหนื่อยมากเลยฮุ่ยเหมย""ข้าก็ไม่ต่างกัน"เด็กน้อยทั้งสองต่างเมื่อยล้าโดยเฉพาะที่บ่าและหลังที่ปวด กว่าจะล้างมือให้ยางกล้วยออกก็ต้องใช้เวลาไปมากเลยทีเดียวทั้งสองคนจึงเดินมาที่โต๊ะรับออร์เดอร์ที่ท่านพ่อกับลุงหานยังคงทำงานไม่หยุดพัก แม้ว่าตอนนี้จะเลยยามอู๋แล้วก็ยังคงมีคนมาซื้ออาหารอยู่เรื่อย ๆ โดยเฉพาะกล้วยปิ้งกับกากหมูและปิ้งหอยที่ขายราคาถูก ทำให้มีลูกค้ายืนต่อแถวยาวเหยียด"ท่านพ่อข้ายังไม่เห็นท่านพักกินข้าวเลยเจ้าค่ะ"เสียงฮุ่ยเหมยเอ่ยขึ้นเมื่อยังไม่เห็นท่านพ่อพักทานข้าวเลย"ใช่เจ้าค่ะท่านพ่อ" ลี่จูเอ่ยขึ้นบอกท่านพ่อของตนเช่นกัน"ตอนนี้ยังมีลูกค้าอยู่เลยลูก" ฟางหรงเอ่ยตอบลูกสาว"งั้นให้พวกข้ารับรายการจากลูกค้าเองเจ้าค่ะ" ฮุ่ยเหมยอาสาที่จะทำงานแทนท่านพ่อ"ลูกจะทำได้หรือเหมยเอ๋อร์ ลูกยังเขียนหนังสือไม่ได้เลย""นั่นสิเหมยเอ๋อร์" หนิงหลงเอ่ยขึ้น"งั้นแบ่งกันไปพักทีละคนเถอะเจ้าค่ะ""อืม งั้นเจ้าไปก่อนเถอะฟางหรง ข้าจะอยู่กับเด็ก ๆ เอง"ลุงหาน
ทุกคนต่างช่วยกันขนกล้วยกลับเหลาอาหารจนเต็มสองมือ เมื่อมาถึงที่ร้านก็ยามซื่อ (คือ 09.00 - 10.59 น.) กำหนดเวลาเริ่มทำงานของพนักงานในร้านต่างเริ่มปัดกวาดเช็ดถูพื้น โต๊ะ เก้าอี้ และแม่ครัวก็รีบทำตามออร์เดอร์ที่ได้รับมาจากยอดสั่งจองเมื่อวานนี้ ฟางหรงเมื่อเห็นเด็ก ๆ มากันแล้วและยังถือกล้วยมาอีก"ได้กล้วยมาเยอะแยะพวกเจ้าจะเอาไปทำอะไรกัน?""ท่านพ่อ เหมยเอ๋อร์บอกว่าจะทำอาหารแบบใหม่ให้กินขอรับ""ใช่เจ้าค่ะ ข้าจะดูว่าฮุ่ยเหมยจะเอากล้วยดิบมาทำอะไร"ลี่จูกล่าวกับฟางหรง ทำให้ทุกคนในร้านก็อยากรู้เหมือนกัน"งั้นพวกเรามาช่วยกันทำกันเถอะเจ้าค่ะ"ฮุ่ยเหมยเอ่ยบอกกับทุกคนและบอกให้ทุกคนปอกเปลือกกล้วยทั้งดิบและสุกไว้ใส่จาน จากนั้นทุกคนก็เริ่มช่วยกันทำจนปอกเปลือกเสร็จแล้ว ฮุ่ยเหมยจึงบอกขั้นตอนต่อไปทันที"จากนั้นผ่าครึ่งกล้วยดิบและนำไปปิ้งจนสุกได้ที่ก็กินได้แล้วเจ้าค่ะ""อืม เดี๋ยวพี่จะไปปิ้งให้""คุณชายเดี๋ยวข้าช่วยท่านปิ้งเองขอรับ"เย่วเทียนที่ทำความสะอาดร้านเสร็จก็อาสาช่วยอีกแรง"รายการต่อไปคือแกงกล้วยดิบใส่เนื้อเจ้าค่ะ"เมื่อเด็กน้อยเอ่ยขึ้นทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า'หืม มันนำไปแกงได้ด้วยหรือเนี่ย'
ยามเซิน (15.00-16.59 น.) ในตอนนี้ในร้านยังคงมีลูกค้าที่นั่งทานอยู่เต็มร้าน แต่เนื่องจากตอนนี้วัตถุดิบในการทำอาหารหมดแล้ว มีมะละกอ หอยเชอร์รี่และกุ้งฝอย ที่เริ่มหมดและให้พี่เย่วเทียนไปเก็บจากในป่าท้ายตลาดที่ชาวบ้านสามารถเก็บของมาขายได้และนำมากินได้ดังนั้นจึงต้องให้ลูกค้ารอหรือบางคนก็เลือกทานเมนูอื่นแทน ท่านพ่อที่ช่วยกันรับออร์เดอร์กับลุงหานเมื่อเห็นว่าใกล้ยามโหย่ว (17.00-18.59 น.) ที่กำหนดเป็นเวลาปิดร้านจึงตกลงกับลุงหานว่าจะหยุดรับออร์เดอร์สำหรับวันนี้"ข้าคิดว่าจะหยุดรับรายการอาหารวันนี้ไว้ก่อน นี่ใกล้ยามโหย่วแล้ว""อืมได้ ข้าจะแจ้งให้ลูกค้าทราบ"ลุงหานเอ่ยตอบตกลงจึงให้ลูกค้าที่มาสั่งอาหารทีหลังสั่งจองไว้กินวันพรุ่งนี้ ลูกค้าก็เข้าใจจึงตกลงสั่งจองไว้พรุ่งนี้ เมื่อมีคนรู้ว่าสามารถสั่งจองได้จึงรีบต่อแถวสั่งจองอาหารไว้แต่ทั้งสองคนไม่คาดคิดว่ายอดสั่งจองจะมากถึง 45 คิวและแต่ละคนสั่งกัน 8-9 อย่าง ท่านพ่อจึงคิดว่าวัตถุดิบที่นำมาขายในวันพรุ่งนี้ต้องหาให้ได้มากที่สุด"พี่หานข้าวานท่านไปรับซื้อ ปลา หอย ปู กุ้ง จากชาวบ้านในหมู่บ้านให้ด้วยนะ""ได้สิ""ขอบคุณท่านมาก นี่เงิน 500 อีแปะข้าให้ไว้เผ
เมื่อเปิดร้านเสร็จทุกคนก็เริ่มไปประจำที่ ที่ได้รับมอบหมาย นอกจากท่านนายอำเภอแล้วก็มีลูกค้าเพียง 2-3 โต๊ะเท่านั้นตอนนี้ทุกคนล้วนว่างงานโดยเฉพาะไม่ใช่พนักงานที่บริการห้องพิเศษฮุ่ยเหมยอยู่กับท่านแม่ที่โต๊ะรับออร์เดอร์ชั้นสองที่บริการลูกค้าห้องพิเศษ ที่ตอนนี้มีเพียงหนึ่งห้อง เมื่อเสิร์ฟอาหารเสร็จก็เหมือนจะไม่มีงานทำ"ท่านแม่ข้าขอไปข้างล่างนะเจ้าค่ะ" เด็กน้อยนั่งเล่นกับท่านแม่ก็รู้สึกเบื่อ ๆ จึงคิดว่าจะไปเรียกลูกค้าให้ท่านแม่เยอะ ๆ ดีกว่า"ได้ ไปเล่นกับพี่ชายเจ้ากับลี่จูอย่าซนกันนักละ""เจ้าค่ะ"ตึก ตึก ตึก เสียงฝีเท้าของเด็กน้อยเดินลงมาข้างล่างมันเงียบมากจนได้ยินเสียง ถึงแม้ว่าก่อนหน้านั้นที่ได้ขายไป 7 วันจะขายดีมากแต่เหมือนว่าจะบอกลูกค้าว่ามาขายที่นี่แต่บางทีผู้คนอาจจะไม่รู้จักมากนัก ดังนั้นจึงคิดว่าต้องทำอะไรสักอย่างไม่งั้นไม่มีเงินจ่ายค่าแรง ค่าเช่าโรงเตี๊ยมแน่ ๆ“อ้าว เหมยเอ๋อร์ เจ้าไม่อยู่กับท่านแม่หรือไง?” เสียงหนิงหลงเอ่ยขึ้นถามขณะที่กำลังนั่งหยิบหอยเชอร์รี่เสียบไม้“ข้าจะมาเรียกลูกค้าเข้าร้านนะสิ”ฮุ่ยเหมยเอ่ยตอบและเห็นว่าพี่ชายกับลี่จูช่วยกันเสียบหอยกันอยู่ จึงคิดว่าพวกเขาจะทำปิ







