เสียงไก่ขันเซ็งแซ่ บ่งบอกว่าเป็นเวลาของห้วงวันใหม่ ฮุ่ยเหมยค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาช้า ๆ พร้อมยกแขนทั้งสองบิดขี้เกียจแล้วค่อย ๆ เดินไปล้างหน้าล้างตา
และหยิบชุดในราวมาใส่ วันนี้เด็กน้อยเลือกใส่ชุดสีชมพู และเดินออกไปให้ท่านแม่ทำผมให้เช่นทุกวัน "ข้ามาแล้วเจ้าค่ะ" เสียงเรียกจากเด็กน้อย ทำให้ทั้งสามคนหันมามอง และยิ้มกว้างให้กับความน่ารัก ยามเหม่า (คือ 05.00 – 06.59 น.) เป็นเวลาที่ท่านพ่อเตรียมตัวขึ้นวัวเทียมเกวียนเข้าเมืองไปขายของป่า โดยสารรถของบ้านลี่จูที่ออกเดินทาง เมื่อเห็นท่านพ่อจะไปเด็กน้อยรีบวิ่งไปออดอ้อน ขอเข้าเมืองไปด้วย ท่านพ่อตอบตกลงและให้ท่านแม่อยู่ที่บ้านคนเดียว "เหมยเอ๋อร์ ต้องอยู่ใกล้ ๆ พ่อตลอดนะลูก" "เจ้าค่ะ ท่านพ่อ" ''ข้าจะดูแลน้องเองขอรับ" และทั้งสามคนก็ออกเดินทางไปขึ้นเกวียน คนแน่นเต็มคันรถ และลี่จูก็โบกมือให้เมื่อพบว่าเด็กน้อยทั้งสองคนจะไปด้วย และคิดว่าตนเองจะมีเพื่อนเที่ยวเล่นแล้ว "อ้าววันนี้ เหมยเอ๋อร์ไปด้วยรึ" ท่านลุงหานเอ่ยทัก พ่อของลี่จูนั่นเอง "คารวะท่านลุงหาน เจ้าค่ะ/ขอรับ" หนิงหลงและฮุ่ยเหมยเอ่ยพร้อมกัน "มา ๆ ขึ้นรถ ข้างในคนเต็มแล้วนั่งข้างหน้ากับลี่จูก็ได้" ตกลงให้ฮุ่ยเหมยนั่งข้างหน้ากับลี่จู และท่านพ่อกับพี่ชายนั่งข้างหลัง ตลอดทางทั้งสองสาวนั่งคุยกัน เสียงเจื้อยแจ้วตลอดทาง และชี้นั่น ชี้นี่กันใหญ่ ฮุ่ยเหมยสอบถามลี่จูว่าอีกนานแค่ไหนจะถึงตัวเมือง ได้คำตอบมาว่า ประมาณ 1 ชั่วยาม ก็ถึงแล้ว (1 ชั่วยามเท่ากับ 2 ชั่วโมง) บรรยากาศในการเข้าเมือง เดินลัดเลาะตามทางภูเขา พอพ้นออกจากหมู่บ้านก็เจอกับแม่น้ำสายหลักที่ชาวบ้านใช้ดื่มกิน ทำการเพาะปลูกและขนส่งสินค้า แม่น้ำกว้างขวางมาก อีกฝั่งเป็นภูเขาสูงทอดยาวไปตามริมแม่น้ำ มีเรือข้ามฟากเล็ก ๆ ธรรมชาติอากาศบริสุทธิ์ ต้นไม้ใบหญ้าเต็มไปหมด "นั่นไงเหมยเอ๋อร์ ใกล้ถึงแล้ว" เสียงลี่จูเอ่ยขึ้นบอกแก่ฮุ่ยเหมยและชี้นิ้วน้อย ๆ ไปที่กำแพงเมือง เมื่อเริ่มมองเห็นกำแพงเมืองบ้างแล้ว ฮุ่ยเหมยมองตามเสียงลี่จู เห็นกำแพงเมืองสูงใหญ่อยู่ด้านหน้า มีทหารเฝ้าประตูร่างสูงใหญ่ หน้าตาขึงขัง น่ากลัวยืนอยู่หน้าประตูเมือง ตรวจคนเข้าเมืองอยู่ "คนเยอะมากเลยเจ้าค่ะ" เมื่อใกล้จะถึงตัวเมืองก็จะเริ่มมองเห็นกำแพงเมือง ที่นั่นด้วยสายตาของเด็กน้อยทำให้พอมองเห็นคนยืนต่อแถวเข้าเมืองมากมาย และรอเข้าแถวอย่างเป็นระเบียบ ด้วยเมืองนี้ปกครองด้วยคุณธรรมจึงไม่คิดค่าเข้าเมืองกับชาวบ้าน เมื่อรถวัวเทียมเกวียนมาถึงเมืองผิงเหยา ทุกคนก็เดินลงจากรถและนัดเจอกันที่ทางออก อีกหนึ่งชั่วยามค่อยมาเจอกัน ขณะที่เดินไปเข้าแถวลี่จูขอท่านพ่อไปเดินตลาดกับครอบครัวฮุ่ยเหมย "ท่านพ่อข้าขอไปกับฮุ่ยเหมยนะเจ้าคะ" ลี่จูกะพริบตาใสแป๋วมองท่านลุงหาน ปริบๆ ท่านลุงหานตกลงและคิดว่า ลูกสาวคงจะอยากเดินเล่นกับเพื่อนวัยเดียวกัน ปกติเข้ามาในเมืองมักจะไม่ค่อยมีเพื่อน เดินเล่นเท่าใดนัก พอสบโอกาสจึงเอ่ยปากขออนุญาตทันที "งั้นฝากลูกข้าด้วยนะ ฟางหลง" ท่านลุงหานเอ่ยบอกกับพ่อฮุ่ยเหมย สายตามองตามลูกสาวด้วยความเป็นห่วง "อืม เจ้าไปเถอะ อย่าได้กังวล ข้าจะดูแลลูกเจ้าให้เอง" ท่านพ่อพยักหน้าตอบ มองไปที่ลี่จู เขาเห็นลี่จูมาตั้งแต่เด็ก มองลี่จูเหมือนเป็นลูกของตัวเอง โครกคราก ~ เสียงท้องร้องของฮุ่ยเหมย เรียกเสียงหัวเราะให้กับทั้งสามคน และหยิบหมั่นโถว 2 ลูก ที่พกมาจากบ้านให้แก่เด็กน้อยกินรองท้อง เนื่องจากท่านพ่อนั่งอยู่คนละที่ในเกวียนจึงไม่ได้นำมาให้ลูกสาวกินระหว่างทาง ส่วนตนและลูกชายกินมาจากบนเกวียนแล้ว และฮุ่ยเหมยก็หยิบอีก 1 ลูกแบ่งให้กลับลี่จู เพราะคิดว่าคงจะหิวเหมือนตนแน่ ตอนนั่งเกวียนมาด้วยกันยังไม่เห็นลี่จูกินอะไรเลย "อะ ข้าให้เจ้า" "ข้ากินมาจากบ้านแล้วเจ้ากินเถอะ" ลี่จูปฏิเสธเนื่องจากตนกินข้าวต้มที่ท่านแม่ทำให้ ก่อนออกจากบ้านมาแล้ว หลังจากนั้นทั้งสี่คน จึงเดินเข้าไปในตลาด ตลาดในวันนี้คึกคักไปด้วยผู้คนที่ต่างหลั่งไหลกันมาจับจ่ายใช้สอยซื้อหาสินค้า กิจการมากมายกำลังวิ่งวุ่นไปกับการให้บริการลูกค้า ผู้คนเดินผ่านไปผ่านมาไม่ขาดสาย ฮุ่ยเหมยสอดสายตาสำรวจ มองด้วยความอยากรู้อยากเห็น ด้วยพึ่งออกมาจากหมู่บ้านครั้งแรก เดินตามท่านพ่อไปที่ร้านขายเนื้อสัตว์ที่รับซื้อประจำ เมื่อเดินเข้ามาเรียบร้อยแล้วท่านพ่อก็พาไปขายไก่ป่าได้เงินมา 350 อีแปะ และเดินออกจากร้านมายังร้านขายข้าวสาร เมื่อเดินเข้ามายังร้านข้าวสารก็มีหลงจู๊มาต้อนรับ "ข้าเอาข้าวสารธรรมดา 5 ชั่ง" เพราะข้าวสารอย่างดี ราคา 2 ตำลึงเงินซึ่งเงินที่มีอยู่ไม่เพียงพอต่อการซื้อ "ได้ ทั้งหมด 200 อีแปะ รอสักครู่" ราคาชั่งละ 40 อีแปะ และระหว่างรอหลงจู๊นำข้าวสารมาให้ ฮุ่ยเหมยก็เดินดูรอบ ๆ ร้าน ก็พบว่าข้าวเหนียวราคาถูกกว่ามาก เลยขอให้ท่านพ่อซื้อว่าเอาไปกินกับส้มตำคงจะอร่อยมาก "ท่านพ่อข้าอยากซื้อข้าวเหนียวไปด้วยเจ้าค่ะ" เด็กน้อยชี้ไปที่ข้าวเหนียวธรรมดา ชั่งละ 10 อีแปะเท่านั้น (1 ชั่ง= 600 กรัม) "ข้าเอาข้าวเหนียวด้วย 5 ชั่ง" "ทั้งหมด 250 อีแปะขอรับ" จากนั้นท่านพ่อก็นับเงินจ่ายแก่หลงจู๊ เมื่อเดินออกมาจากร้านฮุ่ยเหมยก็เดินออกมาด้วยสีหน้าหนักใจ เงินจากการขายของได้มาแค่ซื้อข้าวก็หมดแล้วและตกลงกันว่าจะเดินเล่นสักพัก ค่อยกลับไปที่ทางออก "ท่านพ่อข้าอยากกิน ถังหูลู่เจ้าค่ะ" ฮุ่ยเหมยชี้ไปที่ร้านขายถังหูลู่ เป็นพุทราเคลือบน้ำตาล เคยเห็นในซีรีส์จีน วันนี้ข้าอยากจะลองกินบ้าง "ถังหูลู่ไม้ละ 3 อีแปะ ๆ" เสียงพ่อค้าเรียกลูกค้า "ข้าเอา 3 ไม้เถ้าแก่" "ทั้งหมด 9 อีแปะพ่อหนุ่ม" ท่านพ่อจ่ายเงินให้กับเถ้าแก่ และยื่นถังหูลู่ให้กับเด็กทั้งสาม "ขอบคุณเจ้าค่ะ/ขอรับ" เด็กทั้งสามเอ่ยขอบคุณ และเดินไปรอขึ้นเกวียนที่หน้าทางเข้าเมือง เมื่อถึงเวลาที่นัดหมายทุกคนก็ขึ้นเกวียนกลับหมู่บ้านป่าท้อในทันที เมื่อถึงบ้านก็จ่ายเงินค่ารถให้ลุงหาน ท่านลุงคิดคนละ 1 อีแปะเท่านั้น รวมเป็น 3 อีแปะ "ข้าคิด 3 อีแปะเท่านั้น คนกันเองไม่คิดเยอะ" "ขอบคุณมากขอรับ/เจ้าค่ะ" ท่านพ่อจ่ายเงินเสร็จและกลับบ้าน นำข้าวไปเก็บไว้ในครัว เมื่อท่านแม่เห็น ข้าวเหนียวที่ซื้อมาเยอะเพราะที่บ้านไม่ค่อยได้กินกันจึงถามขึ้น "ท่านพี่ซื้อข้าวเหนียวมาทำไมเยอะแยะ" ท่านพ่ออธิบายว่า "ก็เหมยเอ๋อร์นะสิ ให้ข้าซื้อมา" "ท่านแม่ข้าวเหนียวกินกับส้มตำ อร่อยมากนะเจ้าคะ" "อ๋อ งั้นหรือ เดี๋ยวเย็นนี้แม่หุงให้กิน" "เจ้าค่ะท่านแม่" "แล้วไอ้ก้อนสีน้ำตาลในไหนั่นคืออะไรรึเหมยเอ๋อร์" ท่านแม่ชี้ไปที่ไหที่ใส่น้ำตาลที่เธอและพี่ชายทำเมื่อวาน "ก้อนน้ำตาลเจ้าค่ะ ท่านแม่ลองชิมดู" ฮุ่ยเหมยหยิบก้อนน้ำตาลให้ท่านแม่ชิม "อืม หวาน น้ำตาลจริงหรือเนี่ย" ท่านแม่เบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง และท่านพ่อก็ขอชิมด้วยและพบว่าเป็นน้ำตาลจริง ๆ เพราะน้ำตาลนั้นมีราคาแพง ไม่คิดว่าลูกสาวของตนเองจะมีพรสวรรค์ ทั้งสองได้แต่ขอบคุณสวรรค์ในใจ 'ขอบคุณสวรรค์ๆ' และมองลูกสาวคนเล็กด้วยความภาคภูมิใจ และสอบถามก็พบว่าไอ้ต้นที่เหมือนหญ้านั้นนำมาทำน้ำตาลได้ จึงตกลงว่าทานข้าวเที่ยงเสร็จแล้วจะพากันไปตัดต้นกานเจ้อ (อ้อย) มา เมื่อตัดกานเจ้อเสร็จแล้วหนิงหลงก็ช่วยท่านพ่อทำน้ำตาลและบอกวิธีให้แก่ท่านพ่อ และส่วนฮุ่ยเหมยก็ไปนอนกลางวันกับท่านแม่ ที่นั่งปักถุงหอมอยู่ในห้อง ยามเซิน (คือ 15.00 – 16.59 น.) ฮุ่ยเหมยค่อย ๆ ลืมขึ้นช้า ๆ ไม่พบท่านแม่อยู่ข้างๆ แล้วลุกไปล้างหน้าล้างตา และพบว่าท่านแม่กำลังทำอาหารเย็นอยู่ ท่านพ่อไปตักน้ำที่ลำธาร ห่างจากบ้านไปประมาณ 1 ลี้ (500 เมตร) ฮุ่ยเหมยเลยออกไปหาท่านพ่อที่ลำธาร ลำธารของหมู่บ้านป่าท้อเป็นลำธารเล็ก ๆ ที่ใช้หล่อเลี้ยงคนในหมู่บ้านแห่งนี้ ช่วงเย็นก็จะเห็นชาวบ้านมาตักน้ำไปใช้ในครอบครัว ฮุ่ยเหมยเดินลงไปสำรวจลำธาร ว่ามีอะไรให้กินบ้าง น้ำในลำธารใสสะอาดมาก ปราศจากสารเคมีและมลพิษ "เหมยเอ๋อร์" ท่านพ่อและพี่ชายเรียกเด็กน้อย "ท่านพ่อ พี่ใหญ่" "มาทำอะไรที่นี่?" "ข้าอยากกินปลาเจ้าค่ะ ท่านพ่อ" "มันคาวมากเลยนะ เหมยเอ๋อร์ เจ้าจะกินมันได้ยังไง?" ท่านพ่อถามเพื่อความแน่ใจ ด้วยความที่เคยกินมันมาแล้ว มันคาวมากจนชาวบ้านไม่ค่อยนิยมนำไปทำอาหารเท่าใดนัก "ใช่ ๆ" เสียงหนิงหลงเอ่ยขึ้น "ข้ามีวิธีเจ้าค่ะ" ฮุ่ยเหมยเอ่ยขึ้นด้วยความมั่นใจว่าเย็นนี้จะทำปลาเผาสุดแซ่บกินให้ได้ "งั้นพ่อจะจับมาให้เจ้า" เมื่อมองไปที่แววตามุ่งมั่นของลูกสาวตัวน้อย ก็คิดว่าลูกสาวคงจะมีพรสวรรค์ในการทำอาหารอย่างแน่นอน จึงตัดสินใจจะจับปลามาให้ลูกสาว "เย้ ขอบคุณเจ้าค่ะท่านพ่อ" ท่านพ่อก็ตกลงที่จะจับปลามาให้ จึงไปตัดไม้ไผ่มาจับปลา และฮุ่ยเหมยกับหนิงหลงก็เป็นกำลังใจให้ท่านพ่ออยู่ริมลำธาร และชี้บอกว่าปลาอยู่ทางนั้นทางนี้ท่านพ่อ เมื่อเดินลงน้ำไปก็พบว่ามีกุ้งฝอย ตัวเล็ก ๆ ใสๆ อยู่ในลำธารจึงเรียกพี่ชายช่วยกันจับไปทำอาหารเย็นนี้ด้วย ทีแรกก็สงสัยว่าตัวแบบนี้กินได้หรือ แต่เพราะน้องสาวได้ทำอาหารที่เหลือเชื่อที่กินได้จึงตัดสินใจช่วยกันจับได้มา 1 ชั่ง และพากันกลับบ้าน เมื่อมาถึงบ้านฮุ่ยเหมยก็บอกวิธีการทำปลาเผารสแซ่บให้แก่ท่านแม่ โดยท่านพ่อและพี่ชายเป็นลูกมือ "นำปลามาล้างให้สะอาด เอาไส้ออกให้หมด นำตะไคร้บุบเล็กน้อย ใส่เข้าไปในท้องปลา จากนั้นนำเกลือผสมคนเคล้าให้เข้ากัน นำไปพอกที่ตัวปลา และนำไปย่างจนสุกเจ้าค่ะ" หลังจากนั้นทุกคนก็ช่วยคนละไม้คนละมือ และต่อไปก็ทำน้ำจิ้ม อันนี้หนิงหลงขออาสาทำเอง เขาทำตามน้องสาวบอก โขลกพริกขี้หนู กระเทียม และรากผักชีเข้าด้วยกัน ปรุงรสด้วยน้ำมะนาว เกลือ น้ำตาล และน้ำต้มสุก พร้อมเสิร์ฟจ้า เมื่อทำน้ำจิ้มเสร็จต่อไปก็จัดการกุ้งที่นำมาด้วย คือเมนูยำกุ้งเต้น "ต่อไปคือเมนูกุ้งเจ้าค่ะ คือยำกุ้งเต้น" เมื่อทุกคนเผาปลาเสร็จแล้ว ฮุ่ยเหมยจึงเสนอเมนูต่อไปทันที ท่านแม่เป็นคนทำและเด็กน้อยก็เป็นคนบอกวิธีทำสุดแซ่บเช่นเคย “นำกุ้งฝอยเป็นๆ ล้างให้สะอาด ใส่กระชอนสะเด็ดน้ำไว้ จากนั้นเทใส่ชามหรือหม้อสำหรับคลุก ใส่น้ำมะนาว ข้าวคั่ว พริกป่น น้ำปลา ผักชีฝรั่ง ต้นหอม หอมแดงและตะไคร้ซอย เคล้าให้เข้ากัน ตักใส่จานโรยหน้าด้วยใบสะระแหน่ เป็นอันเสร็จเรียบร้อยเจ้าค่ะ" เมื่ออาหารทั้งสองอย่างเสร็จแล้วก็นำมารับประทานมื้อเย็นกับข้าวเหนียวที่ท่านแม่บอกว่าจะหุงไว้ให้ อาหารเย็นวันนี้มีส้มตำที่ท่านแม่ได้ทำไว้ก่อนหน้านี้แล้ว เป็นอาหารที่ชื่นชอบของครอบครัวมากและ ปลาเผา ยำกุ้งเต้น เมื่อลองทานกับข้าวเหนียวแล้วปรากฏว่าเข้ากันได้ดียิ่งนัก เมื่อฮุ่ยเหมยคิดถึงของป่าที่ท่านพ่อไปหามานั้นเงินที่ได้มันช่างน้อยนิดยิ่งนักจึงคิดว่า จะทำร้านส้มตำไปขาย จึงปรึกษาทุกคน "ท่านแม่ข้าอยากเปิดร้านขายส้มตำเจ้าค่ะ และขายปลาเผา ยำกุ้งเต้นไปด้วย" เมื่อได้เดินสำรวจตลาดแล้วพบว่าไม่มีคนนำอาหารพวกนี้ไปขายเลย คิดว่าความแปลกใหม่คงจะทำเงินได้ไม่น้อย เมื่อได้กินอาหารที่ฮุ่ยเหมยทำแล้วพบว่าอร่อย ทุกคนเลยตัดสินใจว่าอีกสามวันจึง ค่อยเตรียมของไปขายและฝึกฝีมือในการทำอาหารและแบ่งหน้าที่ในการทำไปด้วย ฮุ่ยเหมยได้แต่หวังว่าอาหารที่แปลกใหม่พวกนี้จะนำไปขายได้ และหวังว่าครอบครัวของตนจะมีคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีกว่านี้ และอีกไม่นานก็จะพบว่านอกจากจะขายดีแล้วยังจะเป็นอาหารที่ขึ้นชื่อของเมืองผิงเหยาเลยทีเดียว....หลังจากครอบครัวหลินทำการค้าขายไปแล้ว 7 วัน วันนี้ครอบครัวขอปิดร้าน 2 วัน พบปัญหาว่าจำนวนลูกค้ามากขึ้นทุกวันจึงตัดสินใจไปหาโรงเตี๊ยมที่เปิดให้เช่า ความจริงซื้อเป็นของตัวเองจะดีกว่า เนื่องจากตอนนี้เงินที่หามายังไม่เพียงพอที่จะซื้อโรงเตี๊ยมได้ยามเฉิน (07.00 – 08.59 น.) ฮุ่ยเหมยและครอบครัวเข้าเมืองไปหาเช่าโรงเตี๊ยม โดยนั่งเกวียนลุงหานเข้าเมืองเช่นเดิม เมื่อมาถึงตลาดในเมืองผู้คนต่างก็พากันมาจับจ่ายซื้อสินค้ากันเนืองแน่นเช่นเคย"ท่านแม่ข้าหิวแล้วเจ้าค่ะ ข้าอยากกินบะหมี่ร้านนั้นเจ้าค่ะ"เสียงฮุ่ยเหมยเอ่ยขึ้นและชี้ไปที่ร้านของบะหมี่ที่อยู่ข้างทาง คนในร้านแน่นมาก น่าจะอร่อยเพราะคนเข้าร้านเยอะ เมื่อได้ยินเสียงเด็กน้อยเอ่ยขึ้นจึงตัดสินใจเดินตรงไปร้านบะหมี่ทันที"เถ้าแก่ข้าเอาบะหมี่ 4 ชามขอรับ" ท่านพ่อเอ่ยสั่งกับเถ้าแก่ร้านขายบะหมี่"เชิญนั่ง ๆ รอสักครู่นะขอรับ"เสียงเด็กชายวัย 8 หนาวเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นลูกค้าทั้งสี่เดินเข้าร้านของตน น่าจะเป็นลูกชายของเถ้าแก่เจ้าของร้านเพราะหน้าตาที่ละม้ายคล้ายกันเป็นอย่างมาก ซึ่งเขากำลังนำบะหมี่ในร้านเสิร์ฟลูกค้าที่แน่นจนเต็มร้านอยู่ในขณะนี้อย่างขยันขันแข็งครอบคร
3 วันผ่านไป กับการเตรียมพร้อมขายของครั้งแรกของครอบครัวหลิน ทุกคนต่างตื่นเต้นกันอย่างมาก ท่านพ่อได้เข้าเมืองติดต่อเช่าร้านค้าเล็ก ๆ ราคา 10 อีแปะต่อวัน ตกลงขาย ยามอู๋ถึงยามโหย่ว (12.00-17.00 น.) การเตรียมตัวมีอะไรบ้าง คือมะละกอดิบ 3 ตะกร้าใหญ่ และเครื่องปรุงรส อาทิเช่น พริก กระเทียม มะนาว เกลือ น้ำตาล กุ้งแห้ง หอยเชอรี่ ผักบุ้งป่าไว้กินกับส้มตำ และข้าวคั่ว ครอบครัวหลินหุงข้าวเหนียวให้ลูกค้าทดลองชิมกับส้มตำไปด้วยขายราคา 5 อีแปะ กุ้งฝอยสด ๆ ไปด้วย 3 ตะกร้าใหญ่ ปลา 50 ตัวนำไปทดลองขายก่อน ถ้าขายดีวันหน้าก็จะไปจับมาเพิ่ม แบ่งหน้าในการทำแต่ละอย่างมีดังนี้ ท่านแม่ตำส้มตำ ท่านพ่อย่างปลาเผา และพี่ชายทำยำกุ้งเต้น ส่วนเธอเป็นหน่วยสนับสนุน นั่นคือเรียกลูกค้าและเก็บเงินนั่นเอง ครอบครัวหลินไปติดต่อขอให้ ท่านลุงหานไปส่งในตัวเมืองโดยเฉพาะ คิดราคาแค่ 5 อีแปะ ใกล้ถึงยามซื่อ (09.00-10.00 น.) ก็ออกเดินทาง ไปถึงก็ยามอู๋พอดี ยามซื่อ ลุงหานขับรถวัวเทียมเกวียนมารับที่บ้านครอบครัวหลิน ทุกคนช่วยกันยกของขึ้นเกวียน เมื่อขนจนหมดแล้วก็ออกเดินทางได้ เสียง กุบกับ กุบกับ ของรถวัวเทียมเกวียนตลอดระยะเวลา 1 ชั่วยา
เสียงไก่ขันเซ็งแซ่ บ่งบอกว่าเป็นเวลาของห้วงวันใหม่ ฮุ่ยเหมยค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาช้า ๆ พร้อมยกแขนทั้งสองบิดขี้เกียจแล้วค่อย ๆ เดินไปล้างหน้าล้างตา และหยิบชุดในราวมาใส่ วันนี้เด็กน้อยเลือกใส่ชุดสีชมพู และเดินออกไปให้ท่านแม่ทำผมให้เช่นทุกวัน "ข้ามาแล้วเจ้าค่ะ" เสียงเรียกจากเด็กน้อย ทำให้ทั้งสามคนหันมามอง และยิ้มกว้างให้กับความน่ารัก ยามเหม่า (คือ 05.00 – 06.59 น.) เป็นเวลาที่ท่านพ่อเตรียมตัวขึ้นวัวเทียมเกวียนเข้าเมืองไปขายของป่า โดยสารรถของบ้านลี่จูที่ออกเดินทาง เมื่อเห็นท่านพ่อจะไปเด็กน้อยรีบวิ่งไปออดอ้อน ขอเข้าเมืองไปด้วย ท่านพ่อตอบตกลงและให้ท่านแม่อยู่ที่บ้านคนเดียว "เหมยเอ๋อร์ ต้องอยู่ใกล้ ๆ พ่อตลอดนะลูก" "เจ้าค่ะ ท่านพ่อ" ''ข้าจะดูแลน้องเองขอรับ" และทั้งสามคนก็ออกเดินทางไปขึ้นเกวียน คนแน่นเต็มคันรถ และลี่จูก็โบกมือให้เมื่อพบว่าเด็กน้อยทั้งสองคนจะไปด้วย และคิดว่าตนเองจะมีเพื่อนเที่ยวเล่นแล้ว "อ้าววันนี้ เหมยเอ๋อร์ไปด้วยรึ" ท่านลุงหานเอ่ยทัก พ่อของลี่จูนั่นเอง "คารวะท่านลุงหาน เจ้าค่ะ/ขอรับ" หนิงหลงและฮุ่ยเหมยเอ่ยพร้อมกัน "มา ๆ ขึ้นรถ ข้างในคนเต็มแล้วนั่งข้างหน้ากับลี่จูก็ได้"
หลังจากทานอาหารเที่ยงเสร็จแล้ว ด้วยความสงสัยเด็กน้อยเลยถามแม่ขึ้นในทันที "ท่านแม่เจ้าคะ หอยนั่นมันกินได้นะเจ้าคะ" เธอชี้นิ้วป้อม ๆ ไปที่คนกำลังทิ้งหอยเชอร์รี่อยู่ป่าข้างบ้าน "นั่นมันหอยพิษลูก มันกัดข้าวชาวบ้าน" ลี่หลินเอ่ยบอกกับลูกสาว เมื่อเห็นว่าหอยพวกนั้นเป็นศัตรูตัวฉกาจที่ทำร้ายนาข้าวเสียหายอย่างมาก ที่ตอนนี้แม้แต่ทางการก็ยังหาทางแก้ปัญหาไม่ได้ "ท่านแม่ไม่เชื่อลูกหรือเจ้าคะ" ฮุ่ยเหมยกะพริบตาปริบๆ ที่มีน้ำตาคลอมองท่านแม่ เมื่อมองไปที่ดวงตากลมโตของเด็กน้อยแล้วก็อดใจอ่อนไม่ได้ "มันกินได้จริงหรือ?" เสียงท่านพ่อเอ่ยถามด้วยความสงสัย และทำสีหน้าหวาดกลัว เจ้าหอยพวกนี้ไม่นิยมนำมารับประทาน ไม่มีใครนำมากินเลยต่างหาก กลัวว่ามันจะกัดกินร่างกายของคนเราเหมือนต้นข้าว!! "จริงเจ้าค่ะ ข้าจะทำให้กิน" ฮุ่ยเหมยบอกด้วยความแน่วแน่ ท่าทางเอาจริงเอาจัง และยืนขึ้นกำหมัดน้อย ๆ "ข้าจะช่วยน้องทำเองขอรับ" หนิงหลงคิดในใจเชื่อว่า ‘น้องสาวต้องมีอาหารอร่อยๆ ให้ตนกินอีกแน่ ฮิ ฮิ ฮิ’ "ท่านแม่เชื่อลูกเถอะนะเจ้าคะ" เธอเขย่าแขนท่านแม่อย่างอ้อนวอน "นะนะๆ ท่านแม่" ลี่หลินทนลูกอ้อนของลูกสาวไม่ไ
"แอ้ แอ้ แอ้" เมื่อเธอลืมตาขึ้นมาก็พบกับแสงสว่างและผนังผุพังมีรูรั่วอยู่ และคนที่แต่งตัวจีนโบราณเต็มไปหมด และพอมองไปที่แขนของเธอทำไมเล็กอย่างนี้อย่าบอกนะว่าส่งเธอมาเกิดใหม่จริง ๆ "ลูก ลูก แม่" เสียงผู้หญิงอายุประมาณ 20 หนาวหน้าตาซีดเซียว เสียงแหบแห้งเพราะว่าเสียแรงในการคลอดลูก "ได้ลูกสาวจ้ะ ลี่หลิน" หมอตำแยเอ่ยบอกพร้อมกับอุ้มเด็กทารกให้กับนาง พอลี่หลินได้เห็นหน้าลูกสักพักก็สลบไปเพราะความอ่อนเพลีย ตึก ตึก ตึก เสียงฝีเท้าของผู้มาใหม่ เป็นผู้ชายอายุประมาณ 25 หนาว หน้าตาดี สีผิวเข้ม ดูบึกบึนเนื่องจากทำงานหนัก เดินเข้ามาอุ้มเด็กหญิง "โอ๋ เอ๋ ๆ ลูกพ่อน่ารักมากเลย ไม่ร้องไห้เลย" หลินฟางหรงอุ้มเด็กหญิงขึ้นมามองหน้าตา กลมโตที่ใสซื่อบริสุทธิ์หน้าตาน่ารัก จริง ๆ ลูกสาวของเขา "ใช่ ขอรับท่านพ่อ น้องดูเป็นเด็กรู้เรื่องตั้งแต่เกิดเลยขอรับ" เสียงเจี๊ยวจ๊าวของเด็กชายอายุ 4 หนาวนามว่า หลินหนิงหลง หลังจากเดินตามหลังท่านพ่อมาเมื่อรู้ว่าคลอดน้องสาวของตนแล้ว "ท่านพ่อจะตั้งชื่อน้องสาวว่าอะไรดีขอรับ" "อืม งั้นชื่อว่า ฮุ่ยเหมยละกันนะลูกพ่อ" หรือที่แปลว่าความเมตตาที่งดงาม เหมาะกับหน้าตาน่าร
โรส หญิงสาววัย 24 ปีเป็นลูกครึ่งไทย-จีน พ่อของเธอนั้นเป็นคนจีน แม่เป็นคนไทยอาศัยอยู่จังหวัดอุบลราชธานี เนื่องจากเป็นลูกครึ่งไทยจีนเธอจำต้องเทียวไปเทียวมาระหว่างไทยกับจีนตลอด เมื่อปี 25x3 เกิดโรคระบาดที่ชื่อว่า โควิด 19 ระบาดอยู่ที่อู่หั่น ซึ่งตอนนั้นโรสได้ไปเที่ยวอยู่ที่นั่นพอดี แต่ไม่ว่าจะโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ประจวบเหมาะกับเธอดันหนีกลับไทยมาก่อนจะระบาดหนัก แต่แล้วเมื่อกลับไทยได้ไม่นานก็มีอาการไข้ขึ้นสูง พร้อมกับอาการไออย่างหนักกอปรกับเธอเคยเดินทางไปอู่หั่น ทำให้เธอลองไปตรวจที่โรงพยาบาลในตัวเมือง ผลปรากฏว่าเธอติดโควิด 19 เธอได้นอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลในตัวเมืองจังหวัดอุบลราชธานีจนกว่าจะหายดี ด้วยเนื่องจากโรคระบาดยังไม่มีวัคซีน ทำให้โรสนอนอยู่โรงพยาบาลประมาณเดือนกว่าจึงเสียชีวิตลงด้วยโควิด19 ในวัย 24 ปี ท่ามกลางความเศร้าโศกของครอบครัวของเธอ ตายญาติไม่สามารถมาทำศพได้ เธอต้องตายอย่างโดดเดี่ยวไม่เห็นหน้าครอบครัวเป็นครั้งสุดท้าย นับว่าน่าเวทนาชีวิตไม่น้อยเลยทีเดียว ก่อนตายโรสผู้ชื่นชอบการอ่านนิยายย้อนยุคเป็นชีวิตจิตใจ ในห้วงภวังค์ก่อนจะสิ้นใจนึกย้อนไปว่าถ้าเธอได้ย้อนเวลาไป