LOGINคำพูดของซูเว่ยหรานทำให้บรรยากาศในห้องเงียบกริบลงทันที นางหลิวเบิกตากว้างด้วยความตกใจถึงนางหมูตอนจะร้ายกานขี้เกียจแต่ปกติก็ยังหวาดกลัวนางอยู่บ้าง แต่วันนี้นางหมูตอนนี้ไปเอาความกล้ามาจากไหนกัน ก่อนจะชี้หน้าหลานสะใภ้ที่กล้าต่อปากกับนาง
"เจ้า เจ้า นางตัวดีกล้าดียังไงมาว่าข้า! นางแพศยาข้าเป็นผู้อาวุโสของเจ้านะ"
"ข้าพูดความจริงยายเฒ่า ข้าแต่งงานกับหลี่จื่อหานมาอย่างสมฐานะ ส่วนเจ้าก็แค่แม่หม้ายที่หวังเกาะแข้งเกาะขาสกุลหลี่ มีตรงไหนที่บ่งบอกว่าเจ้าแซ่เดียวกับข้า หรือว่าเจ้าคลอดข้าออกมา คลอดบิดาหรือมารดาข้าออกมากันล่ะ คำว่าผู้อาวุโสอย่ามาใช้กับข้า ลูกตัวเองหลานตัวเองอิ่มทุกมื้อขนกลับบ้านสามีอีกด้วย ลูกข้าเป็นหลานสายตรงกลับต้องไปหารับจ้างมาเลี้ยงพวกเจ้า ยายแก่ไม่ยอมตายมาทางไหนไสหัวไปทางนั้นเลยนะ"
คำพูดของซูเว่ยหรานทำให้นายท่านแห่งบ้านหลี่ที่นั่งถักอวนเงียบๆอยู่ลานด้านนอก ถึงกับเลิกคิ้วมองหลานสะใภ้ที่อยู่ในเรือนอย่างประหลาดใจ แม้ว่าซูเว่ยหรานร้ายกาจมากนัก แต่ปกติมิใช่คนที่วาจาคมคายเช่นนี้ ส่วนนางหลิวยืนตัวแข็งทื่อ ปากอ้าค้างไม่สามารถเอ่ยคำใดออกมาได้ ความโกรธแค้นปนฉายชัดในแววตาของนาง
ซูเว่ยหรานไม่สนใจปฏิกิริยาของอีกฝ่าย เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วก้าวลงจากเตียงช้าๆ แม้จะยังรู้สึกมึนหัวอยู่บ้าง แต่เธอก็รู้ว่าการโต้ตอบด้วยวาจาเพียงอย่างเดียวคงไม่พอ เธอจะต้องแสดงให้เห็นว่าซูหว่านหว่านคนใหม่นี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปที่จะยอมให้ใครก็ได้มารังแกหรือดูถูก หรือพูดอีกทีก็คือปกติยายนี่รังแกคนอื่นมาตลอดต่างหาก เหอะ..ในเมื่อร้ายก็ต้องร้ายให้ถึงที่สุด
ซูเว่ยหรานก้าวเดินทีละก้าวอย่างช้าๆ ย่าสามีขวางประตูเอาไว้นางอาศัยร่างกายที่อ้วนใช้หัวไหล่กระแทกจนนางหลิวถึงกับเซถลา แม้ว่าจะยังรู้สึกมึนหัวอยู่บ้างจากการถูกตี แต่ก็พยายามรวบรวมสติและพยุงตัวเองให้ยืนหยัดได้เพื่อจะเดินออกไปข้างนอก เธอทอดสายตาออกไปนอกบ้านเธอได้ยินเสียงคลื่น และกลิ่นเค็มๆของน้ำทะเลและกลิ่นคาวปลาที่ลอยมาตามลม ทำให้เธอรู้ว่านี่คือหมู่บ้านชาวประมงอย่างแน่นอน
ขณะที่เธอกำลังจะเดินออกไปที่ประตู ทันใดนั้นร่างหนึ่งก็ก้าวเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้า เป็นหญิงสาววัยยี่สิบต้นๆคนหนึ่ง ใบหน้าเรียวเล็ก ผิวขาวกว่าคนในหมู่บ้านเล็กน้อย นางจ้องมองมาที่ซูเว่ยหรานด้วยแววตาที่เต็มไปด้วย ความอิจฉาริษยาและเหยียดหยาม นางสวมเสื้อผ้าที่ดูดีกว่าคนอื่นในบ้านเล็กน้อยบ่งบอกถึงความเอาใจใส่ในรูปลักษณ์ นี่คือ หลี่ถงลูกติดยายแก่ปากมากนี่ ถือว่าเป็นอาหญิงของหลี่จื่อหานสามีของร่างเดิมนั่นเอง
"โอ้โห! ตื่นแล้วหรือนางตัวซวย นางหมูตอนนึกว่าเจ้าจะนอนกินบ้านกินเมืองจนหลับตายไปแล้วเสียอีก"
หลี่ถงเอ่ยวาจาถากถางไปด้วยก่อนจะยิ้มเยาะเย้ย สีหน้าของนางประดับด้วยรอยยิ้มเย้ยหยันราวกับกำลังสนุกกับการที่ได้ดูถูกซูเว่ยหราน เท้าอวบอ้วนหยุดฝีเท้าเอาไว้และเริ่มที่จะ ประจันหน้ากับคนมาใหม่อย่างไม่ยอมแพ้ ดวงตาของนางภายใต้ใบหน้าอวบอ้วนจับจ้องไปที่หลี่ถงอย่างไม่วางตา หลี่ถงรู้สึกถึงความกดดันที่ไม่เคยได้รับจากคนตรงหน้ามาก่อน แต่ก็ยังปากดีใส่
"ทำไม? มองอะไร? หรือว่านอนมากจนตาเหล่ไปแล้วนางอ้วน"
หลี่ถงถามด้วยน้ำเสียงกวนโทสะมากขึ้น เมื่อเห็นว่าซูเว่ยหรานยังคงเงียบงัน
"ฮึ่ม! เห็นแก่ความอ้วนอุ้ยอ้ายของเจ้าแล้วนางหมูตอน ข้าว่าไม่น่าจะมีแรงเดินไปไหนไกลหรอกมั้งคิกๆๆ"
นางพูดพร้อมกับยกมือขึ้นมาปิดปากหัวเราะคิกคัก ซูเว่ยหรานถอนหายใจช้าๆ เธอจำได้ว่าในความทรงจำของร่างเดิม นางถูกหลี่ถงคนนี้รังแกและดูถูกอยู่บ่อยครั้ง ด้วยความอ้วนและความอัปลักษณ์ของซูเว่ยหราน ทำให้หลี่ถงยิ่งได้ใจและไม่เคยเกรงใจไยดีหลานสะใภ้ผู้นี้เลยแม้แต่น้อย แต่ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว
ซูเว่ยหรานคนใหม่ระบายยิ้มบนใบหน้า ยิ้มนั้นเป็นรอยยิ้มที่สามารถทำให้คนเสียวสันหลังได้ทีเดียว ดวงตาที่เคยเล็กเรียวตอนนี้ฉายแววคมกริบเย็นเยียบ เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบแต่แฝงด้วยความร้ายกาจ
"หลี่ถง เจ้าเกรงว่าข้าจะกินจนอ้วน หรือกลัวว่าเจ้าจะไม่มีเสบียงติดไม้ติดมือขนกลับไปบ้านสามีจนถูกแม่สามีกับสามีตัวดีของเจ้าทุบตีกลับมาอีกกันแน่?"
คำพูดของซูเฉียวหว่านในร่างของซูเว่ยหรานทำเอาหลี่ถิงหน้าซีดเผือด นางเบิกตากว้างด้วยความตกใจและโกรธจัด ไม่คิดว่านางอ้วนซูเว่ยหรานจะกล้าเปิดเผยความลับที่นางพยายามปกปิดมาตลอดเรื่องที่ถูกแม่สามีของตนเองทำร้าย นางชี้หน้าซูเว่ยหรานด้วยมือที่สั่นระริก
" เจ้าเอ่ยอันใดนางอ้วนอย่ามาพูดเหลวไหล ตัวเจ้าวางยาหลานชายของข้า ปีนเตียงเขาจนได้เข้าบ้านสกุลหลี่ อย่ามาทำท่าทางยโสกับข้านะนางหมูตอน"
หลี่ถงแผดเสียง น้ำเสียงสั่นเทาด้วยความเจ็บใจที่โดนจี้จุดและโดนเปิดเผยความลับที่เจ็บปวด
"เหลวไหลรึ?"
ซูเฉียวหว่านหัวเราะเบาๆ ในลำคอ เสียงหัวเราะนั้นฟังดูเย็นชาและน่าขนลุกก่อนจะเหลือบมองหลี่ถงด้วยสายตาหยามเหยียด แล้วเอ่ยออกมา
"ข้าพูดความจริงต่างหาก ใครๆ เขาก็รู้กันทั้งหมู่บ้านว่าเจ้าโดนอะไรมาบ้าง ส่วนเรื่องการวางยาหลานชายเจ้า...ทำไมข้ารู้สึกว่ายานั่นคนที่วางไม่ใช่ข้ากันนะ อีกอย่างใครวางยาเขาเพื่อที่จะขึ้นเตียงหลี่จื่อหานกันแน่ข้าว่าเจ้ารู้ดีนะ สุดท้ายตัวเองกับพลาดไปคว้าเอาคนขี้เหล้ามาแทน อาหญิงอยากปีนเตียงหลานชาย จุ๊ๆๆๆ เรื่องนี้น่าป่าวประกาศจริงๆ ไม่รู้ว่าในเมืองมีนักเล่านิทานหรือไม่"
หลี่ถงยืนตัวแข็งทื่อ ใบหน้าขาวซีดเผือดด้วยความหวาดหวั่น นางหมูตอนนี้พูดอะไรออกมากัน นางหมายความว่าอย่างไร นางโง่นี่รู้เรื่องหกปีก่อนหรือ หลี่ถงทั้งอับอายและโกรธแค้น สายตาของนางเต็มไปด้วยความเคียดแค้นชิงชังที่จ้องมองมาที่ร่างอวบอ้วน แต่ซูเว่ยหรานไม่สนใจปฏิกิริยาของอีกฝ่าย นางก้าวเท้าเดินตรงไปที่หลี่ถงอย่างช้าๆ ไม่มีความเกรงกลัวหรือลังเลแม้แต่น้อยก่อนจะตวาดเสียงดัง
"หลีกไป นางโคมเขียว"
เมื่อหลี่ถงไม่ขยับ ซูเว่ยหรานเอ่ยซ้ำด้วยน้ำเสียงที่เด็ดขาดกว่าเดิม
"ถ้าเจ้ายังไม่อยากโดนแม่ผัวตีกลับมาอีก ก็ควรจะสำรวมปากสำรวมคำให้มากกว่านี้ จูพ่านสามีของเจ้ารู้หรือไม่ว่าลูกที่เลี้ยงดูทุกวันนี้ลูกใครกันแน่"
ก่อนที่หลี่ถิงจะทันได้ขยับตัว ซูเว่ยหรานก็ใช้ไหล่อ้วนหนากระแทกใส่ร่างผอมแห้งจนหลี่ถิงล้มคะมำ แล้วเดินผ่านไปอย่างไม่แยแส ทิ้งให้หลี่ถงยังอึ้งอยู่เพียงลำพัง พร้อมกับความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งกลัว ทั้งโกรธแค้นและอับอาย
ฮ่องเต้ประกาศสละราชสมบัติเรียบร้อยแล้ว ทรงให้รัชทายาทครองราชย์ต่อจากพระองค์ในอีกสามปีข้างหน้า แม้ว่ารัชทายาทและขุนนางจะคัดค้านเพราะฮ่องเต้ยังทรงมีพระพลานามัยแข็งแรงแต่ทว่าทรงมีพระปณิธานแน่วแน่ทุกคนจึงไม่อาจเปลี่ยนพระทัยได้ทรงประกาศสละราชย์ทันทีที่รัชทายาทและพระชายากลับมาจากไปท่องเที่ยวและแวะไปขอบคุณใต้ซือหยวนคงได้เดือนกว่า ขณะนี้ผ่านมาสองปีแล้ว คู่แฝดอายุเก้าขวบย่างสิบขวบ แฝดสามได้สองขวบกว่า พระชายาทรงคลอดท่านหญิงหลังจากกลับมาจากไปเที่ยว และยามนี้ท่านหญิงสามอายุหนึ่งขวบสิบเดือนส่วนพระชายากำลังทรงพระครรภ์อีกครั้งได้สองเดือนแล้วเหลือเวลาอีกไม่กี่วันรัชทายาทจะต้องขึ้นครองราชย์แทนฮ่องเต้ เซียวฉู่หรานก็ขึ้นเป็นฮองเฮา เนื่องจากรัชทายาทมีพระทัยตั้งมั่นไม่รับสตรีเพิ่ม วังหลังจึงสงบสุขเสมอมาไม่มีเรื่องให้กวนใจแม้ว่าจะมีขุนนางบางคนที่ไม่ยอมแพ้บ้างก็ส่งบุตรสาวหลานสาวเข้ามาเป็นนางใน บางวคนก้ใช้เล่ห์เพื่อที่จะได้ขึ้นเตียงกับองค์รัชทายาท แต่กลับไม่เคยทำสำเร็จ สองสามีภรรยามีบทเรียนจากตอนที่หลิวถงร่วมมือกับนางหลิววางยาพวกเขามาแล้ว วิธีการต่ำช้าเหล่านั้นจึงไม่สามารถทำได้ครั้งที่สองยามนี้รัชทายาทไ
ภายในห้องหอเซียวฉู่หรานอาบน้ำผลัดอาภรณ์เรียบร้อยแล้ว ยามนี้ภายใต้ผ้าห่มนวมผืนหนา นางอยู่ภายใต้อาภรณ์บางเบาที่สวมแล้วให้แลเห็นส่วนเว้าส่วนโค้งและเรือนร่างเย้ายวน เรือนผมถูกปล่อยสยายเซียวฉู่หรานนอนตะแคงอยู่บนเตียงรอเจ้าบ่าวกลับมาเสียงฝีเท้าเดินใกล้เข้ามา เจ้าสาวหมาดๆเฝ้ามองไปยังประตู ได้ยินเสียงเขาสั่งให้บ่าวไพร่ถอยออกไปให้ห่าง กระทั่งประตูเปิดออก ร่างสูงในชุดเจ้าบ่าวเดินเข้ามา แสงตะเกียงส่องกระทบราวกับเซียนหนุ่มกำลังเยื้องกรายแปะ แปะ แปะ เซียวฉู่หรานตบลงข้างๆ ตัวเป็นเชิงสัญลักษณ์ให้เจ้าบ่าวของนางมานั่งลงข้างๆ นางลุกขึ้นนั่งก่อนจะเอามือเท้าไปด้านหลัง ชันขาขึ้นมาหนึ่งข้าง ชายกระโปรงร่นลงมาจนเห็นโคนขาขาวผ่องเสื่อตัวบางที่ปิดอะไรแทบไม่มิดนั้นสาบเสื้อเป็นเพียงไส้ไก่เส้นเล็กๆ ผูกเอาไว้ ปทุมถันสองข้างอวบอัดเพราะนางเพิ่งผ่านการคลอดบุตรมา จ้าวจื่อหานที่ดื่มมาพอควรเลือดหนุ่มสูบฉีดเมื่อเห็นภาพเย้วยวนตรงหน้าเขาเดินมานั่งลงบนเตียง โน้มตัวไปด้านหน้าเท้าแขนคร่อมนางเอาไว้ มือหนาอีกข้างลูบตั้งแต่ข้อเท้าเล็กเลื่อนขึ้นมาจนถึงโคนขาอ่อนนุ่ม เซียวฉู่หรานครางออกมา ก่อนที่คนตัวโตจะกอบกุมความอวบอิ่มเคล้น
เสียงบรรเลงมโหรีดังไปทั่วทั้งเมืองหลวง ขบวนรับเจ้าสาวยิ่งใหญ่ตัวเกี้ยวทำจาก ไม้จันทน์หอม เนื้อดีที่หายาก หรือไม้เนื้อแข็งชั้นเลิศ ตัวเกี้ยวมีขนาดใหญ่โอ่อ่ากว่าเกี้ยวทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด พื้นผิวถูกเคลือบด้วย สีแดงชาดเข้ม ซึ่งเป็นสีมงคลสูงสุดสำหรับงานอภิเษกสมรสและประดับตกแต่งด้วย ทองคำเปลวบริสุทธิ์ จนเปล่งประกายทั่วทั้งเกี้ยว ตัวเกี้ยวแกะสลักเป็นรูปดอกโบตั๋นที่หมายถึงราชินีแห่งดอกไม้ ม่านของเกี้ยวเลือกใช้ผ้าไหมสีแดง ปักด้วยลวดลายสีทอง ใช้คนหามถึงสิบหกคนนับเป็นพิธีแต่งงานที่ยิ่งใหญ่อย่างไม่เคยมีมาก่อนองค์รัชทายาทจ้าวจื่อหานในชุดเจ้าบ่าวสีแดงสดปักลวดลายมังกรด้วยด้ายสีทองอร่าม ยามเมื่ออยู่บนหลังของอาชาสีขาวบริสุทธิ์ดุจหิมะต้องแสงพระอาทิตย์ ยิ่งทำให้รัชทายาทแห่งต้าเหยียนดูงดงามและสูงส่งราวเทพเซียน นางกำนัลในขบวนช่วยกันโปรยเหรียญอีแปะและลูกกวาดตามทางเดิน เด็กๆ และชาวบ้านแย่งกันเก็บไว้เพื่อเป็นมงคล ขบวนเคลื่อนไปตามท้องถนนจนมาถึงหน้าจวนสกุลเซียวจวนสกุลเซียวเมื่อมาถึงสกุลเซียวแล้วขันทีที่เดินนำขบวนมาก็ประกาศ"ได้ฤกษ์อันเป็นมงคลแล้ว! ขอเชิญองค์พระชายา ก้าวเข้าสู่เกี้ยวเพื่อเสด็จสู่พระราชว
จ้าวจื่อหานมองแฝดคนพี่ที่ยามนี้ใช้แซ่เซียวของท่านตาก่อนจะยิ้ม เขาเอานิ้วเขี่ยแก้มบุตรชาย สกุลเซียวไร้ผู้สืบทอดฝ่าบาททรงเห็นใจในชะตาและทอดพระเนตรเห็นความจงรักภักดีของสกุลเซียวมาตั้งแต่บรรพบุรุษ จึงพระราชทานบุตรชายคนที่สองของเขาให้ใช้แซ่เซียวสืบทอดสกุลมารดา เซียวอี้ให้ยินดีอย่างมาก อย่างน้อยสกุลเซียวก็ไม่สิ้นไร้ผู้สืบสกุลในยุคของเขาช่างเป็นพระเมตตายิ่งนัก เขาจำได้ดีถึงพระเมตตาในวันนั้น"เซียวอี้..สกุลเซียวของเจ้าจงรักภักดีมาตลอด ปกป้องราชวงศ์จนกระทั่งสกุลล่มสลายเราจึงอยากตอบแทนเจ้าสักครั้ง""ฝ่าบาท...กระหม่อมมิได้หวังอันใด ขอแค่พระองค์ทรงอยู่รอดปลอดภัยกลับมาปกครองแว่นแคว้นได้อย่างที่อดีตฮ่องเต้ทรงตั้งพระทัยก็เพียงพอแล้วพ่ะย่ะค่ะ""เอาล่ะ ท่านกลับไปรอฟังข่าวที่บ้านเถอะ"จากที่ทรงรับสั่งในวันนั้นวันต่อมาฉางกงกงก็มาประกาศราชโองการแต่งตั้งท่านชายรองจ้าวจื่อหลิงเป็นผู้สืบทอดสกุลเซียวของพระมารดา เซียวอี้ยังจำได้ดีตอนที่เขายื่นมือไปรับราชโองการ เขาถึงกับหลั่งน้ำตาลูกผู้ชายออกมา ฝ่าบาททรงมีพระเมตตายิ่งนัก รัชทายาทเองก็ยินดีที่จะให้สายพระโลหิตสืบทอดสกุลเซียวของเขาอย่างไม่เกี่ยงงอน เมื่อเซียวจื่อ
หลังจากประชุมเรียบร้อยจ้าวจื่อหานก็ตรงกลับจวนนอกเมือง ส่วนซูหานนั้นกลับไปรับหลี่เย่าฟางเพื่อจะไปเยี่ยมบุตรสาวเช่นกัน พ่อตากับบุตรเขยจึงไปทางเดียวกัน ขุนนางหลายๆ คนที่ไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้สตรีเรียนหนังสือยังไม่รู้ว่ายามนี้ที่บ้านของพวกเขากำลังมีการเปลี่ยนแปลงสองเดือนก่อนหน้าพระชายาได้ส่งคนไปสอบถามความสมัครใจว่ามีคุณหนูบ้านใดหรือบุตรสาวบ้านไหนต้องการเรียนหนังสือบ้าง และมีหลายครอบครัวที่บรรดาฮูหยินและคุณหนูเหล่านั้นตอบรับและได้ทดลองเรียนไปกว่าเดือนครึ่งแล้วบทความที่ถวายฝ่าบาทเมื่อสิบวันก่อนบางบทความก็เป็นของคุณหนูเหล่านั้น บางคนมีความสามารถไม่แพ้บุรุษที่เป็นบัณฑิต บางคนมีความสามารถเหนือขุนนางด้วยซ้ำ ทั้งแนวคิดและการวางแผนเมื่อพวกเขากลับถึงบ้านก็โมโหยกใหญ่ต่อว่าต่อขานเรื่องการเปิดสำนักศึกษาหญิง ต่างวิจารณ์อย่างไม่กลัวเกรง ใต้เท้าทั้งหลายมารวมอยู่ที่จวนอำมาตย์ซ้ายกว่าสิบคน"พวกท่านว่าเราควรถวายฎีกาให้ฝ่าบาททรงพิจารณาอีกครั้งดีหรือไม่""นั่นน่ะสิขอรับท่านอำมาตย์ ไท่จื่อเฟยทรงมีความคิดอันตรายต่อบ้านเมืองเช่นนี้ได้อย่างไร มีที่ไหนให้สตรีสามารถเข้าศึกษาและเข้าสอบขุนนางได้ แค่
**ท้องพระโรง**ในท้องพระโรงยามนี้บรรดาขุนนางกำลังรอฝ่าบาทเข้าประชุมอยู่ ทรงตรัสว่าวันนี้มีเรื่องจะประกาศโดยทั่วกัน ซูหานและหลี่ต้าหยางมาด้วยกัน ซูหานจะไปรับพ่อตามาเข้าวังด้วยตนเองทุกวัน ขุนนางกำลังถกเถียงกันถึงเรื่องที่ฮ่องเต้จะประกาศวันนี้"ใต้เท้าหาน ท่านว่าฝ่าบาทจะทรงประกาศเรื่องสำคัญอันใดหรือ""ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน ใต้เท้าซ่งแต่ข้าว่าน่าจะเรื่องสำคัญมาก ท่านคิดว่าวันนี้จะโต้แย้งเรื่องใดหรือไม่"ใต้เท้ากัวส่ายหน้าให้กับเขา ขุนนางอีกคนจึงมาตอบแทน"ใต้เท้าหาน...ท่านอยากจะกลับไปเลี้ยงหลานอยู่ที่บ้านหรือ อีกอย่างบุตรสาวบุตรชายท่านเพิ่งจะอายุสิบสอง สิบสามจะมีหลานที่ไหนให้ท่านเลี้ยงกัน"เมื่อใต้เท้าอีกคนเอ่ยจบใต้เท้ากัวจึงเอ่ยเบาๆ"พวกท่านเบาๆ หน่อย หากเรื่องวันนี้เป็นแนวคิดของไท่จื่อ หรือไท่จื่อเฟย แล้วพวกเราต่อต้าน ยังจะได้ทำงานรับใช้ราชสำนักกันอยู่หรือไม่"ขุนนางทั้งหมดพยักหน้าให้กันก่อนที่ใต้เท้าซ่งจะเอ่ย"ครั้งก่อนที่ถกเถียงกันเรื่องให้ไท่จื่อรับชายารองและสนมก็ถูกกวาดออกไปเกือบยี่สิบคน หากครั้งนี้ยังหาเรื่องคัดค้านอีก ไม่แน่ว่าอาจจะถูกกวาดออกไปได้""ก็จริงอย่างที่ท่านพูด ส่วนเร







