Masukคำพูดของซูเว่ยหรานทำให้บรรยากาศในห้องเงียบกริบลงทันที นางหลิวเบิกตากว้างด้วยความตกใจถึงนางหมูตอนจะร้ายกานขี้เกียจแต่ปกติก็ยังหวาดกลัวนางอยู่บ้าง แต่วันนี้นางหมูตอนนี้ไปเอาความกล้ามาจากไหนกัน ก่อนจะชี้หน้าหลานสะใภ้ที่กล้าต่อปากกับนาง
"เจ้า เจ้า นางตัวดีกล้าดียังไงมาว่าข้า! นางแพศยาข้าเป็นผู้อาวุโสของเจ้านะ"
"ข้าพูดความจริงยายเฒ่า ข้าแต่งงานกับหลี่จื่อหานมาอย่างสมฐานะ ส่วนเจ้าก็แค่แม่หม้ายที่หวังเกาะแข้งเกาะขาสกุลหลี่ มีตรงไหนที่บ่งบอกว่าเจ้าแซ่เดียวกับข้า หรือว่าเจ้าคลอดข้าออกมา คลอดบิดาหรือมารดาข้าออกมากันล่ะ คำว่าผู้อาวุโสอย่ามาใช้กับข้า ลูกตัวเองหลานตัวเองอิ่มทุกมื้อขนกลับบ้านสามีอีกด้วย ลูกข้าเป็นหลานสายตรงกลับต้องไปหารับจ้างมาเลี้ยงพวกเจ้า ยายแก่ไม่ยอมตายมาทางไหนไสหัวไปทางนั้นเลยนะ"
คำพูดของซูเว่ยหรานทำให้นายท่านแห่งบ้านหลี่ที่นั่งถักอวนเงียบๆอยู่ลานด้านนอก ถึงกับเลิกคิ้วมองหลานสะใภ้ที่อยู่ในเรือนอย่างประหลาดใจ แม้ว่าซูเว่ยหรานร้ายกาจมากนัก แต่ปกติมิใช่คนที่วาจาคมคายเช่นนี้ ส่วนนางหลิวยืนตัวแข็งทื่อ ปากอ้าค้างไม่สามารถเอ่ยคำใดออกมาได้ ความโกรธแค้นปนฉายชัดในแววตาของนาง
ซูเว่ยหรานไม่สนใจปฏิกิริยาของอีกฝ่าย เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วก้าวลงจากเตียงช้าๆ แม้จะยังรู้สึกมึนหัวอยู่บ้าง แต่เธอก็รู้ว่าการโต้ตอบด้วยวาจาเพียงอย่างเดียวคงไม่พอ เธอจะต้องแสดงให้เห็นว่าซูหว่านหว่านคนใหม่นี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปที่จะยอมให้ใครก็ได้มารังแกหรือดูถูก หรือพูดอีกทีก็คือปกติยายนี่รังแกคนอื่นมาตลอดต่างหาก เหอะ..ในเมื่อร้ายก็ต้องร้ายให้ถึงที่สุด
ซูเว่ยหรานก้าวเดินทีละก้าวอย่างช้าๆ ย่าสามีขวางประตูเอาไว้นางอาศัยร่างกายที่อ้วนใช้หัวไหล่กระแทกจนนางหลิวถึงกับเซถลา แม้ว่าจะยังรู้สึกมึนหัวอยู่บ้างจากการถูกตี แต่ก็พยายามรวบรวมสติและพยุงตัวเองให้ยืนหยัดได้เพื่อจะเดินออกไปข้างนอก เธอทอดสายตาออกไปนอกบ้านเธอได้ยินเสียงคลื่น และกลิ่นเค็มๆของน้ำทะเลและกลิ่นคาวปลาที่ลอยมาตามลม ทำให้เธอรู้ว่านี่คือหมู่บ้านชาวประมงอย่างแน่นอน
ขณะที่เธอกำลังจะเดินออกไปที่ประตู ทันใดนั้นร่างหนึ่งก็ก้าวเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้า เป็นหญิงสาววัยยี่สิบต้นๆคนหนึ่ง ใบหน้าเรียวเล็ก ผิวขาวกว่าคนในหมู่บ้านเล็กน้อย นางจ้องมองมาที่ซูเว่ยหรานด้วยแววตาที่เต็มไปด้วย ความอิจฉาริษยาและเหยียดหยาม นางสวมเสื้อผ้าที่ดูดีกว่าคนอื่นในบ้านเล็กน้อยบ่งบอกถึงความเอาใจใส่ในรูปลักษณ์ นี่คือ หลี่ถงลูกติดยายแก่ปากมากนี่ ถือว่าเป็นอาหญิงของหลี่จื่อหานสามีของร่างเดิมนั่นเอง
"โอ้โห! ตื่นแล้วหรือนางตัวซวย นางหมูตอนนึกว่าเจ้าจะนอนกินบ้านกินเมืองจนหลับตายไปแล้วเสียอีก"
หลี่ถงเอ่ยวาจาถากถางไปด้วยก่อนจะยิ้มเยาะเย้ย สีหน้าของนางประดับด้วยรอยยิ้มเย้ยหยันราวกับกำลังสนุกกับการที่ได้ดูถูกซูเว่ยหราน เท้าอวบอ้วนหยุดฝีเท้าเอาไว้และเริ่มที่จะ ประจันหน้ากับคนมาใหม่อย่างไม่ยอมแพ้ ดวงตาของนางภายใต้ใบหน้าอวบอ้วนจับจ้องไปที่หลี่ถงอย่างไม่วางตา หลี่ถงรู้สึกถึงความกดดันที่ไม่เคยได้รับจากคนตรงหน้ามาก่อน แต่ก็ยังปากดีใส่
"ทำไม? มองอะไร? หรือว่านอนมากจนตาเหล่ไปแล้วนางอ้วน"
หลี่ถงถามด้วยน้ำเสียงกวนโทสะมากขึ้น เมื่อเห็นว่าซูเว่ยหรานยังคงเงียบงัน
"ฮึ่ม! เห็นแก่ความอ้วนอุ้ยอ้ายของเจ้าแล้วนางหมูตอน ข้าว่าไม่น่าจะมีแรงเดินไปไหนไกลหรอกมั้งคิกๆๆ"
นางพูดพร้อมกับยกมือขึ้นมาปิดปากหัวเราะคิกคัก ซูเว่ยหรานถอนหายใจช้าๆ เธอจำได้ว่าในความทรงจำของร่างเดิม นางถูกหลี่ถงคนนี้รังแกและดูถูกอยู่บ่อยครั้ง ด้วยความอ้วนและความอัปลักษณ์ของซูเว่ยหราน ทำให้หลี่ถงยิ่งได้ใจและไม่เคยเกรงใจไยดีหลานสะใภ้ผู้นี้เลยแม้แต่น้อย แต่ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว
ซูเว่ยหรานคนใหม่ระบายยิ้มบนใบหน้า ยิ้มนั้นเป็นรอยยิ้มที่สามารถทำให้คนเสียวสันหลังได้ทีเดียว ดวงตาที่เคยเล็กเรียวตอนนี้ฉายแววคมกริบเย็นเยียบ เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบแต่แฝงด้วยความร้ายกาจ
"หลี่ถง เจ้าเกรงว่าข้าจะกินจนอ้วน หรือกลัวว่าเจ้าจะไม่มีเสบียงติดไม้ติดมือขนกลับไปบ้านสามีจนถูกแม่สามีกับสามีตัวดีของเจ้าทุบตีกลับมาอีกกันแน่?"
คำพูดของซูเฉียวหว่านในร่างของซูเว่ยหรานทำเอาหลี่ถิงหน้าซีดเผือด นางเบิกตากว้างด้วยความตกใจและโกรธจัด ไม่คิดว่านางอ้วนซูเว่ยหรานจะกล้าเปิดเผยความลับที่นางพยายามปกปิดมาตลอดเรื่องที่ถูกแม่สามีของตนเองทำร้าย นางชี้หน้าซูเว่ยหรานด้วยมือที่สั่นระริก
" เจ้าเอ่ยอันใดนางอ้วนอย่ามาพูดเหลวไหล ตัวเจ้าวางยาหลานชายของข้า ปีนเตียงเขาจนได้เข้าบ้านสกุลหลี่ อย่ามาทำท่าทางยโสกับข้านะนางหมูตอน"
หลี่ถงแผดเสียง น้ำเสียงสั่นเทาด้วยความเจ็บใจที่โดนจี้จุดและโดนเปิดเผยความลับที่เจ็บปวด
"เหลวไหลรึ?"
ซูเฉียวหว่านหัวเราะเบาๆ ในลำคอ เสียงหัวเราะนั้นฟังดูเย็นชาและน่าขนลุกก่อนจะเหลือบมองหลี่ถงด้วยสายตาหยามเหยียด แล้วเอ่ยออกมา
"ข้าพูดความจริงต่างหาก ใครๆ เขาก็รู้กันทั้งหมู่บ้านว่าเจ้าโดนอะไรมาบ้าง ส่วนเรื่องการวางยาหลานชายเจ้า...ทำไมข้ารู้สึกว่ายานั่นคนที่วางไม่ใช่ข้ากันนะ อีกอย่างใครวางยาเขาเพื่อที่จะขึ้นเตียงหลี่จื่อหานกันแน่ข้าว่าเจ้ารู้ดีนะ สุดท้ายตัวเองกับพลาดไปคว้าเอาคนขี้เหล้ามาแทน อาหญิงอยากปีนเตียงหลานชาย จุ๊ๆๆๆ เรื่องนี้น่าป่าวประกาศจริงๆ ไม่รู้ว่าในเมืองมีนักเล่านิทานหรือไม่"
หลี่ถงยืนตัวแข็งทื่อ ใบหน้าขาวซีดเผือดด้วยความหวาดหวั่น นางหมูตอนนี้พูดอะไรออกมากัน นางหมายความว่าอย่างไร นางโง่นี่รู้เรื่องหกปีก่อนหรือ หลี่ถงทั้งอับอายและโกรธแค้น สายตาของนางเต็มไปด้วยความเคียดแค้นชิงชังที่จ้องมองมาที่ร่างอวบอ้วน แต่ซูเว่ยหรานไม่สนใจปฏิกิริยาของอีกฝ่าย นางก้าวเท้าเดินตรงไปที่หลี่ถงอย่างช้าๆ ไม่มีความเกรงกลัวหรือลังเลแม้แต่น้อยก่อนจะตวาดเสียงดัง
"หลีกไป นางโคมเขียว"
เมื่อหลี่ถงไม่ขยับ ซูเว่ยหรานเอ่ยซ้ำด้วยน้ำเสียงที่เด็ดขาดกว่าเดิม
"ถ้าเจ้ายังไม่อยากโดนแม่ผัวตีกลับมาอีก ก็ควรจะสำรวมปากสำรวมคำให้มากกว่านี้ จูพ่านสามีของเจ้ารู้หรือไม่ว่าลูกที่เลี้ยงดูทุกวันนี้ลูกใครกันแน่"
ก่อนที่หลี่ถิงจะทันได้ขยับตัว ซูเว่ยหรานก็ใช้ไหล่อ้วนหนากระแทกใส่ร่างผอมแห้งจนหลี่ถิงล้มคะมำ แล้วเดินผ่านไปอย่างไม่แยแส ทิ้งให้หลี่ถงยังอึ้งอยู่เพียงลำพัง พร้อมกับความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งกลัว ทั้งโกรธแค้นและอับอาย
ซูเว่ยหรานตื่นไม่ไหวเพราะถูกคนตัวโตเรียกร้องทั้งคืน แต่เขาตื่นแล้วไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้แต่เช้า ยามซื่อสาวใช้จึงได้มาปลุก"พระชายา...หม่อมฉันเองเสี่ยวเตี๋ยเพคะ""อืม...รอเดี๋ยวนะ"ซูเว่ยหรานเปิดประตูออกมาก็ต้องเอามือบังตา แสงแดดยามหน้าร้อนนี้ช่างจ้านัก เสี่ยวเตี๋ยยิ้มละไมให้เจ้านายของตน ดูท่าไท่จื่อจะรักใครพระชายายิ่งนัก คอแดงไปหมดเชียว เสี่ยวเตี๋ยเดินตามไปเพื่ออาบน้ำให้นางซูเว่ยหรานนั่งแช่ลงในอ่างหลับตาผ่อนคลาย ขืนเขาว่างแบบนี้มีหวังได้ท้องอีกคนแน่ๆ กินไม่เลิกเลย กระทั่งน้ำเริ่มเย็นนางจึงลุกขึ้น เสี่ยวเตี๋ยส่งเสื้อคลุมมาให้เท้าเรียวก้าวออกจากอ่างยังไม่ทันจะก้าวอีกข้างก็ถูกอุ้มลอยจากพื้น ร่างบางกอดคอเขาทันทีก่อนจะร้องอุทาน"ว้าย...ไท่จื่อทรงทำอะไรเพคะ พื้นเปียกน้ำหากลื่นล้มจะทำเช่นไร""ไม่ล้มหรอก ประชุมเสร็จก็รีบกลับบ้านคิดถึงเมีย เสี่ยวเตี๋ยเจ้าไปได้แล้ว""เพคะ"สาวใช้ยิ้มก่อนจะเดินออกไป ซูเว่ยหรานทุบอกเขาอย่างแรง คนบ้านี่ช่างหน้าหนาหน้าทนยิ่งนัก ปากจิ้มลิ้มเอ่ยต่อว่าทันทีเมื่อสาวใช้ออกไปแล้ว"ท่านพี่...ทำอะไรมิคิดบ้าง คนอื่นจะเอาไปนินทาได้นะเจ้าคะ""คนงาม.......พี่คำนวณแล้วตอนนี้เจ้า
ยามซวีแล้วคนตัวโตเพิ่งจะงัวเงียตื่นขึ้นมาก่อนจะสำรวจตนเอง เมียสวมเสื้อผ้าให้กับเขาเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งนางยังนั่งหลับฟุบอยู่ที่โต๊ะ บนโต๊ะมีอาหารที่ควันยังคงลอยกรุ่น จ้าวจื่อหานรู้สึกผิดที่ทำให้นางลำบาก ร่างสูงลุกจากเตียงเดินไปหาร่างบางที่ฟุบอยู่กับโต๊ะก่อนจะช้อนอุ้มนางขึ้นมา ซูเว่ยหรานลืมตายิ้มให้เขาเอ่ยถามออกมา"ตื่นแล้วหรือเพคะ..หม่อมฉันอุ่นอาหารเอาไว้""ไม่หิวข้าว หิวแต่เจ้า""พอได้แล้วเพคะ เสวยก่อนเถอะหม่อมฉันมีเรื่องจะคุยด้วย""หรานหราน...เจอกับใต้เท้าเซียวหรือยัง""ใต้เท้าเซียวหรือเพคะ เขาคือผู้ใดกัน"จ้าวจื่อหานวางนางลงบนเตียงก่อนจะหอมแก้มนางอย่างอ่อนโยน เขาอยากให้นางกับบิดาได้พบกัน แต่อีกใจก็เกรงว่านางจะอาการกำเริบ จึงลองโยนหินถามทางก่อน"อาการปวดหัวเป็นเช่นไรบ้างบอกพี่สิ""บางวันก็มีปวดตุ๊บๆ แต่ไม่ร้ายแรง มีแค่ครั้งนั้นที่ปวดมากเสด็จพ่อให้หมอหลวงจ่ายยาก็พอทุเลาลงบ้าง ยาที่ท่านพ่อทิ้งไว้ให้หมดแล้วอาการจึงกำเริบบ่อยๆ แต่ไม่หนักเท่าไหร่เพคะ"ร่างสูงนั่งลงช้อนนางมานั่งตัก เขาเอ่ยกับนางเรื่องออกเดินทางไปอารามเต๋า"หรานหราน....พี่จะพาเจ้าท่องเที่ยวอยากไปหรือไม่ บัดนี้บ้า
จ้าวจื่อหานจุมพิตซูเว่ยหรานอย่างแผ่วเบา ก่อนจะค่อยๆ เพิ่มความร้อนแรง มือหนาปลดอาภรณ์ผืนงามออกทีละชิ้นก่อนจะทิ้งมันลงข้างเตียง กระทั่งนางเปลือยเปล่าเขาลูบไล้เรือนร่างเย้ายวน ปากหยักละจากริมฝีปากอวบอิ่ม กวาดสายตามองทั่วเรือนร่างของนาง สายตาหลงใหลไม่ปิดบัง ซูเว่ยหรานใบหน้าเห่อร้อนเพราะความเขินอาย นางยกแขนขึ้นปิดทรวงอกสล้างที่เปิดเผย คนตัวโตจับมือนางออกเพื่อมองมันให้เต็มตาพร้อมกับเอ่ยกระเซ้า"งามเพียงนี้จะปิดบังไปไย ขอพี่มองให้ชื่นใจหน่อยเถอะ หรานหรานยิ่งมีลูกเจ้ายิ่งงามนัก""ท่านพี่...ท่านเอาแต่จ้องใครจะไม่อายเล่า""เรามีลูกด้วยกันแล้วนะ มาเถอะหนิงซินอยากมีน้องชายน้องสาวเราอย่าเสียเวลาเลยมาทำน้องให้เด็กๆกันเถอะ"เขาเอ่ยจบก้มอบจุมพิตให้นางอีกครั้ง ก่อนจะถอนริมฝีปากแล้วเลื่อนใบหน้าหล่อเหลาพรมจูบนางไปทั่วพวงแก้ม จ้าวจื่อหานงับติ่งหูนางเบาๆ เรียกเสียงครางกระเส่าจากคนใต้ร่างออกมา"อ๊า...ท่านพี่""เจ้าหวานนัก หรานหรานเจ้าหอมเย้ายวนเหลือเกิน"จ้าวจื่อหานซุกไซร้จมูกโด่งต่ำลงมาเรื่อยๆ กระทั่งถึงเนินสล้างลมหายใจอุ่นร้อนของเขา ทำเอาคนใต้ร่างขนลุกเกรียวด้วยความรัญจวน ปลายถันสีหวานชูชันรอเขามาชิม
ซูเว่ยหรานกำลังจัดการต้นกล้าที่ได้มาอยู่ที่ลานบ้าน ยามนี้ชาวบ้านที่หนีการกวาดต้อนกลับไปอยู่บ้านของตนเองได้แล้ว ต้าเป่ยก็มีฮ่องเต้องค์ใหม่ที่รักใคร่และห่วงใยราษฎร สามีนางไปได้สี่เดือนแล้ว บัดนี้เขากำลังเดินทางกลับมาต้าเหยียนซูหานกลับจวนมาก่อน รัชทายาทกำลังตามมาติดๆ เมื่อมาถึงที่เรือนสำหรับใช้ทำงานเขามองดูบุตรสาวที่นั่งเขียนพู่กันอยู่ที่ศาลาข้างๆ มีหลี่เย่าฟางนั่งจัดแยกชนิดของต้านกล้า คนงานบรรจุลงตะกร้าไม้ไผ่ มองไปเห็นตะต้นกล้าวางเรียงจนเต็มลานมีเพียงแค่ทางเดิน ซูหานเดินเข้าไปหานางเอ่ยเรียก"พระชายา"ใบหน้าหวานเงยหน้าขึ้นตามเสียงเรียกก่อนจะวางพู่กันแล้วรีบลุกวิ่งลงมาหาสวมกอดเขาเอาไว้"ท่านพ่อ...ท่านกลับมาแล้ว บาดเจ็บหรือไม่ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่าเจ้าคะ"มือหนายกขึ้นลูบศีรษะสวยได้รูป ซูหานกอดตอบก่อนจะเอ่ย"พ่อไม่เป็นไร...อืมเด็กดีตอนที่พ่อจากไปเจ้าถึงวัยปักปิ่นแล้วแต่พ่อกลับไม่ได้ทำหน้าที่บิดาให้ดี มิได้ทำพิธีนั้นให้เจ้า แต่วันนี้พ่อมีของขวัญมาชดเชย"ซูหานหยิบปิ่นออกมา ตัวปิ่นเป็นเงินบริสุทธิ์ ดัดจนอ่อนช้อยประดับหยกเนื้อดี อีกทั้งพู่ห้อยทำจากเงินค่อยๆ ต่อห่วงลงมาเป็นโซ่เส้นเล็กๆ สามเส้
หลี่จื่อหานที่ยืนสง่าอยู่หน้าประตูของท้องพระโรงนั้นเงาของเขาทอดยาวจนบดบังรัศมีด้านใน แม้แต่บนบัลลังก์มังกรที่จ้าวรุ่ยซิงนั่งอยู่ก็มืดมิดในทันทีเมื่อเงาของเขาทอดลงมา จ้าวรุ่ยซิงไม่รีบเรียกหาคนของตนทันที"ทหารวัง องครักษ์ พวกเจ้าไปตายที่ไหนกันหมด มีคนร้ายๆ"เสียงฝีเท้าขององครักษ์กรูเข้ามาเพื่อปกป้องเขากว่าสามร้อยคนจนท้องพระโรงแน่นไปหมด จ้าวรุ่ยซิงสั่งการทันที"พวกเจ้าจัดการพวกมัน ฆ่าทิ้งอย่าให้เหลือแม่แต่มดสักตัว มันคือบุตรชายของกบฏ จ้าวหมิงเทียน ที่คิดชิงบัลลังก์จากอดีตฮ่องเต้ และไอ้คนทรยศจ้าวฉี่หลิง ฆ่าให้หมด"องครักษ์เดินสามขุมเข้าหากลุ่มของหลี่จื่อหาน แต่ยังไม่ทันเงื้อดาบมือก็มีลูกธนูพุ่งลงมาปักกลางท้องพระโรง ขุนนางที่ตอนนี้ถูกคุมตัวอยู่ไม่สามารถหนีออกไปได้ก็มองหน้ากัน หลี่จื่อก็จะเดินเข้ามาตามด้วยพลธนูนับร้อยที่ขึ้นสายพร้อมยิง ร่างสูงหิ้วคอเสื้อจ้าวหมิงฮ่าวมาโยนลงตรงเท้าจ้าวรุ่ยซิงก่อนจะเอ่ยช้าๆ"เจ้าไม่ต้องหาเรื่องให้ตัวเองรีบตายเพียงนี้ สกุลซุนของมารดาข้ากว่าสามร้อยชีวิต ยังมีสกุลซุนสายรองของท่านน้าไฉ่หลินอีกร้อยกว่าชีวิตข้ายังไม่ได้ชำระ ให้เจ้าตายง่ายๆ จะสบายเกินไปนะจ้าวรุ่ยซ
ยามอิ๋นกองทัพเตรียมพร้อมที่จะเคลื่อนพลเนื่อจากทางจ้าวฉี่หลิงส่งข่าวมาแล้วว่ายามนยี้เขาปะปนกับทหารวังเรียบร้อย พรุ่งนี้ยามเฉินประชุมเช้าสามารถบุกเข้าวังได้เลย หลี่จื่อหานมิได้นอนเขาต้องการไปสำรวจเมืองหลวงก่อนเขาเคยมาเมืองหลวงครั้งหนึ่งเมื่อสิบปีก่อน มิรู้ยามนี้เปลี่ยนแปลงไปเช่นไรบ้าง ร่างสูงดีดตัวข้ามกำแพงเมืองมาได้ก้สำรวจพื้นที่ เขาสำรวจจนมาถึงบ้านเดิมมารดาที่ยามนี้กลายเป็นเพียงจวนร้างหลังหนึ่ง กว่าสามร้อยชีวิตถูกสังเวยที่นี่ เซียวอี้ที่ติดตามมาด้วยมองชายหนุ่มที่เดินนำหน้าก่อนจะเอ่ยกับเขา"ไม่จื่อ.....ผ่านมายี่สิบกว่าปีแล้วหากพรุ่งนี้ทุกอย่างเรียบร้อยจะทรงมาฟื้นฟูที่นี่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ""เฮ้อ...ท่านพ่อตาข้าไม่อยากใช้ชีวิตที่นี่ ข้ากลัวว่าหากดึงเข็มทองออกแล้วนางจำเรื่องราวได้ เมื่องหลวงแห่งนี้คือสถานที่ฝันร้ายสำหรับนาง"เซียวอี้เงียบลง เขารู้สึกดีใจที่บัตรเขยรักบุตรสาวของตนเพียงนี้ แม้ว่าก่อนหน้าชีวิตบุตรสาวจะลำบากเพราะสตรีแซ่หลิวคนนั้นแต่เรื่องผ่านมาแล้ว ก่อนที่จะได้ยินเขาเอ่ยอีกครั้ง"หากเสร็จเรื่องข้าอยากมีลูกกับนางอีกสักสามสี่คน ท่านเองก็ร่างกายไม่เหมือนเก่า อยู่บ้านเลี้ยงหลานก็ไม







