โทสะของโซ่วอ๋องทำให้หวังฮุ่ยหลิงรีบเดินไปจับมือของเฉินเจียวเจียวเอาไว้ ไม่ว่าอย่างไรหลี่ถังหรูก็เป็นขนิษฐาร่วมอุทร แต่เฉินเจียวเจียวนั้นไม่ใช่ หากโทสะของโซ่วอ๋องมาลงที่เฉินเจียวเจียวนางในฐานะสหายสนิทย่อมไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นแน่
“โซ่วอ๋องกับคุณหนูรองสกุลหลินนี่ช่างสนิทสนมกันมากเสียจริงนะเพคะ นางพูดอะไรออกมาท่านอ๋องก็ล้วนเชื่อไปหมด” เฉินเจียวเจียวเอ่ยพลางคิดถึงเรื่องในช่วงชีวิตก่อนของตนเอง หลายครั้งที่นางถูกใส่ความจนต้องคิดหาวิธีแก้ต่างให้ตนเองตั้งมากมาย จนถึงครั้งสุดท้ายแม้แต่ถ้อยคำแก้ตัวเขาก็ยังไม่ได้ให้เวลาแก่นางเลย นางเคยคิดว่าตนเองไม่ได้มีความสามารถอ่อนด้อยไปกว่าหลินชิงเหมย แม้แต่ยามที่รับรู้ถึงบาดแผลอันแสบร้อนบนแผ่นหลังและความเจ็บปวดที่ท้องน้อยของตนเองในยามนั้นนางก็ยังไม่ได้คิดว่าตนเองพ่ายแพ้ แต่สิ่งที่ทำให้นางรู้สึกพ่ายแพ้อย่างราบคาบก็คือนางไม่สามารถเหนี่ยวรั้งความรักและความเชื่อใจจากคนตรงหน้าได้ต่างหาก
“หากเป็นหม่อมฉันพูดท่านอ๋องก็คงจะไม่เชื่อ แต่ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่หม่อมฉันก็ไม่คิดจะสนใจอีกต่อไปแล้ว สำหรับหม่อมแล้วความริษยาหรือความใจแคบย่อมมีดังเช่นคนปกติทั่วไป เพียงแต่หลินชิงเหมยผู้นั้นมีสิ่งใดให้หม่อมฉันต้องริษยาด้วยหรือเพคะ ต่อให้ท่านอ๋องถูกอกถูกใจจริงจนคิดจะรับนางเข้ามานางก็ไม่มีทางเทียบเคียงข้าได้ ที่จริงแล้วเรื่องนี้จะไม่ส่งผลรุนแรงเช่นนี้หากท่านอ๋องยึดมั่นในระเบียบประเพณี ให้เกียรติทั้งหม่อมฉันและคุณหนูรองสกุลหลินเรื่องที่ท่านอ๋องทำก็จะไม่ได้เป็นเรื่องราวใหญ่โตเช่นนี้” คำพูดนี้ของเฉินเจียวเจียวทำให้ทุกคนในห้องต่างนิ่งเงียบ
“ต่อให้นางไม่สามารถเทียบเคียงเจ้าได้ แต่เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์จงใจปล่อยข่าวลือทำให้ชื่อเสียงของนางต้องมัวหมอง อีกทั้งยังเป็นสาเหตุให้อี๋เหนียงของนางต้องตายเช่นนี้” เมื่อโซ่วอ๋องเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเจียวก็หัวเราะออกมาเบาๆ
“อี๋เหนียงผู้นั้นหากบริสุทธิ์ผุดผ่องจริงเหตุใดจึงต้องตาย พวกนางสองคนแม่ลูกวางแผนอันใดท่านอ๋องยังดูไม่ออกอีกหรือเพคะ หากยังไม่กระจ่างแจ้งท่านอ๋องลองสอบถามไปยังสกุลหลินดูก็ได้ว่าคุณหนูรองจวนสกุลหลินเหตุใดจึงได้บังเอิญพบกับท่านอ๋องเพียงลำพังหลายครั้ง สาวใช้หรือผู้คุ้มกันก็ไม่มี ท่านอ๋องเองก็ทรงมีสายเลือดเดียวกันกับหลินฮูหยินถึงกึ่งหนึ่งจะทรงไม่รู้เชียวหรือว่านางไม่ใช่คนใจร้าย เด็กสาวอายุน้อยอย่างหลินชิงเหมยหากไม่มีผู้ใดยั่วยุนางจะกล้าคิดตีสนิทกับบุรุษแปลกหน้าผู้หนึ่งจนถึงขั้นแตะเนื้อต้องตัวกันอย่างไม่สมควรเช่นนั้นหรือ” คำพูดของเฉินเจียวเจียวทำให้โซ่วอ๋องนิ่งงันไป นางเหลือมองที่หน้าประตูด้วยท่าทางบอบบางและอ่อนแอชี้ให้โซ่วอ๋องหันไปดูว่ายามนี้มีผู้คนมารายล้อมทั้งมองและแอบฟังพวกเขาอยู่หน้าห้องจนเนืองแน่น
“หม่อมฉันพยายามประพฤติตนให้เหมาะสมกับตำแหน่งพระชายาเอกของพระองค์ สิ่งใดควรเรียนรู้หม่อมฉันก็พยายามเรียนรู้ ต้องสำรวมตนอย่างไรท่วงท่ากิริยาเช่นไหนที่นับว่าถูกต้องเหมาะสม หม่อมฉันก็พยายามแล้วพยายามอีกพยายามจนไม่มีสิ่งใดที่จะต้องใช้ความพยายามได้มากกว่านี้อีกแล้ว แต่ท่านอ๋องกลับไม่เคยคิดถึงข้อนี้ ยามนี้หม่อมฉันรู้สึกว่าตนเองเหน็ดเหนื่อยเต็มทีแล้ว ตำแหน่งพระชายาของพระองค์คงจะไม่เหมาะสมกับหม่อมฉัน จริงอยู่เรื่องการหมั้นหมายถูกจัดการขึ้นจากความเห็นชอบของผู้อาวุโส แต่ยามนี้หม่อมฉันขอกลายเป็นบุตรสาวอกตัญญูทำลายความตั้งใจของผู้อาวุโสแล้ว” คำพูดของเฉินเจียวเจียวทำให้ทั้งหลี่ถังหรูและหวังฮุ่ยหลิงพลันหน้าเปลี่ยนสีพร้อมกันในทันที
“เพ้ย! ผู้ใดอกตัญญูกัน หลายปีมานี้สิ่งที่เจ้าทำข้าล้วนมองเห็นเป็นเพราะเสด็จพี่ของข้าตั้งหากที่อกตัญญู” คำพูดของหลี่ถังหรูทำให้เฉินเจียวเจียวหันไปมองนางด้วยความซาบซึ้ง
“เจ้าวางใจเถิด ตามบันทึกโบราณของแคว้นต้าเยียนไม่มีข้อไหนที่บอกว่าขอยกเลิกการแต่งงานนับว่าเป็นความอกตัญญู เจ้าอย่าได้ใช้คำว่าอกตัญญูมาทำลายตนเองเพียงเพราะการปฏิเสธการแต่งงานที่มีวี่แววว่าจะล้มเหลวตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่มเช่นนี้เลย” คำพูดของหวังฮุ่ยหลิงทำให้เซียวอวิ๋นหยวนที่ยังคงกำหมากอยู่ในมือยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน ส่วนบุรุษชุดดำที่นั่งอยู่ตำแหน่งตรงข้ามก็ยังคงตั้งอกตั้งใจฟังถ้อยคำของสตรีข้างห้องอยู่
“ดียิ่ง! กล้าเอ่ยปากขอถอนหมั้นต่อหน้าข้าเช่นนี้วันข้างหน้าเจ้าก็ควรจะรอรับผลกระทบต่อการกระทำของเจ้าด้วย” เฉินเจียวเจียวก้มหน้าลงทำพลางย่อกายคารวะ
“ผู้น้อยเช่นหม่อมฉันยินดีรับผลของการกระทำ หม่อมฉันยังมีเรื่องที่ต้องพูดคุยกับสหายรบกวนท่านอ๋องมอบความเป็นส่วนตัวให้หม่อมฉันด้วย … ขอไม่ส่งนะเพคะ” คำพูดนี้ของเฉินเจียวเจียวทำให้โซ่วอ๋องหลี่ไท่หยางแค่นเสียงออกมาอย่างไม่พอใจสะบัดชายแขนเสื้อแล้วเดินออกจากห้องไปในทันที
“ตงจื้อไล่คนที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปให้หมด” เฉินเจียวเจียวเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยว
“เจียวเจียวเจ้าทำเช่นนี้คุ้มค่าแล้วหรือ” คำถามของหลี่ถังหรูทำให้เฉินเจียวเจียวยิ้มออกมา
“ตัดไฟเสียแต่ต้นลม แม้ว่าจะทำให้ได้รับบาดเจ็บทางใจอยู่บ้าง แต่ก็ยังดีกว่าสูญเสียมากกว่านี้” คำพูดอันสั่นเครือของเฉินเจียวเจียวทำให้สหายทั้งสองของนางรีบเดินมาโอบกอดนางไว้เพื่อปลอบโยน นางที่ถูกห่อหุ้มด้วยอ้อมกอดของสหายทั้งสองอดยิ้มออกมาทั้งน้ำตามิได้ เป็นสามีภรรยาร่วมผูกผมกันมาชาติหนึ่งใช่ว่าใจนางจะไม่มีเขาแต่ความเลวร้ายในชาติก่อนและความเจ็บช้ำที่ได้รับในวันนี้ มันถึงเวลาแล้วที่นางควรจะต้องตัดใจ
ในขณะที่สตรีทั้งสามกำลังจมอยู่ในความคิดของตนเองแต่บุรุษสองคนที่นั่งอยู่อีกห้องหนึ่งกลับมีความเคลื่อนไหว เซียวอวิ๋นหยวนขยับกายลุกขึ้นแล้วรีบเดินไปปิดหน้าต่างทางฝั่งตนเองอย่างแผ่วเบา
“แอบฟังผู้อื่นพูดคุยกันเช่นนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องดี” เมื่อเซียวอวิ๋นหยวนเอ่ยเช่นนี้หลี่ไท่หลงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอดหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่ได้
“เจ้ายังตามเล่ห์กลของสตรีไม่ทัน ยังคงต้องศึกษาให้มาก เจ้าคิดว่าหากพวกเราไม่แอบฟังถ้อยคำของพวกนางในวันนี้พวกเราก็จะไม่ได้ยินถ้อยคำที่พวกนางใช้ตอนที่เอ่ยปากขอถอนหมั้นเช่นนั้นหรือ” คำพูดของหลี่ไท่หลงทำให้เซียวอวิ๋นหยวนหรี่ตาลง
“พวกนางตั้งใจ เรื่องในวันนี้เป็นความตั้งใจของพวกนาง ไม่รู้ว่าพวกนางรู้หรือไม่ว่าพวกเรานั่งอยู่ที่นี่ แต่เฉินเจียวเจียวผู้นั้นตั้งใจวางกับดักขุดเหยื่อล่อทำให้น้องรองของข้ามาที่นี่” คำพูดขององค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงทำให้เซียวอวิ๋นหยวนพลันจ้องมองเขาด้วยความประหลาดใจ
“หากเจ้ายังโง่งมเช่นนี้ มีหวังเจ้าถูกสตรีจากสกุลหวังผู้นั้นปั่นหัวจนโง่งมเหมือนน้องรองของข้าเป็นแน่ หึหึ ไม่มีข้อไหนในบันทึกโบราณระบุไว้ ไม่รู้ว่าพวกนางเตรียมการเอาไว้จนถึงขั้นไหนบันทึกโบราณก็กล้าหยิบยกขึ้นมาอ้าง” องค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงเอ่ยพลางปัดเปลือกเมล็ดแตงที่ไม่รู้ว่าแกะตอนไหนออกจากชายชุดคลุม
“พวกเรารีบออกจากที่นี่ดีกว่า ข้าเดาว่าพวกนางไม่น่าจะรู้ว่าพวกเราอยู่นี่ หากพวกนางรู้ไม่แคล้วองค์รัชทายาทเช่นข้าคงได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของการแสดงงิ้วของพวกนางแน่ๆ” เมื่อองค์รัชทายาทตรัสเช่นนี้เซียวอวิ๋นหยวนที่ไม่เคยสงสัยในมันสมองของผู้ที่เป็นทั้งสหายและเจ้านายก็รีบขยับตัวเพื่อลุกขึ้นยืนในทันที
หลังเสร็จสิ้นงานเลี้ยงเฉินฮองเฮาจึงได้ปลีกตัวกลับตำหนักอันหนิงไปก่อนเหลือเพียงหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ที่ทรงเรียกน้องชายเข้ามาตักเตือนเป็นการส่วนพระองค์โดยมีองค์ชายทั้งสองประทับอยู่ด้วย“จนถึงยามนี้แล้วเจ้าก็ยังคิดไม่ได้อีกหรือ น้องรองพระชายาของเจ้าผู้นี้แม้ว่าจะไม่ได้งดงาม รูปร่างก็ใหญ่โตแต่สิ่งที่นางมีเหนือผู้อื่นก็คือความจริงใจ แม้ว่าจะดุดันและไม่ช่างเอาอกเอาใจแต่เจ้าก็ไม่ต้องคอยระมัดระวังตัวและคอยคาดเดาอารมณ์ของนาง นางโกรธเจ้าก็รู้ นางโมโหเข้าก็แค่ถูกด่าหลังจากถูกโบยตีไม่กี่ทีนางก็กลับไปเป็นปกติแล้ว” หลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสพลางถอนพระปัสสาสะออกมา“ในขณะที่คนงามส่วนใหญ่กลับซับซ้อนมากกว่านั้นภายใต้สีหน้ายิ้มแย้มของพวกนางมีความคิดมากมายซุกซ่อนอยู่ภายในใจ ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่มีทางจะคาดเดาความคิดของนางได้แน่ น้องรองเจ้าโชคดีแล้วที่ได้โม่หลันเป็นพระชายา อย่าได้คิดหาเศษหาเลยแล้วทำให้ชีวิตของตนเองต้องตกต่ำอีกเลย” เมื่อหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสเช่นนี้โซ่วอ๋องที่คุกเข่าขอรับผิดอยู่ตรงหน้าก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ“เสด็จพี่! แล้วพระองค์ทรงไม่เคยหวั่นไหวบ้างเลยหรือ มีคนงามมาอยู่ตรงห
เฉินฮองเฮาแห่งแคว้นต้าเยียนทรงสิริโฉม เต็มเปี่ยมไปด้วยสติปัญญา ได้รับความรักและความให้เกียรติจากสวามีจนสตรีทั่วแคว้นต่างโจษจันกันไปจนทั่ว สตรีทุกนางล้วนริษยาในความพรั่งพร้อมและสมบูรณ์พูนสุขของพระนางนาง พระนางประสูติพระโอรสสองพระองค์พระธิดาหนึ่งพระองค์แม้ว่าจะทรงมีพระชันษามากแล้วความงามของพระนางก็ยังคงเป็นที่กล่าวขานถึง“นี่ใช้คำว่ารักและให้เกียรติได้อย่างไรกัน ต้องใช้คำว่ารักและเคารพมากกว่า” หลี่เทียนหลงองค์รัชทายาทแคว้นต้าเยียนเอ่ยกับพระอนุชาด้วยสุรเสียงแผ่วเบา“รักหรือไม่ข้าไม่แน่ใจ แต่เคารพและเกรงกลัวข้าขอยืนยันว่าเป็นความจริง เสด็จพี่ทรงทอดพระเนตรดูขุนนางที่ไม่รู้จักตายนั่นสิ พยายามจะยัดเยียดบุตรสาวโฉมงามให้เสด็จพ่อ แถมยังโอ้อวดว่าทั้งร่างกายและจิตใจบุตรสาวของเขาล้วนงดงามพิสุทธิ์หาผู้ใดเทียม ช่างไม่ดูเสียบ้างว่ายามนี้สีพระพักตร์ของเสด็จพ่อซีดเซียวเสียยิ่งกว่าไก่ในโถน้ำแกงเสียอีก” หลี่เทียนเฮ่าผู้เป็นองค์ชายรองเอ่ยกับพระเชษฐาด้วยน้ำเสียงซุกซน โดยไม่สนพระทัยหลี่เทียนหรูพระขนิษฐาพระองค์เล็กที่ในยามนี้หลบไปนั่งอยู่กับบรรดาสตรีในจวนผิงกั๋วกงแล้ว ค่ำคืนนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองเทศกาลหยวนเซี
หลังจากเสร็จสิ้นพิธีอภิเษกไปเพียงไม่กี่วัน เฉินเจียวเจียวก็ต้องสวมชุดไว้ทุกข์ให้แก่จ้าวไทเฮา แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่คาดเดาได้อยู่แล้ว แต่เพลิงพิโรธของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ผู้เป็นราชบิดาของสามีก็ยังทำให้นางอดใจสั่นไม่ได้“เจ้าลูกเลว! หากเจ้าไม่ส่งคนไปบอกยามนี้พระนางก็คงจะยังทรงดำเนินชีวิตได้ตามปกติ” พระสุรเสียงที่ทรงตรัสออกมาทำให้เฉินเจียวเจียวที่คุกเข่าอยู่ทางด้านข้างขององค์รัชทายาทไม่กล้าเงยหน้าขึ้น“ลูกก็แค่คิดว่าไม่ควรจะหลอกลวงพระนางอีกต่อไป”“ยังไม่สำนึกอีก! หลี่ไท่หลงนางคือเสด็จย่าของเจ้านะ นางคือแม้แท้ๆ ของข้า และก็เป็นนางที่ผลักดันจนข้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้จวบจนทุกวันนี้” ถ้อยคำนี้ของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงเต็มไปด้วยกระแสอารมณ์อันเศร้าโศกและโกรธเกรี้ยว เฉินเจียวเจียวที่ก้มหน้าอยู่อดเหลือบมองสวามีของตนเองที่ยามนี้เงยหน้าขึ้นไปทุ่มเถียงกับพระราชบิดาของตนเองไม่ได้“แต่ก็เป็นพระนางที่วางแผนปลิดชีพพระมารดาของลูก เป็นพระนางที่ยึดครองพระราชอำนาจของเสด็จพ่อไปตั้งนานหลายปี แล้วก็เป็นพระนางที่สนับสนุนสกุลจ้าวให้ทะเยอทะยานและก้าวล้างพระราชอำนาจของเสด็จพ่ออยู่หลายครั้ง ลูกเข้าใจในความรักความผูกพัน
พิธีอภิเษกขององค์รัชทายาทและคุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ บุรุษของจวนผิงกั๋วกงเดินทางเข้าเมืองหลวงพร้อมกันอีกครั้งเพื่อเข้าร่วมในพิธีครั้งนี้ เฉินเจียวเจียวแต่งกายอย่างดงามสวมมงกุฎหงส์และผ้าคลุมหน้าที่ปักลวดลายอันวิจิตรนั่งเกี้ยวเข้าวังหลวงอย่างยิ่งใหญ่ การแต่งงานในชาตินี้นับว่าเป็นการแต่งงานที่ยิ่งใหญ่กว่าในชาติที่แล้ว คนที่รอรับนางลงจากเกี้ยวก็ไม่ใช่คนเดิม นางจึงไม่กล้าตั้งความหวังต่อชีวิตการแต่งงานเท่าใดนัก ไม่คาดหวังก็ย่อมจะไม่ผิดหวัง เรื่องนี้นางสามารถเรียนรู้มาจากชาติที่แล้ว ในชาตินี้ชีวิตของนางจึงถูกเติมเต็มไปด้วยความสุข“ฮู่ว ในที่สุดก็ได้พบหน้ากันโดยไม่ต้องปีนกำแพงเสียที” องค์รัชทายาทเอ่ยหลังจากที่ใช่คันชั่งเปิดผ้าคลุมหน้าของนางแล้ว เขาจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่งด้วยสายตาอันแวววาว แล้วจึงได้เอ่ยถ้อยคำชื่นชมออกมาอย่างที่ควรจะเป็น“เจ้างามมาก” คำพูดประโยคนี้ของเขาทำให้นางอดยิ้มออกมาไม่ได้ฝ่าบาททรงประทานงานเลี้ยงฉลองให้แก่ผู้มาร่วมงานภายในวัง แต่เพราะเขามีฐานะเป็นถึงองค์รัชทายาทจึงไม่ต้องออกไปคารวะสุรามงคลให้แก่ผู้ใด ยามนี้ภายในห้องหอจึงมีเพียงเขาและนางเพียงเท่านั้น
พิธีปักปิ่นของคุณหนูใหญ่ของจวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ในฐานะว่าที่พระชายาองค์รัชทายาท ย่อมมีเจ้าหน้าที่จากกรมพิธีการมาช่วยเหลือในการดำเนินพิธี เฉินเจียวเจียวนั่งอยู่ท่ามกลางเหล่าฮูหยินผู้เต็มไปด้วยโชคลาภทั้งหลายด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม พวกนางช่วยหวีผมให้พร้อมคำอวยพรอันเป็นมงคลปิ่นแรกที่ปักลงมาบนมวยผมคือปิ่นพระราชทานจากเฉียวกุ้ยเฟย ตามมาด้วยปิ่นของพระนางเต๋อเฟย และบรรดาพระสนมที่เฉินเจียวเจียวเคยพบ ฮูหยินผู้เฒ่าจวนผิงกั๋วกงและฮูหยินผู้เฒ่าจวนสกุลหยวนนำปิ่นมาปักลงบนมวยผมของเฉินเจียวเจียวด้วยตนเอง ต่อมาก็เป็นสตรีอาวุโสในจวนและสตรีอาวุโสที่มีความสัมพันธ์กันดีกับจวนผิงกั๋วกงเมื่อเสร็จสิ้นพิธีปักปิ่นเฉินเจียวเจียวก็ลูกขึ้นคารวะขอบคุณอย่างเต็มพิธีการสามครั้งแล้วจึงเข้าสู่งานเลี้ยง เฉินเจียวเหม่ยและเฉินเจียวมี่ที่ได้รับหน้าที่ถือพานใส่หวีและปิ่น ต่างรีบจับจูงนางกลับเรือนด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม มีคุณหนูจากหลายจวนที่มีความสัมพันธ์อันดีมาร่วมแสดงความยินดีด้วย แน่นอนว่าคนที่มาย่อมขาดหวังฮุ่ยหลิงและองค์หญิงเก้าหลี่ถังหรูไม่ได้เหตุการณ์ปราบกบฏสกุลเจ้าเกิดขึ้นเร็วกว่าในชาติที่แล้ว ในชาตินี้เซียว
เมื่อบ้านเมืองสงบสุขชีวิตความเป็นอยู่ของชาวประชาก็กลับมาดำเนินไปตามปกติ เกิดแก่เจ็บตายล้วนเป็นไปตามยถากรรมของโลก ในเมื่อหลินชิงเหมยไม่สามารถทนรับความบอบช้ำของร่างกายไม่ไหว นางจึงได้ตายจากไปในที่สุด ในตอนที่นางจะตายนางยังเคยอดสงสัยไม่ได้ว่า หากนางไม่ทะเยอทะยาน หากนางไม่คิดจะร่วมมือกับสกุลจ้าวชีวิตของนางจะต้องจบลงเช่นนี้ไหม น่าเสียดายที่ต่อให้นางสงสัยมากเพียงใดก็ไม่อาจจะทำอันใดได้แล้วแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นแต่นางกลับรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่า การตายเช่นนี้กลับดีมากแล้ว เพราะในความฝันของนาง นางเคยต้องเผชิญกับความตายที่น่ากลัวกว่านี้ ทั้งถูกทุบตี ทั้งถูกรุมย่ำยีแถมยังถูกทารุณกรรมจนไม่เหลือสภาพความเป็นคน อยากตายก็ไม่ได้ตาย ลืมตาขึ้นมาในแต่ละวันต้องร้องไห้ทุกครั้งที่พบว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่ การถูกโบยจนตายน่าจะเป็นการตายที่สวรรค์ปรานีสำหรับนางมากแล้ว นี่คือความคิดสุดท้ายในห้วงความนึกคิดของนาง ตอนที่โซ่วอ๋องมารับร่างที่ไร้ลมหายใจของนางจึงได้เห็นว่าแม้ในยามหลับบนใบหน้าของนางก็ยังมีรอยยิ้มประดับอยู่หลินชิงเหมยตายแล้ว โซ่วอ๋องจะทุกข์ใจหรือไม่เฉินเจียวเจียวไม่ได้ให้ความสนใจอีกแล้ว เรื่องราวในกาลก่อนราวกับ