แชร์

บทที่ 13 ข่มขู่

ผู้เขียน: BigM00N
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-05-22 22:13:25

องค์รัชทายาทรีบส่งสัญญาณให้องครักษ์ของตนเปิดประตู เมื่อเขาย่างเท้าข้างหนึ่งข้ามกรอบประตูไปแล้วก็รีบชักเท้ากลับเข้าไปด้านในของห้องพักรับรองในทันที ในใจก็ลอบครุ่นคิดว่าวันนี้เขาก้าวเท้าข้างไหนออกจากตำหนักของตนเองกันแน่หนอ…

“เสด็จพี่องค์รัชทายาทจะรีบเสด็จไปที่ใดเล่าเพคะ” เสียงอันอ่อนหวานและเย็นยะเยือกของหลี่ถังหรูทำให้องค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงถึงกับต้องกลอกสายตาขึ้นไปมองบนเพดานของโรงน้ำชาในทันที

“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าอยู่ที่นี่” หลี่ไท่หลงเอ่ยถามพลางขมวดคิ้ว

“บุรุษชุดดำชอบทำสีหน้ายิ้มแย้มตลอดเวลากับบุรุษชุดขาวที่ชอบทำสีหน้าเย็นชาดุจภูเขาน้ำแข็ง หากพวกท่านเดินด้วยกันย่อมจะต้องสะดุดตามากกว่าผู้อื่นอยู่แล้วเพคะ” เมื่อหลี่ถังหรูเอ่ยเช่นนี้หลี่ไท่หลงก็มองนางด้วยสายตาอันเย็นชา แม้ว่าริมฝีปากของเขาจะยังมีรอยยิ้มประทับอยู่ แต่รอยยิ้มของเขากลับไปไม่ถึงดวงตาอันคมดุของเขาคู่นั้น

“ขอองค์รัชทายาทได้โปรดออกหน้าเป็นพยานให้ข้าด้วยเถิด หากฝ่าบาททรงตรัสถามถึงเรื่องนี้กับโซ่วอ๋อง ขอเพียงองค์รัชทายาททรงเอ่ยปากว่าเรื่องราวเป็นดังที่ผู้คนภายนอกเล่าลือกัน เพียงเท่านี้ก็นับว่าเป็นพระกรุณาต่อหม่อมฉันมากแล้วเพคะ” เฉินเจียวเจียวเอ่ยพลางก้าวเท้าเข้าไปในห้องแล้วคุกเข่าลงตรงหน้าของหลี่ไท่หลงด้วยสีหน้าและแววตาอันมุ่งมั่น หลี่ไท่หลงเองเพียงแค่จ้องมองนางด้วยสายตารู้เท่าทันอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงได้เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงท้าทาย

“หากข้าไม่ยอมช่วยออกหน้าเป็นพยานให้เจ้าเล่า”

“ถ้าเช่นนั้นหม่อมฉันก็ขอบังอาจทูลถามว่าพระวรกายขององค์รัชทายาทยังทรงดีอยู่หรือไม่เพคะ” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนี้เซียวอวิ๋นหยวนก็ชักกระบี่ของตนออกมาในทันที หวังฮุ่ยหลิงรีบเดินเข้าไปขวางทางกระบี่ของเขาเอาไว้เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยให้แก่สหายด้วนหน้ามุ่งมั่นแม้ว่าจะมีความหวาดหวั่นต่อคมกระบี่อยู่ไม่น้อยเลย

“หากไม่อยากหาคู่หมายใหม่ รบกวนคุณชายเซียวได้โปรดลดกระบี่ลงด้วยเถิดเจ้าค่ะ” คำพูดของหวังฮุ่ยหลิงทำให้เซียวอวิ๋นหยวนขมวดคิ้วแต่ก็ยอมลดกระบี่ของตนลง

“เสด็จพี่พวกหม่อมฉันและเจียวเจียวต้องขอประทานอภัยที่ใช้เรื่องนี้มาข่มขู่ท่าน แต่ยามนี้หากท่านไม่ออกหน้าช่วยเหลือ เมื่อเจียวเจียวกลับไปถึงจวนของนางแล้วนางข้าหลวงของเสด็จแม่จะต้องควบคุมตัวเจียวเจียวเข้าวังมาเพื่อไต่สวนเป็นแน่ เรื่องนี้หากเสด็จพี่ช่วยออกหน้าเอ่ยวาจาเพียงไม่กี่คำที่ตำหนักคังหมิง เจียวเจียวก็ย่อมจะต้องสามารถยกเลิกการหมั้นหมายกับเสด็จพี่รองได้อย่างงดงามเป็นแน่”

“หากข้าออกหน้าให้แล้ว นางก็ไม่จำเป็นต้องเข้าวังหลวงเช่นนั้นหรือ ถังหรูต่อให้ข้าช่วยออกหน้า แต่เรื่องนี้นับว่าเป็นเรื่องใหญ่ของเสด็จพี่รองของเจ้า เจ้าคิดว่าเสด็จพ่อจะทรงฟังถ้อยคำของข้าด้วยหรือ” คำพูดนี้ของหลี่ไท่หลงทำให้สตรีที่อยู่ในห้องทั้งหมดหันไปจ้องมองกันในทันทีแน่นอนว่าไม่ว่าอย่างไรวันนี้เฉินเจียวเจียวย่อมต้องเข้าวัง เฉินเจียวเจียวได้แต่ข่มกลั้นความหวาดหวั่นเอาไว้ในใจแล้วเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“องค์รัชทายาท หม่อมฉันเฉินเจียวเจียวจะขอสาบานต่อหน้าพระพักตร์ของพระองค์ว่า เรื่องความลับของพระองค์หม่อมฉันจะไม่เอ่ยปากพูดออกไปให้ผู้อื่นรับรู้อีกอย่างเด็ดขาด สหายทั้งสองของหม่อมฉันก็เช่นกัน ขอเพียงพระองค์ช่วยออกหน้าวันหน้าข้าเฉินเจียวเจียวผู้นี้จะต้องตอบแทนพระคุณในครั้งนี้ต่อพระองค์อย่างแน่นอน” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนี้หลี่ไท่หลงก็จ้องมองนางด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป แววเกลียดชังวูบหนึ่งพาดผ่านดวงตาของเขาทำให้เฉินเจียวเจียวอดกำมือของตนเองเอาไว้ด้วยความหวาดกลัวมิได้

“เรื่องที่ข้ากำลังทำอยู่เจ้าไม่มีทางรู้หรอก หากเจ้าเอ่ยปากออกไปผู้ใดจะเชื่อเจ้ากันเล่า หากข้าบอกกับผู้อื่นว่าเจ้าเองก็ลักลอบนัดพบกับข้าตามลำพังที่วัดต้าฝูเช่นกัน ชีวิตของเจ้าจะลงเอยเช่นไร เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะยกเรื่องนี้มาเอ่ยถึงบ้างหรือ” คำพูดของเขาทำให้เฉินเจียวเจียวเงยหน้าขึ้นไปสบตาเขา

“พระองค์ทรงกระทำเรื่องใดอยู่หม่อมฉันย่อมไม่รู้ แต่หากฝ่าบาทรู้เรื่องนี้เข้าทั้งยังมีบาดแผลบนวรกายของพระองค์อีก ย่อมจะทำให้ฝ่าบาททรงคิดการณ์ไกลแถมอาจจะคิดมากจนเกินไปและเกินกว่าเรื่องที่องค์รัชทายาททรงกระทำอยู่ก็เป็นได้เพคะ” คำพูดของเฉินเจียวเจียวรวมทั้งดวงตาที่ไม่ยอมหลบและสายตาที่ไม่ยอมแพ้ของนางทำให้หลี่ไท่หลงทอดถอนใจออกมา

“ในเมื่อเจ้าคิดวางแผนเอาไว้รอบด้านเช่นนี้ข้าเองก็ขอยอมแพ้ เพียงแต่สิ่งที่เจ้ากำลังทำอยู่มันคุ้มค่าแล้วหรือ เจ้าไม่คิดถึงจวนผิงกั๋วกงของเจ้าบ้างเลยหรือ บุรุษในครอบครัวของเจ้าที่อยู่ชายแดนของแดนเหนือเล่าเจ้าไม่ได้คิดเผื่อพวกเขาบ้างเลยหรือ หากเจ้าไม่ได้แต่งไปเป็นชายาของน้องรองฝ่าบาทอาจจะยิ่งเพิ่มความหวาดระแวงต่อพวกเขาก็เป็นได้” เมื่อหลี่ไท่หลงเอ่ยเช่นนี้ทั้งหลี่ถังหรูและหวังฮุ่ยหลิงก็ต่างขยับตัวอย่างร้อนใจ พี่ชายทั้งสามของเฉินเจียวเจียวพวกนางย่อมรู้จักดี หากเกิดอันใดขึ้นกับพวกเขาเพียงเพราะการกระทำอันโง่เขลาของพวกนางคงจะทำให้พวกนางรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตเป็นแน่

“ข้าจึงต้องออกหน้าทูลขอให้องค์รัชทายาทช่วยออกหน้าพูดเรื่องนี้ต่อฝ่าบาทให้หม่อมฉันอย่างไรเล่า หม่อมฉันขอยกเลิกการแต่งงานเป็นเพราะหม่อมฉันถูกโซ่วอ๋องหมิ่นเกียรติต่อหน้าสาธารณชน วันนี้นอกจากโซ่วอ๋องจะหมิ่นเกียรติข้าต่อหน้าผู้อื่นแล้ว แม้แต่ต่อหน้าพระพักตร์ขององค์รัชทายาทโซ่วอ๋องก็ไม่คิดจะละเว้น” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนี้หลี่ไท่หลงก็ดึงชายแขนเสื้อคลุมของตนขึ้นมาจัดระเบียบ

“เท่าที่ข้าจำได้เขาไม่เห็นข้า และข้าเองก็ไม่ได้เห็นเขานะ”

“แต่เมื่อครู่นี้องค์รัชทายาทยังทรงนั่งแทะเมล็ดแตงลอบฟังอย่างสนุกสนานอยู่เลยมิใช่หรือเพคะ” เฉินเจียวเจียวเอ่ยพลางชี้ไปยังเศษเมล็ดแตงบนพื้น

“สตรีเช่นพวกเจ้าช่างน่าระอาเสียจริง เอาเถิดเมื่อกลับถึงวังแล้วข้าจะลองออกหน้าช่วยเหลือเจ้าดูสักครั้ง แต่อย่าได้คาดหวังผลลัพธ์จากข้า เพราะข้าเองก็ยังไม่ได้รับปากว่าจะช่วยเจ้าจัดการล้มเลิกการหมั้นหมายกับน้องรองของข้า” เมื่อหลี่ไท่หลงเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเจียวก็รีบทำการคารวะอย่างเต็มพิธีการเพื่อขอบคุณในทันที

“ขอบพระทัยเพคะ หม่อมฉันคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าพระองค์ทรงเปี่ยมไปด้วยพระเมตตา”

“พอๆ ไม่ต้องเอ่ยวาจายกยอข้า ถังหรูเจ้าเองก็รีบกลับวังเถิดหากข้าเดาไม่ผิด เจ้าเองก็คงยากจะรอดพ้นจากเรื่องนี้ยามนี้ที่ตำหนักของเจ้าคงจะมีคนของเต๋อเฟยรอเจ้าอยู่ที่ตำหนักแล้ว” เมื่อหลี่ไท่หลงเอ่ยเช่นนี้ทั้งหลี่ถังหรูและหวังฮุ่ยหลิงก็ย่อกายคารวะเขาอย่างเต็มพิธีการเช่นเดียวกัน แล้วจึงได้หันไปช่วยกันประคองเฉินเจียวเจียวให้ลุกขึ้น หลี่ไท่หลงจ้องมองพวกนางอีกครั้งแล้วจึงได้สะบัดชายแขนเสื้อแล้วเดินจากไปโดยมีเซียวอวิ๋นหยวนที่เก็บกระบี่เข้าฝักไปแล้วเดินติดตามออกไปด้วย

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 72 บทส่งท้าย

    หลังเสร็จสิ้นงานเลี้ยงเฉินฮองเฮาจึงได้ปลีกตัวกลับตำหนักอันหนิงไปก่อนเหลือเพียงหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ที่ทรงเรียกน้องชายเข้ามาตักเตือนเป็นการส่วนพระองค์โดยมีองค์ชายทั้งสองประทับอยู่ด้วย“จนถึงยามนี้แล้วเจ้าก็ยังคิดไม่ได้อีกหรือ น้องรองพระชายาของเจ้าผู้นี้แม้ว่าจะไม่ได้งดงาม รูปร่างก็ใหญ่โตแต่สิ่งที่นางมีเหนือผู้อื่นก็คือความจริงใจ แม้ว่าจะดุดันและไม่ช่างเอาอกเอาใจแต่เจ้าก็ไม่ต้องคอยระมัดระวังตัวและคอยคาดเดาอารมณ์ของนาง นางโกรธเจ้าก็รู้ นางโมโหเข้าก็แค่ถูกด่าหลังจากถูกโบยตีไม่กี่ทีนางก็กลับไปเป็นปกติแล้ว” หลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสพลางถอนพระปัสสาสะออกมา“ในขณะที่คนงามส่วนใหญ่กลับซับซ้อนมากกว่านั้นภายใต้สีหน้ายิ้มแย้มของพวกนางมีความคิดมากมายซุกซ่อนอยู่ภายในใจ ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่มีทางจะคาดเดาความคิดของนางได้แน่ น้องรองเจ้าโชคดีแล้วที่ได้โม่หลันเป็นพระชายา อย่าได้คิดหาเศษหาเลยแล้วทำให้ชีวิตของตนเองต้องตกต่ำอีกเลย” เมื่อหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสเช่นนี้โซ่วอ๋องที่คุกเข่าขอรับผิดอยู่ตรงหน้าก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ“เสด็จพี่! แล้วพระองค์ทรงไม่เคยหวั่นไหวบ้างเลยหรือ มีคนงามมาอยู่ตรงห

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 71 บัวขาวอีกหนึ่งดอก

    เฉินฮองเฮาแห่งแคว้นต้าเยียนทรงสิริโฉม เต็มเปี่ยมไปด้วยสติปัญญา ได้รับความรักและความให้เกียรติจากสวามีจนสตรีทั่วแคว้นต่างโจษจันกันไปจนทั่ว สตรีทุกนางล้วนริษยาในความพรั่งพร้อมและสมบูรณ์พูนสุขของพระนางนาง พระนางประสูติพระโอรสสองพระองค์พระธิดาหนึ่งพระองค์แม้ว่าจะทรงมีพระชันษามากแล้วความงามของพระนางก็ยังคงเป็นที่กล่าวขานถึง“นี่ใช้คำว่ารักและให้เกียรติได้อย่างไรกัน ต้องใช้คำว่ารักและเคารพมากกว่า” หลี่เทียนหลงองค์รัชทายาทแคว้นต้าเยียนเอ่ยกับพระอนุชาด้วยสุรเสียงแผ่วเบา“รักหรือไม่ข้าไม่แน่ใจ แต่เคารพและเกรงกลัวข้าขอยืนยันว่าเป็นความจริง เสด็จพี่ทรงทอดพระเนตรดูขุนนางที่ไม่รู้จักตายนั่นสิ พยายามจะยัดเยียดบุตรสาวโฉมงามให้เสด็จพ่อ แถมยังโอ้อวดว่าทั้งร่างกายและจิตใจบุตรสาวของเขาล้วนงดงามพิสุทธิ์หาผู้ใดเทียม ช่างไม่ดูเสียบ้างว่ายามนี้สีพระพักตร์ของเสด็จพ่อซีดเซียวเสียยิ่งกว่าไก่ในโถน้ำแกงเสียอีก” หลี่เทียนเฮ่าผู้เป็นองค์ชายรองเอ่ยกับพระเชษฐาด้วยน้ำเสียงซุกซน โดยไม่สนพระทัยหลี่เทียนหรูพระขนิษฐาพระองค์เล็กที่ในยามนี้หลบไปนั่งอยู่กับบรรดาสตรีในจวนผิงกั๋วกงแล้ว ค่ำคืนนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองเทศกาลหยวนเซี

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 70 เพลิงโทสะ

    หลังจากเสร็จสิ้นพิธีอภิเษกไปเพียงไม่กี่วัน เฉินเจียวเจียวก็ต้องสวมชุดไว้ทุกข์ให้แก่จ้าวไทเฮา แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่คาดเดาได้อยู่แล้ว แต่เพลิงพิโรธของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ผู้เป็นราชบิดาของสามีก็ยังทำให้นางอดใจสั่นไม่ได้“เจ้าลูกเลว! หากเจ้าไม่ส่งคนไปบอกยามนี้พระนางก็คงจะยังทรงดำเนินชีวิตได้ตามปกติ” พระสุรเสียงที่ทรงตรัสออกมาทำให้เฉินเจียวเจียวที่คุกเข่าอยู่ทางด้านข้างขององค์รัชทายาทไม่กล้าเงยหน้าขึ้น“ลูกก็แค่คิดว่าไม่ควรจะหลอกลวงพระนางอีกต่อไป”“ยังไม่สำนึกอีก! หลี่ไท่หลงนางคือเสด็จย่าของเจ้านะ นางคือแม้แท้ๆ ของข้า และก็เป็นนางที่ผลักดันจนข้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้จวบจนทุกวันนี้” ถ้อยคำนี้ของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงเต็มไปด้วยกระแสอารมณ์อันเศร้าโศกและโกรธเกรี้ยว เฉินเจียวเจียวที่ก้มหน้าอยู่อดเหลือบมองสวามีของตนเองที่ยามนี้เงยหน้าขึ้นไปทุ่มเถียงกับพระราชบิดาของตนเองไม่ได้“แต่ก็เป็นพระนางที่วางแผนปลิดชีพพระมารดาของลูก เป็นพระนางที่ยึดครองพระราชอำนาจของเสด็จพ่อไปตั้งนานหลายปี แล้วก็เป็นพระนางที่สนับสนุนสกุลจ้าวให้ทะเยอทะยานและก้าวล้างพระราชอำนาจของเสด็จพ่ออยู่หลายครั้ง ลูกเข้าใจในความรักความผูกพัน

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 69 พระชายาองค์รัชทายาท

    พิธีอภิเษกขององค์รัชทายาทและคุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ บุรุษของจวนผิงกั๋วกงเดินทางเข้าเมืองหลวงพร้อมกันอีกครั้งเพื่อเข้าร่วมในพิธีครั้งนี้ เฉินเจียวเจียวแต่งกายอย่างดงามสวมมงกุฎหงส์และผ้าคลุมหน้าที่ปักลวดลายอันวิจิตรนั่งเกี้ยวเข้าวังหลวงอย่างยิ่งใหญ่ การแต่งงานในชาตินี้นับว่าเป็นการแต่งงานที่ยิ่งใหญ่กว่าในชาติที่แล้ว คนที่รอรับนางลงจากเกี้ยวก็ไม่ใช่คนเดิม นางจึงไม่กล้าตั้งความหวังต่อชีวิตการแต่งงานเท่าใดนัก ไม่คาดหวังก็ย่อมจะไม่ผิดหวัง เรื่องนี้นางสามารถเรียนรู้มาจากชาติที่แล้ว ในชาตินี้ชีวิตของนางจึงถูกเติมเต็มไปด้วยความสุข“ฮู่ว ในที่สุดก็ได้พบหน้ากันโดยไม่ต้องปีนกำแพงเสียที” องค์รัชทายาทเอ่ยหลังจากที่ใช่คันชั่งเปิดผ้าคลุมหน้าของนางแล้ว เขาจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่งด้วยสายตาอันแวววาว แล้วจึงได้เอ่ยถ้อยคำชื่นชมออกมาอย่างที่ควรจะเป็น“เจ้างามมาก” คำพูดประโยคนี้ของเขาทำให้นางอดยิ้มออกมาไม่ได้ฝ่าบาททรงประทานงานเลี้ยงฉลองให้แก่ผู้มาร่วมงานภายในวัง แต่เพราะเขามีฐานะเป็นถึงองค์รัชทายาทจึงไม่ต้องออกไปคารวะสุรามงคลให้แก่ผู้ใด ยามนี้ภายในห้องหอจึงมีเพียงเขาและนางเพียงเท่านั้น

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 68 ฝันร้ายของโซ่วอ๋อง

    พิธีปักปิ่นของคุณหนูใหญ่ของจวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ในฐานะว่าที่พระชายาองค์รัชทายาท ย่อมมีเจ้าหน้าที่จากกรมพิธีการมาช่วยเหลือในการดำเนินพิธี เฉินเจียวเจียวนั่งอยู่ท่ามกลางเหล่าฮูหยินผู้เต็มไปด้วยโชคลาภทั้งหลายด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม พวกนางช่วยหวีผมให้พร้อมคำอวยพรอันเป็นมงคลปิ่นแรกที่ปักลงมาบนมวยผมคือปิ่นพระราชทานจากเฉียวกุ้ยเฟย ตามมาด้วยปิ่นของพระนางเต๋อเฟย และบรรดาพระสนมที่เฉินเจียวเจียวเคยพบ ฮูหยินผู้เฒ่าจวนผิงกั๋วกงและฮูหยินผู้เฒ่าจวนสกุลหยวนนำปิ่นมาปักลงบนมวยผมของเฉินเจียวเจียวด้วยตนเอง ต่อมาก็เป็นสตรีอาวุโสในจวนและสตรีอาวุโสที่มีความสัมพันธ์กันดีกับจวนผิงกั๋วกงเมื่อเสร็จสิ้นพิธีปักปิ่นเฉินเจียวเจียวก็ลูกขึ้นคารวะขอบคุณอย่างเต็มพิธีการสามครั้งแล้วจึงเข้าสู่งานเลี้ยง เฉินเจียวเหม่ยและเฉินเจียวมี่ที่ได้รับหน้าที่ถือพานใส่หวีและปิ่น ต่างรีบจับจูงนางกลับเรือนด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม มีคุณหนูจากหลายจวนที่มีความสัมพันธ์อันดีมาร่วมแสดงความยินดีด้วย แน่นอนว่าคนที่มาย่อมขาดหวังฮุ่ยหลิงและองค์หญิงเก้าหลี่ถังหรูไม่ได้เหตุการณ์ปราบกบฏสกุลเจ้าเกิดขึ้นเร็วกว่าในชาติที่แล้ว ในชาตินี้เซียว

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 67 พบหน้า

    เมื่อบ้านเมืองสงบสุขชีวิตความเป็นอยู่ของชาวประชาก็กลับมาดำเนินไปตามปกติ เกิดแก่เจ็บตายล้วนเป็นไปตามยถากรรมของโลก ในเมื่อหลินชิงเหมยไม่สามารถทนรับความบอบช้ำของร่างกายไม่ไหว นางจึงได้ตายจากไปในที่สุด ในตอนที่นางจะตายนางยังเคยอดสงสัยไม่ได้ว่า หากนางไม่ทะเยอทะยาน หากนางไม่คิดจะร่วมมือกับสกุลจ้าวชีวิตของนางจะต้องจบลงเช่นนี้ไหม น่าเสียดายที่ต่อให้นางสงสัยมากเพียงใดก็ไม่อาจจะทำอันใดได้แล้วแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นแต่นางกลับรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่า การตายเช่นนี้กลับดีมากแล้ว เพราะในความฝันของนาง นางเคยต้องเผชิญกับความตายที่น่ากลัวกว่านี้ ทั้งถูกทุบตี ทั้งถูกรุมย่ำยีแถมยังถูกทารุณกรรมจนไม่เหลือสภาพความเป็นคน อยากตายก็ไม่ได้ตาย ลืมตาขึ้นมาในแต่ละวันต้องร้องไห้ทุกครั้งที่พบว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่ การถูกโบยจนตายน่าจะเป็นการตายที่สวรรค์ปรานีสำหรับนางมากแล้ว นี่คือความคิดสุดท้ายในห้วงความนึกคิดของนาง ตอนที่โซ่วอ๋องมารับร่างที่ไร้ลมหายใจของนางจึงได้เห็นว่าแม้ในยามหลับบนใบหน้าของนางก็ยังมีรอยยิ้มประดับอยู่หลินชิงเหมยตายแล้ว โซ่วอ๋องจะทุกข์ใจหรือไม่เฉินเจียวเจียวไม่ได้ให้ความสนใจอีกแล้ว เรื่องราวในกาลก่อนราวกับ

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status