Share

บทที่ 38 เพลิงโทสะ

Aвтор: BigM00N
last update Последнее обновление: 2025-05-23 21:05:19

เมื่อกลับมาถึงจวนทั้งเฉินเจียวเจียวและเฉินเจียวเหม่ยก็ถูกพากลับเรือนของตนแช่น้ำอุ่นและผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า เฉียวซื่อรีบไปคุกเข่าขอรับผิดกับฮูหยินผู้เฒ่าโทษฐานที่นางดูแลเด็กสาวทั้งสองไม่ดี แต่ทั้งฮูหยินผู้เฒ่ากับน้องสะใภ้ทั้งสองกลับบอกกับนางว่าไม่ต้องคิดมาก ต่อให้ระมัดระวังดีเพียงใด หากมีคนคิดปองร้ายพวกเขาก็ย่อมหาโอกาสเหมาะที่จะลงมือได้อยู่แล้ว ประจวบเหมาะกับที่ตงจื้อจับตัวอู๋มู่จือกลับมาได้ฮูหยินผู้เฒ่าจึงได้สั่งให้คนของตนทำการตรวจสอบเขาในทันที

“เจ้าว่ามา สาวใช้ของข้าบอกว่าเจ้าเป็นคนแรกที่กระโดดลงน้ำตามหลานสาวของข้าไป เหมือนจะรอจังหวะที่หลานสาวของข้าตกลงไปอยู่แล้ว อีกทั้งยังพยายามว่ายน้ำตามหลานสาวของข้าอย่างเอาเป็นเอาตายทั้งที่ก็เห็นว่านางว่ายน้ำได้แถมยังว่ายหนีเจ้าอีกด้วยแต่เจ้ากลับติดตามนางอย่างไม่ลดละ คุณชายอู๋ เจ้ามีสิ่งใดจะแก้ตัวหรือไม่” เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยถามเช่นนี้อู๋มู่จือที่ยามนี้เนื้อตัวยังเปียกปอนอยู่แถมยังหนาวจนปากสั่นรีบส่ายศีรษะปฏิเสธในทันที

“รอจังหวะอะไร พยายามติดตามอันใดข้าก็แค่อยากจะช่วยคนเพียงเท่านั้น”

“คุณชายอู๋ อย่าได้เห็นว่าจวนผิงกั๋วกงของพวกข้าในยามนี้ไม่มีบุรุษอยู่ในจวน” โม่ซื่อเอ่ยพลางตวัดแส้ฟาดลงไปข้างกายเขา อู๋มู่จือหลับตาแล้วร้องออกมาเมื่อคิดได้ว่าแส้เส้นนั้นเกือบจะฟาดลงมาบนตัวเขาเสียแล้ว

“พวกเจ้าจับคนจับตัวคนมาลงทัณฑ์โดยพลการเช่นนี้ไม่กลัวว่าข้าจะไปแจ้งทางการหรือ”

“เช่นนั้นก็เชิญไปแจ้งได้เลย แต่กว่าจะไปแจ้งทางการได้เจ้าก็ต้องเอาชีวิตรอดจากคมแส้ของข้าให้ได้ก่อน” เมื่อเอ่ยจบโม่ซื่อก็ฟาดแส้ไปทางโต๊ะวางนำชาเพียงตวัดเพียงครั้งเดียวโต๊ะน้ำชาก็แตกหักออกเป็นสองส่วนตามรอยแส้ อู๋มู่จือร้องออกมาในทันที

“จะฆ่าคนแล้ว จะฆ่าคนแล้ว”

“หากไม่อยากให้ข้าฆ่าเจ้า ก็บอกมาว่าเป็นผู้ใดที่สั่งให้เจ้าลงน้ำไปเพื่อพยายามที่จะเอาเปรียบหลานสาวของข้า” เมื่อโม่ซื่อเอ่ยเช่นนี้อู๋มู่จือที่กำลังหนาวสั่นไปทั้งตัวก็รีบสารภาพออกมาในทันที

“เป็นคนของรองเจ้ากรมอากร คนที่มาหาข้าคือคนของรองเจ้ากรมอากรจ้าวซีเฉิง พวกท่านปล่อยข้าไปเถิดข้าก็แค่ถูกผู้อื่นหลอกใช้เพียงเท่านั้น” เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้โม่ซื่อก็แสยะยิ้มออกมา

“ถูกผู้อื่นหลอกใช้ เจ้าช่างกล้าพูด ท่านแม่ส่งเขาให้กรมอาญาสอบสวนเถิดข้าจะให้พี่ชายของข้ารีดเค้นความจริงจากปากของเขาเอง” เมื่อโม่ซื่อเอ่ยเช่นนี้อู๋มู่จือก็พลันจ้องมองโม่ซื่ออีกครั้ง เมื่อเขาจดจำได้ว่าโม่ซื่อก็คือโม่เจินน้องสาวเพียงคนเดียวของโม่เจาเจ้ากรมอาญาผู้เหี้ยมโหดเขาก็รีบอ้อนวอนในทันที

“ฮูหยินสาม ข้าก็สารภาพแล้วท่านยังจะส่งข้าไปที่กรมอาญาอีกทำไมกัน”

“เมื่อครู่เจ้าบอกเองไม่ใช่หรือว่าจะแจ้งทางการ ข้าก็จะช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่เจ้าอย่างไรเล่า” เมื่อโม่ซื่อเอ่ยเช่นนี้อู๋มู่จือก็หันไปวิงวอนฮูหยินผู้เฒ่าในทันที

“ข้าขอร้องล่ะขอรับฮูหยินผู้เฒ่าจวนผิงกั๋วกง แม้ว่าข้าจะมีเจตนาไม่ดีแต่ก็ยังไม่ได้ทำร้ายคุณหนูของจวนท่านเลยนะขอรับ เป็นคนของจ้าวซีเฉิงต่างหากที่ลงมือทำ หากพวกท่านยอมปล่อยข้า ข้าผู้นี้ก็สามารถหาพยานมาให้พวกท่านได้ ข้ามีพยานอีกหลายคนที่สามารถช่วยยืนยันได้ว่าคุณชายสกุลจ้าวคิดร้ายต่อคุณหนูจวนผิงกั๋วกง” เมื่ออู๋มู่จือเอ่ยเช่นนี้หวงซื่อที่ยืนฟังอยู่ก็พลันหัวเราะออกมา

“คนโง่ เจ้าคิดว่าพอเจ้าออกจากจวนผิงกั๋วกงแห่งนี้ไปสกุลจ้าวจะยอมปล่อยเจ้าหรือ เรื่องในวันนี้เกี่ยวพันถึงองค์รัชทายาทด้วย พวกเขาย่อมไม่คิดจะปล่อยเจ้าเอาไว้แน่” เมื่อหวงซื่อเอ่ยเช่นนี้อู๋มู่จือก็พลันร่ำไห้ออกมา

“แล้วข้าจะทำอย่างไรดี พวกท่านจะให้ข้าทำอย่างไร โธ่ ข้าไม่น่าหลงเชื่อพวกเขาเลย”

“ข้าจะส่งเจ้าไปที่กรมอาญา เจ้ารีบสารภาพและบอกเล่าเรื่องราวในคืนนี้ให้เจ้ากรมอาญาฟังอย่างละเอียด แล้วเขาจะคอยดูแลเจ้าเป็นอย่างดี ข้ารับรองว่าจะไม่มีผู้ใดรู้แน่ว่าเจ้าอยู่ที่ใด” เมื่อโม่ซื่อเอ่ยเช่นนี้อู๋มู่จือก็ไม่มีทางเลือกนอกจากยินยอมให้คนของโม่ซื่อคุ้มกันเขาไปที่กรมอาญา

“คนสกุลจ้าวช่างยิ่งใหญ่เสียจริง แม้กระทั่งคุณหนูจากจวนผิงกั๋วกงของข้าพวกเขาก็ยังกล้าปองร้าย” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าโกรธเคือง

“ท่านแม่อย่าได้มีโทสะ เรื่องนี้ข้าขออาสาออกหน้าจัดการพวกเขาเอง คนสกุลจ้าวคิดว่าตนเองเป็นใหญ่และมีส่วนช่วยให้ฝ่าบาทได้ครอบครองราชบัลลังก์แม้แต่ฝ่าบาทพวกเขาก็ยังล่วงเกินอยู่หลายครั้ง แต่ข้าไม่ใช่คนในราชวงศ์ไม่คิดจะเกรงกลัวสกุลจ้าวและไม่คิดจะอ่อนข้อ ในเมื่อพวกเขาคิดจะหาสามีให้บุตรสาวของข้าเช่นนั้นข้าก็จะขอตอบแทนพวกเขาด้วยการหาสามีให้บุตรสาวของพวกเขาก็แล้วกัน” คำพูดของเฉียวซื่อทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าหันไปมองหน้านาง เฉียวซื่อแค่เพียงหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วเดินไปรินน้ำชาแล้วยกถ้วยชาให้แก่ฮูหยินผู้เฒ่า

“แม้ว่าเรื่องนี้จะรู้ไปถึงพระเนตรพระกรรณของฝ่าบาท แต่จากที่ข้ารู้มาฝ่าบาทมักจะลืมตาข้างหลับตาข้างสำหรับความผิดของสกุลจ้าวอยู่แล้ว พวกเขาอาศัยเรื่องที่ว่ามีขุนนางใต้อาณัติถึงกึ่งหนึ่งในราชสำนัก จึงทำให้ฝ่าบาทยังต้องหวั่นเกรงอำนาจการบริหารในราชสำนักของพวกเขา จนทำให้ยามนี้ความเหิมเกริมของพวกเขายิ่งทวีมากยิ่งขึ้น แถมช่วงนี้ยังเหิมเกริมมากกว่าตอนที่จ้าวไทเฮายังทรงออกว่าราชการหลังม่านเสียอีก” ฮูหยินผู้เฒ่ารับน้ำชาไปดื่มแล้วก็เอ่ยถามออกมา

“เจ้าก็เลยไม่คิดจะให้ทางการช่วยออกหน้า”

“เจ้าค่ะ แม้ว่าทางกรมอาญาจะสามารถสอบสวนและเอาผิดไปถึงจ้าวซีเฉิงได้ แต่เรื่องนี้เขาไม่ใช่คนลงมือเองย่อมสามารถปัดสวะให้พ้นตัวด้วยการโยนความผิดทั้งหมดให้ลูกน้อง” เมื่อเฉียวซื่อเอ่ยเช่นนี้ทุกคนก็ต่างมองหน้ากันด้วยสีหน้าหนักอึ้ง

“ในเมื่อความผิดทางอาญาไม่อาจจะทำได้ เช่นนั้นข้าก็เลยคิดจะตอบแทนคนสกุลเจ้าด้วยวิธีเดียวกัน คุณหนูรองสกุลจ้าวไปไหนมาไหนมักจะชอบทำตัวโดดเด่น สร้างชื่อเสียงว่าตนเองเป็นกวีหญิงที่เก่งกล้าแม้แต่บุรุษยังต้องยอมแพ้ แต่คืนนี้นางคงจะแค้นใจที่พ่ายแพ้ให้แก่เจียวมี่และเจียวเจียว พี่ชายของนางจึงได้คิดแก้แค้นแทนนาง ส่วนข้าก็แค่ตอบแทนความแค้นคืนกลับเพียงเท่านั้น ในเมื่อนางชอบคลุกคลีต่อบทกวีกับบุรุษ เช่นนั้นข้าก็จะช่วยส่งเสริมให้นางได้คลุกคลีอย่างสาแก่ใจไปเลยทีเดียว” เฉียวซื่อเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าอาฆาตแค้น ฮูหยินผู้เฒ่าจึงได้หัวเราะออกมาเบาๆ

“ได้เช่นนั้นก็ลงมือเถิด สำเร็จหรือไม่ข้าไม่สนใจผลลัพธ์ขอแค่ทำให้คุณหนูสกุลจ้าวผู้นั้นมีชื่อเสียงตกต่ำมากเป็นพอ” เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเช่นนี้หวงซื่อที่ยืนฟังอยู่ก็พลันยิ้มออกมา

“ท่านแม่ไม่ต้องห่วงเรื่องทำลายชื่อเสียงของนาง ข้าเองก็จะลงมือช่วยอีกแรง” เมื่อหวงซื่อเอ่ยเช่นนี้เฉียวซื่อก็หันไปส่งยิ้มให้นาง

“ส่วนเรื่องทางกรมอาญา แม้ในท้ายที่สุดจะเอาโทษคุณชายใหญ่จ้าวไม่ได้แต่อย่างน้อยข้าก็จะส่งข่าวไปให้พี่ชายของข้าว่าให้เขาทำทุกวิถีทางที่จะสามารถดึงคุณชายใหญ่สกุลจ้าวลงมารับผลกรรมกับเรื่องนี้ให้ได้มากที่สุด” เมื่อโม่ซื่อเอ่ยเช่นนี้ฮูหยินผู้เฒ่าก็พยักหน้าพลางเอ่ยออกมาว่า

“ดี!” มีลูกสะใภ้ทั้งสามคอยปลอบใจอีกทั้งหลานสาวทั้งสองไม่ได้รับอันตรายอย่างที่นางกลัว ในที่สุดเพลิงโทสะของฮูหยินผู้เฒ่าก็ค่อยๆ ลดลง แม้ว่าจะยังไม่อาจจะดับมอดลงได้ในทันทีแต่เมื่อคิดถึงฝีมือการจัดการของลูกสะใภ้ทั้งสามแล้วฮูหยินผู้เฒ่าก็ยิ้มออกมาอย่างเหี้ยมเกรียม

‘หากลูกสะใภ้ทั้งสามยังไม่สามารถทำให้คนสกุลจ้าวสำนึกเสียใจที่กล้ามาวุ่นวายกับจวนผิงกั๋วกงได้ ข้าคนนี้นี่แหละที่จะขอออกหน้าลงมือด้วยตนเอง’

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 72 บทส่งท้าย

    หลังเสร็จสิ้นงานเลี้ยงเฉินฮองเฮาจึงได้ปลีกตัวกลับตำหนักอันหนิงไปก่อนเหลือเพียงหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ที่ทรงเรียกน้องชายเข้ามาตักเตือนเป็นการส่วนพระองค์โดยมีองค์ชายทั้งสองประทับอยู่ด้วย“จนถึงยามนี้แล้วเจ้าก็ยังคิดไม่ได้อีกหรือ น้องรองพระชายาของเจ้าผู้นี้แม้ว่าจะไม่ได้งดงาม รูปร่างก็ใหญ่โตแต่สิ่งที่นางมีเหนือผู้อื่นก็คือความจริงใจ แม้ว่าจะดุดันและไม่ช่างเอาอกเอาใจแต่เจ้าก็ไม่ต้องคอยระมัดระวังตัวและคอยคาดเดาอารมณ์ของนาง นางโกรธเจ้าก็รู้ นางโมโหเข้าก็แค่ถูกด่าหลังจากถูกโบยตีไม่กี่ทีนางก็กลับไปเป็นปกติแล้ว” หลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสพลางถอนพระปัสสาสะออกมา“ในขณะที่คนงามส่วนใหญ่กลับซับซ้อนมากกว่านั้นภายใต้สีหน้ายิ้มแย้มของพวกนางมีความคิดมากมายซุกซ่อนอยู่ภายในใจ ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่มีทางจะคาดเดาความคิดของนางได้แน่ น้องรองเจ้าโชคดีแล้วที่ได้โม่หลันเป็นพระชายา อย่าได้คิดหาเศษหาเลยแล้วทำให้ชีวิตของตนเองต้องตกต่ำอีกเลย” เมื่อหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสเช่นนี้โซ่วอ๋องที่คุกเข่าขอรับผิดอยู่ตรงหน้าก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ“เสด็จพี่! แล้วพระองค์ทรงไม่เคยหวั่นไหวบ้างเลยหรือ มีคนงามมาอยู่ตรงห

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 71 บัวขาวอีกหนึ่งดอก

    เฉินฮองเฮาแห่งแคว้นต้าเยียนทรงสิริโฉม เต็มเปี่ยมไปด้วยสติปัญญา ได้รับความรักและความให้เกียรติจากสวามีจนสตรีทั่วแคว้นต่างโจษจันกันไปจนทั่ว สตรีทุกนางล้วนริษยาในความพรั่งพร้อมและสมบูรณ์พูนสุขของพระนางนาง พระนางประสูติพระโอรสสองพระองค์พระธิดาหนึ่งพระองค์แม้ว่าจะทรงมีพระชันษามากแล้วความงามของพระนางก็ยังคงเป็นที่กล่าวขานถึง“นี่ใช้คำว่ารักและให้เกียรติได้อย่างไรกัน ต้องใช้คำว่ารักและเคารพมากกว่า” หลี่เทียนหลงองค์รัชทายาทแคว้นต้าเยียนเอ่ยกับพระอนุชาด้วยสุรเสียงแผ่วเบา“รักหรือไม่ข้าไม่แน่ใจ แต่เคารพและเกรงกลัวข้าขอยืนยันว่าเป็นความจริง เสด็จพี่ทรงทอดพระเนตรดูขุนนางที่ไม่รู้จักตายนั่นสิ พยายามจะยัดเยียดบุตรสาวโฉมงามให้เสด็จพ่อ แถมยังโอ้อวดว่าทั้งร่างกายและจิตใจบุตรสาวของเขาล้วนงดงามพิสุทธิ์หาผู้ใดเทียม ช่างไม่ดูเสียบ้างว่ายามนี้สีพระพักตร์ของเสด็จพ่อซีดเซียวเสียยิ่งกว่าไก่ในโถน้ำแกงเสียอีก” หลี่เทียนเฮ่าผู้เป็นองค์ชายรองเอ่ยกับพระเชษฐาด้วยน้ำเสียงซุกซน โดยไม่สนพระทัยหลี่เทียนหรูพระขนิษฐาพระองค์เล็กที่ในยามนี้หลบไปนั่งอยู่กับบรรดาสตรีในจวนผิงกั๋วกงแล้ว ค่ำคืนนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองเทศกาลหยวนเซี

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 70 เพลิงโทสะ

    หลังจากเสร็จสิ้นพิธีอภิเษกไปเพียงไม่กี่วัน เฉินเจียวเจียวก็ต้องสวมชุดไว้ทุกข์ให้แก่จ้าวไทเฮา แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่คาดเดาได้อยู่แล้ว แต่เพลิงพิโรธของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ผู้เป็นราชบิดาของสามีก็ยังทำให้นางอดใจสั่นไม่ได้“เจ้าลูกเลว! หากเจ้าไม่ส่งคนไปบอกยามนี้พระนางก็คงจะยังทรงดำเนินชีวิตได้ตามปกติ” พระสุรเสียงที่ทรงตรัสออกมาทำให้เฉินเจียวเจียวที่คุกเข่าอยู่ทางด้านข้างขององค์รัชทายาทไม่กล้าเงยหน้าขึ้น“ลูกก็แค่คิดว่าไม่ควรจะหลอกลวงพระนางอีกต่อไป”“ยังไม่สำนึกอีก! หลี่ไท่หลงนางคือเสด็จย่าของเจ้านะ นางคือแม้แท้ๆ ของข้า และก็เป็นนางที่ผลักดันจนข้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้จวบจนทุกวันนี้” ถ้อยคำนี้ของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงเต็มไปด้วยกระแสอารมณ์อันเศร้าโศกและโกรธเกรี้ยว เฉินเจียวเจียวที่ก้มหน้าอยู่อดเหลือบมองสวามีของตนเองที่ยามนี้เงยหน้าขึ้นไปทุ่มเถียงกับพระราชบิดาของตนเองไม่ได้“แต่ก็เป็นพระนางที่วางแผนปลิดชีพพระมารดาของลูก เป็นพระนางที่ยึดครองพระราชอำนาจของเสด็จพ่อไปตั้งนานหลายปี แล้วก็เป็นพระนางที่สนับสนุนสกุลจ้าวให้ทะเยอทะยานและก้าวล้างพระราชอำนาจของเสด็จพ่ออยู่หลายครั้ง ลูกเข้าใจในความรักความผูกพัน

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 69 พระชายาองค์รัชทายาท

    พิธีอภิเษกขององค์รัชทายาทและคุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ บุรุษของจวนผิงกั๋วกงเดินทางเข้าเมืองหลวงพร้อมกันอีกครั้งเพื่อเข้าร่วมในพิธีครั้งนี้ เฉินเจียวเจียวแต่งกายอย่างดงามสวมมงกุฎหงส์และผ้าคลุมหน้าที่ปักลวดลายอันวิจิตรนั่งเกี้ยวเข้าวังหลวงอย่างยิ่งใหญ่ การแต่งงานในชาตินี้นับว่าเป็นการแต่งงานที่ยิ่งใหญ่กว่าในชาติที่แล้ว คนที่รอรับนางลงจากเกี้ยวก็ไม่ใช่คนเดิม นางจึงไม่กล้าตั้งความหวังต่อชีวิตการแต่งงานเท่าใดนัก ไม่คาดหวังก็ย่อมจะไม่ผิดหวัง เรื่องนี้นางสามารถเรียนรู้มาจากชาติที่แล้ว ในชาตินี้ชีวิตของนางจึงถูกเติมเต็มไปด้วยความสุข“ฮู่ว ในที่สุดก็ได้พบหน้ากันโดยไม่ต้องปีนกำแพงเสียที” องค์รัชทายาทเอ่ยหลังจากที่ใช่คันชั่งเปิดผ้าคลุมหน้าของนางแล้ว เขาจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่งด้วยสายตาอันแวววาว แล้วจึงได้เอ่ยถ้อยคำชื่นชมออกมาอย่างที่ควรจะเป็น“เจ้างามมาก” คำพูดประโยคนี้ของเขาทำให้นางอดยิ้มออกมาไม่ได้ฝ่าบาททรงประทานงานเลี้ยงฉลองให้แก่ผู้มาร่วมงานภายในวัง แต่เพราะเขามีฐานะเป็นถึงองค์รัชทายาทจึงไม่ต้องออกไปคารวะสุรามงคลให้แก่ผู้ใด ยามนี้ภายในห้องหอจึงมีเพียงเขาและนางเพียงเท่านั้น

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 68 ฝันร้ายของโซ่วอ๋อง

    พิธีปักปิ่นของคุณหนูใหญ่ของจวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ในฐานะว่าที่พระชายาองค์รัชทายาท ย่อมมีเจ้าหน้าที่จากกรมพิธีการมาช่วยเหลือในการดำเนินพิธี เฉินเจียวเจียวนั่งอยู่ท่ามกลางเหล่าฮูหยินผู้เต็มไปด้วยโชคลาภทั้งหลายด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม พวกนางช่วยหวีผมให้พร้อมคำอวยพรอันเป็นมงคลปิ่นแรกที่ปักลงมาบนมวยผมคือปิ่นพระราชทานจากเฉียวกุ้ยเฟย ตามมาด้วยปิ่นของพระนางเต๋อเฟย และบรรดาพระสนมที่เฉินเจียวเจียวเคยพบ ฮูหยินผู้เฒ่าจวนผิงกั๋วกงและฮูหยินผู้เฒ่าจวนสกุลหยวนนำปิ่นมาปักลงบนมวยผมของเฉินเจียวเจียวด้วยตนเอง ต่อมาก็เป็นสตรีอาวุโสในจวนและสตรีอาวุโสที่มีความสัมพันธ์กันดีกับจวนผิงกั๋วกงเมื่อเสร็จสิ้นพิธีปักปิ่นเฉินเจียวเจียวก็ลูกขึ้นคารวะขอบคุณอย่างเต็มพิธีการสามครั้งแล้วจึงเข้าสู่งานเลี้ยง เฉินเจียวเหม่ยและเฉินเจียวมี่ที่ได้รับหน้าที่ถือพานใส่หวีและปิ่น ต่างรีบจับจูงนางกลับเรือนด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม มีคุณหนูจากหลายจวนที่มีความสัมพันธ์อันดีมาร่วมแสดงความยินดีด้วย แน่นอนว่าคนที่มาย่อมขาดหวังฮุ่ยหลิงและองค์หญิงเก้าหลี่ถังหรูไม่ได้เหตุการณ์ปราบกบฏสกุลเจ้าเกิดขึ้นเร็วกว่าในชาติที่แล้ว ในชาตินี้เซียว

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 67 พบหน้า

    เมื่อบ้านเมืองสงบสุขชีวิตความเป็นอยู่ของชาวประชาก็กลับมาดำเนินไปตามปกติ เกิดแก่เจ็บตายล้วนเป็นไปตามยถากรรมของโลก ในเมื่อหลินชิงเหมยไม่สามารถทนรับความบอบช้ำของร่างกายไม่ไหว นางจึงได้ตายจากไปในที่สุด ในตอนที่นางจะตายนางยังเคยอดสงสัยไม่ได้ว่า หากนางไม่ทะเยอทะยาน หากนางไม่คิดจะร่วมมือกับสกุลจ้าวชีวิตของนางจะต้องจบลงเช่นนี้ไหม น่าเสียดายที่ต่อให้นางสงสัยมากเพียงใดก็ไม่อาจจะทำอันใดได้แล้วแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นแต่นางกลับรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่า การตายเช่นนี้กลับดีมากแล้ว เพราะในความฝันของนาง นางเคยต้องเผชิญกับความตายที่น่ากลัวกว่านี้ ทั้งถูกทุบตี ทั้งถูกรุมย่ำยีแถมยังถูกทารุณกรรมจนไม่เหลือสภาพความเป็นคน อยากตายก็ไม่ได้ตาย ลืมตาขึ้นมาในแต่ละวันต้องร้องไห้ทุกครั้งที่พบว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่ การถูกโบยจนตายน่าจะเป็นการตายที่สวรรค์ปรานีสำหรับนางมากแล้ว นี่คือความคิดสุดท้ายในห้วงความนึกคิดของนาง ตอนที่โซ่วอ๋องมารับร่างที่ไร้ลมหายใจของนางจึงได้เห็นว่าแม้ในยามหลับบนใบหน้าของนางก็ยังมีรอยยิ้มประดับอยู่หลินชิงเหมยตายแล้ว โซ่วอ๋องจะทุกข์ใจหรือไม่เฉินเจียวเจียวไม่ได้ให้ความสนใจอีกแล้ว เรื่องราวในกาลก่อนราวกับ

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status