หลังจากผ่านพ้นงานมงคลของหลินชิงหว่านไปก็เป็นไปตามการคาดหมายของเฉินเจียวเจียว หลินชิงเหมยถูกลงพระนางเต๋อเฟยลงโทษด้วยการโบยตีและอดอาหาร แม้ว่าช่วงหลังโซ่วอ๋องจะยอมลงให้แก่พระมารดาแล้ว แต่เมื่อรู้ว่าพระนางเต๋อเฟยทรงลงโทษหลินชิงเหมยอย่างรุนแรงเช่นนี้ก็พลันไม่ยอมลงให้แก่มารดาในทันที สงครามระหว่างแม่ลูกปะทุขึ้นอีกครั้งแน่นอนว่าชื่อของเฉินเจียวเจียวย่อมถูกนำไปเอ่ยถึงอีกเช่นกัน
แต่นางหาสนใจไม่เรื่องนี้เกิดขึ้นภายในวังส่วนนางที่อยู่ในจวนผิงกั๋วกงจะไปเกี่ยวข้องกับพวกเขาได้อย่างไร เพียงแต่แผนเรียกร้องความสนใจด้วยการเจ็บตัวของหลินชิงเหมยนี้ถือว่าทำได้ดี แม้ว่าจะไม่เป็นไปตามความคาดการณ์แต่ผลลัพธ์ก็ล้วนเป็นไปตามที่หลินชิงเหมยต้องการ เฉินเจียวเจียวเจียวได้แต่ส่ายหน้าแล้วคิดภาวนาว่าอยากให้สักวันหลินชิงเหมยพลาดแล้วตายด้วยแผนเจ็บตัวของตนเองไปเสียเลย นางจะได้ไม่ต้องนั่งเคียดแค้นหลินชิงเหมยเช่นนี้อีกต่อไป
“มีผู้ใดทำให้เจ้าไม่พอใจหรือ” เสียงที่ดังขึ้นทางด้านหลังทำให้เฉินเจียวเจียวนิ่งงันไป นางหันไปจ้องมององค์รัชทายาทด้วยสีหน้าอึมครึมแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงดุดันที่ไม่เบาเลยสักนิด
“ทรงเข้ามาได้อย่างไร และเข้ามาทำไมอีกเพคะ”
“จุ๊ จุ๊ อย่าส่งเสียงดังไปสิไม่ง่ายเลยนะกว่าข้าจะลอบเข้ามาได้” เมื่อหลี่ไท่หลงเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเจียวก็พลันทอดถอนใจออกมา ส่วนเขาก็ไม่มีทีท่าสำนึกผิดใดๆ เลยสักนิด เดินไปนั่งลงตรงข้ามนาง แล้วถือวิสาสะรินน้ำชาให้แก่ตนเองด้วยท่วงท่าสบายอกสบายใจ
“เมื่อคืนวานตำหนักของเต๋อเฟยมีเหตุปะทะกันอย่างกับเกิดสงครามกลางเมือง เจ้าคงจะได้ยินจากน้องเก้าแล้ว” เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเจียวก็พยักหน้า
“ได้ยินว่าเป็นเพราะเด็กสาวผู้นั้นล่วงเกินเจ้าภายในงานมงคลสกุลหลินหรือ” เขาถามพลางยกน้ำชาขึ้นมาจิบแล้วยิ้มออกมา
“นี่คือความน่าเบื่อหน่ายของสตรีอย่างไรเล่า ชอบเอาชนะคะคานขนาดเจ้ากำลังจะแต่งให้ข้าแล้วก็ยังไม่วายอยากจะดึงเจ้าลงมาให้อยู่ในระดับเดียวกันหรือไม่ก็ต่ำศักดิ์กว่า”
“หากทรงคิดว่าน่าเบื่อหน่ายก็ทรงอย่าเข้ามายุ่งสิเพคะ อันที่จริงการปะทะแย่งชิงเช่นนี้นอกจากสตรีแล้วเหล่าบุรุษเองก็ล้วนเป็นเช่นนี้เช่นเดียวกันมิใช่หรือ ก็แค่สิ่งที่พวกท่านแย่งชิงเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และต้องใช้ความทะเยอทะยานมากกว่าสตรีมากมายนัก ผลของการกระทำก็เลยรุนแรงมากกว่า” คำพูดของเฉินเจียวเจียวทำให้หลี่ไท่หลงพยักหน้าแล้วทอดถอนใจออกมา
“ก็จริง บุรุษใช่ว่าจะไม่ริษยากัน พี่ฆ่าน้อง น้องฆ่าพี่ ญาติพี่น้องล้วนห้ำหั่นกันเองเพื่อแย่งชิงอำนาจมาอยู่ในกำมือของตนเอง แม้แต่สงครามระดับแคว้นก็ล้วนเกิดจากการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นเกือบทั้งสิ้น” หลี่ไท่หลงเอ่ยพลางทอดถอนใจออกมา เขาจ้องมองใบหน้าของเฉินเจียวเจียวอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงได้แต่ทอดถอนใจออกมา พลางคิดในใจว่าที่ชีวิตของข้าเป็นเช่นนี้ก็ล้วนมาจากการแข่งขันแย่งชิงอำนาจเช่นเดียวกัน
“เรื่องที่เกิดกับจวนสกุลจ้าวเล่าเพคะ ล้วนเกิดจาดการแย่งชิงใช่หรือไม่” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนี้เขาก็พยักหน้า
“ใช่! ต้นเหตุล้วนมาจากการแย่งชิง เพียงแต่ผู้ริเริ่มกลับไม่ใช่บุรุษนี่สิ” หลี่ไท่หลงเอ่ยพลางยิ้มออกมาอย่างเย้ยหยันเมื่อคิดถึงจ้าวไทเฮาผู้เป็นย่าแท้ๆ ของเขาเอง ซึ่งสีหน้าเช่นนี้ของเขาทำให้เฉินเจียวเจียวรู้สึกไม่ชอบใจเลยสักนิด
“จ้าวซีอิน ก็ล้วนเป็นฝีมือของพระองค์ใช่หรือไม่”
“ย่อมใช่!” หลี่ไท่หลงเอ่ยวาจาตอบรับอย่างไม่คิดจะปฏิเสธ เฉินเจียวเจียวนั่งมองเขาครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยถามออกมาเสียงเบา
“นางคงจะไม่รู้กระมังว่าต้องจากไปเพราะผู้ใด”
“ย่อมจะไม่ คนของข้าน่าจะลงมืออย่างรวดเร็วจนนางไม่คงจะไทม่ทันได้รู้ตัวเสียด้วยซ้ำจากต้องจากไปเพราะเหตุใด” คำพูดนี้ของเขาทำให้เฉินเจียวเจียวจ้องมองเขาเนิ่นนานขึ้นอีกนิด เขาเองก็มองนางเช่นกัน
“เจ้ากลัวหรือไม่ หรือรังเกียจที่ข้ามีจิตใจเหี้ยมโหดหรือไม่” เมื่อเขาถามเช่นนี้เฉินเจียวเจียวก็พยักหน้า
“กลัวสิเพคะ วันหน้าหากหม่อมฉันทำเรื่องใดผิดต่อองค์รัชทายาทขึ้นมาจุดจบย่อมไม่ต่างจากจ้าวซีอินเป็นแน่ แต่ถามว่ารังเกียจหรือไม่คงจะตอบได้ไม่เต็มปากว่าไม่ ในบางครั้งหม่อมฉันเองก็เคยมีจิตอาฆาตจนถึงกับอยากเอาชีวิตของผู้อื่นเช่นเดียวกัน” เฉินเจียวเจียวเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม
“วางใจเถิด ไม่ฆ่าหรอก หากอยากฆ่าคงลงมือไปตั้งนานแล้วล่ะ ใช่ว่าเจ้าไม่เคยทำผิดต่อข้าเสียหน่อย… ว่าแต่คนที่เจ้าอยากลงมือคงไม่ใช่ข้าใช่ไหม” หลี่ไท่หลงเอ่ยถามพลางสอดส่ายสายตาหาถุงผ้าของเฉินเจียวเจียวด้วยสีหน้าจริงจัง ทำให้เฉินเจียวเจียวหัวเราะออกมาได้ในที่สุด เขาจ้องมองดวงหน้าที่เต็มไปด้วยความขบขันของนางด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้มแล้วก็หลุบดวงตาของตนเองลงเพื่อปิดบังแววตาของตนเอง
“ต่อไปข้าคงจะไม่อาจมาหาเจ้าเช่นนี้อีกได้แล้ว” เขาเอ่ยพลางดึงป้ายหยกมายื่นให้นางด้วยสีหน้าที่จริงจังขึ้น
“นี่คือป้ายหยกสั่งการคนของข้า ต่อไปหากอยากติดต่อกับข้าขอแค่เจ้าแค่ให้คนนำป้ายหยกนี้ไปที่หอเมฆาคนของค้าล้วนอยู่ที่นั่น หากมีเรื่องเดือดร้อนก็ขอความช่วยเหลือจากคนที่นั่นได้เลย”
“หอเมฆา… องค์รัชทายาทนี่พระองค์กำลังวางแผนจะก่อกบฏหรือเพคะ” เฉินเจียวเจียวเอ่ยถามพลางหรี่ดวงตากลมโตของตนเองจ้องมองหลี่ไท่หลง
"เพ้ย! ข้ากำลังจะจริงจังเจ้าก็มายัดเยียดข้อหาใหญ่ให้ข้าเสียแล้ว อันที่จริงเป็นกิจการของเสด็จพ่อของข้าต่างหาก เขาพึ่งจะประทานให้ข้าเมื่อไม่นานมานี้นี่เอง หากข้าอยากก่อกบฏไม่ต้องใช้คนของหอเมฆาหรอก แค่วันนี้ข้ากลับไปกราบทูลกับเสด็จพ่อว่าข้าปีนกำแพงมาหาบุตรสาวของผิงกั๋วกงอีกแล้ว เสด็จพ่อของข้าก็คงโมโหจนสิ้นสติไปเอง ถึงยามนั้นไม่ต้องใช้กำลังคนก็คงจะยึดอำนาจมาไว้ในมือได้อย่างสบายๆ" หลี่ไท่หลงเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าประชดประชัน
ส่วนเฉินเจียวเจียวได้แต่รับป้ายหยกมาถือเอาไว้แล้วเพ่งมองด้วยสายตาประหลาดใจ ไม่ว่าชาติก่อนหรือชาตินี้นางไม่เคยรู้เลยว่าสำนักคุ้มภัยอันดับหนึ่งอย่างหอเมฆาเป็นกิจการของคนในราชวงศ์ เขามองนางครู่หนึ่งแล้วก็เอ่ยออกมา
“เป็นเชื้อพระวงศ์ก็ต้องใช้เงิน เงินที่ได้จากภาษีใช้บำรุงท้องพระคลังก็แทบจะไม่เหลือแล้ว กำลังพลก็ล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมของขุนพลแต่ละสกุล จะโยกย้ายมาแต่ละครั้งก็ล้วนต้องผ่านการเห็นชอบจากขุนนางในราชสำนัก เจ้าก็รู้ขุนนางในราชสำนักมากกว่าครึ่งล้วนเป็นของสกุลจ้าวซึ่งแน่นอนว่าล้วนเป็นเรื่องยากลำบากสำหรับข้าและเสด็จพ่อ แต่เจ้าไปต้องกังวลนะตั้งแต่หอเมฆาตกเป็นของข้าผลกำไรที่ได้มากกว่าตอนอยู่ในมือของเสด็จพ่อของข้ามากกว่าเท่าตัว รับรองว่ามีให้เจ้าจับจ่ายใช้สอยได้อย่างสบายอกสบายใจ แต่ไม่ว่าอย่างไรนี่ก็คือความลับเจ้าห้ามให้ผู้ใดรู้อย่างเด็ดขาดโดยเพราะน้องเก้า เด็กปากสว่างผู้นั้นทำให้ข้ารู้สึกวางใจไม่ได้จริงๆ” หลี่ไท่หลงเอ่ยอธิบายด้วยสีหน้าจริงจัง เฉินเจียวเจียวจึงได้แต่พยักหน้า
“ข้ารู้ว่าคนของจวนผิงกั๋วกงมีความสามารถ แต่ต่อไปข้าอาจจะมีความขัดแย้งต่อสกุลจ้าวมากขึ้นเรื่อยๆ ข้ากลัวว่าเจ้าจะพลอยโดนลูกหลงไปด้วย ในเมื่อต่อไปเจ้าจะเป็นพระชายาของข้าแล้วข้าก็ต้องคุ้มครองเจ้าให้ดี เพียงแต่ยามนี้ข้ายังไม่อาจจะออกหน้าคุ้มครองเจ้าได้อย่างเต็มที่ ช่วงนี้ก็เจ้าก็จงดูแลตนเองให้ดีๆ หากมีเรื่องใดก็ส่งคนไปที่หอเมฆา” หลี่ไท่หลงเอ่ยพลางทอดถอนใจออกมา เขาไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขากังวลถึงความปลอดภัยของนาง แต่นั่นก็ช่างเถิด…
“เจียวเจียว ช่วงนี้พยายามเก็บตัวอยู่แต่ในจวนเถิด ข้าส่งคนมาคอยคุ้มกันจวนผิงกั๋วกงอีกชั้นหนึ่งแล้ว ข้ายังสามารถเข้ามาได้ไม่แน่ว่าวันหน้าอาจจะมีผู้อื่นลักลอบเข้ามาได้อีก” เมื่อหลี่ไท่หลงเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเจียวก็พยักหน้าพลางขมวดคิ้วและคิดในใจว่า
‘จวนผิงกั๋วกงแห่งนี้นอกจากองค์รัชทายาทแล้วยังจะมีผู้อื่นคิกจะลักลอบเข้ามาอีกหรือ หากสกุลจ้าวเหิมเกริมขนาดนั้นเหตุใดจึงไม่ลอบฆ่าองค์รัชทายาทผู้ชอบป้วนเปี้ยนอยู่นอกวังจะไม่ง่ายและตรงจุดมากกว่าหรือ’ แน่นอนว่านางไม่ได้เอ่ยอันใดออกมาในเมื่อคนเขาหวังดีก็ควรจะต้องน้อมรับความหวังดีเอาไว้
“เรื่องนี้หม่อมฉันทราบแล้ว องค์รัชทายาทพระองค์ทรงรีบกลับไปเถิดเพคะ หากมีผู้อื่นรู้ว่าพระองค์มาอยู่ที่นี่ย่อมไม่ส่งผลดีต่อพวกเราทั้งคู่” เฉินเจียวเจียวพลางผายมือเพื่อส่งแขก
“ขอนั่งพักอีกสักหน่อยไม่ได้หรือ…” ยังไม่ทันได้เอ่ยจบเขาก็พลันเกร็งตัวแล้วขยับตัวลุกขึ้นแล้วทำท่าจะหลบแต่กลับมีคนผู้หนึ่งพลิ้วหายเข้ามาแล้วเอากระบี่พาดคอของเขาเอาไว้
“ข้าก็หลงคิดว่าแมลงหวี่แมลงวันที่ไหนกล้าแอบลักลอบเข้าจวนของข้ามาในยามดึกดื่นเช่นนี้ ที่แท้ก็เป็นแมลงหวี่จากตำหนักบูรพานี่เอง” เสียงนี้ของผิงกั๋วกงทำให้หลี่ไท่หลงขมวดคิ้วแน่นเขาหันไปส่งสายตาขอโทษให้เฉินเจียวเจียวส่วนนางกลับไม่ได้สนใจเขา จ้องมองบิดาที่ไม่ได้เห็นมาเนิ่นนานแล้วด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความคิดถึง
“ท่านพ่อ!”
หลังเสร็จสิ้นงานเลี้ยงเฉินฮองเฮาจึงได้ปลีกตัวกลับตำหนักอันหนิงไปก่อนเหลือเพียงหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ที่ทรงเรียกน้องชายเข้ามาตักเตือนเป็นการส่วนพระองค์โดยมีองค์ชายทั้งสองประทับอยู่ด้วย“จนถึงยามนี้แล้วเจ้าก็ยังคิดไม่ได้อีกหรือ น้องรองพระชายาของเจ้าผู้นี้แม้ว่าจะไม่ได้งดงาม รูปร่างก็ใหญ่โตแต่สิ่งที่นางมีเหนือผู้อื่นก็คือความจริงใจ แม้ว่าจะดุดันและไม่ช่างเอาอกเอาใจแต่เจ้าก็ไม่ต้องคอยระมัดระวังตัวและคอยคาดเดาอารมณ์ของนาง นางโกรธเจ้าก็รู้ นางโมโหเข้าก็แค่ถูกด่าหลังจากถูกโบยตีไม่กี่ทีนางก็กลับไปเป็นปกติแล้ว” หลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสพลางถอนพระปัสสาสะออกมา“ในขณะที่คนงามส่วนใหญ่กลับซับซ้อนมากกว่านั้นภายใต้สีหน้ายิ้มแย้มของพวกนางมีความคิดมากมายซุกซ่อนอยู่ภายในใจ ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่มีทางจะคาดเดาความคิดของนางได้แน่ น้องรองเจ้าโชคดีแล้วที่ได้โม่หลันเป็นพระชายา อย่าได้คิดหาเศษหาเลยแล้วทำให้ชีวิตของตนเองต้องตกต่ำอีกเลย” เมื่อหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสเช่นนี้โซ่วอ๋องที่คุกเข่าขอรับผิดอยู่ตรงหน้าก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ“เสด็จพี่! แล้วพระองค์ทรงไม่เคยหวั่นไหวบ้างเลยหรือ มีคนงามมาอยู่ตรงห
เฉินฮองเฮาแห่งแคว้นต้าเยียนทรงสิริโฉม เต็มเปี่ยมไปด้วยสติปัญญา ได้รับความรักและความให้เกียรติจากสวามีจนสตรีทั่วแคว้นต่างโจษจันกันไปจนทั่ว สตรีทุกนางล้วนริษยาในความพรั่งพร้อมและสมบูรณ์พูนสุขของพระนางนาง พระนางประสูติพระโอรสสองพระองค์พระธิดาหนึ่งพระองค์แม้ว่าจะทรงมีพระชันษามากแล้วความงามของพระนางก็ยังคงเป็นที่กล่าวขานถึง“นี่ใช้คำว่ารักและให้เกียรติได้อย่างไรกัน ต้องใช้คำว่ารักและเคารพมากกว่า” หลี่เทียนหลงองค์รัชทายาทแคว้นต้าเยียนเอ่ยกับพระอนุชาด้วยสุรเสียงแผ่วเบา“รักหรือไม่ข้าไม่แน่ใจ แต่เคารพและเกรงกลัวข้าขอยืนยันว่าเป็นความจริง เสด็จพี่ทรงทอดพระเนตรดูขุนนางที่ไม่รู้จักตายนั่นสิ พยายามจะยัดเยียดบุตรสาวโฉมงามให้เสด็จพ่อ แถมยังโอ้อวดว่าทั้งร่างกายและจิตใจบุตรสาวของเขาล้วนงดงามพิสุทธิ์หาผู้ใดเทียม ช่างไม่ดูเสียบ้างว่ายามนี้สีพระพักตร์ของเสด็จพ่อซีดเซียวเสียยิ่งกว่าไก่ในโถน้ำแกงเสียอีก” หลี่เทียนเฮ่าผู้เป็นองค์ชายรองเอ่ยกับพระเชษฐาด้วยน้ำเสียงซุกซน โดยไม่สนพระทัยหลี่เทียนหรูพระขนิษฐาพระองค์เล็กที่ในยามนี้หลบไปนั่งอยู่กับบรรดาสตรีในจวนผิงกั๋วกงแล้ว ค่ำคืนนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองเทศกาลหยวนเซี
หลังจากเสร็จสิ้นพิธีอภิเษกไปเพียงไม่กี่วัน เฉินเจียวเจียวก็ต้องสวมชุดไว้ทุกข์ให้แก่จ้าวไทเฮา แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่คาดเดาได้อยู่แล้ว แต่เพลิงพิโรธของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ผู้เป็นราชบิดาของสามีก็ยังทำให้นางอดใจสั่นไม่ได้“เจ้าลูกเลว! หากเจ้าไม่ส่งคนไปบอกยามนี้พระนางก็คงจะยังทรงดำเนินชีวิตได้ตามปกติ” พระสุรเสียงที่ทรงตรัสออกมาทำให้เฉินเจียวเจียวที่คุกเข่าอยู่ทางด้านข้างขององค์รัชทายาทไม่กล้าเงยหน้าขึ้น“ลูกก็แค่คิดว่าไม่ควรจะหลอกลวงพระนางอีกต่อไป”“ยังไม่สำนึกอีก! หลี่ไท่หลงนางคือเสด็จย่าของเจ้านะ นางคือแม้แท้ๆ ของข้า และก็เป็นนางที่ผลักดันจนข้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้จวบจนทุกวันนี้” ถ้อยคำนี้ของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงเต็มไปด้วยกระแสอารมณ์อันเศร้าโศกและโกรธเกรี้ยว เฉินเจียวเจียวที่ก้มหน้าอยู่อดเหลือบมองสวามีของตนเองที่ยามนี้เงยหน้าขึ้นไปทุ่มเถียงกับพระราชบิดาของตนเองไม่ได้“แต่ก็เป็นพระนางที่วางแผนปลิดชีพพระมารดาของลูก เป็นพระนางที่ยึดครองพระราชอำนาจของเสด็จพ่อไปตั้งนานหลายปี แล้วก็เป็นพระนางที่สนับสนุนสกุลจ้าวให้ทะเยอทะยานและก้าวล้างพระราชอำนาจของเสด็จพ่ออยู่หลายครั้ง ลูกเข้าใจในความรักความผูกพัน
พิธีอภิเษกขององค์รัชทายาทและคุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ บุรุษของจวนผิงกั๋วกงเดินทางเข้าเมืองหลวงพร้อมกันอีกครั้งเพื่อเข้าร่วมในพิธีครั้งนี้ เฉินเจียวเจียวแต่งกายอย่างดงามสวมมงกุฎหงส์และผ้าคลุมหน้าที่ปักลวดลายอันวิจิตรนั่งเกี้ยวเข้าวังหลวงอย่างยิ่งใหญ่ การแต่งงานในชาตินี้นับว่าเป็นการแต่งงานที่ยิ่งใหญ่กว่าในชาติที่แล้ว คนที่รอรับนางลงจากเกี้ยวก็ไม่ใช่คนเดิม นางจึงไม่กล้าตั้งความหวังต่อชีวิตการแต่งงานเท่าใดนัก ไม่คาดหวังก็ย่อมจะไม่ผิดหวัง เรื่องนี้นางสามารถเรียนรู้มาจากชาติที่แล้ว ในชาตินี้ชีวิตของนางจึงถูกเติมเต็มไปด้วยความสุข“ฮู่ว ในที่สุดก็ได้พบหน้ากันโดยไม่ต้องปีนกำแพงเสียที” องค์รัชทายาทเอ่ยหลังจากที่ใช่คันชั่งเปิดผ้าคลุมหน้าของนางแล้ว เขาจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่งด้วยสายตาอันแวววาว แล้วจึงได้เอ่ยถ้อยคำชื่นชมออกมาอย่างที่ควรจะเป็น“เจ้างามมาก” คำพูดประโยคนี้ของเขาทำให้นางอดยิ้มออกมาไม่ได้ฝ่าบาททรงประทานงานเลี้ยงฉลองให้แก่ผู้มาร่วมงานภายในวัง แต่เพราะเขามีฐานะเป็นถึงองค์รัชทายาทจึงไม่ต้องออกไปคารวะสุรามงคลให้แก่ผู้ใด ยามนี้ภายในห้องหอจึงมีเพียงเขาและนางเพียงเท่านั้น
พิธีปักปิ่นของคุณหนูใหญ่ของจวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ในฐานะว่าที่พระชายาองค์รัชทายาท ย่อมมีเจ้าหน้าที่จากกรมพิธีการมาช่วยเหลือในการดำเนินพิธี เฉินเจียวเจียวนั่งอยู่ท่ามกลางเหล่าฮูหยินผู้เต็มไปด้วยโชคลาภทั้งหลายด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม พวกนางช่วยหวีผมให้พร้อมคำอวยพรอันเป็นมงคลปิ่นแรกที่ปักลงมาบนมวยผมคือปิ่นพระราชทานจากเฉียวกุ้ยเฟย ตามมาด้วยปิ่นของพระนางเต๋อเฟย และบรรดาพระสนมที่เฉินเจียวเจียวเคยพบ ฮูหยินผู้เฒ่าจวนผิงกั๋วกงและฮูหยินผู้เฒ่าจวนสกุลหยวนนำปิ่นมาปักลงบนมวยผมของเฉินเจียวเจียวด้วยตนเอง ต่อมาก็เป็นสตรีอาวุโสในจวนและสตรีอาวุโสที่มีความสัมพันธ์กันดีกับจวนผิงกั๋วกงเมื่อเสร็จสิ้นพิธีปักปิ่นเฉินเจียวเจียวก็ลูกขึ้นคารวะขอบคุณอย่างเต็มพิธีการสามครั้งแล้วจึงเข้าสู่งานเลี้ยง เฉินเจียวเหม่ยและเฉินเจียวมี่ที่ได้รับหน้าที่ถือพานใส่หวีและปิ่น ต่างรีบจับจูงนางกลับเรือนด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม มีคุณหนูจากหลายจวนที่มีความสัมพันธ์อันดีมาร่วมแสดงความยินดีด้วย แน่นอนว่าคนที่มาย่อมขาดหวังฮุ่ยหลิงและองค์หญิงเก้าหลี่ถังหรูไม่ได้เหตุการณ์ปราบกบฏสกุลเจ้าเกิดขึ้นเร็วกว่าในชาติที่แล้ว ในชาตินี้เซียว
เมื่อบ้านเมืองสงบสุขชีวิตความเป็นอยู่ของชาวประชาก็กลับมาดำเนินไปตามปกติ เกิดแก่เจ็บตายล้วนเป็นไปตามยถากรรมของโลก ในเมื่อหลินชิงเหมยไม่สามารถทนรับความบอบช้ำของร่างกายไม่ไหว นางจึงได้ตายจากไปในที่สุด ในตอนที่นางจะตายนางยังเคยอดสงสัยไม่ได้ว่า หากนางไม่ทะเยอทะยาน หากนางไม่คิดจะร่วมมือกับสกุลจ้าวชีวิตของนางจะต้องจบลงเช่นนี้ไหม น่าเสียดายที่ต่อให้นางสงสัยมากเพียงใดก็ไม่อาจจะทำอันใดได้แล้วแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นแต่นางกลับรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่า การตายเช่นนี้กลับดีมากแล้ว เพราะในความฝันของนาง นางเคยต้องเผชิญกับความตายที่น่ากลัวกว่านี้ ทั้งถูกทุบตี ทั้งถูกรุมย่ำยีแถมยังถูกทารุณกรรมจนไม่เหลือสภาพความเป็นคน อยากตายก็ไม่ได้ตาย ลืมตาขึ้นมาในแต่ละวันต้องร้องไห้ทุกครั้งที่พบว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่ การถูกโบยจนตายน่าจะเป็นการตายที่สวรรค์ปรานีสำหรับนางมากแล้ว นี่คือความคิดสุดท้ายในห้วงความนึกคิดของนาง ตอนที่โซ่วอ๋องมารับร่างที่ไร้ลมหายใจของนางจึงได้เห็นว่าแม้ในยามหลับบนใบหน้าของนางก็ยังมีรอยยิ้มประดับอยู่หลินชิงเหมยตายแล้ว โซ่วอ๋องจะทุกข์ใจหรือไม่เฉินเจียวเจียวไม่ได้ให้ความสนใจอีกแล้ว เรื่องราวในกาลก่อนราวกับ