공유

บทที่ 52 กลับมาแล้ว

작가: BigM00N
last update 최신 업데이트: 2025-05-23 21:25:35

ผิงกั๋วกงจ้องมองชายหนุ่มหน้าขาวตรงหน้าด้วยสีหน้าดุดัน เราเร่งรุดกลับมาบุตรสาวจนถึงขั้นสูญเสียม้าชั้นดีไปตั้งหลายตัว เพราะความร้อนใจเป็นห่วงว่าอาจจะเกิดเรื่องร้ายขึ้นที่จวนจึงได้รีบกลับมาโดยไม่รอการอนุญาตจากฝ่าบาท แต่คิดไม่ถึงว่าเมื่อมาถึงจวนจะทันได้เห็นว่ามีคนผู้หนึ่งลักลอบเข้ามาในจวนจากทางกำแพงด้านหลังของจวน เขารีบเข้ามาในจวนโดยไม่ได้แจ้งให้ผู้ใดทราบแล้วรีบเร่งติดตามหาชายชุดดำด้วยตนเอง

ทหารยามรวมทั้งบรรดาผู้คุ้มกันต่างก็บอกกับเขาว่าไม่เห็นมีผู้ใดลักลอบเข้ามา เสียเวลาตระเวนตามหาอยู่พักใหญ่คิดไม่ถึงว่าจะเห็นว่าห้องของบุตรสาวของตนเองเปิดหน้าต่างทิ้งเอาไว้อย่างผิดวิสัย อากาศยามค่ำคืนหนาวเย็นเช่นนี้ยามปกติบุตรสาวของเขาจะไม่มีทางเปิดทิ้งเอาไว้เช่นนี้อย่างเด็ดขาด

เพราะเกรงว่าจะทำให้บุตรสาวต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงจึงได้บอกกับคนของตนเองว่าเขาน่าจะเข้าใจผิด แล้วจึงได้ลักลอบเดินเข้ามาในเรือนพักของบุตรสาว ก็ทันได้ยินบุตรสาวของตนเองเอ่ยวาจาขับไล่คนผู้หนึ่งแถมยังเรียกเขาว่าองค์รัชทายาทอีกด้วย เมื่อคิดได้ว่าบุตรสาวถอนหมั้นกับโซ่วอ๋องแล้วมาหมั้นหมายกับองค์รัชทายาทผู้นี้ก็ทำให้เขาอดคิดไปในทางที่ไม่ดีไม่ได้ องค์รัชทายาทผู้นี้ใช่คิดล่อลวงบุตรสาวของเขาเพราะเห็นว่านางคือบุตรสาวของเขาใช่หรือไม่ การลักลอบปีนกำแพงมาหาบุตรสาวของเขาในยามวิกาลเช่นนี้เป็นครั้งแรกหรือเขาทำเช่นนี้มาตั้งนานแล้ว และที่สำคัญนี่คือสาเหตุที่บุตรสาวของเขายกเลิกการหมั้นหมายกับโซ่วอ๋องแล้วกลายมาเป็นว่าที่พระชายาขององค์รัชทายาทใช่หรือไม่

“เจียวเจียว นี่มันเรื่องอันใด” ผิงกั๋วกงเอ่ยถามบุตรสาวด้วยน้ำเสียงดุดัน เฉินเจียวเจียวจึงพึ่งจะรู้ตัวว่าสถานการณ์ในยามนี้ออกจะอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ค่อยจะดีนัก

“ท่านพ่อ ท่านวางกระบี่ลงก่อนนะเจ้าค่ะ” เฉินเจียวเจียวเอ่ยพลางส่งสายตาให้หลี่ไท่หลง ซึ่งเขาก็ยินยอมยืนนิ่งแต่โดยดี เขากำลังจะอ้าปากเอ่ยอันใดออกมาแต่นางกลับตัดบทเขาด้วยการส่งเสียงดุใส่เขา

“องค์รัชทายาทอย่าได้ทรงตรัสอันใดออกมาทั้งสิ้น” เมื่อนางเอ่ยวาจาเช่นนี้เขาก็ขึงสายตาอันดุดันใส่นางในทันทีแต่กลับไม่ได้เอ่ยอันใดออกมาอีกเฉินเจียวเจียวจึงได้แต่ทอดถอนใจออกมาอย่างวางใจ

“ท่านพ่อ เรื่องราวไม่ได้เป็นอย่างที่ท่านพ่อคิดจะเจ้าคะ องค์รัชทายาทแค่เพียงเข้ามาพูดคุยกับลูกเพียงเท่านั้น” ผิงกั๋วกงมองบุตรสาวครู่หนึ่งแล้วจึงได้มองถ้วยชาสองใบที่วางอยู่บนโต๊ะด้วยสีหน้าอึมครึม

“หากอยากพูดคุยกันแล้วเหตุใดต้องลักลอบเข้ามาหายามวิกาลเช่นนี้ เจียวเจียวเจ้าน่าจะคำนึงถึงความเหมาะสมว่าการที่ให้ชายหนุ่มนั่งอยู่ในห้องเพียงลำพังสองต่อสองนั้นไม่เหมาะสม”

“ลูกย่อมรู้เพคะ เพียงแต่เรื่องบางเรื่องก็ไม่อาจจะอธิบายได้หมดเจ้าค่ะ” องค์รัชทายาทอ้าปากจะพูดอีกครั้งแต่เฉินเจียวเจียวกลับส่งสายตาดุดันให้เขาเช่นกันเขาจึงได้หุบริมฝีปากอันเรียวบางเอาของตนเองไว้แล้วเม้มแน่นอย่างไม่พอใจ

สายตาดุดันของบุตรสาวมีหรือที่ผิงกั๋วกงจะไม่เห็น ไม่ได้พบกันเพียงสองปี บุตรสาวของเขาก็เปลี่ยนจากเด็กสาวใบหน้าอวบอิ่มกลายเป็นสตรีที่มีใบหน้างดงามไปเสียแล้ว ความสูงเช่นนี้ใบหน้าและรูปลักษณ์เช่นนี้ช่างคล้ายคลึงกับหลินซื่อภรรยาที่ล่วงลับไปแล้วของเขาเป็นอย่างมาก เพียงแต่หลินซื่อของเขานางอ่อนหวานกว่านี้และไม่ได้สีหน้าข่มขู่ผู้คนเช่นนี้ ที่สำคัญชายหนุ่มที่อยู่ภายใต้กระบี่ของเขาแม้ว่าจะแสดงออกว่าไม่พอใจ แต่กลับเชื่อฟังบุตรสาวของเขาเป็นอย่างยิ่งไม่ได้เอ่ยปากออกมาแม้ว่าอึดอัดและอยากจะเอ่ยอันใดออกมามากเต็มทีแล้วก็ตาม

‘อย่าให้เขาเอ่ยอันใดออกมาย่อมดีที่สุด ข้อเสียอันยิ่งใหญ่มากที่สุดขององค์รัชทายาทผู้นี้ก็คือคำพูดของเขานี่แหละ’ นี่คือความคิดของเฉินเจียวเจียว

“ท่านพ่อ ช่วงนี้ลูกได้พบกับเรื่องทุกข์ใจตั้งมากมาย องค์รัชทายาททรงเป็นห่วงก็เลยลักลอบเข้ามาเพื่อเอ่ยวาจาปลอบใจลูก อีกทั้งยามนี้ลูกก็ได้รับราชโองการแต่งตั้งลงมาแล้วย่อมไม่เหมาะที่จะได้พบและพูดคุยกันต่อหน้าผู้อื่น อีกทั้งช่วงนี้คนสกุลจ้าวก็กำลังจับตามองการกระทำทั้งของลูกและขององค์รัชทายาท พระองค์ก็เลยทรงทำเรื่องที่ไม่เหมาะสมเช่นนี้” เมื่อผิงกั๋วกงได้ยินเช่นนั้นก็ขึงตาใส่บุตรสาว

“ในที่รโหฐานมาพบกันตามลำพังเช่นนี้ย่อมไม่เหมาะสม”

“แต่หากไม่ได้พูดคุยกันลูกก็คงจะไม่รู้ว่ายามนี้ตนเองกำลังมีอันตราย องค์รัชทายาททรงกังวลว่าสกุลจ้าวจะลอบทำร้ายลูกอีกก็เลยมาเตือนลูกพร้อมทั้งยังส่งคนของพระองค์มาคอยดูแลอย่างลับๆ อีกด้วย”

“ทำร้ายอีก หมายความว่าเคยลอบทำร้ายเจ้ามาก่อนหรือ” เขาเอ่ยถามพลางดึงกระบี่ของตนเองออก เฉินเจียวเจียวรีบยื่นมือไปดึงชายแขนเสื้อขององค์รัชทายาทแล้วดันเขาออกห่างจากคมดาบของบิดาในทันที

“ก่อนหน้านี้ก็ล้วนเป็นเพราะแผนการของคนสกุลจ้าว ที่คิดจะทำให้ข้าแปดเปื้อนเป็นเพราะองค์รัชทายาทออกหน้าช่วยเหลือข้าก็เลยรอดตัวมาได้ ราชโองการพระราชทานสมรสก็เช่นกัน ล้วนเพื่อช่วยปกป้องชื่อเสียงของข้าทั้งสิ้น” เฉินเจียวเจียวเอ่ยเล่าถึงเรื่องที่ตนเองตกน้ำและความขัดแย้งกับสกุลจ้าวอย่างละเอียด รวมทั้งเรื่องการร้องเรียนจวนสกุลจ้าวและความบาดหมางที่เกิดขึ้นหลังจากที่นางได้รับราชโองการพระราชทานสมรสแล้ว

ผิงกั๋วกงจ้องมององค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงด้วยสายตาพินิจพิจารณา ยามนี้เขายังคิดถึงเรื่องที่บุตรสาวเคยหมั้นหมายกับโซ่วอ๋องแต่เพราะคำนึงถึงความเหมาะสมด้วยเกรงว่าจะทำให้บุตรสาวต้องลำบากใจจึงไม่ได้เอ่ยถามออกมา อีกทั้งยามนี้ยังอยู่ต่อหน้าองค์รัชทายาทคงไม่เหมาะนักที่จะถามถึงเรื่องบุรุษอื่นของบุตรสาวต่อหน้าเขา

“ที่องค์รัชทายาทมาในวันนี้ก็เพื่อเตือนข้า และบอกกับข้าว่าให้ระมัดระวังตัวและห้ามออกจากจวน” เฉินเจียวเจียวเอ่ยสรุปพลางยกความดีความชอบให้แก่หลี่ไท่หลงอีกเล็กน้อย

“ขอบพระทัยองค์รัชทายาทมาก แต่ยามนี้กระหม่อมกลับมาแล้วบุตรสาวของกระหม่อม กระหม่อมย่อมจะสามารถดูแลความปลอดภัยของนางได้” ผิงกั๋วกงเอ่ยพลางส่งสายตาไม่พอใจให้เขา 

หลี่ไท่หลงตั้งใจจะใช้เรื่องที่ผิงกั๋วกงเร่งรุดกลับเข้าเมืองมาหาบุตรสาวก่อนที่ฝ่าบาทจะทรงอนุญาตนำมาเอ่ยเพื่อข่มขู่ว่าที่พ่อตา แต่เมื่อได้เห็นสายตาของเฉินเจียวเจียวแล้วจึงจำต้องกล้ำกลืนวาจาข่มขู่ของตนเองลงไปแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความนอบน้อม แม้ว่าสีหน้าจะพลันเย็นชาขึ้นอีกหลายส่วนก็ตามที ‘ทำไมข้าจะต้องเกรงใจนางเช่นนี้ด้วย’ แต่แน่นอนว่านี่คือความคิดในใจแต่ถ้อยคำที่เอ่ยออกมาจึงมีแค่เพียงถ้อยคำที่เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงนอบน้อมและถ่อมตน

“ข้าเข้าใจท่านดี ไม่ว่าเป็นผู้ใดที่ได้เห็นบุรุษผู้หนึ่งอยู่ในห้องของบุตรสาวย่อมต้องรู้สึกไม่พอใจ แต่ข้าขอยืนยันว่าข้าไม่ได้มีจิตคิดอกุศล ที่ลักลอบเข้ามาเช่นนี้ก็เพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของเจียวเจียวเพียงเท่านั้น” คำพูดของหลี่ไท่หลงทำให้อารมณ์ของผิงกั๋วกงค่อยๆ ผ่อนคลายความตึงเครียดลง

‘ที่แท้ก็รู้จักเลือกใช้คำพูดดีๆ ได้’ เฉินเจียวเจียวเอ่ยชื่นชมเขาในใจ

“องค์รัชทายาทเพคะ ยามนี้ก็ดึกมากแล้วทรงรีบกลับเถิดเพคะ ส่วนเรื่องทางนี้หม่อมฉันจะอธิบายให้ท่านพ่อของหม่อมฉันเข้าใจเองเพคะ” เฉินเจียวเจียวเอ่ยวาจาไล่เขาอีกครั้ง หลี่ไท่หลงพยักหน้าพลางเอ่ยรับคำแม้ว่าจะไม่พอใจมากเพียงใดก็ตาม

“ขออภัยที่ทำตัวไม่เหมาะสม ถ้าเช่นนั้นข้าคงต้องขอตัวก่อน” เขาเอ่ยกับว่าที่พ่อตาด้วยสีหน้าเคร่งขรึมแล้วจึงได้รีบพลิ้วกายจากไปในทันที

“ท่านพ่อ เหตุใดท่านกลับมาโดยไม่ส่งข่าวเล่าเจ้าคะ ว่าแต่ท่านเดินทางมาเช่นนี้ฝ่าบาททรงอนุญาตแล้วหรือเจ้าคะ” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนี้ผิงกั๋วกงก็พลันส่ายหน้า

“ข้าจึงได้กลับมาแบบเงียบๆ เช่นนี้อย่างไรเล่า เอาล่ะเจ้าบอกข้าว่ามาเพราะเหตุใดจึงได้ยกเลิกการหมั้นหมายกับโซ่วอ๋อง แล้วกลายเป็นว่าที่พระชายาขององค์รัชทายาทเช่นนี้” ผิงกั๋วกงเอ่ยถามด้วยสีหน้าจริงจัง

“ข้าย่อมจะต้องเล่าให้ท่านพ่อฟังอย่างละเอียดอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าต่อให้ยามนี้ดึกมากแล้วแต่การที่ท่านกลับมาเช่นนี้ย่อมจะทำให้ท่านย่ากับท่านแม่ดีใจมากเป็นแน่ ไปกันเถอะพวกเราไปปลุกพวกเขาขึ้นมาแล้วได้พบกับเรื่องที่น่ายินดีกันดีกว่า” เฉินเจียวเจียวเอ่ยพลางลากบิดาของตนออกจากห้องแล้วพาเขาไปยังโถงกลางของเรือนฝูอันของฮูหยินผู้เฒ่า

“ท่านย่า ท่านพ่อกลับมาแล้ว” เฉินเจียวเจียวเอ่ยพลางหัวเราะออกมาทำให้ผิงกั๋วกงเฉินคังอดยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดูไม่ได้

이 책을 계속 무료로 읽어보세요.
QR 코드를 스캔하여 앱을 다운로드하세요

최신 챕터

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 72 บทส่งท้าย

    หลังเสร็จสิ้นงานเลี้ยงเฉินฮองเฮาจึงได้ปลีกตัวกลับตำหนักอันหนิงไปก่อนเหลือเพียงหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ที่ทรงเรียกน้องชายเข้ามาตักเตือนเป็นการส่วนพระองค์โดยมีองค์ชายทั้งสองประทับอยู่ด้วย“จนถึงยามนี้แล้วเจ้าก็ยังคิดไม่ได้อีกหรือ น้องรองพระชายาของเจ้าผู้นี้แม้ว่าจะไม่ได้งดงาม รูปร่างก็ใหญ่โตแต่สิ่งที่นางมีเหนือผู้อื่นก็คือความจริงใจ แม้ว่าจะดุดันและไม่ช่างเอาอกเอาใจแต่เจ้าก็ไม่ต้องคอยระมัดระวังตัวและคอยคาดเดาอารมณ์ของนาง นางโกรธเจ้าก็รู้ นางโมโหเข้าก็แค่ถูกด่าหลังจากถูกโบยตีไม่กี่ทีนางก็กลับไปเป็นปกติแล้ว” หลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสพลางถอนพระปัสสาสะออกมา“ในขณะที่คนงามส่วนใหญ่กลับซับซ้อนมากกว่านั้นภายใต้สีหน้ายิ้มแย้มของพวกนางมีความคิดมากมายซุกซ่อนอยู่ภายในใจ ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่มีทางจะคาดเดาความคิดของนางได้แน่ น้องรองเจ้าโชคดีแล้วที่ได้โม่หลันเป็นพระชายา อย่าได้คิดหาเศษหาเลยแล้วทำให้ชีวิตของตนเองต้องตกต่ำอีกเลย” เมื่อหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสเช่นนี้โซ่วอ๋องที่คุกเข่าขอรับผิดอยู่ตรงหน้าก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ“เสด็จพี่! แล้วพระองค์ทรงไม่เคยหวั่นไหวบ้างเลยหรือ มีคนงามมาอยู่ตรงห

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 71 บัวขาวอีกหนึ่งดอก

    เฉินฮองเฮาแห่งแคว้นต้าเยียนทรงสิริโฉม เต็มเปี่ยมไปด้วยสติปัญญา ได้รับความรักและความให้เกียรติจากสวามีจนสตรีทั่วแคว้นต่างโจษจันกันไปจนทั่ว สตรีทุกนางล้วนริษยาในความพรั่งพร้อมและสมบูรณ์พูนสุขของพระนางนาง พระนางประสูติพระโอรสสองพระองค์พระธิดาหนึ่งพระองค์แม้ว่าจะทรงมีพระชันษามากแล้วความงามของพระนางก็ยังคงเป็นที่กล่าวขานถึง“นี่ใช้คำว่ารักและให้เกียรติได้อย่างไรกัน ต้องใช้คำว่ารักและเคารพมากกว่า” หลี่เทียนหลงองค์รัชทายาทแคว้นต้าเยียนเอ่ยกับพระอนุชาด้วยสุรเสียงแผ่วเบา“รักหรือไม่ข้าไม่แน่ใจ แต่เคารพและเกรงกลัวข้าขอยืนยันว่าเป็นความจริง เสด็จพี่ทรงทอดพระเนตรดูขุนนางที่ไม่รู้จักตายนั่นสิ พยายามจะยัดเยียดบุตรสาวโฉมงามให้เสด็จพ่อ แถมยังโอ้อวดว่าทั้งร่างกายและจิตใจบุตรสาวของเขาล้วนงดงามพิสุทธิ์หาผู้ใดเทียม ช่างไม่ดูเสียบ้างว่ายามนี้สีพระพักตร์ของเสด็จพ่อซีดเซียวเสียยิ่งกว่าไก่ในโถน้ำแกงเสียอีก” หลี่เทียนเฮ่าผู้เป็นองค์ชายรองเอ่ยกับพระเชษฐาด้วยน้ำเสียงซุกซน โดยไม่สนพระทัยหลี่เทียนหรูพระขนิษฐาพระองค์เล็กที่ในยามนี้หลบไปนั่งอยู่กับบรรดาสตรีในจวนผิงกั๋วกงแล้ว ค่ำคืนนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองเทศกาลหยวนเซี

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 70 เพลิงโทสะ

    หลังจากเสร็จสิ้นพิธีอภิเษกไปเพียงไม่กี่วัน เฉินเจียวเจียวก็ต้องสวมชุดไว้ทุกข์ให้แก่จ้าวไทเฮา แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่คาดเดาได้อยู่แล้ว แต่เพลิงพิโรธของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ผู้เป็นราชบิดาของสามีก็ยังทำให้นางอดใจสั่นไม่ได้“เจ้าลูกเลว! หากเจ้าไม่ส่งคนไปบอกยามนี้พระนางก็คงจะยังทรงดำเนินชีวิตได้ตามปกติ” พระสุรเสียงที่ทรงตรัสออกมาทำให้เฉินเจียวเจียวที่คุกเข่าอยู่ทางด้านข้างขององค์รัชทายาทไม่กล้าเงยหน้าขึ้น“ลูกก็แค่คิดว่าไม่ควรจะหลอกลวงพระนางอีกต่อไป”“ยังไม่สำนึกอีก! หลี่ไท่หลงนางคือเสด็จย่าของเจ้านะ นางคือแม้แท้ๆ ของข้า และก็เป็นนางที่ผลักดันจนข้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้จวบจนทุกวันนี้” ถ้อยคำนี้ของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงเต็มไปด้วยกระแสอารมณ์อันเศร้าโศกและโกรธเกรี้ยว เฉินเจียวเจียวที่ก้มหน้าอยู่อดเหลือบมองสวามีของตนเองที่ยามนี้เงยหน้าขึ้นไปทุ่มเถียงกับพระราชบิดาของตนเองไม่ได้“แต่ก็เป็นพระนางที่วางแผนปลิดชีพพระมารดาของลูก เป็นพระนางที่ยึดครองพระราชอำนาจของเสด็จพ่อไปตั้งนานหลายปี แล้วก็เป็นพระนางที่สนับสนุนสกุลจ้าวให้ทะเยอทะยานและก้าวล้างพระราชอำนาจของเสด็จพ่ออยู่หลายครั้ง ลูกเข้าใจในความรักความผูกพัน

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 69 พระชายาองค์รัชทายาท

    พิธีอภิเษกขององค์รัชทายาทและคุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ บุรุษของจวนผิงกั๋วกงเดินทางเข้าเมืองหลวงพร้อมกันอีกครั้งเพื่อเข้าร่วมในพิธีครั้งนี้ เฉินเจียวเจียวแต่งกายอย่างดงามสวมมงกุฎหงส์และผ้าคลุมหน้าที่ปักลวดลายอันวิจิตรนั่งเกี้ยวเข้าวังหลวงอย่างยิ่งใหญ่ การแต่งงานในชาตินี้นับว่าเป็นการแต่งงานที่ยิ่งใหญ่กว่าในชาติที่แล้ว คนที่รอรับนางลงจากเกี้ยวก็ไม่ใช่คนเดิม นางจึงไม่กล้าตั้งความหวังต่อชีวิตการแต่งงานเท่าใดนัก ไม่คาดหวังก็ย่อมจะไม่ผิดหวัง เรื่องนี้นางสามารถเรียนรู้มาจากชาติที่แล้ว ในชาตินี้ชีวิตของนางจึงถูกเติมเต็มไปด้วยความสุข“ฮู่ว ในที่สุดก็ได้พบหน้ากันโดยไม่ต้องปีนกำแพงเสียที” องค์รัชทายาทเอ่ยหลังจากที่ใช่คันชั่งเปิดผ้าคลุมหน้าของนางแล้ว เขาจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่งด้วยสายตาอันแวววาว แล้วจึงได้เอ่ยถ้อยคำชื่นชมออกมาอย่างที่ควรจะเป็น“เจ้างามมาก” คำพูดประโยคนี้ของเขาทำให้นางอดยิ้มออกมาไม่ได้ฝ่าบาททรงประทานงานเลี้ยงฉลองให้แก่ผู้มาร่วมงานภายในวัง แต่เพราะเขามีฐานะเป็นถึงองค์รัชทายาทจึงไม่ต้องออกไปคารวะสุรามงคลให้แก่ผู้ใด ยามนี้ภายในห้องหอจึงมีเพียงเขาและนางเพียงเท่านั้น

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 68 ฝันร้ายของโซ่วอ๋อง

    พิธีปักปิ่นของคุณหนูใหญ่ของจวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ในฐานะว่าที่พระชายาองค์รัชทายาท ย่อมมีเจ้าหน้าที่จากกรมพิธีการมาช่วยเหลือในการดำเนินพิธี เฉินเจียวเจียวนั่งอยู่ท่ามกลางเหล่าฮูหยินผู้เต็มไปด้วยโชคลาภทั้งหลายด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม พวกนางช่วยหวีผมให้พร้อมคำอวยพรอันเป็นมงคลปิ่นแรกที่ปักลงมาบนมวยผมคือปิ่นพระราชทานจากเฉียวกุ้ยเฟย ตามมาด้วยปิ่นของพระนางเต๋อเฟย และบรรดาพระสนมที่เฉินเจียวเจียวเคยพบ ฮูหยินผู้เฒ่าจวนผิงกั๋วกงและฮูหยินผู้เฒ่าจวนสกุลหยวนนำปิ่นมาปักลงบนมวยผมของเฉินเจียวเจียวด้วยตนเอง ต่อมาก็เป็นสตรีอาวุโสในจวนและสตรีอาวุโสที่มีความสัมพันธ์กันดีกับจวนผิงกั๋วกงเมื่อเสร็จสิ้นพิธีปักปิ่นเฉินเจียวเจียวก็ลูกขึ้นคารวะขอบคุณอย่างเต็มพิธีการสามครั้งแล้วจึงเข้าสู่งานเลี้ยง เฉินเจียวเหม่ยและเฉินเจียวมี่ที่ได้รับหน้าที่ถือพานใส่หวีและปิ่น ต่างรีบจับจูงนางกลับเรือนด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม มีคุณหนูจากหลายจวนที่มีความสัมพันธ์อันดีมาร่วมแสดงความยินดีด้วย แน่นอนว่าคนที่มาย่อมขาดหวังฮุ่ยหลิงและองค์หญิงเก้าหลี่ถังหรูไม่ได้เหตุการณ์ปราบกบฏสกุลเจ้าเกิดขึ้นเร็วกว่าในชาติที่แล้ว ในชาตินี้เซียว

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 67 พบหน้า

    เมื่อบ้านเมืองสงบสุขชีวิตความเป็นอยู่ของชาวประชาก็กลับมาดำเนินไปตามปกติ เกิดแก่เจ็บตายล้วนเป็นไปตามยถากรรมของโลก ในเมื่อหลินชิงเหมยไม่สามารถทนรับความบอบช้ำของร่างกายไม่ไหว นางจึงได้ตายจากไปในที่สุด ในตอนที่นางจะตายนางยังเคยอดสงสัยไม่ได้ว่า หากนางไม่ทะเยอทะยาน หากนางไม่คิดจะร่วมมือกับสกุลจ้าวชีวิตของนางจะต้องจบลงเช่นนี้ไหม น่าเสียดายที่ต่อให้นางสงสัยมากเพียงใดก็ไม่อาจจะทำอันใดได้แล้วแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นแต่นางกลับรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่า การตายเช่นนี้กลับดีมากแล้ว เพราะในความฝันของนาง นางเคยต้องเผชิญกับความตายที่น่ากลัวกว่านี้ ทั้งถูกทุบตี ทั้งถูกรุมย่ำยีแถมยังถูกทารุณกรรมจนไม่เหลือสภาพความเป็นคน อยากตายก็ไม่ได้ตาย ลืมตาขึ้นมาในแต่ละวันต้องร้องไห้ทุกครั้งที่พบว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่ การถูกโบยจนตายน่าจะเป็นการตายที่สวรรค์ปรานีสำหรับนางมากแล้ว นี่คือความคิดสุดท้ายในห้วงความนึกคิดของนาง ตอนที่โซ่วอ๋องมารับร่างที่ไร้ลมหายใจของนางจึงได้เห็นว่าแม้ในยามหลับบนใบหน้าของนางก็ยังมีรอยยิ้มประดับอยู่หลินชิงเหมยตายแล้ว โซ่วอ๋องจะทุกข์ใจหรือไม่เฉินเจียวเจียวไม่ได้ให้ความสนใจอีกแล้ว เรื่องราวในกาลก่อนราวกับ

더보기
좋은 소설을 무료로 찾아 읽어보세요
GoodNovel 앱에서 수많은 인기 소설을 무료로 즐기세요! 마음에 드는 책을 다운로드하고, 언제 어디서나 편하게 읽을 수 있습니다
앱에서 책을 무료로 읽어보세요
앱에서 읽으려면 QR 코드를 스캔하세요.
DMCA.com Protection Status