Share

บทที่ 58 แผนร้าย

Author: BigM00N
last update Last Updated: 2025-05-23 21:30:01

หลังจากที่ได้พูดคุยกับองค์รัชทายาทและบอกกล่าวถึงการกระทำของสกุลจ้าวและหลินชิงเหมยแล้วเฉินเจียวเจียวจึงได้ใช้ชีวิตอย่างสบายอกสบายใจขึ้น ทุกครั้งที่หลินชิงเหมยมีความเคลื่อนไหว เฉินเจียวเจียวก็จะให้ตงจื้อถือป้ายคำสั่งไปที่หอเมฆาเพื่อถ่ายทอดความเคลื่อนไหวไปให้รัชทายาทส่วนองค์รัชทายาทก็มักจะฝากข่าวคราวของโซ่วอ๋องเอาไว้ที่หอเมฆา การติดต่อระหว่างคนทั้งสองจึงเป็นไปในรูปแบบนี้

ช่วงเวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปอย่างรวดเร็วเสมอ ผ่านไปร่วมเดือนบุรุษจวนผิงกั๋วกงจึงได้เดินทางเข้าประตูเมืองมาอย่างเอิกเกริก สตรีทุกคนในครอบครัวต่างไปรอรับพวกเขาที่หน้าประตูเมือง แน่นอนว่าครั้งนี้ผิงกั๋วกงย่อมจะต้องรีบออกไปแสดงตัวว่าตนเองก็พึ่งจะมาถึงพร้อมกับบุตรหลานและน้องชายทั้งสองเพื่อให้ผู้อื่นรับรู้ ชาวบ้านต่างก็มามุงดูบุรุษสูงใหญ่ของจวนผิงกั๋วกงด้วยสายตาชื่นชม

ว่ากันว่าสตรีในจวนผิงกั๋วกงล้วนมีรูปโฉมงดงามและแช่มช้อย แถมยังได้รับการสรรเสริญจากฝ่าบาทว่าเพียบพร้อมไปด้วยรูปโฉมและความสามารถ ส่วนเหล่าบุรุษในจวนผิงกั๋วกงนั้นวันนี้พวกเขาได้เห็นกับตาแล้วพวกเขาไม่เพียงมีรูปร่างสูงใหญ่ แต่กลับมีใบหน้าที่ดึงดูดสายตาของผู้คนเป็นอย่างมากอีกด้วย

ฝ่ายผิงกั๋วกงเมื่อขี่ม้าเข้าประตูเมืองมาคนแรกที่เขาเห็นกลับไม่ใช่ครอบครัวแต่เป็นบุรุษที่เขาไม่ชอบหน้าที่สุดในยามนี้กำลังยืนอมยิ้มอยู่ที่น้าประตูพร้อมด้วยเหล่าขุนนางในราชสำนักหลายคนที่มายืนรอต้อนรับ

“คารวะองค์รัชทายาท” เหล่าบุรุษจวนผิงกั๋วกงรีบลงจากหลังม้าแล้วไปคารวะองค์รัชทายาทด้วยสีหน้านอบน้อม มีเพียงผิงกั๋วกงที่ดูฝืนใจอยู่บ้างแต่เมื่อเห็นว่ามีหลายสายตากำลังจับจ้องอยู่เขาจึงได้พยายามรักษาสีหน้าของตนเอาไว้

“พวกท่านไม่ต้องมาพิธี ข้าได้รับกระแสรับสั่งจากฝ่าบาทให้เป็นตัวแทนมาต้อนรับพวกท่าน หลายปีมานี้หากไม่ได้พวกท่านคอยต้านทานศัตรูอยู่ที่ชายแดนทางเหนือพวกเราทุกคนในแคว้นต้าเยียนแห่งนี้ก็คงจะไม่อาจจะใช้ชีวิตได้อย่างสงบสุขเช่นนี้ พวกเราชาวแคว้นต้าเยียนนับว่าติดหนี้ชีวิตพวกท่านและเหล่าทหารทั้งหลายแล้ว” องค์รัชทายาทเอ่ยด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม

ผิงกั๋วกงที่เคยปรามาสเขาอยู่ในใจว่าเป็นเพียงบุรุษหน้าขาวปากแดงที่ใช้รูปโฉมล่อลวงบุตรสาวของเขาถึงกับต้องจ้องมององค์รัชทายาทผู้นี้ใหม่ คนผู้นี้ไม่เพียงล่อลวงสตรีเก่งแต่ยังเก่งกาจในการใช้คำพูดล่อลวงผู้คนอีกด้วย

“องค์รัชทายาททรงกล่าวหนักจนเกินไปแล้ว ที่พวกกระหม่อมทำล้วนเป็นหน้าที่ที่ทหารทุกคนต้องทำอยู่แล้ว” ผิงกั๋วกงเอ่ยพลางหันไปมองคนในครอบครัวของตนเองที่ยืนรอพวกเขาอยู่ทางด้านหลัง

“ลูก/หลานอกตัญญูคารวะท่านแม่/ท่านย่า” บุรุษจวนผิงกั๋วกงต่างเดินไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าพร้อมกัน นางหัวเราะเบาๆ พลางจ้องลูกชายและหลานชายทั้งหมดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาแห่งความยินดี

“หลายปีมานี้ลำบากพวกเจ้าแล้ว ไปพวกเรารีบกลับจวนกันเถิด ข้าเตรียมน้ำร้อนน้ำชา และอาหารร้อนๆ ไว้รอพวกเจ้าที่จวนแล้ว” เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเช่นนี้ผิงกั๋วกงเฉินคังก็หันไปเอ่ยกับมารดาเสียงเบา

“ท่านแม่พาพวกเขากลับจวนไปก่อนเถิด ส่วนข้าขอเข้าวังไปถวายพระพรฝ่าบาทก่อน แล้วจึงจะติดตมพวกท่านกลับจวนไป” เมื่อผิงกั๋วกงเอ่ยเช่นนี้ฮูหยินผู้เฒ่าก็พยักหน้าให้เขาแล้วเอ่ยเสียงเบา

“เจ้าไปเถิด” ผิงกั๋วกงจึงได้เดินไปหาองค์รัชทายาทแล้วติดตามเขาเข้าวังหลวงโดยมีขุนนางที่มารอต้อนรับติดตามไปด้วย

เฉินเจียวเจียวมองพี่ชายด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม ปีนี้เฉินเจียวจ้านพี่ชายของนางมีอายุได้สิบแปดปีแล้ว เขามีรูปร่างสูงใหญ่ผิวกายดำคล้ำเพราะถูกแผดเผาจากไอแดด หลังจากคารวะผู้อาวุโสในเรือนเรียบร้อยแล้วเฉินเจียวจ้านจึงได้เดินมาหานางด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม

“พี่ใหญ่” เฉินเจียวเจียวเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงสั่งเครือ ไม่ว่าในชาตินี้หรือว่าในชาติที่แล้วก็นับว่าเป็นเวลาเนิ่นนานมากแล้วที่นางไม่ได้พบเขา

“เจ้าสุขสบายดีหรือไม่” คำถามของพี่ชายทำให้นางยิ้มออกมา

“สบายดีเจ้าค่ะ พวกเรารีบกลับจวนกันเถิด ถึงยามนั้นข้าจะเล่าให้พี่ฟังเองว่าช่วงนี้เกิดเหตุการณ์ใดขึ้นกับข้าบ้าง” เฉินเจียวเจียวเอ่ยพลางยิ้มให้แก่พี่ชายของนางด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข นางไม่ได้สังเกตเลยสักนิดว่ายามนี้ขบวนขององค์รัชทายาทยังไม่ไปไหนเพราะคนนำขบวนกำลังยืนนิ่งและมองมาทางนี้

“จะทรงกลับวังหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” ผิงกั๋วกงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา สายตาที่เขาใช้มององค์รัชทายาทก็ดุดันมากเช่นกัน บรรดาขุนนางที่ติดตามมาด้วยล้วนพากันก้มหน้าเพื่อหลบเลี่ยงสายตา

“ย่อมต้องไปอยู่แล้ว” องค์รัชทายาทเอ่ยโดยที่ยังมีสีหน้าเปื้อนยิ้ม เขาก้าวเท้าเดินนำหน้าไปหนึ่งก้าวแล้วจึงได้หันมาเอ่ยกับผิงกั๋วกงด้วยน้ำเสียงยั่วเย้า

“เชิญท่านว่าที่พ่อตา” เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้รังสีอำมหิตก็ดูเหมือนว่าจะยิ่งแผ่กระจายออกมาจากผิงกั๋วกงมากยิ่งขึ้น ขุนนางอาวุโสหลายคนส่งเสียงกระแอมเตือนองค์รัชทายาทให้เขาสำรวมให้มากกว่านี้ ผิงกั๋วกงผู้นี้แม้แต่ฝ่าบาทยังต้องทรงยอมอ่อนข้อให้ แล้วเหตุใดองค์รัชทายาทจึงจะต้องไปยั่วยุเขาเช่นนี้ด้วย…

ในวังหลวงจัดงานเลี้ยงต้อนรับผิงกั๋วกงในตอนค่ำ บุรุษภายในจวนหลังจากที่พักผ่อนที่จวนแล้วก็ต่างได้รับราชโองการเรียกตัวเข้าไปในวัง โชคดีที่ดูเหมือนว่าในคราวนี้องค์รัชทายาทจะยินยอมเชื่อฟังฝ่าบาทแต่โดยดี งานเลี้ยงจึงไม่ดูน่าอึดอัดเท่าใดนัก

“ขอแสดงความยินดีกับท่านผิงกั๋วกงด้วย ไม่เพียงจะได้รับพระราชทานของกำนัลและงานเลี้ยง แต่กลางปีหน้าท่านก็จะได้ขยับฐานะเป็นพระสัสสุระขององค์รัชทายาทแล้ว” จ้าวเอ่ยกับผิงกั๋วกงพลางยกถ้วยสุราขึ้นเพื่อดื่มแสดงความยินดีให้แก่เขา

“ก็น่ายินดีจริงๆ นั่นแหละ ข้าได้ยินมาว่าแม้แต่ท่านเองก็ยังเคยอยากจะเป็นพระสัสสุระเช่นกัน ช่างน่าเสียดายแทนท่านยิ่งนักที่ไร้วาสนาเช่นนี้” คำพูดของผิงกั๋วกงทำให้องค์รัชทายาทหัวเราะออกมาแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง

“ผิงกั๋วกงท่านก็เห็นแล้ว ว่าที่ลูกเขยเช่นข้าไม่ใช่ว่าจะได้มาง่ายๆ นะ เพราะฉะนั้นวันหน้าท่านได้โปรดอ่อนโยนต่อข้าด้วย” คำพูดขององค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงทำให้หลี่เซียวหลงฮ่องเต้ถึงกับทรงสำลักพระสุธารสชาในทันที

“เจ้าใหญ่” น้ำเสียงตักเตือนของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทำให้องค์รัชทายาทมิได้เอ่ยอันใดต่อ เขาแค่เพียงส่งรอยยิ้มอันชั่วร้ายให้แก่จ้าวฉีแล้วจึงได้หันไปเอ่ยกับหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ด้วยสีหน้านอบน้อม

“ผิงกั๋วกงอย่าได้ใส่ใจในความไร้มารยาทของเขาเลย เป็นเพราะข้าไม่ดีตามใจเขามากไปสักหน่อยแต่โดยรวมแล้วบุตรชายของข้าผู้นี้ก็นับว่าเป็นคนที่ใช้ได้ทีเดียว” หลี่เซียวหลงฮ่องเต้เอ่ยด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้มแน่นอนว่าความหมายที่เขาพูดไม่ได้แค่ต้องการจะบอกว่าที่จริงแล้วลูกเขยของท่านผู้นี้คือคนดีแต่หลี่เซียวหลงฮ่องเต้กำลังตั้งใจจะบอกกับผิงกั๋วกงว่าบุตรชายผู้นี้ของเขาเหมาะสมที่จะได้นั่งบัลลังก์แทนเขามากที่สุดแล้วต่างหาก

“คนหนุ่มสมควรจะห้าวหาญและสง่าผ่าเผย ฝ่าบาททรงมีสายพระเนตรเฉียบแหลมกระหม่อมไม่กล้าสงสัยในการตัดสินใจของฝ่าบาทหรอกพ่ะย่ะค่ะ” ผิงกั๋วกงเอ่ยด้วยสายตาอันวาววับ ส่วนจ้าวฉีก็จ้องมองทั้งองค์รัชทายาทและผิงกั๋วกงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยแผนการเช่นเดียวกัน เขาไม่อาจจะปล่อยให้ผิงกั๋วกงและองค์รัชทายาทร่วมมือกันได้ หนทางเดียวที่จะทำลายความร่วมมือได้ก็คือการกำจัดคุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกงเฉินเจียวเจียว

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 72 บทส่งท้าย

    หลังเสร็จสิ้นงานเลี้ยงเฉินฮองเฮาจึงได้ปลีกตัวกลับตำหนักอันหนิงไปก่อนเหลือเพียงหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ที่ทรงเรียกน้องชายเข้ามาตักเตือนเป็นการส่วนพระองค์โดยมีองค์ชายทั้งสองประทับอยู่ด้วย“จนถึงยามนี้แล้วเจ้าก็ยังคิดไม่ได้อีกหรือ น้องรองพระชายาของเจ้าผู้นี้แม้ว่าจะไม่ได้งดงาม รูปร่างก็ใหญ่โตแต่สิ่งที่นางมีเหนือผู้อื่นก็คือความจริงใจ แม้ว่าจะดุดันและไม่ช่างเอาอกเอาใจแต่เจ้าก็ไม่ต้องคอยระมัดระวังตัวและคอยคาดเดาอารมณ์ของนาง นางโกรธเจ้าก็รู้ นางโมโหเข้าก็แค่ถูกด่าหลังจากถูกโบยตีไม่กี่ทีนางก็กลับไปเป็นปกติแล้ว” หลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสพลางถอนพระปัสสาสะออกมา“ในขณะที่คนงามส่วนใหญ่กลับซับซ้อนมากกว่านั้นภายใต้สีหน้ายิ้มแย้มของพวกนางมีความคิดมากมายซุกซ่อนอยู่ภายในใจ ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่มีทางจะคาดเดาความคิดของนางได้แน่ น้องรองเจ้าโชคดีแล้วที่ได้โม่หลันเป็นพระชายา อย่าได้คิดหาเศษหาเลยแล้วทำให้ชีวิตของตนเองต้องตกต่ำอีกเลย” เมื่อหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสเช่นนี้โซ่วอ๋องที่คุกเข่าขอรับผิดอยู่ตรงหน้าก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ“เสด็จพี่! แล้วพระองค์ทรงไม่เคยหวั่นไหวบ้างเลยหรือ มีคนงามมาอยู่ตรงห

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 71 บัวขาวอีกหนึ่งดอก

    เฉินฮองเฮาแห่งแคว้นต้าเยียนทรงสิริโฉม เต็มเปี่ยมไปด้วยสติปัญญา ได้รับความรักและความให้เกียรติจากสวามีจนสตรีทั่วแคว้นต่างโจษจันกันไปจนทั่ว สตรีทุกนางล้วนริษยาในความพรั่งพร้อมและสมบูรณ์พูนสุขของพระนางนาง พระนางประสูติพระโอรสสองพระองค์พระธิดาหนึ่งพระองค์แม้ว่าจะทรงมีพระชันษามากแล้วความงามของพระนางก็ยังคงเป็นที่กล่าวขานถึง“นี่ใช้คำว่ารักและให้เกียรติได้อย่างไรกัน ต้องใช้คำว่ารักและเคารพมากกว่า” หลี่เทียนหลงองค์รัชทายาทแคว้นต้าเยียนเอ่ยกับพระอนุชาด้วยสุรเสียงแผ่วเบา“รักหรือไม่ข้าไม่แน่ใจ แต่เคารพและเกรงกลัวข้าขอยืนยันว่าเป็นความจริง เสด็จพี่ทรงทอดพระเนตรดูขุนนางที่ไม่รู้จักตายนั่นสิ พยายามจะยัดเยียดบุตรสาวโฉมงามให้เสด็จพ่อ แถมยังโอ้อวดว่าทั้งร่างกายและจิตใจบุตรสาวของเขาล้วนงดงามพิสุทธิ์หาผู้ใดเทียม ช่างไม่ดูเสียบ้างว่ายามนี้สีพระพักตร์ของเสด็จพ่อซีดเซียวเสียยิ่งกว่าไก่ในโถน้ำแกงเสียอีก” หลี่เทียนเฮ่าผู้เป็นองค์ชายรองเอ่ยกับพระเชษฐาด้วยน้ำเสียงซุกซน โดยไม่สนพระทัยหลี่เทียนหรูพระขนิษฐาพระองค์เล็กที่ในยามนี้หลบไปนั่งอยู่กับบรรดาสตรีในจวนผิงกั๋วกงแล้ว ค่ำคืนนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองเทศกาลหยวนเซี

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 70 เพลิงโทสะ

    หลังจากเสร็จสิ้นพิธีอภิเษกไปเพียงไม่กี่วัน เฉินเจียวเจียวก็ต้องสวมชุดไว้ทุกข์ให้แก่จ้าวไทเฮา แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่คาดเดาได้อยู่แล้ว แต่เพลิงพิโรธของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ผู้เป็นราชบิดาของสามีก็ยังทำให้นางอดใจสั่นไม่ได้“เจ้าลูกเลว! หากเจ้าไม่ส่งคนไปบอกยามนี้พระนางก็คงจะยังทรงดำเนินชีวิตได้ตามปกติ” พระสุรเสียงที่ทรงตรัสออกมาทำให้เฉินเจียวเจียวที่คุกเข่าอยู่ทางด้านข้างขององค์รัชทายาทไม่กล้าเงยหน้าขึ้น“ลูกก็แค่คิดว่าไม่ควรจะหลอกลวงพระนางอีกต่อไป”“ยังไม่สำนึกอีก! หลี่ไท่หลงนางคือเสด็จย่าของเจ้านะ นางคือแม้แท้ๆ ของข้า และก็เป็นนางที่ผลักดันจนข้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้จวบจนทุกวันนี้” ถ้อยคำนี้ของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงเต็มไปด้วยกระแสอารมณ์อันเศร้าโศกและโกรธเกรี้ยว เฉินเจียวเจียวที่ก้มหน้าอยู่อดเหลือบมองสวามีของตนเองที่ยามนี้เงยหน้าขึ้นไปทุ่มเถียงกับพระราชบิดาของตนเองไม่ได้“แต่ก็เป็นพระนางที่วางแผนปลิดชีพพระมารดาของลูก เป็นพระนางที่ยึดครองพระราชอำนาจของเสด็จพ่อไปตั้งนานหลายปี แล้วก็เป็นพระนางที่สนับสนุนสกุลจ้าวให้ทะเยอทะยานและก้าวล้างพระราชอำนาจของเสด็จพ่ออยู่หลายครั้ง ลูกเข้าใจในความรักความผูกพัน

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 69 พระชายาองค์รัชทายาท

    พิธีอภิเษกขององค์รัชทายาทและคุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ บุรุษของจวนผิงกั๋วกงเดินทางเข้าเมืองหลวงพร้อมกันอีกครั้งเพื่อเข้าร่วมในพิธีครั้งนี้ เฉินเจียวเจียวแต่งกายอย่างดงามสวมมงกุฎหงส์และผ้าคลุมหน้าที่ปักลวดลายอันวิจิตรนั่งเกี้ยวเข้าวังหลวงอย่างยิ่งใหญ่ การแต่งงานในชาตินี้นับว่าเป็นการแต่งงานที่ยิ่งใหญ่กว่าในชาติที่แล้ว คนที่รอรับนางลงจากเกี้ยวก็ไม่ใช่คนเดิม นางจึงไม่กล้าตั้งความหวังต่อชีวิตการแต่งงานเท่าใดนัก ไม่คาดหวังก็ย่อมจะไม่ผิดหวัง เรื่องนี้นางสามารถเรียนรู้มาจากชาติที่แล้ว ในชาตินี้ชีวิตของนางจึงถูกเติมเต็มไปด้วยความสุข“ฮู่ว ในที่สุดก็ได้พบหน้ากันโดยไม่ต้องปีนกำแพงเสียที” องค์รัชทายาทเอ่ยหลังจากที่ใช่คันชั่งเปิดผ้าคลุมหน้าของนางแล้ว เขาจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่งด้วยสายตาอันแวววาว แล้วจึงได้เอ่ยถ้อยคำชื่นชมออกมาอย่างที่ควรจะเป็น“เจ้างามมาก” คำพูดประโยคนี้ของเขาทำให้นางอดยิ้มออกมาไม่ได้ฝ่าบาททรงประทานงานเลี้ยงฉลองให้แก่ผู้มาร่วมงานภายในวัง แต่เพราะเขามีฐานะเป็นถึงองค์รัชทายาทจึงไม่ต้องออกไปคารวะสุรามงคลให้แก่ผู้ใด ยามนี้ภายในห้องหอจึงมีเพียงเขาและนางเพียงเท่านั้น

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 68 ฝันร้ายของโซ่วอ๋อง

    พิธีปักปิ่นของคุณหนูใหญ่ของจวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ในฐานะว่าที่พระชายาองค์รัชทายาท ย่อมมีเจ้าหน้าที่จากกรมพิธีการมาช่วยเหลือในการดำเนินพิธี เฉินเจียวเจียวนั่งอยู่ท่ามกลางเหล่าฮูหยินผู้เต็มไปด้วยโชคลาภทั้งหลายด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม พวกนางช่วยหวีผมให้พร้อมคำอวยพรอันเป็นมงคลปิ่นแรกที่ปักลงมาบนมวยผมคือปิ่นพระราชทานจากเฉียวกุ้ยเฟย ตามมาด้วยปิ่นของพระนางเต๋อเฟย และบรรดาพระสนมที่เฉินเจียวเจียวเคยพบ ฮูหยินผู้เฒ่าจวนผิงกั๋วกงและฮูหยินผู้เฒ่าจวนสกุลหยวนนำปิ่นมาปักลงบนมวยผมของเฉินเจียวเจียวด้วยตนเอง ต่อมาก็เป็นสตรีอาวุโสในจวนและสตรีอาวุโสที่มีความสัมพันธ์กันดีกับจวนผิงกั๋วกงเมื่อเสร็จสิ้นพิธีปักปิ่นเฉินเจียวเจียวก็ลูกขึ้นคารวะขอบคุณอย่างเต็มพิธีการสามครั้งแล้วจึงเข้าสู่งานเลี้ยง เฉินเจียวเหม่ยและเฉินเจียวมี่ที่ได้รับหน้าที่ถือพานใส่หวีและปิ่น ต่างรีบจับจูงนางกลับเรือนด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม มีคุณหนูจากหลายจวนที่มีความสัมพันธ์อันดีมาร่วมแสดงความยินดีด้วย แน่นอนว่าคนที่มาย่อมขาดหวังฮุ่ยหลิงและองค์หญิงเก้าหลี่ถังหรูไม่ได้เหตุการณ์ปราบกบฏสกุลเจ้าเกิดขึ้นเร็วกว่าในชาติที่แล้ว ในชาตินี้เซียว

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 67 พบหน้า

    เมื่อบ้านเมืองสงบสุขชีวิตความเป็นอยู่ของชาวประชาก็กลับมาดำเนินไปตามปกติ เกิดแก่เจ็บตายล้วนเป็นไปตามยถากรรมของโลก ในเมื่อหลินชิงเหมยไม่สามารถทนรับความบอบช้ำของร่างกายไม่ไหว นางจึงได้ตายจากไปในที่สุด ในตอนที่นางจะตายนางยังเคยอดสงสัยไม่ได้ว่า หากนางไม่ทะเยอทะยาน หากนางไม่คิดจะร่วมมือกับสกุลจ้าวชีวิตของนางจะต้องจบลงเช่นนี้ไหม น่าเสียดายที่ต่อให้นางสงสัยมากเพียงใดก็ไม่อาจจะทำอันใดได้แล้วแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นแต่นางกลับรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่า การตายเช่นนี้กลับดีมากแล้ว เพราะในความฝันของนาง นางเคยต้องเผชิญกับความตายที่น่ากลัวกว่านี้ ทั้งถูกทุบตี ทั้งถูกรุมย่ำยีแถมยังถูกทารุณกรรมจนไม่เหลือสภาพความเป็นคน อยากตายก็ไม่ได้ตาย ลืมตาขึ้นมาในแต่ละวันต้องร้องไห้ทุกครั้งที่พบว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่ การถูกโบยจนตายน่าจะเป็นการตายที่สวรรค์ปรานีสำหรับนางมากแล้ว นี่คือความคิดสุดท้ายในห้วงความนึกคิดของนาง ตอนที่โซ่วอ๋องมารับร่างที่ไร้ลมหายใจของนางจึงได้เห็นว่าแม้ในยามหลับบนใบหน้าของนางก็ยังมีรอยยิ้มประดับอยู่หลินชิงเหมยตายแล้ว โซ่วอ๋องจะทุกข์ใจหรือไม่เฉินเจียวเจียวไม่ได้ให้ความสนใจอีกแล้ว เรื่องราวในกาลก่อนราวกับ

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status