เมื่อได้พบองค์หญิงเก้าเฉินเจียวเจียวจึงพึ่งจะคิดได้ว่าแม้ว่านางอยากจะแก้แค้นโซ่วอ๋องมากเพียงใดก็ไม่ควรจะฉุดรั้งและทำให้ทั้งองค์หญิงเก้าและพระนางเต๋อเฟยต้องถูกลากลงมาเล่นงานด้วย นางไม่รู้ว่าหลินชิงเหมยจะสามารถชักจูงโซ่วอ๋องได้สำเร็จหรือไม่ แต่จากประสบการที่เคยได้เป็นภรรยาร่วมผูกผมของเขามาในชาติก่อนเฉินเจียวเจียวเชื่อว่าหลินชิงเหมยน่าจะทำสำเร็จ
“ข้าคิดว่าต่อไปพวกเราคงยากที่ได้พบจะกันอีกแล้ว เจ้าคงไม่รู้ตั้งแต่จ้าวซีอินเกิดเรื่องเสด็จแม่ก็แทบจะทรงกักบริเวณข้า ยังมีฮุ่ยหลิงอีกคนที่ถูกกักตัวให้อยู่ในจวนเช่นกัน จนข้าคิดว่าช่วงเวลาผ่อนคลายสบายใจของพวกเราคงจะจบสิ้นกันไปแล้ว” องค์หญิงเก้าหลี่ถังหรูตัดพ้อออกมาเมื่อได้อยู่ตามลำพังกับเฉินเจียวเจียว
“หม่อมฉันเองก็ถูกกักตัวเดียวกัน เมื่อเช้ากว่าจะขออนุญาตออกมาได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยเพคะ” เฉินเจียวเจียวเอ่ยพลางคิดถึงสีหน้าของบิดาที่ทั้งเป็นห่วงและหวาดระแวง สาเหตุที่เป็นห่วงก็คงเพราะกังวลว่านางจะถูกคนสกุลจ้าวลอบทำร้าย ส่วนสาเหตุที่หวาดระแวงนั้นก็คงเพราะเป็นห่วงที่เฉินเจียวเจียวก้าวเท้าเข้าสู่เขตที่พักของราชวงศ์ซึ่งเป็นสถานที่ที่อาจจะได้พบรัชทายาทกระมัง
ยามนี้ในสายตาของบิดาของนางองค์รัชทายาทนับว่าเป็นคนเสเพลอยู่ไม่น้อย แม้ว่าเฉินเจียวเจียวอยากจะแก้ไขภาพลักษณ์ให้เขาในใจของบิดาแต่ด้วยการกระทำครั้งล่าสุดของเขาที่บิดาเห็นนั้นยากที่จะสลัดภาพลักษณ์เช่นนั้นออกไปจากใจของบิดาได้จริงๆ บุรุษที่ปีนเข้าหาสตรียามค่ำคืนดุจโจรเด็ดบุปผา จะไม่ให้เข้าใจว่าเขาคือคนเสเพลได้อย่างไรกัน
“เกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นไม่ว่าผู้ใดก็คงจะเป็นห่วงเจ้า ว่าแต่คิดไม่ถึงว่าตำแหน่งพระชายาองค์รัชทายาทจะหล่นไปที่เจ้า เสด็จแม่นั้นใจหนึ่งก็ยินดีที่วันหน้าเจ้าจะได้เป็นใหญ่ในวังหลังแต่อีกใจก็อดเป็นห่วงเจ้าไม่ได้ แต่เมื่อคิดว่าขนาดโอรสของเสด็จแม่ยังไม่ทันแต่งก็ยังคิดทำร้ายจิตใจของเจ้าแล้วเลย พระนางจึงได้แต่คิดว่าคงเป็นเพราะชะตาของเจ้าคงยากจะหลีกเลี่ยงคนหลายใจ จึงได้แต่ภาวนาให้เจ้าปลงตกและใช้ชีวิตในวังหลังได้อย่างมีความสุขที่สำคัญพระนางทรงคิดว่าไม่ได้เจ้าเป็นลูกสะใภ้ แต่ยามนี้ก็คล้ายๆ กันแม้จะเรียกได้ไม่เต็มปากว่าลูกสะใภ้ของพระนางก็ตามที” เมื่อองค์หญิงเก้าเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเจียวก็พลันหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ถูก
ก่อนจะมาพบองค์หญิงเก้านางได้ตรงไปถวายพระพรเต๋อเฟยที่ตำหนักก่อนแล้ว สายตาที่เต็มไปด้วยความปลาบปลื้มยินดี และความเวทนาสงสารของพระนางยังคงล่องลอยอยู่ในความคิดของเฉินเจียวเจียว ไม่ว่าชาติก่อนหรือชาตินี้การได้รับพระเมตตาจากพระนางเต๋อเฟยนับเป็นเรื่องดีสำหรับเฉินเจียวเจียวมากทีเดียว เพราะฉะนั้นแม้ว่านางอยากจะปล่อยให้โซ่วอ๋องตกลงไปในแอ่งโคลนของหลินชิงเหมยมากเพียงใด แต่ก็ไม่อาจจะปล่อยให้คนโง่ผู้นั้นลากพระนางเต๋อเฟยและองค์หญิงเก้าลงหลุมไปกับเขาได้
“องค์หญิงเก้า อันที่จริงสาเหตุที่หม่อมฉันมาที่นี่หม่อมฉันมีเรื่องหนึ่งจะไหววานเพคะ รบกวนองค์หญิงเก้าช่วยทำให้หม่อมฉันได้พบกับองค์รัชทายาทได้หรือไม่” คำพูดนี้ของเฉินเจียวเจียวทำให้องค์หญิงเก้าจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่งด้วยความประหลาดใจ แล้วสุดท้ายก็หัวเราะออกมาเบาๆ แถมยังมองเฉินเจียวเจียวด้วยสายตาล้อเลียน
“ย่อมได้สิ ข้าหรือก็อุตส่าห์คิดว่าเจ้าจะคิดถึงข้า เฮ้อ ที่แท้พอถึงช่วงเวลาหนึ่งในใจของเจ้าก็จะเลื่อนอันดับสหายเช่นข้าลงไปอยู่อันดับท้ายเสียแล้ว”
“ผู้ใดว่าอันดับท้ายเล่าเพคะ นี่ไม่ใช่ว่าหม่อมฉันมาพบองค์หญิงก่อนหรือ”
“อ้อ เช่นนั้นข้าก็เป็นคนที่รั้งอันดับท้ายๆ สินะ” เสียงนี้ขององค์รัชทายาททำให้ทั้งเฉินเจียวเจียวและหลี่ถังหรูหันไปมองเขาพร้อมกัน พวกนางและข้ารับใช้รีบหันไปถวายการคารวะแก่เขาอย่างพร้อมเพรียงซึ่งเขาก็แค่เพียงโบกมือไล่แล้วทิ้งกายลงมานั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้างของเฉินเจียวเจียว แล้วชี้นิ้วให้พวกนางนั่งลง
“ได้ยินว่าเจ้าเข้าวังมาหาน้องเก้า ข้าก็เลยเดินมาดูเสียหน่อย” คำพูดของเขาทำให้องค์หญิงเก้ายิ้มออกมา นางหันไปมองข้ารับใช้ของตนและของเจียวเจียวแล้วก็ยิ้มออกมาพลางลุกขึ้น
“ข้าพึ่งจะได้น้ำปรุงที่สกัดจากดอกไม้มาใหม่ ตั้งใจว่าจะมอบให้เจ้า เช่นนั้นเจ้าคุยกับเสด็จพี่องค์รัชทายาทไปก่อน ข้าจะพาคนของเจ้าไปช่วยข้าจัดการเรื่องน้ำปรุงเหล่านั้น” องค์หญิงเก้าเอ่ยพลางส่งสายตาให้ข้ารับใช้ทุกคนรวมทั้งคนของเฉินเจียวเจียวให้ติดตามนางไป
“คิดไม่ถึงว่าน้องเก้าจะเป็นคนรู้ความเช่นนี้” องค์รัชทายาทเอ่ยพลางจ้องมองเฉินเจียวเจียวด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม
“หม่อมฉันมีเรื่องสำคัญอยากจะพูดคุยกับพระองค์ เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะสามารถพูดตรงนี้ได้หรือไม่” เฉินเจียวเจียวเอ่ยด้วยสีหน้ากังวล องค์รัชทายาททรงหันไปส่งสัญญาณให้แก่คนของเขาครู่หนึ่ง แล้วจึงหันมาเอ่ยกับนางด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“เจ้ารีบพูดมา”
“เสนาบดีจ้าวส่งคนไปหาหลินชิงเหมย บอกกับนางว่าขอเพียงนางให้ความร่วมมือกับพวกเขา พวกเขาก็จะผลักดันนางให้ได้ครอบครองตำแหน่งสูงสุดของวังหลัง” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนี้องค์รัชทายาทก็พลันหัวเราะออกมาเบาๆ
“แค่บุตรสาวสองคนของเขา เขายังไม่สามารถผลักดันเข้าตำหนักบูรพาได้แล้วจะเอาความสามารถอันใดมาผลักดันหลินชิงเหมย”
“ปัญหาก็คือพวกเขาไม่ได้คิดจะให้หลินชิงเหมยมาเกาะแกะพระองค์ แต่พวกเขาตั้งใจจะให้นางค่อยเป่าหูให้โซ่วอ๋องคิดการใหญ่ต่างหากเล่าเพคะ” เฉินเจียวเจียวเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบแต่องค์รัชทายาทกลับจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็นิ่วหน้า
“ข้าอุตส่าห์รีบมาหาเจ้า แต่เจ้ากลับร้อนใจมาหาข้าเพื่อจะพูดเรื่องนี้กับข้านี่เจ้าเป็นห่วงข้า หรือว่าเป็นห่วงโซ่วอ๋องกันแน่” เมื่อพูดออกไปแล้วแม้แต่ตนเองก็ยังคิดว่าคำพูดนี้ฟังดูผิดปกติแต่เฉินเจียวเจียวกลับไม่สนใจ
“ผู้ใดเป็นห่วงโซ่วอ๋องกัน แต่นี่คือการคิดยุแยงให้เขาก่อกบฏนะเพคะ ยังไม่นับว่าเขาหลงใหลและเชื่อคำพูดของหลินชิงเหมยถึงปานนั้น หากเขาเกิดความโง่งมเพราะหลงเชื่อคำพูดของสาวงามขึ้นมานี่ไม่ใช่แค่เรื่องผิดใจระหว่างพี่น้อง แต่ผลกระทบกลับจะขายายเป็นวงกว้าง อย่างน้อยองค์หญิงเก้าและพระนางเต๋อเฟยก็อาจจะพลอยโดนหางเลขไปด้วย” คำพูดของเฉินเจียวเจียวทำให้องค์รัชทายาทพลันขมวดคิ้ว
“น้องรองของข้าคงจะไม่โง่เขลาถึงปานนั้นกระมัง”
“...” โง่เขลามากทีเดียว แน่นอนว่าประโยคนี้นางไม่ได้เอ่ยออกมาแต่องค์รัชทายาทกลับเข้าใจ เขายืดตัวนั่งตัวตรงแล้วทอดถอนใจออกมา
“ในเมื่อเจ้าเข้าใจเขามากถึงขนาดนี้ แล้วเหตุใดไม่เตือนเขาผ่านทางน้องเก้าหรือไม่ก็พระนางเต๋อเฟยเล่า”
“หม่อมฉันอยากให้หลินชิงเหมยลากสกุลจ้าวลงบ่อโคลนด้วยกันเพคะ” คำพูดนี้งอเฉินเจียวเจียวเต็มไปด้วยความอาฆาตและพยาบาทอยู่ไม่น้อย
“สรุปว่าไม่ใช่เพราะเป็นห่วงข้า แต่เป็นเพราะอยากจัดการกับสตรีที่เคยแย่งคู่หมายของเจ้าไป” คำพูดนี้ขององค์รัชทายาททำให้เฉินเจียวเจียวตวัดสายตาดุดันใส่เขา
“เคยคิดว่าทรงมีข้อเสียเพียงอย่างเดียวคือการเลือกใช้คำพูด แต่ยามนี้เริ่มเห็นเค้าลางแล้วว่าพระองค์ทรงมีจิตใจคับแคบอีกด้วย”
“ฮึ! ข้าก็แค่น้อยใจ พอรู้ว่าเจ้าเข้าวังข้าก็รีบสลัดฎีกาในมือทิ้งเกือบทั้งหมดแล้วรีบมาหาเจ้า แต่พอเจ้าเอ่ยปากล้วนเต็มไปด้วยเรื่องของผู้อื่น” เมื่อได้ฟังคำพูดประโยคนี้เฉินเจียวเจียวก็ไม่มั่นใจว่านางควรจะขัดเขินหรือว่าควรจะโมโหดี
“เอาเป็นว่าเรื่องนี้ล้วนส่งผลดีต่อพระองค์ด้วย สกุลจ้าวนั้นคือเป้าหมายที่องค์รัชทายาททรงคิดจะกำจัดมิใช่หรือเพคะ” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนี้สีหน้าของเขาจึงดีขึ้น
“วางใจเถิดเรื่องน้องรองปล่อยให้เขาโง่เขลาไปก่อน ข้าจะส่งคนไปคอยประกบเขาเอง ส่วนหลินชิงเหมยผู้นั้นหากเดาไม่ผิดคงมีคนของเจ้าอยู่ข้างกายนางแล้วกระมัง ยามนี้ขอแค่เพียงสกุลจ้าวขยับพวกเราก็จะรู้ ถึงยามนั้นค่อยวางแผนรับมือก็แล้วกัน” องค์รัชทายาทเอ่ยพลางหันไปมองตามสัญญาณที่คนของตนส่งมา
“ที่นี่คนพลุกพล่านไม่อาจจะเอ่ยอันใดได้มาก วันหน้าเจ้าส่งสาวใช้ไปแจ้งข่าวที่หอเมฆาก็แล้วกัน แล้วข้าจะหาวิธีไปพบเจ้าเอง” องค์รัชทายาทเอ่ยพลางขยับตัวนั่งด้วยท่วงท่าสบายอกสบายใจอีกครั้ง แล้วจึงได้เห็นว่ายามนี้องค์หญิงเก้ากำลังให้คนลำเลียงน้ำปรุงที่สกัดจากดอกไม้ใส่ขวดแก้วสีสันสดใสหลายใบเดินเข้ามา การพูดคุยของพวกเขาจึงได้หยุดลงไปได้ในที่สุด
หลังเสร็จสิ้นงานเลี้ยงเฉินฮองเฮาจึงได้ปลีกตัวกลับตำหนักอันหนิงไปก่อนเหลือเพียงหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ที่ทรงเรียกน้องชายเข้ามาตักเตือนเป็นการส่วนพระองค์โดยมีองค์ชายทั้งสองประทับอยู่ด้วย“จนถึงยามนี้แล้วเจ้าก็ยังคิดไม่ได้อีกหรือ น้องรองพระชายาของเจ้าผู้นี้แม้ว่าจะไม่ได้งดงาม รูปร่างก็ใหญ่โตแต่สิ่งที่นางมีเหนือผู้อื่นก็คือความจริงใจ แม้ว่าจะดุดันและไม่ช่างเอาอกเอาใจแต่เจ้าก็ไม่ต้องคอยระมัดระวังตัวและคอยคาดเดาอารมณ์ของนาง นางโกรธเจ้าก็รู้ นางโมโหเข้าก็แค่ถูกด่าหลังจากถูกโบยตีไม่กี่ทีนางก็กลับไปเป็นปกติแล้ว” หลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสพลางถอนพระปัสสาสะออกมา“ในขณะที่คนงามส่วนใหญ่กลับซับซ้อนมากกว่านั้นภายใต้สีหน้ายิ้มแย้มของพวกนางมีความคิดมากมายซุกซ่อนอยู่ภายในใจ ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่มีทางจะคาดเดาความคิดของนางได้แน่ น้องรองเจ้าโชคดีแล้วที่ได้โม่หลันเป็นพระชายา อย่าได้คิดหาเศษหาเลยแล้วทำให้ชีวิตของตนเองต้องตกต่ำอีกเลย” เมื่อหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสเช่นนี้โซ่วอ๋องที่คุกเข่าขอรับผิดอยู่ตรงหน้าก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ“เสด็จพี่! แล้วพระองค์ทรงไม่เคยหวั่นไหวบ้างเลยหรือ มีคนงามมาอยู่ตรงห
เฉินฮองเฮาแห่งแคว้นต้าเยียนทรงสิริโฉม เต็มเปี่ยมไปด้วยสติปัญญา ได้รับความรักและความให้เกียรติจากสวามีจนสตรีทั่วแคว้นต่างโจษจันกันไปจนทั่ว สตรีทุกนางล้วนริษยาในความพรั่งพร้อมและสมบูรณ์พูนสุขของพระนางนาง พระนางประสูติพระโอรสสองพระองค์พระธิดาหนึ่งพระองค์แม้ว่าจะทรงมีพระชันษามากแล้วความงามของพระนางก็ยังคงเป็นที่กล่าวขานถึง“นี่ใช้คำว่ารักและให้เกียรติได้อย่างไรกัน ต้องใช้คำว่ารักและเคารพมากกว่า” หลี่เทียนหลงองค์รัชทายาทแคว้นต้าเยียนเอ่ยกับพระอนุชาด้วยสุรเสียงแผ่วเบา“รักหรือไม่ข้าไม่แน่ใจ แต่เคารพและเกรงกลัวข้าขอยืนยันว่าเป็นความจริง เสด็จพี่ทรงทอดพระเนตรดูขุนนางที่ไม่รู้จักตายนั่นสิ พยายามจะยัดเยียดบุตรสาวโฉมงามให้เสด็จพ่อ แถมยังโอ้อวดว่าทั้งร่างกายและจิตใจบุตรสาวของเขาล้วนงดงามพิสุทธิ์หาผู้ใดเทียม ช่างไม่ดูเสียบ้างว่ายามนี้สีพระพักตร์ของเสด็จพ่อซีดเซียวเสียยิ่งกว่าไก่ในโถน้ำแกงเสียอีก” หลี่เทียนเฮ่าผู้เป็นองค์ชายรองเอ่ยกับพระเชษฐาด้วยน้ำเสียงซุกซน โดยไม่สนพระทัยหลี่เทียนหรูพระขนิษฐาพระองค์เล็กที่ในยามนี้หลบไปนั่งอยู่กับบรรดาสตรีในจวนผิงกั๋วกงแล้ว ค่ำคืนนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองเทศกาลหยวนเซี
หลังจากเสร็จสิ้นพิธีอภิเษกไปเพียงไม่กี่วัน เฉินเจียวเจียวก็ต้องสวมชุดไว้ทุกข์ให้แก่จ้าวไทเฮา แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่คาดเดาได้อยู่แล้ว แต่เพลิงพิโรธของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ผู้เป็นราชบิดาของสามีก็ยังทำให้นางอดใจสั่นไม่ได้“เจ้าลูกเลว! หากเจ้าไม่ส่งคนไปบอกยามนี้พระนางก็คงจะยังทรงดำเนินชีวิตได้ตามปกติ” พระสุรเสียงที่ทรงตรัสออกมาทำให้เฉินเจียวเจียวที่คุกเข่าอยู่ทางด้านข้างขององค์รัชทายาทไม่กล้าเงยหน้าขึ้น“ลูกก็แค่คิดว่าไม่ควรจะหลอกลวงพระนางอีกต่อไป”“ยังไม่สำนึกอีก! หลี่ไท่หลงนางคือเสด็จย่าของเจ้านะ นางคือแม้แท้ๆ ของข้า และก็เป็นนางที่ผลักดันจนข้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้จวบจนทุกวันนี้” ถ้อยคำนี้ของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงเต็มไปด้วยกระแสอารมณ์อันเศร้าโศกและโกรธเกรี้ยว เฉินเจียวเจียวที่ก้มหน้าอยู่อดเหลือบมองสวามีของตนเองที่ยามนี้เงยหน้าขึ้นไปทุ่มเถียงกับพระราชบิดาของตนเองไม่ได้“แต่ก็เป็นพระนางที่วางแผนปลิดชีพพระมารดาของลูก เป็นพระนางที่ยึดครองพระราชอำนาจของเสด็จพ่อไปตั้งนานหลายปี แล้วก็เป็นพระนางที่สนับสนุนสกุลจ้าวให้ทะเยอทะยานและก้าวล้างพระราชอำนาจของเสด็จพ่ออยู่หลายครั้ง ลูกเข้าใจในความรักความผูกพัน
พิธีอภิเษกขององค์รัชทายาทและคุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ บุรุษของจวนผิงกั๋วกงเดินทางเข้าเมืองหลวงพร้อมกันอีกครั้งเพื่อเข้าร่วมในพิธีครั้งนี้ เฉินเจียวเจียวแต่งกายอย่างดงามสวมมงกุฎหงส์และผ้าคลุมหน้าที่ปักลวดลายอันวิจิตรนั่งเกี้ยวเข้าวังหลวงอย่างยิ่งใหญ่ การแต่งงานในชาตินี้นับว่าเป็นการแต่งงานที่ยิ่งใหญ่กว่าในชาติที่แล้ว คนที่รอรับนางลงจากเกี้ยวก็ไม่ใช่คนเดิม นางจึงไม่กล้าตั้งความหวังต่อชีวิตการแต่งงานเท่าใดนัก ไม่คาดหวังก็ย่อมจะไม่ผิดหวัง เรื่องนี้นางสามารถเรียนรู้มาจากชาติที่แล้ว ในชาตินี้ชีวิตของนางจึงถูกเติมเต็มไปด้วยความสุข“ฮู่ว ในที่สุดก็ได้พบหน้ากันโดยไม่ต้องปีนกำแพงเสียที” องค์รัชทายาทเอ่ยหลังจากที่ใช่คันชั่งเปิดผ้าคลุมหน้าของนางแล้ว เขาจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่งด้วยสายตาอันแวววาว แล้วจึงได้เอ่ยถ้อยคำชื่นชมออกมาอย่างที่ควรจะเป็น“เจ้างามมาก” คำพูดประโยคนี้ของเขาทำให้นางอดยิ้มออกมาไม่ได้ฝ่าบาททรงประทานงานเลี้ยงฉลองให้แก่ผู้มาร่วมงานภายในวัง แต่เพราะเขามีฐานะเป็นถึงองค์รัชทายาทจึงไม่ต้องออกไปคารวะสุรามงคลให้แก่ผู้ใด ยามนี้ภายในห้องหอจึงมีเพียงเขาและนางเพียงเท่านั้น
พิธีปักปิ่นของคุณหนูใหญ่ของจวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ในฐานะว่าที่พระชายาองค์รัชทายาท ย่อมมีเจ้าหน้าที่จากกรมพิธีการมาช่วยเหลือในการดำเนินพิธี เฉินเจียวเจียวนั่งอยู่ท่ามกลางเหล่าฮูหยินผู้เต็มไปด้วยโชคลาภทั้งหลายด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม พวกนางช่วยหวีผมให้พร้อมคำอวยพรอันเป็นมงคลปิ่นแรกที่ปักลงมาบนมวยผมคือปิ่นพระราชทานจากเฉียวกุ้ยเฟย ตามมาด้วยปิ่นของพระนางเต๋อเฟย และบรรดาพระสนมที่เฉินเจียวเจียวเคยพบ ฮูหยินผู้เฒ่าจวนผิงกั๋วกงและฮูหยินผู้เฒ่าจวนสกุลหยวนนำปิ่นมาปักลงบนมวยผมของเฉินเจียวเจียวด้วยตนเอง ต่อมาก็เป็นสตรีอาวุโสในจวนและสตรีอาวุโสที่มีความสัมพันธ์กันดีกับจวนผิงกั๋วกงเมื่อเสร็จสิ้นพิธีปักปิ่นเฉินเจียวเจียวก็ลูกขึ้นคารวะขอบคุณอย่างเต็มพิธีการสามครั้งแล้วจึงเข้าสู่งานเลี้ยง เฉินเจียวเหม่ยและเฉินเจียวมี่ที่ได้รับหน้าที่ถือพานใส่หวีและปิ่น ต่างรีบจับจูงนางกลับเรือนด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม มีคุณหนูจากหลายจวนที่มีความสัมพันธ์อันดีมาร่วมแสดงความยินดีด้วย แน่นอนว่าคนที่มาย่อมขาดหวังฮุ่ยหลิงและองค์หญิงเก้าหลี่ถังหรูไม่ได้เหตุการณ์ปราบกบฏสกุลเจ้าเกิดขึ้นเร็วกว่าในชาติที่แล้ว ในชาตินี้เซียว
เมื่อบ้านเมืองสงบสุขชีวิตความเป็นอยู่ของชาวประชาก็กลับมาดำเนินไปตามปกติ เกิดแก่เจ็บตายล้วนเป็นไปตามยถากรรมของโลก ในเมื่อหลินชิงเหมยไม่สามารถทนรับความบอบช้ำของร่างกายไม่ไหว นางจึงได้ตายจากไปในที่สุด ในตอนที่นางจะตายนางยังเคยอดสงสัยไม่ได้ว่า หากนางไม่ทะเยอทะยาน หากนางไม่คิดจะร่วมมือกับสกุลจ้าวชีวิตของนางจะต้องจบลงเช่นนี้ไหม น่าเสียดายที่ต่อให้นางสงสัยมากเพียงใดก็ไม่อาจจะทำอันใดได้แล้วแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นแต่นางกลับรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่า การตายเช่นนี้กลับดีมากแล้ว เพราะในความฝันของนาง นางเคยต้องเผชิญกับความตายที่น่ากลัวกว่านี้ ทั้งถูกทุบตี ทั้งถูกรุมย่ำยีแถมยังถูกทารุณกรรมจนไม่เหลือสภาพความเป็นคน อยากตายก็ไม่ได้ตาย ลืมตาขึ้นมาในแต่ละวันต้องร้องไห้ทุกครั้งที่พบว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่ การถูกโบยจนตายน่าจะเป็นการตายที่สวรรค์ปรานีสำหรับนางมากแล้ว นี่คือความคิดสุดท้ายในห้วงความนึกคิดของนาง ตอนที่โซ่วอ๋องมารับร่างที่ไร้ลมหายใจของนางจึงได้เห็นว่าแม้ในยามหลับบนใบหน้าของนางก็ยังมีรอยยิ้มประดับอยู่หลินชิงเหมยตายแล้ว โซ่วอ๋องจะทุกข์ใจหรือไม่เฉินเจียวเจียวไม่ได้ให้ความสนใจอีกแล้ว เรื่องราวในกาลก่อนราวกับ