เมื่อหลี่ไท่หยางเดินไปถึงโต๊ะที่สองแม่ลูกสกุลเฉินนั่งอยู่พวกนางสองแม่ลูกก็ลุกขึ้นมาแล้วย่อกายคารวะตามธรรมเนียมในทันที บรรดาสาวใช้และผู้ติดตามเองก็เช่นกันพวกเขารีบคารวะหลี่ไท่หยางด้วยท่าทีนอบน้อม
“ไม่ต้องมากพิธีหรอก” หลี่ไท่หยางเอ่ยพลางโบกมือพวกเขาจึงได้ขยับตัวยืดกายขึ้นแล้วถอยออกไปทิ้งไว้เพียงเฉียวซื่อและเฉินเจียวเจียวที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของเขา
“คิดไม่ถึงว่าจะได้พบกันที่นี่ ผิงกั๋วกงฮูหยินสบายดีหรือไม่” หลี่ไท่หยางเอ่ยออกมาก่อนพลางจ้องมองเฉินเจียวเจียวอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ละสายตาไป สำหรับเขาแล้วอีกไม่นานสตรีที่มีรูปโฉมงดงามตรงหน้าอีกไม่นานก็จะต้องมาใช้ชีวิตร่วมกันกับเขา ซึ่งเรื่องนี้นับได้ว่าเป็นเรื่องที่แน่นอนแล้ว เขาจึงไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นที่ได้พบนางและไม่ได้รู้สึกผิดอันใดกับการที่นางพบว่าเขาอยู่กับสตรีอื่น เพราะสำหรับเขาแล้วในยามนี้หลินชิงเหมยเป็นเพียงเด็กสาวที่มีชีวิตและความเป็นอยู่ที่น่าสงสารมากเท่านั้น เขาหาได้ทำผิดต่อว่าที่พระชายาในอนาคตผู้นี้ของเขาไม่
“หม่อมฉันสบายดีเพคะ วันนี้อากาศดีก็เลยพาเจียวเจียวมาไหว้พระ คิดไม่ถึงว่าจะได้พบท่านอ๋องที่นี่ด้วย” เฉียวซื่อเอ่ยพลางส่งยิ้มให้เขา ในเมื่อนางไม่ได้ถามเรื่องสตรีที่อยู่กับเขาหลี่ไท่หยางก็ไม่ได้เอ่ยถึง
เขามองไปทางเฉินเจียวเจียวเมื่อเห็นว่านางยังคงมีสีหน้าปกติไม่คิดจะถามเรื่องสตรีที่มากับเขาทำให้เขารู้สึกพึงพอใจมาก ไม่ว่าอย่างไรว่าที่ภรรยาคือคนที่รู้การควรไม่ควรย่อมดีกว่าภรรยาที่ชอบหึงหวงและแย่งชิงความโปรดปรานจากสตรีอื่นทั้งต่อหน้าและลับหลัง เขาเติบโตมาจากในวังหลวงย่อมรู้สึกเบื่อหน่ายและเกลียดชังสตรีเช่นนี้เป็นธรรมดา
“เช่นนั้นข้าคงต้องขอตัวก่อนไม่รบกวนเวลาของฮูหยินและคุณหนูแล้ว” เมื่อหลี่ไท่หยางเอ่ยเช่นนี้ทั้งเฉียวซื่อและเฉินเจียวเจียวก็รีบคารวะอำลาเขาในทันทีซึ่งเขาเห็นท่าทีเช่นนี้ก็ไม่ได้คิดติดใจอันใดรีบเดินกลับไปหาสาวน้อยที่มีท่าทีหวาดกลัวของตนเองและเอ่ยวาจาปลอบโยนนางว่าทางว่าที่พระชายาของเขาไม่ได้ติดใจในเรื่องนี้ และพูดจาปลอบโยนนางอีกหลายประโยคให้นางสบายใจแล้วจึงได้รับปากนางว่าจะเดินไปส่งนางยังที่พักของอี๋เหนียงของนางด้วยตนเอง หลินชิงเหมยจึงได้มีท่าทีผ่อนคลายและยอมเดินติดตามเขาจากไป
ในขณะที่หลินชิงเหมยเดินติดตามหลี่ไท่หยางมีอยู่หนึ่งที่เขาหันมามองเฉินเจียวเจียว ภาพของสตรีวัยแรกรุ่นแต่งกายด้วยเครื่องแต่งกายอันงดงามและประณีต บนใบหน้าอันงดงามของนางมีร่องรอยของความเย้ยหยันและสายตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังจนหลินชิงเหมยอดตัวสั่นขึ้นมาด้วยความหวาดกลัวมิได้ นางรีบเดินเข้าไปใกล้แผ่นหลังของหลี่ไท่หยางมากยิ่งขึ้นเพื่ออาศัยไออุ่นจากร่างกายของเขาช่วยขับไล่สายตาอันเย็นยะเยือกของเฉินเจียวเจียวให้หลุดพ้นไปจากร่างของนาง
เมื่อหลี่ไท่หยางและคนของเขาเดินพ้นระยะการมองเห็นไปแล้วเฉียวซื่อก็หันมามองบุตรสาวของตนเองด้วยสายตาชื่นชม แม้ว่าจะไม่พอใจมากเพียงใดแต่เฉินเจียวเจียวที่มีอายุเพียงเท่านี้กลับสามารถสงบสติอารมณ์ได้ดีสมแล้วที่เป็นคุณหนูคนสำคัญที่ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเฉินอบรมเลี้ยงดูมาด้วยตนเอง การจัดการอารมณ์ของเฉินเจียวเจียวดีกว่านางที่มีอายุมากกว่าเฉินเจียวเจียวตั้งหลายปีเสียอีก
“พวกเรากลับจวนกันเถิด แม่มีเรื่องที่จะต้องจัดการ เจ้าวางใจเถิดด้วยการจัดการของแม่จะต้องทำให้โซ่วอ๋องรู้สึกเสียใจที่ไม่รู้จักสำรวมตนอย่างแน่นอน” เมื่อเฉียวซื่อเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเจียวก็ยิ้มออกมา
“ข้าเชื่อในฝีมือการจัดการของท่านแม่เจ้าค่ะ” คำพูดของเฉินเจียวเจียวทำให้เฉียวซื่อยิ้มออกมาได้เช่นเดียวกัน พวกนางจับจูงกันเดินออกจากวัดต้าฝูด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้มทิ้งความไม่พอใจเมื่อครู่นี้ทิ้งเอาไว้อยู่เบื้องหลัง
วันรุ่งขึ้นเฉียวซื่อก็เดินทางเข้าวังไปขอเข้าพบเฉียวกุ้ยเฟยผู้เป็นพี่สาว เฉียวกุ้ยเฟยผู้นี้แม้ว่าจะไม่มีพระโอรสและพระธิดาแต่กลับสามารถครอบครองตำแหน่งกุ้ยเฟยได้นับว่ามีความสามารถที่ไม่ธรรมดาเลย น้อยครั้งนักที่เฉียวซื่อผู้เป็นฮูหยินของจวนผิงกั๋วกงจะขอเข้าพบเมื่อเห็นเทียบขอเข้าพบจากน้องสาวกุ้ยเฟยจากสกุลเฉียวก็รีบตอบรับในทันที
“มีเรื่องใดที่ทำให้เจ้าถึงกับต้องขอเข้าพบข้าด้วยตนเองเช่นนี้ได้” เมื่อพี่สาวเอ่ยเช่นนี้เฉียวซื่อก็ยิ้มออกมาในทันที
“ได้ยินมาว่าช่วงนี้พระนางกับเต๋อเฟยไม่ลงรอยกันมิใช่หรือเพคะ หม่อมฉันมีเรื่องหนึ่งจะเล่าให้พระนางฟังเพคะ แต่พระนางจะใช้ประโยชน์ต่อคำพูดของหม่อมฉันได้มากน้อยสักเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของพระนางแล้วนะเพคะ” คำพูดของเฉียวซื่อทำให้เฉียวกุ้ยเฟยปรับเปลี่ยนอิริยาบถในทันที ยามนี้แม้ว่าจะมีเพียงข้ารับใช้คนสนิทแต่พระนางก็อดรับสั่งออกมาด้วยเสียงกระซิบอันแผ่วเบามิได้
“มีเรื่องใดก็ว่ามา”
“เรื่องนี้ย่อมเกี่ยวกับพฤติกรรมอันไม่เหมาะสมของโซ่วอ๋องเพคะ เมื่อวันก่อนโซ่วอ๋องนัดพบกับสตรีอ่อนเยาว์ผู้หนึ่งในวัดต้าฝู แม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นเพียงความประพฤติอันเหลวไหลของท่านอ๋องผู้หนึ่ง แต่พระมารดาที่ทรงอบรมเลี้ยงดูมาน่าจะต้องรับผิดชอบต่อเรื่องนี้นะเพคะ” คำพูดของเฉียวซื่อทำให้เฉียวกุ้ยเฟยทอดสายพระเนตรมองเฉียวซื่อด้วยสายพระเนตรที่แสดงออกถึงความรู้ทันในทันที
“ที่แท้เจ้าก็คิดจะยืมมือข้าจัดการสั่งสอนว่าที่บุตรเขยของตนเองนี่เอง” เมื่อเฉียวกุ้ยเฟยเอ่ยเช่นนี้เฉียวซื่อก็หัวเราะออกมาเบาๆ
“หม่อมฉันไม่มีบุตรชายและบุตรสาว จะใช้ชีวิตในช่วงบั้นปลายอย่างมีความสุขได้ก็ต้องมอบความจริงใจอย่างแท้จริงให้แก่ลูกเลี้ยง ยามนี้ลูกเลี้ยงของหม่อมฉันถูกคนผู้หนึ่งมองข้ามและไม่ให้เกียรติ หม่อมฉันในฐานะมารดาเลี้ยงย่อมจะต้องลงมือจัดการคนผู้นั้นเพื่อทวงคืนความเป็นธรรมให้บุตรสาว แล้วพระนางเล่าเพคะทรงวางแผนถึงช่วงชีวิตในยามชราเอาไว้แล้วหรือยัง” คำพูดของเฉียวซื่อทำให้เฉียวกุ้ยเฟยหลุบสายพระเนตรของพระนางลง
“ข้ายังไม่ได้วางแผน แต่ที่แน่ๆ ข้าไม่คิดจะอยู่ภายใต้อำนาจของเต๋อเฟยผู้นั้นเป็นแน่ แล้วเจ้าเล่าหากวันหน้าว่าที่บุตรเขยของเจ้าคิดตั้งตัวเป็นใหญ่ เจ้าก็คงจะไม่ออกหน้าสนับสนุนเขากระมัง”
“พระนางทรงวางใจผิงกั๋วกงสามีของหม่อมฉันตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะไม่สนับสนุนผู้ใดแม้ว่าคนผู้นั้นจะเป็นเขยของจวนผิงกั๋วกงก็ตามที แล้วอีกอย่างยังไม่ทันได้เข้าพิธีมงคลท่านอ๋องก็ประพฤติตนเช่นนี้ อยากจะรับสตีมาเลี้ยงดูก็ทำไปสิเพคะแต่นี่กลับลักลอบนัดพบกันตามลำพังในที่ที่ผู้อื่นสามารถพบเห็นได้ แล้วหากสามีของหม่อมฉันอยู่ในเมืองหลวงแล้วรู้เรื่องนี้ หม่อมฉันคิดว่าพิธีมงคลในครั้งนี้อาจจะมีความเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอนเพคะ”
“ดี! เช่นนั้นข้าจะช่วยเจ้าเอง เจ้าวางใจข้าไม่มีทางทำให้ผู้อื่นรู้แน่ว่าพฤติกรรมอันเหลวไหลของโซ่วอ๋องมาจากปากเจ้า” เมื่อเฉียวกุ้ยเฟยเอ่ยเช่นนี้เฉียวซื่อก็ย่อกายคารวะนางอย่างเต็มพิธีการ
“ขอบพระทัยกุ้ยเฟยเพคะ” เมื่อเฉียวซื่อเอ่ยจบเฉียวกุ้ยเฟยรีบโบกมือไล่ในทันทีพลางเอนกายแล้วหันไปตรัสเรียกนางกำนัลข้างกายมาถ่ายทอดคำสั่ง
หลังเสร็จสิ้นงานเลี้ยงเฉินฮองเฮาจึงได้ปลีกตัวกลับตำหนักอันหนิงไปก่อนเหลือเพียงหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ที่ทรงเรียกน้องชายเข้ามาตักเตือนเป็นการส่วนพระองค์โดยมีองค์ชายทั้งสองประทับอยู่ด้วย“จนถึงยามนี้แล้วเจ้าก็ยังคิดไม่ได้อีกหรือ น้องรองพระชายาของเจ้าผู้นี้แม้ว่าจะไม่ได้งดงาม รูปร่างก็ใหญ่โตแต่สิ่งที่นางมีเหนือผู้อื่นก็คือความจริงใจ แม้ว่าจะดุดันและไม่ช่างเอาอกเอาใจแต่เจ้าก็ไม่ต้องคอยระมัดระวังตัวและคอยคาดเดาอารมณ์ของนาง นางโกรธเจ้าก็รู้ นางโมโหเข้าก็แค่ถูกด่าหลังจากถูกโบยตีไม่กี่ทีนางก็กลับไปเป็นปกติแล้ว” หลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสพลางถอนพระปัสสาสะออกมา“ในขณะที่คนงามส่วนใหญ่กลับซับซ้อนมากกว่านั้นภายใต้สีหน้ายิ้มแย้มของพวกนางมีความคิดมากมายซุกซ่อนอยู่ภายในใจ ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่มีทางจะคาดเดาความคิดของนางได้แน่ น้องรองเจ้าโชคดีแล้วที่ได้โม่หลันเป็นพระชายา อย่าได้คิดหาเศษหาเลยแล้วทำให้ชีวิตของตนเองต้องตกต่ำอีกเลย” เมื่อหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสเช่นนี้โซ่วอ๋องที่คุกเข่าขอรับผิดอยู่ตรงหน้าก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ“เสด็จพี่! แล้วพระองค์ทรงไม่เคยหวั่นไหวบ้างเลยหรือ มีคนงามมาอยู่ตรงห
เฉินฮองเฮาแห่งแคว้นต้าเยียนทรงสิริโฉม เต็มเปี่ยมไปด้วยสติปัญญา ได้รับความรักและความให้เกียรติจากสวามีจนสตรีทั่วแคว้นต่างโจษจันกันไปจนทั่ว สตรีทุกนางล้วนริษยาในความพรั่งพร้อมและสมบูรณ์พูนสุขของพระนางนาง พระนางประสูติพระโอรสสองพระองค์พระธิดาหนึ่งพระองค์แม้ว่าจะทรงมีพระชันษามากแล้วความงามของพระนางก็ยังคงเป็นที่กล่าวขานถึง“นี่ใช้คำว่ารักและให้เกียรติได้อย่างไรกัน ต้องใช้คำว่ารักและเคารพมากกว่า” หลี่เทียนหลงองค์รัชทายาทแคว้นต้าเยียนเอ่ยกับพระอนุชาด้วยสุรเสียงแผ่วเบา“รักหรือไม่ข้าไม่แน่ใจ แต่เคารพและเกรงกลัวข้าขอยืนยันว่าเป็นความจริง เสด็จพี่ทรงทอดพระเนตรดูขุนนางที่ไม่รู้จักตายนั่นสิ พยายามจะยัดเยียดบุตรสาวโฉมงามให้เสด็จพ่อ แถมยังโอ้อวดว่าทั้งร่างกายและจิตใจบุตรสาวของเขาล้วนงดงามพิสุทธิ์หาผู้ใดเทียม ช่างไม่ดูเสียบ้างว่ายามนี้สีพระพักตร์ของเสด็จพ่อซีดเซียวเสียยิ่งกว่าไก่ในโถน้ำแกงเสียอีก” หลี่เทียนเฮ่าผู้เป็นองค์ชายรองเอ่ยกับพระเชษฐาด้วยน้ำเสียงซุกซน โดยไม่สนพระทัยหลี่เทียนหรูพระขนิษฐาพระองค์เล็กที่ในยามนี้หลบไปนั่งอยู่กับบรรดาสตรีในจวนผิงกั๋วกงแล้ว ค่ำคืนนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองเทศกาลหยวนเซี
หลังจากเสร็จสิ้นพิธีอภิเษกไปเพียงไม่กี่วัน เฉินเจียวเจียวก็ต้องสวมชุดไว้ทุกข์ให้แก่จ้าวไทเฮา แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่คาดเดาได้อยู่แล้ว แต่เพลิงพิโรธของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ผู้เป็นราชบิดาของสามีก็ยังทำให้นางอดใจสั่นไม่ได้“เจ้าลูกเลว! หากเจ้าไม่ส่งคนไปบอกยามนี้พระนางก็คงจะยังทรงดำเนินชีวิตได้ตามปกติ” พระสุรเสียงที่ทรงตรัสออกมาทำให้เฉินเจียวเจียวที่คุกเข่าอยู่ทางด้านข้างขององค์รัชทายาทไม่กล้าเงยหน้าขึ้น“ลูกก็แค่คิดว่าไม่ควรจะหลอกลวงพระนางอีกต่อไป”“ยังไม่สำนึกอีก! หลี่ไท่หลงนางคือเสด็จย่าของเจ้านะ นางคือแม้แท้ๆ ของข้า และก็เป็นนางที่ผลักดันจนข้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้จวบจนทุกวันนี้” ถ้อยคำนี้ของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงเต็มไปด้วยกระแสอารมณ์อันเศร้าโศกและโกรธเกรี้ยว เฉินเจียวเจียวที่ก้มหน้าอยู่อดเหลือบมองสวามีของตนเองที่ยามนี้เงยหน้าขึ้นไปทุ่มเถียงกับพระราชบิดาของตนเองไม่ได้“แต่ก็เป็นพระนางที่วางแผนปลิดชีพพระมารดาของลูก เป็นพระนางที่ยึดครองพระราชอำนาจของเสด็จพ่อไปตั้งนานหลายปี แล้วก็เป็นพระนางที่สนับสนุนสกุลจ้าวให้ทะเยอทะยานและก้าวล้างพระราชอำนาจของเสด็จพ่ออยู่หลายครั้ง ลูกเข้าใจในความรักความผูกพัน
พิธีอภิเษกขององค์รัชทายาทและคุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ บุรุษของจวนผิงกั๋วกงเดินทางเข้าเมืองหลวงพร้อมกันอีกครั้งเพื่อเข้าร่วมในพิธีครั้งนี้ เฉินเจียวเจียวแต่งกายอย่างดงามสวมมงกุฎหงส์และผ้าคลุมหน้าที่ปักลวดลายอันวิจิตรนั่งเกี้ยวเข้าวังหลวงอย่างยิ่งใหญ่ การแต่งงานในชาตินี้นับว่าเป็นการแต่งงานที่ยิ่งใหญ่กว่าในชาติที่แล้ว คนที่รอรับนางลงจากเกี้ยวก็ไม่ใช่คนเดิม นางจึงไม่กล้าตั้งความหวังต่อชีวิตการแต่งงานเท่าใดนัก ไม่คาดหวังก็ย่อมจะไม่ผิดหวัง เรื่องนี้นางสามารถเรียนรู้มาจากชาติที่แล้ว ในชาตินี้ชีวิตของนางจึงถูกเติมเต็มไปด้วยความสุข“ฮู่ว ในที่สุดก็ได้พบหน้ากันโดยไม่ต้องปีนกำแพงเสียที” องค์รัชทายาทเอ่ยหลังจากที่ใช่คันชั่งเปิดผ้าคลุมหน้าของนางแล้ว เขาจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่งด้วยสายตาอันแวววาว แล้วจึงได้เอ่ยถ้อยคำชื่นชมออกมาอย่างที่ควรจะเป็น“เจ้างามมาก” คำพูดประโยคนี้ของเขาทำให้นางอดยิ้มออกมาไม่ได้ฝ่าบาททรงประทานงานเลี้ยงฉลองให้แก่ผู้มาร่วมงานภายในวัง แต่เพราะเขามีฐานะเป็นถึงองค์รัชทายาทจึงไม่ต้องออกไปคารวะสุรามงคลให้แก่ผู้ใด ยามนี้ภายในห้องหอจึงมีเพียงเขาและนางเพียงเท่านั้น
พิธีปักปิ่นของคุณหนูใหญ่ของจวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ในฐานะว่าที่พระชายาองค์รัชทายาท ย่อมมีเจ้าหน้าที่จากกรมพิธีการมาช่วยเหลือในการดำเนินพิธี เฉินเจียวเจียวนั่งอยู่ท่ามกลางเหล่าฮูหยินผู้เต็มไปด้วยโชคลาภทั้งหลายด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม พวกนางช่วยหวีผมให้พร้อมคำอวยพรอันเป็นมงคลปิ่นแรกที่ปักลงมาบนมวยผมคือปิ่นพระราชทานจากเฉียวกุ้ยเฟย ตามมาด้วยปิ่นของพระนางเต๋อเฟย และบรรดาพระสนมที่เฉินเจียวเจียวเคยพบ ฮูหยินผู้เฒ่าจวนผิงกั๋วกงและฮูหยินผู้เฒ่าจวนสกุลหยวนนำปิ่นมาปักลงบนมวยผมของเฉินเจียวเจียวด้วยตนเอง ต่อมาก็เป็นสตรีอาวุโสในจวนและสตรีอาวุโสที่มีความสัมพันธ์กันดีกับจวนผิงกั๋วกงเมื่อเสร็จสิ้นพิธีปักปิ่นเฉินเจียวเจียวก็ลูกขึ้นคารวะขอบคุณอย่างเต็มพิธีการสามครั้งแล้วจึงเข้าสู่งานเลี้ยง เฉินเจียวเหม่ยและเฉินเจียวมี่ที่ได้รับหน้าที่ถือพานใส่หวีและปิ่น ต่างรีบจับจูงนางกลับเรือนด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม มีคุณหนูจากหลายจวนที่มีความสัมพันธ์อันดีมาร่วมแสดงความยินดีด้วย แน่นอนว่าคนที่มาย่อมขาดหวังฮุ่ยหลิงและองค์หญิงเก้าหลี่ถังหรูไม่ได้เหตุการณ์ปราบกบฏสกุลเจ้าเกิดขึ้นเร็วกว่าในชาติที่แล้ว ในชาตินี้เซียว
เมื่อบ้านเมืองสงบสุขชีวิตความเป็นอยู่ของชาวประชาก็กลับมาดำเนินไปตามปกติ เกิดแก่เจ็บตายล้วนเป็นไปตามยถากรรมของโลก ในเมื่อหลินชิงเหมยไม่สามารถทนรับความบอบช้ำของร่างกายไม่ไหว นางจึงได้ตายจากไปในที่สุด ในตอนที่นางจะตายนางยังเคยอดสงสัยไม่ได้ว่า หากนางไม่ทะเยอทะยาน หากนางไม่คิดจะร่วมมือกับสกุลจ้าวชีวิตของนางจะต้องจบลงเช่นนี้ไหม น่าเสียดายที่ต่อให้นางสงสัยมากเพียงใดก็ไม่อาจจะทำอันใดได้แล้วแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นแต่นางกลับรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่า การตายเช่นนี้กลับดีมากแล้ว เพราะในความฝันของนาง นางเคยต้องเผชิญกับความตายที่น่ากลัวกว่านี้ ทั้งถูกทุบตี ทั้งถูกรุมย่ำยีแถมยังถูกทารุณกรรมจนไม่เหลือสภาพความเป็นคน อยากตายก็ไม่ได้ตาย ลืมตาขึ้นมาในแต่ละวันต้องร้องไห้ทุกครั้งที่พบว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่ การถูกโบยจนตายน่าจะเป็นการตายที่สวรรค์ปรานีสำหรับนางมากแล้ว นี่คือความคิดสุดท้ายในห้วงความนึกคิดของนาง ตอนที่โซ่วอ๋องมารับร่างที่ไร้ลมหายใจของนางจึงได้เห็นว่าแม้ในยามหลับบนใบหน้าของนางก็ยังมีรอยยิ้มประดับอยู่หลินชิงเหมยตายแล้ว โซ่วอ๋องจะทุกข์ใจหรือไม่เฉินเจียวเจียวไม่ได้ให้ความสนใจอีกแล้ว เรื่องราวในกาลก่อนราวกับ