เมื่อหลี่ไท่หยางเดินไปถึงโต๊ะที่สองแม่ลูกสกุลเฉินนั่งอยู่พวกนางสองแม่ลูกก็ลุกขึ้นมาแล้วย่อกายคารวะตามธรรมเนียมในทันที บรรดาสาวใช้และผู้ติดตามเองก็เช่นกันพวกเขารีบคารวะหลี่ไท่หยางด้วยท่าทีนอบน้อม
“ไม่ต้องมากพิธีหรอก” หลี่ไท่หยางเอ่ยพลางโบกมือพวกเขาจึงได้ขยับตัวยืดกายขึ้นแล้วถอยออกไปทิ้งไว้เพียงเฉียวซื่อและเฉินเจียวเจียวที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของเขา
“คิดไม่ถึงว่าจะได้พบกันที่นี่ ผิงกั๋วกงฮูหยินสบายดีหรือไม่” หลี่ไท่หยางเอ่ยออกมาก่อนพลางจ้องมองเฉินเจียวเจียวอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ละสายตาไป สำหรับเขาแล้วอีกไม่นานสตรีที่มีรูปโฉมงดงามตรงหน้าอีกไม่นานก็จะต้องมาใช้ชีวิตร่วมกันกับเขา ซึ่งเรื่องนี้นับได้ว่าเป็นเรื่องที่แน่นอนแล้ว เขาจึงไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นที่ได้พบนางและไม่ได้รู้สึกผิดอันใดกับการที่นางพบว่าเขาอยู่กับสตรีอื่น เพราะสำหรับเขาแล้วในยามนี้หลินชิงเหมยเป็นเพียงเด็กสาวที่มีชีวิตและความเป็นอยู่ที่น่าสงสารมากเท่านั้น เขาหาได้ทำผิดต่อว่าที่พระชายาในอนาคตผู้นี้ของเขาไม่
“หม่อมฉันสบายดีเพคะ วันนี้อากาศดีก็เลยพาเจียวเจียวมาไหว้พระ คิดไม่ถึงว่าจะได้พบท่านอ๋องที่นี่ด้วย” เฉียวซื่อเอ่ยพลางส่งยิ้มให้เขา ในเมื่อนางไม่ได้ถามเรื่องสตรีที่อยู่กับเขาหลี่ไท่หยางก็ไม่ได้เอ่ยถึง
เขามองไปทางเฉินเจียวเจียวเมื่อเห็นว่านางยังคงมีสีหน้าปกติไม่คิดจะถามเรื่องสตรีที่มากับเขาทำให้เขารู้สึกพึงพอใจมาก ไม่ว่าอย่างไรว่าที่ภรรยาคือคนที่รู้การควรไม่ควรย่อมดีกว่าภรรยาที่ชอบหึงหวงและแย่งชิงความโปรดปรานจากสตรีอื่นทั้งต่อหน้าและลับหลัง เขาเติบโตมาจากในวังหลวงย่อมรู้สึกเบื่อหน่ายและเกลียดชังสตรีเช่นนี้เป็นธรรมดา
“เช่นนั้นข้าคงต้องขอตัวก่อนไม่รบกวนเวลาของฮูหยินและคุณหนูแล้ว” เมื่อหลี่ไท่หยางเอ่ยเช่นนี้ทั้งเฉียวซื่อและเฉินเจียวเจียวก็รีบคารวะอำลาเขาในทันทีซึ่งเขาเห็นท่าทีเช่นนี้ก็ไม่ได้คิดติดใจอันใดรีบเดินกลับไปหาสาวน้อยที่มีท่าทีหวาดกลัวของตนเองและเอ่ยวาจาปลอบโยนนางว่าทางว่าที่พระชายาของเขาไม่ได้ติดใจในเรื่องนี้ และพูดจาปลอบโยนนางอีกหลายประโยคให้นางสบายใจแล้วจึงได้รับปากนางว่าจะเดินไปส่งนางยังที่พักของอี๋เหนียงของนางด้วยตนเอง หลินชิงเหมยจึงได้มีท่าทีผ่อนคลายและยอมเดินติดตามเขาจากไป
ในขณะที่หลินชิงเหมยเดินติดตามหลี่ไท่หยางมีอยู่หนึ่งที่เขาหันมามองเฉินเจียวเจียว ภาพของสตรีวัยแรกรุ่นแต่งกายด้วยเครื่องแต่งกายอันงดงามและประณีต บนใบหน้าอันงดงามของนางมีร่องรอยของความเย้ยหยันและสายตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังจนหลินชิงเหมยอดตัวสั่นขึ้นมาด้วยความหวาดกลัวมิได้ นางรีบเดินเข้าไปใกล้แผ่นหลังของหลี่ไท่หยางมากยิ่งขึ้นเพื่ออาศัยไออุ่นจากร่างกายของเขาช่วยขับไล่สายตาอันเย็นยะเยือกของเฉินเจียวเจียวให้หลุดพ้นไปจากร่างของนาง
เมื่อหลี่ไท่หยางและคนของเขาเดินพ้นระยะการมองเห็นไปแล้วเฉียวซื่อก็หันมามองบุตรสาวของตนเองด้วยสายตาชื่นชม แม้ว่าจะไม่พอใจมากเพียงใดแต่เฉินเจียวเจียวที่มีอายุเพียงเท่านี้กลับสามารถสงบสติอารมณ์ได้ดีสมแล้วที่เป็นคุณหนูคนสำคัญที่ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเฉินอบรมเลี้ยงดูมาด้วยตนเอง การจัดการอารมณ์ของเฉินเจียวเจียวดีกว่านางที่มีอายุมากกว่าเฉินเจียวเจียวตั้งหลายปีเสียอีก
“พวกเรากลับจวนกันเถิด แม่มีเรื่องที่จะต้องจัดการ เจ้าวางใจเถิดด้วยการจัดการของแม่จะต้องทำให้โซ่วอ๋องรู้สึกเสียใจที่ไม่รู้จักสำรวมตนอย่างแน่นอน” เมื่อเฉียวซื่อเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเจียวก็ยิ้มออกมา
“ข้าเชื่อในฝีมือการจัดการของท่านแม่เจ้าค่ะ” คำพูดของเฉินเจียวเจียวทำให้เฉียวซื่อยิ้มออกมาได้เช่นเดียวกัน พวกนางจับจูงกันเดินออกจากวัดต้าฝูด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้มทิ้งความไม่พอใจเมื่อครู่นี้ทิ้งเอาไว้อยู่เบื้องหลัง
วันรุ่งขึ้นเฉียวซื่อก็เดินทางเข้าวังไปขอเข้าพบเฉียวกุ้ยเฟยผู้เป็นพี่สาว เฉียวกุ้ยเฟยผู้นี้แม้ว่าจะไม่มีพระโอรสและพระธิดาแต่กลับสามารถครอบครองตำแหน่งกุ้ยเฟยได้นับว่ามีความสามารถที่ไม่ธรรมดาเลย น้อยครั้งนักที่เฉียวซื่อผู้เป็นฮูหยินของจวนผิงกั๋วกงจะขอเข้าพบเมื่อเห็นเทียบขอเข้าพบจากน้องสาวกุ้ยเฟยจากสกุลเฉียวก็รีบตอบรับในทันที
“มีเรื่องใดที่ทำให้เจ้าถึงกับต้องขอเข้าพบข้าด้วยตนเองเช่นนี้ได้” เมื่อพี่สาวเอ่ยเช่นนี้เฉียวซื่อก็ยิ้มออกมาในทันที
“ได้ยินมาว่าช่วงนี้พระนางกับเต๋อเฟยไม่ลงรอยกันมิใช่หรือเพคะ หม่อมฉันมีเรื่องหนึ่งจะเล่าให้พระนางฟังเพคะ แต่พระนางจะใช้ประโยชน์ต่อคำพูดของหม่อมฉันได้มากน้อยสักเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของพระนางแล้วนะเพคะ” คำพูดของเฉียวซื่อทำให้เฉียวกุ้ยเฟยปรับเปลี่ยนอิริยาบถในทันที ยามนี้แม้ว่าจะมีเพียงข้ารับใช้คนสนิทแต่พระนางก็อดรับสั่งออกมาด้วยเสียงกระซิบอันแผ่วเบามิได้
“มีเรื่องใดก็ว่ามา”
“เรื่องนี้ย่อมเกี่ยวกับพฤติกรรมอันไม่เหมาะสมของโซ่วอ๋องเพคะ เมื่อวันก่อนโซ่วอ๋องนัดพบกับสตรีอ่อนเยาว์ผู้หนึ่งในวัดต้าฝู แม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นเพียงความประพฤติอันเหลวไหลของท่านอ๋องผู้หนึ่ง แต่พระมารดาที่ทรงอบรมเลี้ยงดูมาน่าจะต้องรับผิดชอบต่อเรื่องนี้นะเพคะ” คำพูดของเฉียวซื่อทำให้เฉียวกุ้ยเฟยทอดสายพระเนตรมองเฉียวซื่อด้วยสายพระเนตรที่แสดงออกถึงความรู้ทันในทันที
“ที่แท้เจ้าก็คิดจะยืมมือข้าจัดการสั่งสอนว่าที่บุตรเขยของตนเองนี่เอง” เมื่อเฉียวกุ้ยเฟยเอ่ยเช่นนี้เฉียวซื่อก็หัวเราะออกมาเบาๆ
“หม่อมฉันไม่มีบุตรชายและบุตรสาว จะใช้ชีวิตในช่วงบั้นปลายอย่างมีความสุขได้ก็ต้องมอบความจริงใจอย่างแท้จริงให้แก่ลูกเลี้ยง ยามนี้ลูกเลี้ยงของหม่อมฉันถูกคนผู้หนึ่งมองข้ามและไม่ให้เกียรติ หม่อมฉันในฐานะมารดาเลี้ยงย่อมจะต้องลงมือจัดการคนผู้นั้นเพื่อทวงคืนความเป็นธรรมให้บุตรสาว แล้วพระนางเล่าเพคะทรงวางแผนถึงช่วงชีวิตในยามชราเอาไว้แล้วหรือยัง” คำพูดของเฉียวซื่อทำให้เฉียวกุ้ยเฟยหลุบสายพระเนตรของพระนางลง
“ข้ายังไม่ได้วางแผน แต่ที่แน่ๆ ข้าไม่คิดจะอยู่ภายใต้อำนาจของเต๋อเฟยผู้นั้นเป็นแน่ แล้วเจ้าเล่าหากวันหน้าว่าที่บุตรเขยของเจ้าคิดตั้งตัวเป็นใหญ่ เจ้าก็คงจะไม่ออกหน้าสนับสนุนเขากระมัง”
“พระนางทรงวางใจผิงกั๋วกงสามีของหม่อมฉันตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะไม่สนับสนุนผู้ใดแม้ว่าคนผู้นั้นจะเป็นเขยของจวนผิงกั๋วกงก็ตามที แล้วอีกอย่างยังไม่ทันได้เข้าพิธีมงคลท่านอ๋องก็ประพฤติตนเช่นนี้ อยากจะรับสตีมาเลี้ยงดูก็ทำไปสิเพคะแต่นี่กลับลักลอบนัดพบกันตามลำพังในที่ที่ผู้อื่นสามารถพบเห็นได้ แล้วหากสามีของหม่อมฉันอยู่ในเมืองหลวงแล้วรู้เรื่องนี้ หม่อมฉันคิดว่าพิธีมงคลในครั้งนี้อาจจะมีความเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอนเพคะ”
“ดี! เช่นนั้นข้าจะช่วยเจ้าเอง เจ้าวางใจข้าไม่มีทางทำให้ผู้อื่นรู้แน่ว่าพฤติกรรมอันเหลวไหลของโซ่วอ๋องมาจากปากเจ้า” เมื่อเฉียวกุ้ยเฟยเอ่ยเช่นนี้เฉียวซื่อก็ย่อกายคารวะนางอย่างเต็มพิธีการ
“ขอบพระทัยกุ้ยเฟยเพคะ” เมื่อเฉียวซื่อเอ่ยจบเฉียวกุ้ยเฟยรีบโบกมือไล่ในทันทีพลางเอนกายแล้วหันไปตรัสเรียกนางกำนัลข้างกายมาถ่ายทอดคำสั่ง
หลายวันถัดมาเมืองหลวงแคว้นต้าเยียนก็มีเรื่องราวเล่าลืออันโด่งดังที่ทำให้ผู้คนต่างพากันพูดถึง อีกทั้งคราวนี้ยังเป็นเรื่องราวของเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงอย่างโซ่วอ๋อง ต่อให้เป็นเรื่องพยายามปกปิดมากสักเพียงใดแต่หน้าต่างล้วนมีหูประตูล้วนมีช่องไม่อาจจะปกปิดความอยากรู้ของผู้อื่นได้ ยิ่งพยายามปกปิดก็ยิ่งก็กระตุ้นให้ผู้อื่นยิ่งอยากจะรู้เรื่องราวมากยิ่งขึ้นโซ่วอ๋องลักลอบนัดพบสตรีอื่นในวัดต้าฝูทำให้ฝ่าบาททรงไม่พอพระทัยกับความประพฤติของโซ่วอ๋องเป็นอย่างมากจนต้องเรียกโซ่วอ๋องเข้าวังมาตำหนิ เรื่องนี้แม้แต่เต๋อเฟยเองก็ยังพลอยโดนหางเลขไปด้วย ในฐานะที่อบรมพระโอรสได้ไม่ดี การออกพระโอษฐ์ตำหนิในครั้งนี้ถือว่าสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งวังหลังในทันที เต๋อเฟยจำต้องคุกเข่าสำนึกผิดหน้าพระตำหนักนานถึงสองชั่วยามกว่าจะทำให้ฝ่าบาททรงคลายความพิโรธลงได้เมื่อข่าวลือเอ่ยถึงวัดต้าฝูก็มีหลายคนเอ่ยปากออกมาว่าพวกเขาต่างก็เคยเห็นว่าโซ่วอ๋องมักจะมีสตรีอ่อนเยาว์ผู้หนึ่งอยู่เคียงข้างกายในวัดต้าฝูจริงๆ เมื่อมีการยืนยันหลายเสียงเช่นนี้หลายคนต่างพากันคาดเดากันใหญ่ว่าสตรีผู้นั้นคือผู้ใด เป็นคุณหนูจากสกุลไหนหรือเป็นเพียงเด็กสาวชาวบ้านธรร
เมื่อหลี่ไท่หยางเดินไปถึงโต๊ะที่สองแม่ลูกสกุลเฉินนั่งอยู่พวกนางสองแม่ลูกก็ลุกขึ้นมาแล้วย่อกายคารวะตามธรรมเนียมในทันที บรรดาสาวใช้และผู้ติดตามเองก็เช่นกันพวกเขารีบคารวะหลี่ไท่หยางด้วยท่าทีนอบน้อม“ไม่ต้องมากพิธีหรอก” หลี่ไท่หยางเอ่ยพลางโบกมือพวกเขาจึงได้ขยับตัวยืดกายขึ้นแล้วถอยออกไปทิ้งไว้เพียงเฉียวซื่อและเฉินเจียวเจียวที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของเขา“คิดไม่ถึงว่าจะได้พบกันที่นี่ ผิงกั๋วกงฮูหยินสบายดีหรือไม่” หลี่ไท่หยางเอ่ยออกมาก่อนพลางจ้องมองเฉินเจียวเจียวอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ละสายตาไป สำหรับเขาแล้วอีกไม่นานสตรีที่มีรูปโฉมงดงามตรงหน้าอีกไม่นานก็จะต้องมาใช้ชีวิตร่วมกันกับเขา ซึ่งเรื่องนี้นับได้ว่าเป็นเรื่องที่แน่นอนแล้ว เขาจึงไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นที่ได้พบนางและไม่ได้รู้สึกผิดอันใดกับการที่นางพบว่าเขาอยู่กับสตรีอื่น เพราะสำหรับเขาแล้วในยามนี้หลินชิงเหมยเป็นเพียงเด็กสาวที่มีชีวิตและความเป็นอยู่ที่น่าสงสารมากเท่านั้น เขาหาได้ทำผิดต่อว่าที่พระชายาในอนาคตผู้นี้ของเขาไม่“หม่อมฉันสบายดีเพคะ วันนี้อากาศดีก็เลยพาเจียวเจียวมาไหว้พระ คิดไม่ถึงว่าจะได้พบท่านอ๋องที่นี่ด้วย” เฉียวซื่อเอ่ยพลางส่งยิ้มให้เขา
หลี่ไท่หยางไม่ได้สนใจว่าจะมีผู้อื่นจ้องมองเขาหรือไม่ในยามนี้เขาคิดเพียงแค่การพาญาติผู้น้องที่น่าสงสารของตนเองมาผ่อนคลายจิตใจ อีกทั้งยามนี้ในใจของเขาที่มีให้แก่หลินชิงเหมยก็มีแค่เพียงความรู้สึกสงสารและเอ็นดูยังไม่ได้มีความคิดเกินเลยเนื่องจากเด็กสาวผู้นี้ยังเป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่งในสายตาของเขา เรื่องการเว้นระยะห่างระหว่างคนทั้งคู่เขาจึงคิดว่าไม่จำเป็นแต่ในสายตาของคนที่มองอยู่อย่างเฉียวซื่อและเฉินเจียวเจียวกลับไม่ใช่เช่นนั้น สำหรับเฉินเจียวเจียวเป็นเพราะมีความทรงจำของช่วงชีวิตที่แล้วมาเป็นบทเรียนจึงไม่คิดการที่สองคนนี้มีความสนิทสนมเป็นเรื่องปกติ ส่วนในสายตาของเฉียวซื่อนั้นนางคิดว่าต่อให้สตรีที่มาด้วยยังเป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่ง แต่ก็ควรที่จะเว้นระยะห่างให้มากกว่านี้ แม้แต่คนในครอบครัวเดียวกันอย่างเฉินเจียวจ้านและเฉินเจียวเจียวนางในฐานะมารดาเลี้ยงของพวกเขายังคอยดูแลจัดการให้พวกเขาอยู่ร่วมกันอย่างถูกต้องและเหมาะสมไม่ว่าอย่างไรเรื่องชื่อเสียงของบุตรชายและบุตรสาวย่อมสำคัญที่สุด เฉินเจียวจ้านนั้นก็ช่างเถิดเขาโตแล้วและไม่มีความผูกพันอันใดกับนาง ไม่ว่าอย่างไรบุตรชายและแม่เลี้ยงก็ไม่ควรจะข้องเกี
เมื่อเฉินเจียวเจียวเดินกลับมาจนเกือบถึงบริเวณที่คนของตนรออยู่นางก็หันไปมองสาวใช้ที่รู้วรยุทธ์ของนางด้วยสีหน้าดุดัน สาวใช้นางนั้นรีบคุกเข่าและขอรับโทษในทันที“ขออภัยด้วยเจ้าค่ะ บ่าวไม่สามารถปกป้องคุณหนูให้ดีหากคุณหนูจะลงโทษบ่าวก็พร้อมจะยอมรับโทษเจ้าค่ะ” เมื่อสาวใช้ผู้นั้นเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเจียวก็ทอดถอนใจออกมาพลางเอ่ยกับนางด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา“ตงจื้อ เรื่องในวันนี้ห้ามเจ้าบอกผู้ใด ไม่ว่าจะเป็นตงผิง ตงชิงหรือว่าพี่สาวน้องสาวคนอื่นๆ ของเจ้า หากผู้อื่นรู้เรื่องนี้ข้าไม่มีทางยอมปล่อยเจ้าไปแน่” เมื่อเจ้านายเอ่ยเช่นนี้ตงจื้อผู้เป็นสาวใช้ก็รีบรับคำในทันที“บ่าวไม่มีทางเอ่ยกับผู้ใดแน่นอนเจ้าค่ะ” ตงจื้อเอ่ยด้วยน้ำเสียงนอบน้อม“ส่วนเรื่องลงโทษเจ้านั้นคงไม่จำเป็น เรื่องนี้เป็นข้าที่ขาดความระมัดระวังเองแต่ไม่ว่าอย่างไรเรื่องนี้เจ้าเองก็มีส่วนผิด มีคนอยู่ใกล้ข้าถึงเพียงนั้นแต่เจ้ากลับไม่รู้เรื่อง หากเป็นยอดฝีมือคนอื่นก็ว่าไปแต่คนที่จับข้าผู้นั้นไม่น่าจะมีฝีมือเหนือกว่าเจ้าไปได้” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนี้ตงจื้อก็อ้าปากตั้งใจว่าจะเอ่ยวาจาคัดค้านว่าคนที่จับคุณหนูของนางนั้นมีฝีมือดีกว่าคนที่จับตั
เช้าวันถัดมาเฉินเจียวเจียวก็ได้ติดตามเฉียวซื่อไปไหว้พระที่วัดสมใจ เพียงแต่เมื่อเดินทางมาถึงวัดเฉินเจียวเจียวก็ได้แต่ต้องลอบดุด่าตนเองอยู่ในใจ หลินชิงเหมยอายุไม่ถึงสิบสามปีดีนางจะยัดเยียดข้อหาหนุ่มสาวลักลอบนัดพบกันให้แก่เด็กสาวที่ยังไม่โตเต็มที่ได้อย่างไร แต่ไหนๆ ก็มาแล้วนางจึงคิดว่าควรจะสำรวจบริเวณรอบๆ อีกสักหน่อยหลังจากไหว้พระเติมตะเกียงแล้วเฉินเจียวเจียวก็ขออนุญาตเฉียวซื่อเพื่อไปเดินเล่นรอบๆ มากราบไหว้พระครั้งนี้เฉียวซื่อตั้งใจจะมาขอบุตร นางจึงรีบอนุญาตเฉินเจียวเจียวในทันที แม้ว่านางจะรู้ดีว่าเฉินเจียวเจียวย่อมสามารถคาดเดาจุดประสงค์ของนางได้อยู่แล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรการที่ไม่มีเฉินเจียวเจียวอยู่ด้วยก็ทำให้นางสามารถขอพรได้อย่างสะดวกใจมากกว่าวัดต้าฝูแห่งนี้ตั้งอยู่นอกเมืองใช้เวลาเดินทางพอสมควรกว่าจะเดินทางมาถึง แต่ข้อดีก็คือมีบรรยากาศอันเงียบสงบและทิวทัศน์งดงาม เฉินเจียวเจียวที่เดินไปเห็นทิวทัศน์ทางด้านหลังของวัดก็อดพยักหน้าให้แก่ตนเองไม่ได้ ช่างเหมาะแล้วที่พวกเขาจะใช้เป็นสถานที่นัดพบกัน ทิวทัศน์งดงามบรรยากาศเป็นใจเหมาะแก่การพูดคุยระบายความในใจต่อกันเป็นอย่างยิ่งเฉินเจียวเจียวเดินอย
แม้ว่าศัตรูอันดับหนึ่งของเฉินเจียวเจียวคือหลินชิงเหมย แต่คนที่นางไม่อาจจะเพิกเฉยได้ก็คือหลี่ไท่หยาง การแต่งงานในครั้งนี้แม้จะดูเหมือนนางคือฝ่ายป่ายปีนขึ้นที่สูงได้แต่งเข้าราชวงศ์ แต่แท้ที่จริงแล้วเป็นหลี่ไท่หยางต่างหากที่ได้ประโยชน์ในครั้งนี้ ผิงกั๋วกงเฉินคังผู้เป็นบิดาของนางเป็นถึงแม่ทัพพิทักษ์ชายแดนมีกองกำลังในมือหลายแสนนายส่วนสกุลหลินที่เป็นบ้านเดิมของมารดาก็มีท่านลุงที่ยามนี้ดำรงตำแหน่งเป็นเสนาบดีฝ่ายขวา การได้เกี่ยวดองกับนางย่อมทำให้มีคนหนุนหลังเขาในราชสำนักมากขึ้น แม้ว่าเขาจะไม่ได้มีความคิดจะแย่งชิงราชบัลลังก์ก็ตามที แต่หากเกิดเหตุพลิกผันอันใดขึ้น ในฐานะอ๋องที่มีกองกำลังหนุนหลังและมีขุมอำนาจในราชสำนักคอยคุ้มครอง ย่อมสามารถอยู่รอดปลอดภัยมากกว่าอ๋องคนอื่นๆแคว้นต้าเยียนแห่งนี้มีหลี่ไท่หลงเป็นองค์รัชทายาท ยามนี้ฝ่าบาทมักจะมีราชโองการให้องค์รัชทายาทออกว่าราชการแทนในท้องพระโรงอยู่บ่อยครั้ง ก่อนที่นางจะถูกสามีสั่งโบยแล้วแท้งบุตรจนตาย องค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงก็ได้ครอบครองราชบัลลังก์อย่างมั่นคงแล้ว ท่านอ๋องหลายคนในยามนั้นล้วนถูกกำจัดมีเพียงไม่กี่คนที่ได้รอดชีวิตและหนึ่งในนั้นก็มีโซ่วอ๋อง
เมื่อเฉินเจียวเจียวพาคุณหนูจากสกุลหลินทั้งสองกลับขึ้นเรือนมาฮูหยินผู้เฒ่าที่กำลังพูดคุยอยู่กับฟางเจียอีฮูหยินใหญ่จากสกุลหลินก็พลันเงียบเสียงลง แต่แล้วเมื่อคิดได้ว่าปีหน้าเฉินเจียวเจียวก็จะถึงวัยปักปิ่นอีกทั้งทางเต๋อเฟยเองก็มีรับสั่งเอ่ยถึงเรื่องนี้บ้างแล้วนางจึงคิดว่าให้เฉินเจียวเจียวรับรู้เรื่องนี้บ้างก็เป็นเรื่องดีนางจะได้เตรียมพร้อมเอาไว้“ทางข้าเองก็ไม่ได้คิดจะขัดข้องอันใด หากทางเต๋อเฟยอยากจะส่งปิ่นมาร่วมแสดงความยินดีก็ถือว่าเป็นเกียรติของเจียวเจียวเป็นอย่างยิ่ง แต่เรื่องพิธีปักปิ่นหากทางเต๋อเฟยอยากจะเป็นแม่งานก็คงไม่เหมาะ แม้ว่าจะทรงเอ็นดูเจียวเจียวมากเพียงใดแต่ไม่ว่าอย่างไรในตอนนี้นางก็ยังมีมารดาเลี้ยงของนางอยู่ แม้ว่าเฉียวซื่อจะไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อยแต่ไม่ว่าอย่างไรคำพูดของผู้อื่นก็อาจจะทำให้นางไม่สบายใจ” เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเช่นนี้ฟางเจียอีที่เป็นพี่สาวแท้ๆ ของเต๋อเฟยก็พลันทอดถอนหายใจออกมา“ข้าเองก็คำนึงถึงเรื่องนี้จึงได้บอกกับพระนางว่าข้าจะขอมาปรึกษากับทางจวนผิงกั๋วกงก่อน” ฟางเจียอีเอ่ยพลางหันไปมองเฉินเจียวเจียวที่เดินนำหน้าบุตรสาวของนาง“ปีนี้เจียวเจียวโตขึ้นมาก ยังไม่ทันจ
ยามที่คนสกุลหลินมาเยือนที่จวนฮูหยินผู้เฒ่าและเฉินเจียวเจียวออกไปต้อนรับที่โถงหลักของเรือนชั้นในด้วยตนเอง ผู้ที่มาก็คือฟางเจียอีป้าสะใภ้จากจวนสกุลหลิน ป้าสะใภ้ผู้นี้มีความสัมพันธ์อันดีกับหลินซื่อมารดาของเฉินเจียวเจียวเมื่อหลินซื่อล่วงลับป้าสะใภ้ผู้นี้ก็หมั่นมาเยี่ยมเยียนนางที่จวนอยู่บ่อยครั้ง เฉินเจียวเจียวจึงได้มีความรู้สึกดีต่อป้าสะใภ้ผู้นี้มากเป็นพิเศษส่วนญาติผู้น้องร่างกายบอบบางและดูซูบผอมของนางนั้นกำลังนั่งอยู่เงียบๆ ทางด้านหลังของฟางเจียอี หลินชิงเหมยคือบุตรสาวที่ถือกำเนิดจากอนุภายในจวน แต่เพราะร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เด็กป้าสะใภ้ของนางจึงรับหลินชิงเหมยมาดูแลด้วยตนเองและได้รับหลินชิงเหมยมาเป็นบุตรสาวภายใต้ชื่อทำให้หลินชิงเหมยขยับฐานะขึ้นมาเป็นบุตรสาวของภรรยาเอกแม้ว่าหลินชิงเหมยจะได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดีแต่หากจะให้เทียบเคียงกลับหลินชิงหว่านบุตรสาวคนโตที่ถือกำเนิดจากป้าสะใภ้ก็คงจะเป็นไปไม่ได้ หลินชิงหว่านทั้งรูปโฉมงดงามกิริยาและวาจาก็ถูกอบรมมาเป็นอย่างดีแม้แต่เฉินเจียวเจียวเองก็ยังแอบยกย่องนางอยู่ในใจ เพียงแต่ไม่รู้เพราะเหตุใดสตรีที่มีดีทั้งรูปโฉม ชาติกำเนิดและท่วงท่ากิริยาเต็ม
จวนผิงกั๋วกงตั้งอยู่ในตรอกสุ่ยอันของเมืองหลวงแห่งแคว้นต้าเยียน ภายในตรอกสุ่ยอันแห่งนี้มีจวนขุนนางตำแหน่งสูงตั้งอยู่หลายจวน จวนขุนนางที่มีตำแหน่งสูงเหล่านี้ล้วนมีเรื่องราวการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นอันซับซ้อนมากมายภายในเรือนหลังของจวน ยิ่งตำแหน่งสูงมากก็ยิ่งมีความสัมพันธ์อันซับซ้อนของผู้คนภายในจวนมากยิ่งขึ้น แต่จวนผิงกั๋วกงแห่งนี้กลับไม่ได้มีความสัมพันธ์อันซับซ้อนและยุ่งเหยิงดังเช่นจวนขุนนางจวนอื่น อาจจะเป็นเพราะผู้คนภายในจวนไม่มากอีกทั้งยังมีการปกครองภายในจวนอย่างเข้มงวดผู้คนภายในจวนจึงใช้ชีวิตร่วมกันได้อย่างสงบสุขเฉินเจียวเจียวอยู่ในจวนแห่งนี้ในฐานะคุณหนูใหญ่ นางเป็นบุตรสาวคนเดียวของผิงกั๋วกงและหลินซื่อ มารดาของนางตายจากไปตั้งแต่นางยังเล็ก นางจึงได้รับการเลี้ยงดูจากฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเฉิน ส่วนเฉียวซื่อผู้เป็นภรรยาที่แต่งเข้ามาใหม่ของบิดาก็นับว่าเป็นมารดาเลี้ยงที่ดีพอสมควรเพียงแต่ระหว่างพวกนางสองคนไม่ค่อยจะสนิทกันเท่าใดนัก อาจจะเป็นเพราะตอนที่เฉียวซื่อแต่งเข้ามาเฉินเจียวเจียวก็โตมากแล้วอีกทั้งยังมักจะอยู่ข้างกายของฮูหยินผู้เฒ่าทำให้คนทั้งคู่ไม่ค่อยจะมีโอกาสได้ใกล้ชิดสนิทสนมกันบ้านรองและบ้