"มิน่าล่ะ! ข้าถึงได้หลับตามน้ำแบบไม่อยากจะตื่น พลังของท่านพี่สุดยอดไปเลย" ไวท์บอกพลางชูนิ้วโป้งให้ทั้งสองข้าง สำหรับจักรวรรดิแล้วการยกนิ้วไม่มีความหมายอะไรแต่ดูท่าสำหรับโลกมนุษย์น่าจะหมายถึงเก่งหรือเปล่า
"ในโลกมนุษย์หมายความว่าเก่งใช่ไหม"
"ไม่ใช่แค่เก่งนะพะยะค่ะ เขาเรียกว่าเจ๋งไปเลย"
"เจ๋งไปเลย หมายความว่าอย่างไร"
"หมายความว่าสุดยอดมาก แปลกใหม่ เรียกว่าเจ๋งพะยะค่ะ"
"ข้าคิดว่าตอนนี้พวกเจ้าควรกินอะไรสักหน่อยนะ อาหารถูกยกมาวางให้แล้ว พวกเจ้าก็คุยกันต่อไปเถอะ" จักรพรรดิไอสองสามครั้งเพื่อเตือนว่าไม่ใช่เวลาที่จะมานั่งคุยกันสบายใจแบบนี้ ควรกินข้าวและไปจัดการเรื่องข่าวลือให้เรียบร้อยเสียก่อน ไม่เช่นนั้นน่าจะกลายเป็นเรื่องไปมากกว่านี้อย่างแน่นอน
"รัชทายาท"
"พะยะค่ะ ท่านพ่อ"
"เจ้าจะต้องเข้าไปอธิบายเรื่องการดีฟให้ที่ประชุมฟัง ส่วนหนูไวท์" เรื่องดีฟคือหัวข้อสำคัญในการคุยงานครั้งนี้งั้นรึ
"พะยะค่ะ ท่านจักรพรรดิ"
"ก็ต้องเข้าห้องประชุมไปเพื่ออธิบายเรื่องชาติกำเนิดเหมือนกัน พ่อรู้ว่าหนูน่าจะรู้ว่าตนเองมีชาติกำเนิดมาจากอะไร จะได้หายสงสัยกันสักที เพราะเรื่องที่เกิดก่อนหน้านี้มันแพร่ไปทั่ววังหลวงแล้ว หากไม่ได้รับการแก้ไขที่ถูกต้องล่ะก็...ต้องมีการทำให้ราชสำนักปั่นป่วนแน่นอน" ความจริงแล้วจักรพรรดิคิดว่าเหตุการณ์ในวันนั้นน่าจะไปกระตุ้นอะไรบางอย่างในร่างกายของเด็กคนนี้ขึ้นมา แต่อย่างน้อยเรื่องนี้ทุกคนในราชสำนักต้องรับรู้เพื่อไม่ให้เกิดข้อกังขาได้อีกในเรื่องชาติกำเนิด เรียกเหล่าคนรับใช้ในวันนั้นมาสอบปากคำดีกว่า
"พะยะค่ะ หม่อมฉันขอบอกไว้ตรงนี้ว่ามีความทรงจำที่ไม่เป็นรูปเป็นร่างและรู้แค่ว่าตนเองเป็นมนุษย์ นอกนั้นเรื่องอื่นหม่อมฉันไม่รู้อะไรเลยสักนิด" หลังจากเหตุการณ์ที่รัชทายาทมาหาก็จำไม่ได้อีกเลย เหมือนว่าความทรงจำมันไม่เป็นรูปไม่เป็นร่าง
สิ่งที่จำได้คือถูกยิงตกน้ำน่าจะตายแต่ก็รอดมาได้แล้วถูกพามาที่ไหนสักแห่ง และมารับรู้ว่าที่นี่คือจักรวรรดิโลกคู่ขนาน ไม่ใช่โลกมนุษย์ที่อาศัยอยู่ ป่านนี้พ่อกับแม่จะเป็นห่วงมากแค่ไหนกัน ครอบครัวของผมจะอยู่ดีมีสุขไหม ทุกคนจะกังวลใจในการตามหาผมบ้างหรือเปล่า หลากหลายคำถามมากในตอนนี้ อยู่ที่นี่ก็ไม่มีใครให้คำตอบได้สักคนแม้กระทั่งคนที่คอยปกป้องเรามาจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้เรื่องเลยสักนิด
รัชทายาทบอกว่าพบตาที่เดียวกับที่เราหล่นลงมาเหมือนกัน แล้วพามาอยู่เหมือนกันแต่สถานะแตกต่างกัน ตอนตามานั้นอยู่ในสถานะของสหายคนสนิทหรือเพื่อนคนหนึ่งเท่านั้น แต่สถานะของผมคือว่าที่สะใภ้ของจักรวรรดิ แม่ของแผ่นดินในอนาคต ทำไมถึงเอาอนาคตที่ยิ่งใหญ่แบบนั้นมาฝากไว้กับเด็กที่อายุเพียงเท่านี้กัน บางทีปริศนาหลายอย่างก็ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่พบเลย
ณ ห้องประชุม
"ในเมื่อมากันครบแล้ว เริ่มการประชุมได้" จักรพรรดิเปิดพิธีการประชุมทันที เหล่าขุนนางมองผู้มาเยือนใหม่ทั้งสองคนที่กำลังเป็นประเด็นร้อนในราชสำนักตอนนี้จะเป็นใครไปไม่ได้เลยนั่นก็คือรัชทายาท ว่าที่พ่อคนใหม่ของจักรวรรดิ และคุณชายริค ไวท์ ลูกชายบุตรธรรมอย่างไม่เป็นทางการของตระกูลริค
"หัวข้อการประชุมในครั้งนี้คือ ความมั่นคงของจักรวรรดิและชาติกำเนิดของมนุษย์ผู้มาจากโลกอื่น" ดยุคตระกูลโฟลช์ เริ่มหัวข้อการประชุมในครั้งนี้ เนื่องจากข่าวลือหลายอย่างแพร่หลายไปทั่วจนต้องมีการประชุมเพื่อให้รับรู้โดยทั่วกัน ข่าวครั้งนี้จำเป็นต้องมีการถ่ายทอดสดให้ชมทั่วจักรวรรดิเพื่อให้รับรู้กันอย่างทั่วถึงโดยอาศัยคริสตัลเป็นสื่อสารในการฉายภาพขึ้นมาด้วยเวทย์มนตร์
"ข้าขอถามรัชทายาทว่ามนุษย์ผู้นั้นมีความเหมาะสมกับพระองค์ตรงไหนกัน มองไปทางไหนก็เหมือนมนุษย์ธรรมดาทั่วไปของจักรวรรดิ และไม่มีอะไรยืนยันได้ด้วยว่ามาจากโลกอื่นหรือไม่ ใครจะเป็นคนให้คำตอบกับเรื่องนี้กัน" ดยุคตระกูล สวิตเริ่มถกประเด็นที่ใครๆ ก็อยากถามแต่ไม่กล้าถามเพราะว่าเกรงกลัวรัชทายาทกันหมด สมเป็นตระกูลสวิตที่ไม่เกรงกลัวสิ่งใดแม้กระทั่งตระกูลกษัตริย์ก็ตาม
"เหมาะสมหรือไม่เดี๋ยวได้รู้กัน ส่วนเรื่องที่ว่าใครจะยืนยันได้นั้น ข้าขอเชิญดยุคสตุฟเฟลผู้ดูแลเรื่องการทำนายและมองเห็นหลายโลกมาให้คำยืนยันในครั้งนี้เพื่อให้ได้รับการยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง รวมถึงให้ไวท์พูดชื่อจริงของตนเองออกมาก่อนที่จะได้รับชื่อใหม่ ซึ่งพยานในครั้งนี้คือคุณชายมาร์แชล บลัฟเฟอร์ เขาคือผู้ที่ถูกช่วยชีวิตเอาไว้เหมือนงานเลี้ยงครั้งก่อน" รัชทายาทเริ่มโต้กลับทันทีด้วยเหตุผล น้ำเสียงเรียบนิ่ง ท่าทีสงบสยบความเคลื่อนไหว ไม่ว่าจะมีอะไรมาทำลายก็ไม่เคยหวั่นไหวแม้แต่ครั้งเดียว
"ข้าสามารถยืนยันได้ว่าคุณชายไวท์เป็นคนจากโลกอื่นไม่ใช่ของจักรวรรดิ เนื่องจากเสื้อผ้าในตอนแรกที่เดินทางมาถึงที่นี่ไม่เหมือนกับที่ชาวจักรวรรดิใส่กัน นี่คือหลักฐานเสื้อผ้าและข้าวของทั้งหมดของคุณชายไวท์ และข้าคือโหราจารย์คนปัจจุบันที่มีพลังมากที่สุด ย่อมมองเห็นโลกอื่นได้มากที่สุด" ดยุคตระกูลสตุฟเฟลพูดพร้อมชี้แจ้งข้าวของทีละชิ้นว่าแต่ละอันเรียกว่าอะไรแต่ไม่มีใครในจักรวรรดิรู้จักเลยสักคน สิ่งนี้สามารถยืนยันได้ว่ามาจากโลกอื่นเป็นจริง
"ข้าไม่เคยเห็นการต่อสู้ที่ไม่ใช้อาวุธมาก่อนเลย แล้วตอนแรกที่แนะนำตัวกัน มนุษย์ผู้นี้ชื่อ จีน จิรายุ ไพศาล คาดว่าน่าจะเป็นชื่อมาจากโลกอื่น เพราะพวกเราไม่มีชื่อที่ยาวหรือแปลกแบบนี้แน่นอน ขอบคุณที่ช่วยชีวิตข้าไว้ในวันนั้นด้วย" มาร์แชลออกโรงอธิบายความจริงแล้ว นอกจากทุกอย่างจะไม่ได้ถูกเตี๊ยมมาแต่สามารถทำให้ไวท์หมดข้อกังขาในเรื่องการมาเยือนจักรวรรดิแล้ว
"ผมชื่อ จิรายุ ไพศาล ชื่อเล่น จีน เป็นนักเรียนระดับมัธยมปลาย ผมไม่รู้จักที่นี่มาก่อนว่าคือที่ไหนจนกระทั่งได้พบกับรัชทายาทของจักรวรรดิ ส่วนเรื่องความเหมาะสมของผมกับรัชทายาท มีเกณฑ์อะไรในการตัดสินว่าอะไรควรอะไรไม่ควร สิ่งที่สำคัญที่สุดคือจิตใจว่ามีความภักดีต่อราชวงศ์มากแค่ไหน
ไม่ใช่เอาแต่แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นในราชสมบัติและอำนาจ สถานที่ๆ ผมจากมาสอนให้มีความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ เลื่อมใสในศาสนา ทำตัวที่ดีให้เป็นแบบอย่างแก่คนรุ่นหลัง ไม่ใช่มานั่งวิพาทย์วิจารณ์คนอื่นว่ามีความเหมาะสมหรือไม่ เอาชาติกำเนิดมาตัดสินโดยที่ไม่รู้อะไรสักอย่าง"
"บังอาจ! เจ้ากล้าดูถูกข้างั้นรึ เจ้าเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม"
"ดยุคสวิตช่วยระงับอารมณ์ด้วย การแสดงกิริยาแบบนี้ไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้นำตระกูลหรอกนะ" ดยุคตระกูลโฟลช์ปรามทันทีที่อีกฝ่ายแสดงกิริยาไม่เหมาะสมออกมา การทำตัวแบบนี้ต่อหน้าประชาชนไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก ถึงจะไม่มีใครเห็นหน้าที่ชัดเจนนอกจากเสียงในการประชุมแต่ทำแบบนี้ก็ไม่ได้ถูกต้องนักเนื่องจากอีกฝ่ายอายุมากกว่าหลายรอบ
"แล้วเจ้าคิดว่าตนเองเหมาะสมกับตระกูลบีเลอมากแค่ไหน" ดยุคตระกูลฟรังซักไซ้ทันทีเพราะอยากรู้ว่ามนุษย์จากโลกอื่นจะตอบเช่นไร
"แน่นอนว่าข้าไม่มีความเหมาะสมอะไรสักอย่างเกี่ยวกับตระกูลบีเลอ และก็ไม่ได้คาดหวังเรื่องที่จะเป็นจักรพรรดินีในอนาคตด้วย แต่ทุกอย่างอยู่บนความไม่แน่นอน ย่อมต้องมีอะไรมาเกี่ยวพันให้เกิดความสัมพันธ์จนหาทางออกได้ในที่สุด ไม่มีใครสามารถทำให้ตนเองได้สมปรารถนา ได้อย่างมีเสียอย่างอยู่ร่ำไป การมีช่วงอายุที่ยาวนานก็ต้องแลกมาความเจ็บปวดที่ต้องทนเห็นคนสำคัญค่อยๆ ตายจากไปทีละคนสองคน แบกรับความทุกข์เอาไว้ที่ตนเองคนเดียวและอยู่กับความเดียวดายไปตราบชั่วนิรันดร์"
"อย่าคิดว่าพ้นข้อหาพวกนั้นแล้วจะได้ใจนะ ชาติกำเนิดของเจ้ามาจากอะไรกันแน่ ตอนแรกเป็นมนุษย์ ผ่านไปสักพักเป็นลูกครึ่งเทพ ล่าสุดเป็นลูกครึ่งเทพกับมังกร เจ้าเป็นตัวอะไรกันแน่ เจ้ารู้ตัวไหม จิรายุ ไพศาล" ดยุคตระกูลริคจี้ปมจุดนี้ทันทีเพราะใครๆ เองก็สงสัยใคร่รู้กันหมดไม่เว้นแม้แต่จักรพรรดิและจักรพรรดินี
"ข้าไม่รู้หรอกว่าตนเองมีชาติกำเนิดเป็นอะไร ความทรงจำมันไม่เป็นรูปเป็นร่าง นอกจากผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ก่อนที่ข้าจะสลบไปเท่านั้นน่าจะให้คำตอบในเรื่องนี้ได้ดีที่สุด"
"ข้าในฐานะรัชทายาทของจักรวรรดิจะเป็นคนให้คำตอบเอง จิรายุ ไพศาล เป็นลูกชายที่เกิดจากเทพบุตรของเทพ อพอลโล่กับซิคฟรีด ทุกคนที่อยู่ในห้องครัวเป็นพยานได้ทั้งหมดว่าเห็นเด็กคนนี้มีปีกเหมือนเทวดาและเกล็ดเหมือนมังกร มีคนคอยคุ้มครองเด็กคนนี้อยู่ ทำให้ความทรงจำถูกปิดกั้นไปบ้าง
ข้าคิดว่าความทรงจำจะกลับมาก็ต่อเมื่ออายุครบสิบแปดปีตามวัฒนธรรมของมนุษย์ในจักรวรรดิแต่ไม่รู้ว่าในโลกอื่นจะเหมือนกันหรือไม่"
“ข้าจะถามเพียงคำถามเดียว หากใดจึงได้เลือกที่จะรับใช้รัชทายาท เพราะเหตุใด แล้วหลังจากนี้ตั้งใจจะทำอันใดต่อไป” คำถามเดียวที่ยาวขนาดนี้ น่าจะเหมือนสามคำถามมากกว่า ทุกคนคิดในใจและพากันมองหน้าด้วยสายตาแบบเดียวกันแต่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา“ข้ามาเพราะมีคำสั่งจากท่านไวท์ขอรับ หากได้รับการอนุญาตจะมาคอยรับใช้และดูแลรัชทายาทขอรับ”“ข้าเลือกมาด้วยตัวเอง เพราะอยากกลับมารับใช้องค์รัชทายาทครั้นเก่าก่อน และจะคอยรับใช้ตลอดอายุขัย”หลังจากคำตอบของทั้งสองแล้ว ใบหน้าหวานใช้เวลาคิดไตร่ตรองอยู่นานจนทำให้ทุกคนในห้องต่างพากันลุ้นไปด้วยว่าจะตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไง เพราะเป็นคำถามที่ค่อนข้างตอบยากทีเดียว“ทั้งสองคนจะได้รับอนุญาตให้ขึ้นมาดูแลพวกเราที่บนตำหนักแต่จะมีเจ้านายคนละคนกัน เจ้าที่ตอบเพราะว่าข้าเป็นคนสั่งจงมาทำงานกับข้า ส่วนเจ้าอีกคนข้าจะให้มาคอยดูแลรับใช้รัชทายาท ส่วนเรื่องตำแหน่ง...ข้าจะตัดสินใจอีกครั้ง บอกชื่อมาสิ”“ทำไมกระรอกน้อยถึงให้ค
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!“เข้ามา”“ท่านพี่ พวกเราจะกลับเขตปกครองของพวกเราสองคนแล้ว เลิกจะมาลาพะยะค่ะ” คลาสบอกพลางทำความเคารพ“ใช่พะยะค่ะ ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว พวกเราขอตัว” ครอสบอกแล้วทำความเคารพเช่นกัน“ไม่ใช่ว่าพวกเจ้าได้คำตอบของหัวใจจากคนที่ตนเองรักแล้วจะไปเริ่มต้นใหม่หรอกหรือ” เสียงทุ้มต่ำพูดขึ้นมาแล้วเงยหน้ามองฝาแฝดด้วยสายตาเรียบนิ่ง“พะยะค่ะ ข้าได้คำตอบจากคนที่ข้ารักแล้ว / พะยะค่ะ ข้าได้สิ่งนั้นมาแล้ว” ทั้งสองตอบพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย เจ้าชายทั้งสามต่างพยักหน้าให้กันแล้วต่างคนต่างไปทำหน้าที่ของตนเองต่อไป ไม่ใช่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในสวนหลังวังเขาจะไม่รับรู้ แต่มันเป็นเรื่องที่ไวท์จะต้องพูดและตัดสินใจด้วยตนเองจากนี้ไปทั้งคลาส ครอส น่าจะเริ่มเข้าใจและตัดใจได้ในสักวันหนึ่งอย่างแน่นอน เพราะสิ่งที่ไวท์พูดค่อนข้างเด็ดขาดและชัดเจน ไม่มีช่องว่างให้คนอื่นแทรกเข้าไปได้เลยตอนที่ได้ยินคำพูดออกจา
“เป็นการตรวจสอบภายในก็จริงแต่ต้องส่งเข้าวังหลวงภายในสิบสี่วันขอรับ”“เข้าใจแล้ว ผมจะทำตามที่บอกและเขียนรายละเอียดไว้ให้ด้วยครับบนโต๊ะทำงานของผม” เสียงทุ้มนุ่มตอบพลางออกกำลังกายด้วยตนเองต่อไป สายตาของเมล์มองด้วยความไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเหมือนตาแก่มากขนาดนี้“มีอะไรหรือเปล่าครับ เห็นมองนานแล้ว ผมยังออกกำลังกายไม่เสร็จ”“ไม่ขอรับ ข้าขอตัวก่อน”“ครับ”ณ ห้องทำงาน“จะทำยังไงกันต่อขอรับ รัชทายาทยังนอนอยู่ที่โซฟาอยู่เลย” เฟลิกซ์ถามด้วยความสงสัยเพราะว่าเจ้านายของตนเรียกทุกคนมารวมกันที่นี่หมดเลย แต่ว่าถ้าพูดคุยกันที่นี่จะไม่ทำให้รัชทายาทตื่นขึ้นมาเหรอ“ผมเชื่อว่าคนไม่ได้นอนมาหลายวันไม่ตื่นง่ายหรอกครับ มาคุยเรื่องงานกันดีกว่า”“กองงานทั้งหมดส่วนนี้คือการช่วยกันตรวจดูเอกสารงบประมาณภายในวังว่าครบถ้วนหรือไม่ มีอะไรขาดตกบกพร่องตรงไหน และจะต้องเส
“พี่คีย์ก็มีมุมน่ารักเหมือนกันนะครับ เคี้ยวอาหารแบบนี้เหมือนเด็กเลยครับ” เสียงทุ้มนุ่มพูดพลางหัวเราะเบา ๆ เพิ่งเคยเห็นท่าทางแบบนี้ของคนอายุมากกว่าหลายร้อยปี เป็นภาพที่น่ามองไปอีกแบบเหมือนกัน“ข้าว่าเหมือนคนไม่สำรวมมากกว่าขอรับ ท่านไวท์” เมล์บอกพลางถอนหายใจ ไม่คิดว่าจะกินแบบนั้นจนลืมเรื่องมารยาทบนโต๊ะอาหาร จะกินเร็วเกินไปแล้ว“ตอนนี้ไม่มีใครอยู่นอกจากพวกเรา งดสำรวมหนึ่งวันแล้วจะรีบกินให้หมดจะได้มานั่งทำงานต่อสักที”หลังจากที่เขาฟื้นขึ้นมาก็เห็นรัชทายาทหมกตัวอยู่แต่ในห้องทำงาน จากการมาหาสภาพไม่ต่างจากคนทำงานหามรุ่งหามค่ำและไม่ได้นอนมาหลายวันแล้ว ถ้าทำเครื่องดื่มที่ทำให้รู้สึกสดชื่นน่าจะช่วยได้พอสมควร มาลองคิดเรื่องเครื่องดื่มที่จะทำให้รู้สดชื่นกันก่อนดีกว่ามือขาวหยิบกระดาษและปากกาขนนกขึ้นมาเพื่อเริ่มไล่รายการเครื่องดื่มที่ทำให้สดชื่นและสามารถทำงานต่อไปได้ในระยะยาวโดยไม่ได้สนใจว่ามีสายตาของแวมไพร์ทั้งสองคู่กำลังมองอยู่ว่าทำอะไร ทำไมดูเคร่งเครียดขนาดนั้น จะเข้าไปช่วยก
“มองอะไรกันครับ ไม่กินข้าวล่ะครับ” ไวท์ถามด้วยความสงสัย“ตอนที่เจ้ากินแบบนี้ดูน่ารักดี เลยเผลอมองนานไปหน่อย ขอโทษด้วย” คีย์ตอบพลางกินอาหารต่อแต่คนที่เหมือนจะกินช้าลงกลายเป็นใบหน้าหวานแทนเพราะทำตัวไม่ถูกกับคำชมของอีกฝ่ายที่ตรงไปตรงมาแบบนี้เสมอ“พูดอะไรครับพี่..” เสียงของไวท์ขาดหายไปแล้วเริ่มก้มหน้าก้มตากินเหมือนเดิม ปฏิเสธไม่ได้ว่าการที่มีเด็กคนนี้เข้ามาทำให้ชีวิตประจำวันของพวกเขาเปลี่ยนแปลงไปตั้งแต่ตอนนั้นจนวันนี้ สายตาของแต่ละคนก็ยังมีความให้อ่อนโยนให้เหมือนเดิมซึ่งการที่แต่ละคนต่างมีใจให้กับไวท์ก็เป็นสิ่งที่คีย์รู้มานานแล้ว แต่ว่าหลังจากการหมั้นทุกคนก็มีจุดยืนที่ชัดเจนว่าจะไม่ทำอะไรให้เกิดความเสียหายขึ้นมา“ไวท์ ข้ามีเรื่องอยากจะคุยกับเจ้า” คลาสบอกพลางเดินออกไปทางสวนหลังวัง“ครับ” เขาขานรับสั้น ๆ และเดินตามไปแต่โดยดีณ สวนหลังวัง“มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ ผมยังมีอะไรที่
อพอลโลตัดสินใจที่จะเดินทางมาโลกมนุษย์หลายเดือน จึงคิดเตรียมการหลายอย่างเพื่อให้ตนเองมีเวลาว่างมากพอที่จะสืบเรื่องราวต่าง ๆ ทั้งหมด ระยะเวลาที่นานขนาดนี้ในโลกมนุษย์จะสามารถตามหาอะไรได้อีกหรือเปล่า ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะรับรู้อะไรได้บ้างณ ดินแดนมังกร“มีอะไรหรือท่านจักรพรรดินี”“เหมือนจะถึงเวลาที่ข้าจะต้องกลับไปหาไข่มังกรแล้วสินะ” เธอเอ่ยออกมาเสียงเรียบพลางใช้พลังมองดูบุตรของตนที่กำลังจะเติบโตขึ้นอีกขั้น“ฝากตาแก่ไว้นานแล้ว ถึงเวลาที่ต้องไปรับกลับมาเสียที”“ท่านจะไปที่ใดกัน”“โลกมนุษย์”“ท่านว่ายังไงนะ!”“วางใจเถอะ ไม่ใช่ในตอนนี้หรอก” คนรับใช้ถอนหายใจอย่างโล่งอก“แต่อีกไม่นานจะต้องเตรียมตัวเพื่อไปพบบุตรของข้า”“แต่ท่านมีบุตรอยู่ที่นี่แล้วถึงสี่พระองค์พะยะค่ะ จะมีบุตรที่ใดกันอีก