"มิน่าล่ะ! ข้าถึงได้หลับตามน้ำแบบไม่อยากจะตื่น พลังของท่านพี่สุดยอดไปเลย" ไวท์บอกพลางชูนิ้วโป้งให้ทั้งสองข้าง สำหรับจักรวรรดิแล้วการยกนิ้วไม่มีความหมายอะไรแต่ดูท่าสำหรับโลกมนุษย์น่าจะหมายถึงเก่งหรือเปล่า
"ในโลกมนุษย์หมายความว่าเก่งใช่ไหม"
"ไม่ใช่แค่เก่งนะพะยะค่ะ เขาเรียกว่าเจ๋งไปเลย"
"เจ๋งไปเลย หมายความว่าอย่างไร"
"หมายความว่าสุดยอดมาก แปลกใหม่ เรียกว่าเจ๋งพะยะค่ะ"
"ข้าคิดว่าตอนนี้พวกเจ้าควรกินอะไรสักหน่อยนะ อาหารถูกยกมาวางให้แล้ว พวกเจ้าก็คุยกันต่อไปเถอะ" จักรพรรดิไอสองสามครั้งเพื่อเตือนว่าไม่ใช่เวลาที่จะมานั่งคุยกันสบายใจแบบนี้ ควรกินข้าวและไปจัดการเรื่องข่าวลือให้เรียบร้อยเสียก่อน ไม่เช่นนั้นน่าจะกลายเป็นเรื่องไปมากกว่านี้อย่างแน่นอน
"รัชทายาท"
"พะยะค่ะ ท่านพ่อ"
"เจ้าจะต้องเข้าไปอธิบายเรื่องการดีฟให้ที่ประชุมฟัง ส่วนหนูไวท์" เรื่องดีฟคือหัวข้อสำคัญในการคุยงานครั้งนี้งั้นรึ
"พะยะค่ะ ท่านจักรพรรดิ"
"ก็ต้องเข้าห้องประชุมไปเพื่ออธิบายเรื่องชาติกำเนิดเหมือนกัน พ่อรู้ว่าหนูน่าจะรู้ว่าตนเองมีชาติกำเนิดมาจากอะไร จะได้หายสงสัยกันสักที เพราะเรื่องที่เกิดก่อนหน้านี้มันแพร่ไปทั่ววังหลวงแล้ว หากไม่ได้รับการแก้ไขที่ถูกต้องล่ะก็...ต้องมีการทำให้ราชสำนักปั่นป่วนแน่นอน" ความจริงแล้วจักรพรรดิคิดว่าเหตุการณ์ในวันนั้นน่าจะไปกระตุ้นอะไรบางอย่างในร่างกายของเด็กคนนี้ขึ้นมา แต่อย่างน้อยเรื่องนี้ทุกคนในราชสำนักต้องรับรู้เพื่อไม่ให้เกิดข้อกังขาได้อีกในเรื่องชาติกำเนิด เรียกเหล่าคนรับใช้ในวันนั้นมาสอบปากคำดีกว่า
"พะยะค่ะ หม่อมฉันขอบอกไว้ตรงนี้ว่ามีความทรงจำที่ไม่เป็นรูปเป็นร่างและรู้แค่ว่าตนเองเป็นมนุษย์ นอกนั้นเรื่องอื่นหม่อมฉันไม่รู้อะไรเลยสักนิด" หลังจากเหตุการณ์ที่รัชทายาทมาหาก็จำไม่ได้อีกเลย เหมือนว่าความทรงจำมันไม่เป็นรูปไม่เป็นร่าง
สิ่งที่จำได้คือถูกยิงตกน้ำน่าจะตายแต่ก็รอดมาได้แล้วถูกพามาที่ไหนสักแห่ง และมารับรู้ว่าที่นี่คือจักรวรรดิโลกคู่ขนาน ไม่ใช่โลกมนุษย์ที่อาศัยอยู่ ป่านนี้พ่อกับแม่จะเป็นห่วงมากแค่ไหนกัน ครอบครัวของผมจะอยู่ดีมีสุขไหม ทุกคนจะกังวลใจในการตามหาผมบ้างหรือเปล่า หลากหลายคำถามมากในตอนนี้ อยู่ที่นี่ก็ไม่มีใครให้คำตอบได้สักคนแม้กระทั่งคนที่คอยปกป้องเรามาจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้เรื่องเลยสักนิด
รัชทายาทบอกว่าพบตาที่เดียวกับที่เราหล่นลงมาเหมือนกัน แล้วพามาอยู่เหมือนกันแต่สถานะแตกต่างกัน ตอนตามานั้นอยู่ในสถานะของสหายคนสนิทหรือเพื่อนคนหนึ่งเท่านั้น แต่สถานะของผมคือว่าที่สะใภ้ของจักรวรรดิ แม่ของแผ่นดินในอนาคต ทำไมถึงเอาอนาคตที่ยิ่งใหญ่แบบนั้นมาฝากไว้กับเด็กที่อายุเพียงเท่านี้กัน บางทีปริศนาหลายอย่างก็ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่พบเลย
ณ ห้องประชุม
"ในเมื่อมากันครบแล้ว เริ่มการประชุมได้" จักรพรรดิเปิดพิธีการประชุมทันที เหล่าขุนนางมองผู้มาเยือนใหม่ทั้งสองคนที่กำลังเป็นประเด็นร้อนในราชสำนักตอนนี้จะเป็นใครไปไม่ได้เลยนั่นก็คือรัชทายาท ว่าที่พ่อคนใหม่ของจักรวรรดิ และคุณชายริค ไวท์ ลูกชายบุตรธรรมอย่างไม่เป็นทางการของตระกูลริค
"หัวข้อการประชุมในครั้งนี้คือ ความมั่นคงของจักรวรรดิและชาติกำเนิดของมนุษย์ผู้มาจากโลกอื่น" ดยุคตระกูลโฟลช์ เริ่มหัวข้อการประชุมในครั้งนี้ เนื่องจากข่าวลือหลายอย่างแพร่หลายไปทั่วจนต้องมีการประชุมเพื่อให้รับรู้โดยทั่วกัน ข่าวครั้งนี้จำเป็นต้องมีการถ่ายทอดสดให้ชมทั่วจักรวรรดิเพื่อให้รับรู้กันอย่างทั่วถึงโดยอาศัยคริสตัลเป็นสื่อสารในการฉายภาพขึ้นมาด้วยเวทย์มนตร์
"ข้าขอถามรัชทายาทว่ามนุษย์ผู้นั้นมีความเหมาะสมกับพระองค์ตรงไหนกัน มองไปทางไหนก็เหมือนมนุษย์ธรรมดาทั่วไปของจักรวรรดิ และไม่มีอะไรยืนยันได้ด้วยว่ามาจากโลกอื่นหรือไม่ ใครจะเป็นคนให้คำตอบกับเรื่องนี้กัน" ดยุคตระกูล สวิตเริ่มถกประเด็นที่ใครๆ ก็อยากถามแต่ไม่กล้าถามเพราะว่าเกรงกลัวรัชทายาทกันหมด สมเป็นตระกูลสวิตที่ไม่เกรงกลัวสิ่งใดแม้กระทั่งตระกูลกษัตริย์ก็ตาม
"เหมาะสมหรือไม่เดี๋ยวได้รู้กัน ส่วนเรื่องที่ว่าใครจะยืนยันได้นั้น ข้าขอเชิญดยุคสตุฟเฟลผู้ดูแลเรื่องการทำนายและมองเห็นหลายโลกมาให้คำยืนยันในครั้งนี้เพื่อให้ได้รับการยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง รวมถึงให้ไวท์พูดชื่อจริงของตนเองออกมาก่อนที่จะได้รับชื่อใหม่ ซึ่งพยานในครั้งนี้คือคุณชายมาร์แชล บลัฟเฟอร์ เขาคือผู้ที่ถูกช่วยชีวิตเอาไว้เหมือนงานเลี้ยงครั้งก่อน" รัชทายาทเริ่มโต้กลับทันทีด้วยเหตุผล น้ำเสียงเรียบนิ่ง ท่าทีสงบสยบความเคลื่อนไหว ไม่ว่าจะมีอะไรมาทำลายก็ไม่เคยหวั่นไหวแม้แต่ครั้งเดียว
"ข้าสามารถยืนยันได้ว่าคุณชายไวท์เป็นคนจากโลกอื่นไม่ใช่ของจักรวรรดิ เนื่องจากเสื้อผ้าในตอนแรกที่เดินทางมาถึงที่นี่ไม่เหมือนกับที่ชาวจักรวรรดิใส่กัน นี่คือหลักฐานเสื้อผ้าและข้าวของทั้งหมดของคุณชายไวท์ และข้าคือโหราจารย์คนปัจจุบันที่มีพลังมากที่สุด ย่อมมองเห็นโลกอื่นได้มากที่สุด" ดยุคตระกูลสตุฟเฟลพูดพร้อมชี้แจ้งข้าวของทีละชิ้นว่าแต่ละอันเรียกว่าอะไรแต่ไม่มีใครในจักรวรรดิรู้จักเลยสักคน สิ่งนี้สามารถยืนยันได้ว่ามาจากโลกอื่นเป็นจริง
"ข้าไม่เคยเห็นการต่อสู้ที่ไม่ใช้อาวุธมาก่อนเลย แล้วตอนแรกที่แนะนำตัวกัน มนุษย์ผู้นี้ชื่อ จีน จิรายุ ไพศาล คาดว่าน่าจะเป็นชื่อมาจากโลกอื่น เพราะพวกเราไม่มีชื่อที่ยาวหรือแปลกแบบนี้แน่นอน ขอบคุณที่ช่วยชีวิตข้าไว้ในวันนั้นด้วย" มาร์แชลออกโรงอธิบายความจริงแล้ว นอกจากทุกอย่างจะไม่ได้ถูกเตี๊ยมมาแต่สามารถทำให้ไวท์หมดข้อกังขาในเรื่องการมาเยือนจักรวรรดิแล้ว
"ผมชื่อ จิรายุ ไพศาล ชื่อเล่น จีน เป็นนักเรียนระดับมัธยมปลาย ผมไม่รู้จักที่นี่มาก่อนว่าคือที่ไหนจนกระทั่งได้พบกับรัชทายาทของจักรวรรดิ ส่วนเรื่องความเหมาะสมของผมกับรัชทายาท มีเกณฑ์อะไรในการตัดสินว่าอะไรควรอะไรไม่ควร สิ่งที่สำคัญที่สุดคือจิตใจว่ามีความภักดีต่อราชวงศ์มากแค่ไหน
ไม่ใช่เอาแต่แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นในราชสมบัติและอำนาจ สถานที่ๆ ผมจากมาสอนให้มีความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ เลื่อมใสในศาสนา ทำตัวที่ดีให้เป็นแบบอย่างแก่คนรุ่นหลัง ไม่ใช่มานั่งวิพาทย์วิจารณ์คนอื่นว่ามีความเหมาะสมหรือไม่ เอาชาติกำเนิดมาตัดสินโดยที่ไม่รู้อะไรสักอย่าง"
"บังอาจ! เจ้ากล้าดูถูกข้างั้นรึ เจ้าเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม"
"ดยุคสวิตช่วยระงับอารมณ์ด้วย การแสดงกิริยาแบบนี้ไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้นำตระกูลหรอกนะ" ดยุคตระกูลโฟลช์ปรามทันทีที่อีกฝ่ายแสดงกิริยาไม่เหมาะสมออกมา การทำตัวแบบนี้ต่อหน้าประชาชนไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก ถึงจะไม่มีใครเห็นหน้าที่ชัดเจนนอกจากเสียงในการประชุมแต่ทำแบบนี้ก็ไม่ได้ถูกต้องนักเนื่องจากอีกฝ่ายอายุมากกว่าหลายรอบ
"แล้วเจ้าคิดว่าตนเองเหมาะสมกับตระกูลบีเลอมากแค่ไหน" ดยุคตระกูลฟรังซักไซ้ทันทีเพราะอยากรู้ว่ามนุษย์จากโลกอื่นจะตอบเช่นไร
"แน่นอนว่าข้าไม่มีความเหมาะสมอะไรสักอย่างเกี่ยวกับตระกูลบีเลอ และก็ไม่ได้คาดหวังเรื่องที่จะเป็นจักรพรรดินีในอนาคตด้วย แต่ทุกอย่างอยู่บนความไม่แน่นอน ย่อมต้องมีอะไรมาเกี่ยวพันให้เกิดความสัมพันธ์จนหาทางออกได้ในที่สุด ไม่มีใครสามารถทำให้ตนเองได้สมปรารถนา ได้อย่างมีเสียอย่างอยู่ร่ำไป การมีช่วงอายุที่ยาวนานก็ต้องแลกมาความเจ็บปวดที่ต้องทนเห็นคนสำคัญค่อยๆ ตายจากไปทีละคนสองคน แบกรับความทุกข์เอาไว้ที่ตนเองคนเดียวและอยู่กับความเดียวดายไปตราบชั่วนิรันดร์"
"อย่าคิดว่าพ้นข้อหาพวกนั้นแล้วจะได้ใจนะ ชาติกำเนิดของเจ้ามาจากอะไรกันแน่ ตอนแรกเป็นมนุษย์ ผ่านไปสักพักเป็นลูกครึ่งเทพ ล่าสุดเป็นลูกครึ่งเทพกับมังกร เจ้าเป็นตัวอะไรกันแน่ เจ้ารู้ตัวไหม จิรายุ ไพศาล" ดยุคตระกูลริคจี้ปมจุดนี้ทันทีเพราะใครๆ เองก็สงสัยใคร่รู้กันหมดไม่เว้นแม้แต่จักรพรรดิและจักรพรรดินี
"ข้าไม่รู้หรอกว่าตนเองมีชาติกำเนิดเป็นอะไร ความทรงจำมันไม่เป็นรูปเป็นร่าง นอกจากผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ก่อนที่ข้าจะสลบไปเท่านั้นน่าจะให้คำตอบในเรื่องนี้ได้ดีที่สุด"
"ข้าในฐานะรัชทายาทของจักรวรรดิจะเป็นคนให้คำตอบเอง จิรายุ ไพศาล เป็นลูกชายที่เกิดจากเทพบุตรของเทพ อพอลโล่กับซิคฟรีด ทุกคนที่อยู่ในห้องครัวเป็นพยานได้ทั้งหมดว่าเห็นเด็กคนนี้มีปีกเหมือนเทวดาและเกล็ดเหมือนมังกร มีคนคอยคุ้มครองเด็กคนนี้อยู่ ทำให้ความทรงจำถูกปิดกั้นไปบ้าง
ข้าคิดว่าความทรงจำจะกลับมาก็ต่อเมื่ออายุครบสิบแปดปีตามวัฒนธรรมของมนุษย์ในจักรวรรดิแต่ไม่รู้ว่าในโลกอื่นจะเหมือนกันหรือไม่"
“เจ้าบ้านี่! อย่ามาล้อเล่นกับข้านะ!” อีกฝ่ายโกรธจนเลือดขึ้นหน้าใช้พลังเวทย์จู่โจมเข้ามาด้วยความเร็วของสัญชาติญาณแวมไพร์ เป็นความจริงที่ว่าแวมไพร์ยิ่งมีอายุขัยมากเท่าไหร่ ก็จะมีพลังมหาศาลมากขึ้นเท่านั้น แต่ใช้ไม่ได้ผลกับเผ่าพันธุ์ของมังกรกับเทพเลยแม้แต่น้อยโดยธรรมชาติของเผ่ามังกรนั้นมีพละกำลังมหาศาล รวมถึงเอกลักษณ์ในการเรียนรู้เวทย์มนตร์นั้นถือว่าเป็นเลิศ และมีพลังที่สามารถเอาชนะได้แม้กระทั่งพระเจ้า ถือเป็นสิ่งที่ชาวสวรรค์เกรงกลัวมากกว่าเผ่าอื่นเพราะมีข้อห้ามของสวรรค์อยู่ แต่สำหรับมังกรกลับไม่มีผลเช่นนั้นพลังของเทพเกิดจากแรงศรัทธาของมนุษย์ด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ จะทำให้เทพที่ถูกบูชามีพลังมากพอที่จะปกปักษ์คุ้มครองแผ่นดินให้มีความปลอดภัย ช่วยเหลือยามถูกปีศาจรุกรานได้เป็นอย่างดี รวมถึงแสงสว่างของปีกเหล่าเทวดาหรือเทพเจ้าเองก็เป็นออร่ามากพอที่จะทำให้ได้รับความเคารพเรื่อยมา“ข้าไม่เคยคิดล้อเล่นกับเจ้า ทุกอย่างจริงจังเสมอ” มือทั้งสองข้างยกขึ้นมาพร้อมกันแล้
ณ วังหลวงส่วนจัดงานเลี้ยงบรรยากาศในงานออกมาแนวธีมสีอ่อนเพื่อให้เข้ากับภาพลักษณ์และนิสัยเจ้าของวันเกิด อาหารถูกนำมาเสริฟ์ด้วยเมนูรสชาติจืดแล้วค่อยไล่ระดับไปเผ็ด ขนมหวานและอาหารว่างที่ดูแปลกตาทั้งหมดถูกนำมาจัดวางภายในงาน แน่นอนว่าบุคคลผู้สอนการทำทั้งหมดเป็นฝีมือของไวท์นอกจากมีตำแหน่งเป็นบุตรบุญธรรมของตระกูลริค รวมถึงได้รับความไว้วางใจให้เป็นผู้ดูแลการจัดการอาหารว่างอย่างเป็นทางการของวังหลวง และยังเป็นคู่หมั้นขององค์รัชทายาทอีกด้วย ถึงตำแหน่งในฐานะนักดาบยังไม่ได้มากมายแต่ตำแหน่งอื่นถือว่ามากพอที่จะสั่นคลอนจักรวรรดิได้มากทีเดียวองค์รัชทายาทและเจ้าชายฝาแฝดทั้งสองถูกเชิญกลับมายังเมืองหลวงอย่างถาวร มารับตำแหน่งและจัดการงานภายในวังหลวงแทนการดูแลเมืองในเขตปกครองห่างไกล เพื่อช่วยกันจัดระเบียบรวมถึงการให้ความสำคัญกับลำดับของทายาท และความมั่นคงของวงศ์ตระกูลแวมไพร์สายเลือดบริสุทธิ์“จัดเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้วใช่หรือไม่ ยังขาดเหลืออะไรอีกหรือเปล่า&
ณ พระราชวังของจักรพรรดิ“จักรพรรดิพะยะค่ะ เซอร์เรเวลมาขอเข้าเฝ้า” มีเทนรายงานให้ผู้เป็นนายฟังเพราะดูเหมือนว่าจะมีสมาธิแต่การทำงานจนไม่ได้ฟังสิ่งที่คนภายนอกรายงานเข้ามาเลย“อะแฮ่ม...ข้ามัวแต่ทำงานเพลิน ให้เข้ามา”“พะยะค่ะ” มีเทนขานรับแล้วเดินไปเปิดประตู“ถวายความเคารพองค์จักรพรรดิ”“ไม่ต้องมากพิธี มีอะไรก็ว่ามา” จักรพรรดิเร่งเพราะยังมีงานค้างที่ต้องจัดการอีกมาก การมาเข้าเฝ้าอย่างเร่งด่วนและไม่มีการขอล่วงหน้าคงจะมีเรื่องด่วนพอสมควร แต่ถ้าไม่ด่วนขนาดนั้นจะสั่งขังสักสิบวันแล้วค่อยให้มาทำงาน เป็นทหารมานานแต่ดันไม่รู้จักระเบียบของวังบ้างเสียเลย“ข้าจะมารายงานความคืบหน้า เกี่ยวกับพลังของพระคู่หมั้นองค์รัชทายาทพะยะค่ะ” เรเวลตัดสินใจบอกออกไป เพราะอยากเลิกทำงานนี้เสียที เพราะต้องตามสืบคนเดียวมาตลอดหลายเดือน อยากให้มันสิ้นสุดเ
มือขวาดีดนิ้วทำให้วงเวทย์จำกัดการใช้พลังของพวกเราให้อยู่เพียงภายในวงเท่านั้น เพื่อไม่ให้คนอื่นได้รับผลกระทบไปด้วย เนื่องจากไม่มีใครรู้ว่าพลังของทั้งคู่มีมากน้อยแค่ไหน เขาจึงตัดสินใจใช้พลังของมังกรปิดกั้นมันไว้ทันทีก่อนจะออกตัวต่อสู้ผัวะ!แรงปะทะกันซึ่งหน้าทำให้ต่างคนต่างกระเด็นไปคนละทิศคนละทาง ประสาทสัมผัสที่ดีเยี่ยมของมังกรได้เปิดใช้ทำงานเพื่อประเมินสถานการณ์แต่กลับพบว่าอีกฝ่ายไม่ได้ใช้ความรู้สึกเป็นศัตรูเพื่อมาสู้กับเขา หมายความว่านี่คือการทดสอบความสามารถสินะ ถ้างั้นมาลองกันสักตั้งแล้วกัน ขอไม่เกรงใจกันแล้วผัวะ! พลั่ก! ตุ้บ!ไวท์เร่งความเร็วทั้งพละกำลังและการต่อสู้อย่างเต็มกำลังเพื่อวัดกันไปเลยว่าสารวัตรต้องการจะตรวจสอบอะไรกันแน่ มาตรวจกันให้มันจบวันนี้ไปเลย ทุกกระบวนท่าที่เคยร่ำเรียนมาทั้งหมดใส่ไปให้หมดไม่ต้องปกปิดความสามารถเอาไว้เพราะว่าบุคคลนี้จะต้องนำเรื่องนี้ไปแจ้งแก่องค์จักรพรรดิอย่างแน่นอนคีย์สังเกตเห็น
“เป็นอะไรกันหรือเปล่าครับ ทุกคนเหนื่อยเหรอ” ไวท์ถามพลางเอียงคอ ทำไมทำหน้าแบบนั้นกันหมด“จะเหนื่อยได้ยังไงขอรับ ในเมื่อคนออกแรงคือท่านไวท์ต่างหาก” เฟลิกซ์บอกพลางมองเหล่าแวมไพร์ผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายด้วยความเบื่อหน่าย มาทำให้เจ้านายของเขาสงสัยทำไม แค่พูดออกมามันจะยากตรงไหนกัน“ตั้งแต่ไปเป็นคนของไวท์ เดี๋ยวนี้ปากกล้าขึ้นนะ เฟลิกซ์” เสียงทุ้มต่ำพูดพลางสะกดอารมณ์ของตนเองไว้ไม่ให้พลังออกมา“ข้าเป็นคนของท่านไวท์นานแล้วพะยะค่ะ แต่เหมือนใครบางคนยังคงหลงลืมเพราะแก่แล้ว เลยคิดว่าตัวเองเป็นเจ้านายก็ได้”“หยุดทั้งคู่เลยครับ เข้าใจการต่อสู้ที่สาธิตให้ดูไหมครับ” ไวท์ยกมือห้ามทั้งสองไม่ให้สู้กันโดยเปล่าประโยชน์ ยังไงพลังเวทของแวมไพร์เลือดบริสุทธิ์ก็มีมากกว่า ถึงจะสู้กันก็รู้ผลแพ้ชนะตั้งแต่แรก“มันเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์สำหรับข้า” ลอร์ดสวิตบอกพลางพยายามทำท่าทางตาม
“หึ ยังร้ายกาจเหมือนเดิม” เสียงทุ้มต่ำหัวเราะในลำคอเบา ๆ พลางส่ายหัวให้กับความเจ้าเล่ห์ของเพื่อนสนิท แต่พอเข้าใจเหตุผลแล้วจะยอมเปลี่ยนแปลงงบประมาณใหม่“ข้าเป็นเพื่อนเจ้ามานาน เรื่องแค่นี้ไม่มีปัญหาหรอก”คีย์เดินมาหาร่างสูงโปร่งที่ยืนดูพวกเขาสู้กันอย่างตั้งใจอยู่นอกสนาม ดวงตากลมโตมองเห็นคนอายุมากกว่ากำลังมา เลยปลดโล่ป้องกันออกเพราะการต่อสู้จบลง“มีอะไรหรือเปล่าครับ”“ไปเดินเล่นกัน”หมับ!รัชทายาทบอกพลางอุ้มอีกคนแล้วเดินออกไปทันที ตอนแรกเหมือนทุกคนจะตกใจกับพฤติกรรมของผู้เป็นนายแต่พอนานวันเข้าก็เริ่มเคยชินกับเรื่องแบบนี้ เพราะแวมไพร์อย่างคีย์หากอยากจะอุ้มคนรักตนเองก็ทำโดยไม่ได้สนใจใครอยู่แล้ว และเขาเป็นคนเย็นชาก่อนจะมาเจอเด็กคนนี้ นิสัยเดิมก็ยังคงหลงเหลืออยู่บ้าง“จะพาไปไหนครับ”