ภายด้านนอกห้องโถงที่ถูกปิดอยู่ เผิงเสี่ยวว่านที่กำลังยกน้ำชาเข้ามา นางพลันหยุดชะงักยืนอยู่ตรงบริเวณประตูทางเข้า เผิงเสี่ยวว่านยืนสงบนิ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉยอยู่เช่นนั้นเป็นเวลาสักครู่ใหญ่
เผิงเสี่ยวว่านได้ยินสิ่งที่เผิงฟู่หลินกำลังอาละวาดตะโกนด้วยความคับแค้นใจตั้งแต่ต้นจนจบ นางถึงกับยกยิ้มขึ้นที่มุมปากอย่างรู้สึกสะใจ ก่อนจะค่อย ๆ สะบัดตัวก้าวถอยหลังแล้วเดินจากไปจากที่นั่นในทันที
เผิงเสี่ยวว่านย่อมตระหนักได้ดี ว่าเวลานี้ตนสมควรออกห่างจากสถานการณ์ดังกล่าวให้มากที่สุด นางเพียงแค่ต้องเฝ้ารอคอยเวลาอันสมควร เวลาที่นางจะได้คืนทุกสิ่งทุกอย่างที่สมควรเป็นของนางตั้งแต่ต้น
อันที่จริงเผิงเสี่ยวว่านเป็นบุตรสาวคนโตของราชครูเผิง กับฮูหยินจิ้ง ฮูหยินคนแรกของราชครูเผิง มารดาของนางนับได้ว่าเป็นบุตรสาวของตระกูลบัณฑิตที่มีทั้งความงดงามและความเพียบพร้อมไปในทุกด้าน ซ้ำฮูหยินจิ้งยังเป็นฮูหยินตราตั้งที่ได้รับการตบแต่งเข้ามาในจวนอย่างถูกต้องและเปิดเผย
แต่ทว่าราชครูเผิงกลับไม่ค่อยโปรดปรานมารดาของตนสักเท่าไหร่นัก เขาได้รับเลี้ยงดูอนุเซียงเข้ามาภายในบ้านทั้งที่เพิ่งแต่งงานกับมารดาของตนได้เพียงไม่นาน ความโปรดปรานอนุใหม่จนถึงขั้นไม่เห็นหัวนางเสียด้วยซ้ำ นั่นยิ่งทำให้ฮูหยินจิ้งรู้สึกเสียใจและเจ็บปวดเป็นอันมาก ความเจ็บช้ำทางจิตใจ ทำให้ไม่นานฮูหยินจิ้งก็เริ่มร่างกายอ่อนแอลงเรื่อย ๆ
เมื่อฮูหยินจิ้งคลอดเผิงเสี่ยวว่านบุตรสาวคนแรกออกมา ก็ยิ่งทำให้ร่างกายของนางยากจะฟื้นฟูกลับขึ้นมาได้ดังเดิม ไม่นานนักฮูหยินจิ้งก็เสียชีวิตในขณะที่เผิงเสี่ยวว่านยังเด็กนัก
ราชครูเผิงที่โปรดปรานอนุเซียงเป็นอย่างมาก เขาก็รีบยกนางขึ้นเป็นฮูหยินคนใหม่ของจวนแทบจะในทันที ทำให้เผิงเสี่ยวว่านรู้สึกน้อยใจยิ่งนัก หนำซ้ำในภายหลังฮูหยินเซียงให้กำเนิดเผิงอันอวี้บุตรชายคนโตของตระกูล และเผิงฟู่หลิน บุตรสาวคนเล็ก บิดาของตนก็แทบจะทุ่มเทความใส่ใจทั้งหมดที่มีให้กับพวกเขา เผิงเสี่ยวว่านจึงเปรียบเสมือนดั่งคนแปลกหน้าในจวนแห่งนี้ไปในที่สุด
ด้วยความที่เผิงเสี่ยวว่านค่อนข้างเป็นคนเก็บตัวและไม่ค่อยพูดเท่าไหร่นัก นั่นยิ่งทำให้ระยะห่างระหว่างตนกับบิดาเพิ่มทวีคูณมากขึ้นไปอีก ราชครูเผิงจึงไม่ค่อยโปรดปรานบุตรสาวคนโตเช่นนางเท่าใดนัก ผิดกับเผิงฟู่หลิน แม้นางจะค่อนข้างเอาแต่ใจ และอารมณ์ร้าย แต่เพราะความสดใสและช่างออดอ้อน ทำให้บิดาของตนรักและเอ็นดู ตลอดจนตามใจนางเสียแทบทุกอย่าง
แม้กระทั่งบางครั้งที่เผิงฟู่หลินกลั่นแกล้งนาง บิดาก็ยังคงปิดหูปิดตา ทำเป็นไม่สนใจเช่นเดิม นางจึงอาศัยอยู่ในจวนแห่งนี้อย่างคนที่ต้องเจียมตัว และพยายามทำตัวดั่งคนไร้ตัวตนมาเสมอมา
เผิงฟู่หลินถูกอบรมเลี้ยงดูอย่างพิถีพิถัน ไม่ว่าจะเรื่องมารยาท กวีกาพย์โครง ดนตรี ทุกอย่างถูกจัดเตรียมเพื่อปูทางให้นางสำหรับตำแหน่งพระชายาของรัชทายาทหนี่ซูเว่ย ทว่าในเวลานี้ ผู้ที่หนี่ซูเว่ยเลือกกลับเป็นตนเสียนี่ นั่นจึงเป็นสิ่งที่นางรู้สึกสะใจยิ่งนัก ความคับแค้นใจมาตลอดหลายปี วันนี้กลับทำให้นางนึกขบขันขึ้นมา นี่ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดีเสียนี่กระไร
ภาพเมื่อช่วงบ่ายที่ราชโองการถูกส่งมายังจวนราชครูเผิง เผิงฟู่หลินที่ดูตื่นเต้นดีใจ รอยยิ้มกว้างบนใบหน้าปรากฏขึ้นอย่างแจ่มชัด นางกระวีกระวาดออกมาต้อนรับขันทีคนสนิทของฮ่องเต้อย่างออกหน้าออกตา จวบจนกระทั่งราชโองการกล่าวจบ เผิงฟู่หลินถึงกับถอดสีหน้า ใบหน้าซีดเผือดราวกับเห็นผี รอยยิ้มที่มีหายวับไปกับตา ปรากฏเพียงใบหน้าถมึงทึงที่รู้สึกผิดหวังอยู่คับแน่นในอก เมื่อนึกถึงขึ้นมาทำเอาเผิงเสี่ยวว่านอดที่จะเงยหน้าและยิ้มกว้างออกมาเสียมิได้ พร้อมกล่าวขอบคุณสวรรค์ที่ประทานความยุติธรรมให้กับนางเช่นนี้เสียที
เผิงเสี่ยวว่านเดินกลับไปยังห้องนอนของตน พลางเอื้อมมือหยิบผ้าปักลายหงส์เหินขึ้นมา ก่อนจะบรรจงปักทอลวดลายด้วยความประณีต ฝีเข็มบรรจงเย็บยกอย่างใจเย็น รอยยิ้มยังคงแต่งแต้มใบหน้านวลอย่างรู้สึกสะใจ ตั้งแต่เกิดมาเผิงเสี่ยวว่านไม่เคยรู้สึกยินดีเช่นวันนี้มาก่อนในชีวิตเลย
“คุณหนู บ่าวขอแสดงความยินดีด้วยนะเจ้าคะ” จงหลี สาวใช้คนสนิทกล่าวออกมาด้วยความตื่นเต้นดีใจ นางทนเห็นคุณหนูของนางเจ็บช้ำน้ำใจมานานแสนนาน บัดนี้คุณหนูของนางจะเป็นที่ยกย่อง และมีหน้ามีตาในจวนแห่งนี้เสียที
“บ่าวอยากเห็นหน้าคุณหนูรองเสียยิ่งนัก” จงหลีพูดพลางเดินไปบีบนวดให้นายหญิงของเธออย่างเอาใจ
เผิงเสี่ยวว่านชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะยิ้มบาง ๆ ออกมา “มีอะไรให้ดูกันเล่า”
“คุณหนูของบ่าวแสนดีขนาดนี้ คุณหนูรองช่างใจดำยิ่งนัก รังแกคุณหนูมาโดยตลอด วันนี้คุณหนูของบ่าวกำลังจะได้เป็นพระชายาของรัชทายาท เช่นนั้นต่อไปใครก็ไม่กล้ามารังแกคุณหนูของบ่าวได้อีก” จงหลีระบายความอัดอั้นออกมา
“เจ้าก็อย่าได้เที่ยวพูดเสียงดังไป ใครมาได้ยินเข้า เจ้าจะเดือดร้อน” เผิงเสี่ยวว่านปรามสาวใช้อย่างไม่จริงจังนัก
“บ่าวไม่กลัวหรอกเจ้าค่ะ แค่บ่าวเห็นคุณหนูมีความสุข บ่าวก็ยินดียิ่งนัก” คำพูดสัตย์ซื่อของจงหลี ทำเอาเผิงเสี่ยวว่านยกมือขึ้นลูบหลังมือของนางอย่างแผ่วเบา
“ขอบใจเจ้ามาก หากวันหน้าข้าได้ดิบได้ดี ข้าย่อมส่งเสริมเจ้าแน่” เผิงเสี่ยวว่านกล่าวออกมาด้วยความจริงใจ จงหลีถือเป็นสาวใช้คนสนิทของตน และเป็นเพียงคนเดียวในจวนแห่งนี้ที่นางรักและไว้ใจได้อย่างแท้จริง
“ขอบคุณคุณหนูที่เมตตาข้า” จงหลีน้ำตาคลอเบ้า นางก้มลงคำนับคุณหนูของตนในทันที
เผิงเสี่ยวว่านรีบลุกไปดึงจงหลีให้ลุกขึ้นทันที “ไม่ต้องมากพิธีหรอก เจ้าเป็นเพียงคนเดียวที่อยู่เคียงข้างข้ามาโดยตลอด แล้วข้าจะลืมเจ้าได้อย่างไร”
จงหลีมองหน้าคุณหนูของตนด้วยความปลาบปลื้มใจ นางสาบานกับตนเองว่าในชาตินี้นางจะจงรักภักดีต่อคุณหนู แม้ตัวตายก็ตาม
บทที่ 64 งานมงคลพิธีสมรสพระราชทานระหว่างหนี่เส้าจวินและเผิงฟู่หลินถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่และสมเกียรติ เหล่าบรรดาแขกเหรื่อมากมายต่างเดินทางมาเพื่อร่วมแสดงความยินดีกับคนทั้งคู่ โต๊ะจัดเลี้ยงถูกจัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบ พรมแดงยาวทอดจากประตูหน้าจวนเข้าสู่ห้องโถงใหญ่เผิงฟู่หลินสวมชุดเจ้าสาวสีแดงเข้มผืนยาวพลิ้วไหวจากผ้าไหมชั้นดี นางแต่งกายงดงามสมกับชื่อเสียงเรื่องความโฉมสะคราญ เผิงฟู่หลินก้าวเดินเข้ามาด้วยท่วงท่าที่สง่างามยิ่งนักหนี่ซูเว่ยที่ยืนอยู่ด้านข้างพร้อมกับพระชายาของเขา หนี่ซูเว่ยเฝ้ามองหญิงสาวตรงหน้าที่กำลังก้าวเดินเข้ามาใกล้ด้วยความรู้สึกที่ปนเประหว่างความเศร้าและความยินดี หัวใจของเขาหนักหน่วงขึ้นมาจากความรู้สึกที่ฝังลึกลงไปในใจ เผิงซูเว่ยทอดถอนหายใจออกมา ก่อนจะปรับสีหน้าและยิ้มกว้างออกมาให้นางด้วยความยินดี “หลินเอ๋อร์...เจ้าคู่ควรกับความสุขนี้” เขากระซิบกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะยิ้มกว้างออกมาด้วยความจริงใจในขณะที่บรรยากาศภายในงานดำเนินไปอย่างราบรื่น ทางด้านนอกห้องโถงอันเงียบสงัด เสี่ยวเหวินโหลยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ในสวน เขามองภาพของเผิงฟู่หลินที่เดินเข้ามาในงานด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
บทที่ 63 ท่านเป็นท่านพ่อข้าหรอกหรือยามสายของวันใหม่อากาศปลอดโปร่งยิ่งนัก หนี่เส้าจวินพิงกายขึ้นนั่ง ดวงตาคู่คมเข้มของเขาจับจ้องใบหน้าของเผิงฟู่หลินที่กำลังหลับใหลด้วยความอ่อนเพลียจากการถูกเขารังแกไม่หยุดในค่ำคืนที่ผ่านมา แววตาของเขาฉายแววลึกซึ้ง ทั้งหวงแหน ทั้งรักใคร่ เขายังคงอ้อยอิ่งอยู่เช่นนั้นโดยไม่ยอมลุกขึ้นหรือปลุกหญิงสาวจากการหลับใหล รอยยิ้มกรุ้มกริ่มฉายความเจ้าเล่ห์ออกมา หนี่เส้าจวินยังคงจ้องมองหน้านางอย่างไม่รู้สึกเบื่อหน่ายเสียงเคาะประตูเบาๆ ทำให้หนี่เส้าจวินหันหน้าไปมองด้วยสายตาขัดใจที่ถูกรบกวน เผิงฟู่หลินปรือตาขึ้นมาเมื่อเห็นเจ้าจูยืนอยู่ข้างหน้าประตู เจ้าจูได้แต่ก้มหน้านิ่งพร้อมใบหน้าแดงก่ำด้วยความกระดากอาย“ท่านอ๋องและคุณหนู ได้เวลาอาหารแล้วเจ้าค่ะ” เจ้าจูพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาโดยไม่แม้แต่จะมองสภาพภายในห้องที่ราวกับผ่านศึกสงครามครั้งใหญ่“เจ้ามาช่วยข้าที” เผิงฟู่หลินบอกกล่าวออกไป“พวกเรามิต้องเร่งรีบนักหรอก ทุกคนคงเข้าใจได้ดี” หนี่เส้าจวินพูดขึ้นมาหน้าตาเฉยท่าทางราวกับไม่รู้ร้อนรู้หนาวอันใด เผิงฟู่หลินได้แต่นึกหมั่นไส้คนตรงหน้าพร้อมค้อนขวับใส่เขาไปหนึ่งที“ท่านอ๋องลืมแ
บทที่ 62 บุตรของข้าท้องฟ้าภายนอกยังคงมืดมิด เสียงลมพัดผ่านเบาๆ ทำให้ผ้าม่านสีขาวบางบนหน้าต่างสะบัดเล็กน้อย เผิงฟู่หลินขยับกายช้าๆ ไล่ความเมื่อยขบที่ได้รับจากการเคี่ยวกรำของหนี่เส้าจวินอย่างต่อเนื่อง แม้นางจะยังคงอ่อนเพลียอยู่บ้าง แต่ทว่าร่างหนาของหนี่เส้าจวินที่เกยก่ายนางเอาไว้ทำให้นางรู้สึกไม่สบายตัวขึ้นมาหนี่เส้าจวินนอนอยู่ข้างกาย เสียงลมหายใจเข้าออกอย่างเป็นจังหวะ ยามหลับตาใบหน้าของเขาดูผ่อนคลาย ไม่ดุดันและเคร่งขรึมเฉกเช่นยามปกติเผิงฟู่หลินพลิกตัวขึ้นจ้องมองดูใบหน้าของหนี่เส้าจวินอย่างเต็มสองตา บุรุษที่มักมารบกวนนางในยามหลับฝัน บัดนี้อยู่ใกล้เพียงลมหายใจเข้าออก เผิงฟู่หลินเหม่อมองอย่างใจลอย ความลืมตัวทำให้นางขยับมือขึ้นมาลูบไล้ไปตามใบหน้าของหนี่เส้าจวินอย่างแผ่วเบา นิ้วเรียวสัมผัสไปตามหน้าผากไล้ไปตามแผงคิ้วสีดำเข้มไล่ลงมาที่สันจมูกที่คมเข้ม ริมฝีปากที่หนาเชิดรับกับใบหน้า ทำให้เขาดูหล่อเหลาและมีเสน่ห์อย่างน่าเหลือเชื่อเผิงฟู่หลินอดที่จะยกยิ้มออกมาอย่างเสียมิได้ แต่ทันใดนั้นร่างของเธอก็ปลิวขึ้นมาทาบอยู่บนตัวของหนี่เส้าจวิน เขาปรือตาขึ้นพร้อมดึงตัวนางขึ้นมาก่ายเกยแนบชิดที่หน้าอก ร
บทที่ 61 สะสางหนี่เส้าจวินสาวเท้าก้าวเข้ามาภายในเรือนนอนของเผิงฟู่หลิน ทุกย่างก้าวของเขาหนักแน่นและดุดัน แววตาของเขาเย็นยะเยือกจนน่าหวาดหวั่นใจเผิงฟู่หลินพยายามดิ้นรนขัดขืน แต่หนี่เส้าจวินกลับใช้พละกำลังที่มีรัดนางจนแทบขยับไม่ได้ สองมือปัดป่ายทุบตีไปตามแผ่นหลัง แต่เรี่ยวแรงอันน้อยนิดก็มิได้ส่งผลอันใดกลับมาหนี่เส้าจวินเดินตรงไปยังที่เตียงนอน ก่อนจะโยนร่างของเผิงฟู่หลินลงบนเตียงในทันที จากนั้นเขาจึงหันหลังเดินกลับไปแล้วปิดประตูลงอย่างเต็มแรงเสียงประตูที่ปิดกระแทกลงเสียงดังสนั่นทำเอาเผิงฟู่หลินถึงกับสะดุ้งสุดตัว นางถูกโยนลงบนเตียงอย่างไม่ทันตั้งตัว ทำให้สะโพกของนางกระแทกลงบนฟูกอย่างแรงเผิงฟู่หลินรีบหยัดกายลุกขึ้นยืนด้วยความขุ่นเคืองใจ ลมหายใจหอบเหนื่อยจากการดิ้นรนเมื่อครู่ นางยืนประจันหน้ากับหนี่เส้าจวินอีกครั้งหนี่เส้าจวินหันมาเผชิญหน้ากับเผิงฟู่หลินด้วยสายตาที่ดุดันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ความโกรธเคืองที่มีร้อนระอุไปทั่วร่างกายของเขา นางหายตัวไปเกือบหกปีทั้งยังกลับมาพร้อมเด็กชายอีกคนหนึ่งซึ่งเรียกนางว่า “แม่” เสียอีก แค่เพียงคิดว่านางคลอเคลียกับบุรุษคนอื่นก็ทำเอาหนี้เส้าจวินแทบค
บทที่ 60 พบกันอีกคราเผิงฟู่หลินเดินทางกลับมายังจวนสกุลเผิง นางเงยหน้าขึ้นมองประตูที่หน้าจวนด้วยความรู้สึกตื่นเต้นยินดียิ่งนัก หกปีแล้วที่นางจากไปแต่ทว่าจวนสกุลเผิงยังคงสงบไม่แตกต่างจากในวันวานเผิงฟู่หลินก้าวเท้าเข้าไปภายในจวน พ่อบ้านรีบเข้ามาต้อนรับพร้อมรายงานว่านายท่านทั้งสามอยู่ที่ห้องโถงใหญ่ เผิงฟู่หลินจึงเดินตรงไปที่ห้องโถงใหญ่เพื่อพบกับครอบครัวในทันทีราชครูเผิง ฮูหยินเซียงและเผิงอันอวี้กำลังนั่งพูดคุยกันอยู่ ทันทีที่ทั้งสามเห็นเผิงฟู่หลินก็แสดงสีหน้าดีใจอย่างยิ่ง ฮูหยินเซียงรีบก้าวเท้าเข้ามากอดเผิงฟู่หลินเอาไว้แน่น “หลินเอ๋อร์ เจ้ากลับมาแล้ว”“หลินเอ๋อร์...เจ้ากลับมาครั้งนี้คงมิคิดจะออกเดินทางอีกใช่หรือไม่” เผิงอันอวี้ที่ก้าวเท้ามาตรงหน้าเผิงฟู่หลิน พร้อมกล่าวดักคอน้องสาวของตนในทันที“พี่ใหญ่ ข้าได้เดินทางท่องเที่ยวไปทั่ว สถานที่ใดที่ข้าเคยใฝ่ฝันข้าล้วนได้เห็นกับตาตนเองทั้งสิ้น บัดนี้ข้าจะกลับมาอยู่บ้าน ข้าจะกลับมาอยู่กับครอบครัวของข้า” เผิงฟู่หลินกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงสดใส หกปีที่ผ่านมานางได้เดินทางไปทั่ว ทั้งดินแดนตอนเหนือจนถึงดินแดนตอนใต้ สถานที่ที่นางเคยได้แต่จินตนาการจากการ
บทที่ 59 เจ้าหนีข้าไปแล้วหนี่เส้าจวินแทบคลุ้มคลั่งเมื่อได้รับข่าวว่าเผิงฟู่หลินได้ออกจากเมืองหลวงไปแล้ว เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่านางจะกล้าทำเช่นนี้กับเขา เผิงฟู่หลิน...นางหนีจากเขาไปโดยไม่บอกกล่าวสักคำ“พวกเจ้าออกตามหาพระชายาทุกเส้นทาง ต้องตามหานางให้เจอ” คำสั่งที่ดุดันแฝงความโกรธเคือง ทำให้เหล่าองครักษ์รีบรับคำสั่งพร้อมกระจายตัวออกตามหาในทันที“ว่าไงนะ” เสียงตะคอกดังลั่นไปทั่วจวน เมื่อองครักษ์กลับมารายงานว่าไม่พบร่องรอยของเผิงฟู่หลินเลยแม้แต่น้อยหนี้เส้าจวินที่หัวเสียอย่างมาก เขาทุบโต๊ะเสียงดังสนั่นไปทั่วห้องอักษร ทำเอาเหล่าองครักษ์ได้แต่ยืนแข็งเกร็ง เหงื่อไหลซึมออกมาด้วยกลัวโทสะของหนี่เส้าจวิน“ตามหาต่อไป แม่ทัพเผิงแจ้งข่าวว่านางเดินทางไปดินแดนใต้ ข้าไม่เชื่อว่าข้าจะหานางไม่พบ”ทั้งที่หนี่เส้าจวินคิดว่าเผิงฟู่หลินไม่มีทางหนีไปไหนได้ไกล ทว่าเวลาผ่านไปเกือบเดือนก็ยังคงไม่มีวี่แววใดๆ ของนาง เขาสั่งการให้ทหารออกตามหาเผิงฟู่หลินในทุกเส้นทางและทุกทิศที่นางอาจจะเดินทางได้ แต่หนี้เส้าจวินกลับไม่รู้ว่าเผิงฟู่หลินได้เปลี่ยนเส้นทางขึ้นไปยังดินแดนทางเหนือแล้ว ดังนั้นการตามหาของเขาก็ไม่ต่างจากการง