นางมิได้คิดสิ่งใดกับกงหลี่เฉียงแล้วเสียหน่อย ทั้งความเสียใจที่ทุกเขากระทำก็หายไปเสียจนสิ้น ตอนนี้เหลือเพียงแค่อยากเห็นชายชั่วกับหญิงร้ายถูกทำให้อับอายเช่นที่นางเคยโดนมาก็เท่านั้น
“นายท่านต้องการนั่งที่ใดขอรับ” เสี่ยวเอ้อเดินออกมาต้อนรับ
“ท่านพ่อลูกอยากนั่งที่ชั้นสองเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็ชั้นสองเถิด”
“ทางนี้ขอรับ” เสี่ยวเอ้อรีบนำทางไปทันที
เยว่ชิงที่ไม่ได้ปรากฏตัวนอกจวนเสียนาน เมื่อนางออกมาย่อมต้องตกเป็นเป้าสายตาของผู้อื่น บุรุษได้แต่มองตามแผ่นหลังของนางที่เดินข้างบิดาไปอย่างล่องลอย สตรีก็ได้แต่มองไปอย่างอิจฉาในความงามของนาง
โต๊ะด้านในที่หลบสายตาของผู้อื่น มีบุรุษสองคนที่นั่งสนทนากัน กำลังมองมาที่หมอหลิวและเยว่ชิงอย่างนึกสนุก
“หึหึ ช่างน่าสนใจ”
“ท่านไม่คิดจะไปห้ามอย่างนั้นรึ”
“เรื่องสนุกเช่นนี้ จะห้ามไปไย สมควรจะตามไปชมเสียมากกว่า” เขาโยนถั่วเข้าปากแล้วลุกขึ้นเดินตามสองพ่อลูกไปอย่างช้าๆ สหายของเขาได้แต่ส่ายหน้าและเร่งฝีเท้าตามไป
“พี่เฉียง ท่านแอบออกมาพบข้าเช่นนี้ มิกลัวคุณหนูหลิวนางจะรู้เข้าอย่างนั้นรึ” เสียงสตรีกำลังต่อว่าบุรุษด้านใน ดังออกมาด้านนอก จนทำให้คนทั้งหมดที่กำลังจะเข้าไปในห้องรับรองหยุดชะงักอยู่กับที่
“ชิงชิงนางล้มป่วย จะไปรู้เรื่องของเจ้ากับข้าได้อย่างไร” เสียงนี้เป็นเสียงของกงหลี่เฉียงอย่างแน่นอน
เยว่ชิงกำมือแน่น นางไม่คิดว่าเขาจะลอบคบกับตู้ซิงเยียนก่อนที่นางจะแต่งเข้าไปในจวนเสียอีก
ปัง เสียงประตูถูกเปิดจากด้านนอกเสียงดัง ทำให้คนที่อยู่ด้านในสะดุ้งถอยหนีออกจากกันทันที เมื่อครู่คนด้านนอกล้วนเห็นกันหมดว่า ตู้ซิงเยียนนั่งอยู่บนตักของกงหลี่เฉียงอย่างสนิทสนม
“ชะ ชิงชิง” กงหลี่เฉียงผลักตัวของตู้ซิงเยียนออกจากตัวของเขาทันที
“หึ เป็นเช่นนี้เอง ถึงว่าท่านมิมาพบข้าที่จวนเสียหลายวัน” การแสดงของเยว่ชิงเริ่มขึ้นแล้ว
ดวงตาของนางแดงก่ำอย่างอดกลั้น ใบหน้างามดูน่าสงสารขึ้นมาทันที ยิ่งสาวงามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล บุรุษที่ได้พบเห็นก็แทบอยากจะเข้าไปปลอบประโลมนาง
“มิใช่อย่างที่เจ้าคิด” ตอนนี้กงหลี่เฉียงจะเอ่ยอันใดออกมาก็มองไม่เห็นทางที่จะเอาตัวรอดได้เลย เพราะหลักฐานทั้งหมดมีสายตาหลายคู่ที่มองมาทางเขา
เสียงปรบมือด้านหลังของเยว่ชิง ทำให้นางต้องหันไปมองอย่างสนใจ เมื่อเห็นว่าเป็นผู้ใดนางก็ต้องเบิกตากว้างทันที
เว่ยอ๋อง น้องชายร่วมอุทรของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน บุรุษที่คอยกลั่นแกล้งนางทุกครั้งที่เข้าวังหลวง และเป็นกงหลี่เฉียงที่เข้ามาปกป้องนางจากเขา พอนางเริ่มปักใจในตัวกงหลี่เฉียง ทุกครั้งที่พบเขา จะมีเพียงสายตาที่ดูแคลนมองมาทางนางเท่านั้น
แต่เมื่อนางแต่งเข้าจวนตระกูลกงจึงได้รู้ว่าเขาเดินทางไปอยู่ที่ชายแดนเหนือ นับจากนั้นเรื่องราวของเขาก็เลือนหายไปจากนาง
“คุณชายกงพูดจาน่าขันนัก หากมิใช่อย่างที่เปิ่นหวางคิด แล้วเป็นเช่นใด จะบอกว่าคุณหนูตู้ไร้ยางอาย เป็นฝ่ายยั่วยวนเจ้าเช่นนั้นรึ” คำพูดที่เจ็บแสบหากออกมาจากปากของชายผู้นี้ เยว่ชิงก็ไม่แปลกใจนัก
“ท่านอ๋อง ท่านกล่าวหนักเกินไปแล้ว” กงหลี่เฉียงกัดฟันแน่น
“ไหนเจ้าลองว่ามาสิ หากเปิ่นหวางกล่าวหนักเกินไป”
ตู้ซิงเยียนจวนเจียนจะร่ำไห้ออกมาแล้ว เพราะตอนนี้หน้าห้องรับรองมีแต่คนมามุ่งสนใจเรื่องของนาง ทั้งสายตาเหยียดหยามที่มองมาทางนางก็ทำให้นางถึงกับอยากจะหายตัวไปจากที่นี่เสีย
กงหลี่เฉียงจะพูดอันใดออกมาได้ เขาเหลือบตามองไปที่ตู้ซิงเยียน ก่อนจะหันไปมองที่เยว่ชิงอย่างใช่ความคิด
“คุณหนูตู้นางเป็นญาติผู้น้องของกระหม่อม เมื่อครู่เพียงล้มลงมาเท่านั้น มิใช่อย่างที่พวกท่านกำลังคิด” เขากำมือแน่น ถึงอย่างไรข้อกล่าวหานี้ก็ต้องโยนไปให้พ้นตัว มิเช่นนั้นคงมิอาจแต่งเยว่ชิงเข้าจวนได้อย่างแน่นอน
“เช่นนั้นรึ” หมอหลิวเดินเข้าไปตรงหน้าของกงหลี่เฉียง ก่อนจะโยนหลักฐานที่เขาให้คนไปสืบมาใส่หน้าของเจ้า
กงหลี่เฉียงหยิบกระดาษตรงหน้าขึ้นมาอ่าน มือของเขาสั่นเทาไปด้วยความไม่อยากเชื่อ เรื่องทั้งหมดที่ถูกปกปิดไว้ ล้วนแต่อยู่ในกระดาษที่หมอหลิวปาใส่หน้าของเขา
ทั้งเรื่องหนี้สินที่บิดาได้สร้างไว้ และไหนจะเรื่องความสัมพันธ์ของเขาและซิงเยียน แม้แต่เวลา สถานที่ที่พวกเขาลอบนัดพบกันล้วนแต่ระบุไว้จนหมดสิ้น
เว่ยอ๋องถือวิสาสะเดินเข้าไปในห้อง แล้วดึงกระดาษในมือของกงหลี่เฉียงออกมาอ่านเสียงดัง
“โอ้ หลี่เฉียงเอ่ย หลี่เฉียงมีหยกอยู่ในมือกลับไปเกลือกกลั้วกับกรวดเช่นนี้” เว่ยอ๋องแสร้งมองกงหลี่เฉียงอย่างเห็นใจ
“ท่าน” เขาเอ่ยเสียงลอดไรฟันออกมาอย่างแค้นใจ แต่จะทำอันใดเว่ยอ๋องได้เล่า เว่ยอ๋องได้แต่เลิกคิ้วให้อย่างยียวน
หมอหลิวหันไปมองเว่ยอ๋องอย่างไม่เข้าใจ ว่าเขาจะเข้ามายุ่งเรื่องนี้ด้วยทำไม
“ข้าคิดว่าเรื่องหมั้นหมายระหว่างทั้งสองจวนคงไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน เรื่องนี้เจ้าไปบอกกล่าวบิดามารดาของเจ้าด้วย” หมอหลิวสะบัดชายเสื้อของเขา พร้อมทั้งประคองบุตรสาวหันหลังเดินจากไป
แต่กงหลี่เฉียงยังไม่ยินยอม เขาตามไปดึงมือของเยว่ชิงไว้ เพื่อให้นางฟังเขาอธิบายต่อ
“ท่าน” นางเบิกตากว้างอย่างตกใจ
แต่มือที่จับนางอยู่มิใช่มือของกงหลี่เฉียง แต่เป็นมือของเว่ยอ๋องที่จับข้อมือของนางไว้แน่น
“อ้อ ข้าจับผิด ขออภัย เว่ยอ๋องแสร้งทำหน้าตกใจ ก่อนจะเปลี่ยนไปคว้าข้อมือของกงหลี่เฉียงแทน
เยว่ชิงถลึงตามองเขาอย่างตำหนิ นางรู้ว่าที่เขาจับข้อมือนางเขาตั้งใจอย่างแน่นอน
“เจ้าได้ยินชัดแล้วหรือไม่คุณชายกง นางมิต้องการแต่งเข้าจวนของเจ้าแล้ว” ประโยคหลังเว่ยอ๋องพูดเสียงดังขึ้น เพื่อเป็นการตอกย้ำกงหลี่เฉียง
หมอหลิวส่ายหัว ก่อนจะพาบุตรสาวกลับจวนไป ถือว่าเรื่องที่เขาต้องการ มันเป็นไปตามที่เขาคิดไว้แล้ว
เยว่ชิงเมื่อขึ้นมานั่งในรถม้า นางก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก นับว่าเป็นการตัดขาดความเป็นสามีภรรยาระหว่างเขากับนางอย่างสิ้นเชิงแล้วในชาตินี้
ทางด้านกงหลี่เฉียงเมื่อหมอหลิวพาเยว่ชิงกลับจวนไปแล้ว เขาก็คิดจะหนีออกจากโรงน้ำชา แต่ถูกซิงเยียนดึงรั้งตัวไว้ ทั้งเว่ยอ๋องก็ยังยืนขวางทางออกอยู่ด้วย
“พี่เฉียง ท่านจะไปที่ใดเจ้าคะ” นางร้องถามออกเสียงดัง
“ข้าจะกลับเรือน” เขาเอ่ยออกมาอย่างหัวเสีย
“แล้วข้าเล่า” นางเอ่ยถามเสียงดัง
“ใช่แล้ว คุณชายกง ท่านจะทิ้งนางได้อย่างไร” เว่ยอ๋องชี้นิ้วไปที่ตู้ซิงเยียนกับกงหลี่เฉียงสลับกันไปมา
เสิ้นเจิ้งซี เขาน่าจะหายดีแล้ว แต่กลับบาดเจ็บจนนอนซมเช่นเขา เพียงเท่านี้เว่ยอ๋องก็รู้แล้วว่าสหายของตนคิดเช่นใดกับแม่นางน้อยที่เพิ่งเจอเพราะเรื่องของเยว่ชิงทำให้ซูหนี่นางตกกระไดพลอยโจร ติดตามเว่ยอ๋องและเสิ้นเจิ้งซีเข้าเมืองหลวง หลังจากที่นางรู้ว่าทั้งสองมาสืบเรื่องชนเผ่านอกด่านก็ไม่คิดไล่พวกเขาอีกหลังจากที่เดินทางกลับมาพร้อมพวกเขาทั้งสอง นางได้ติดตามไปหาเยว่ชิงที่อยู่เมืองเจียงซาน จนภายหลังนางได้มาเป็นบุตรสาวบุญธรรมของหมอหลิว ซูหนี่นางมาอยู่ที่โรงหมอฮุ่ยซิว ตรวจคนไข้แทนเยว่ชิงที่กำลังตั้งครรภ์นางจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเสิ่นเจิ้งซีคิดเช่นใดกับนาง เพียงแต่นางอายุเพิ่งจะสิบเจ็ดหนาวเท่านั้น สำหรับผู้อื่นถือว่าออกเรือนช้า แต่สำหรับนางคิดว่าเร็วไปด้วยซ้ำแต่เมื่อถูกเยว่ชิงนางช่วยพูดให้เสิ่นเจิ้งซีทุกคน จิตใจของนางก็เริ่มสั่นคลอน“หนี่เออร์ เจ้ารู้เรื่องที่ใต้เท้าเสิ่นต้องเดินทางไปประจำการที่เมืองเหอตงแล้วหรือไม่” เยว่ชิงเอ่ยถามซูหนี่เมื่อนางมาเล่นกับหลานชาย“ไม่เจ้าค่ะ” ซูหนี่นางตกใจไม่น้อย เพราะว่านางไม่ได้พบเสิ่นเจิ้งซีมาหลายวันแล้ว“เห็นว่าจะออกเดินทางเร็วๆ นี้” เยว่ชิงลอบสังเกตอาการของซ
“ดูท่าแล้วสหายของเจ้าคงจะตายในไม่ช้า” นางเห็นเลือดที่ไหลออกมาจากอกของเขาไม่น้อย ทั้งยังลูกธนูที่ฝังอยู่ในอกของเขาด้วย“แม่นาง เจ้าไปตามหมอมาให้ข้าได้หรือไม่” น้ำเสียงที่เขาเอ่ยกับนางอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด“ข้าเป็นหมอ ยังจะต้องไปตามผู้ใดอีก หากไม่อยากให้สหายของเจ้าตายก็เอาดาบออกไปจากคอข้าเสีย” นางไม่รู้ว่าพวกเขาใช่คนร้ายหรือไม่ แต่ไม่มีทางเลือกอื่น เพราะตัวนางมิอาจสู้พวกเขาได้“อย่าได้คิดเล่นเล่ห์กับข้า” เขาเอ่ยเตือนนางอีกครั้ง“เช่นนั้นเจ้าจะอยู่ท่านี้กับข้าทั้งคืนก็ได้ ข้าไม่ได้เดือดร้อน” นางเอ่ยออกมาอย่างใจเย็นหากเขาจะฆ่านางคงไม่ต่อปากต่อคำกับนางนานเพียงนี้บุรุษด้านหลังของซูหนี่วางดาบลง แล้วเข้าไปดูสหายของเขาทันทีซูหนี่ยืนกอดอกมองอย่างใจเย็น เขาหันมาทางนาง พร้อมทั้งขอร้องให้ช่วย“เจ้าก็พาเขาเข้าไปในเรือนของข้าสิ หรือต้องให้ข้าเข้าไปช่วยอุ้มด้วยอีกคน” นางเลิกคิ้วถามอย่างยียวน เมื่อครู่เอาดาบจ่อคอนางได้ ก็คงจะมีแรงเหลือแบกเพื่อเข้าไปด้านในเมื่อเห็นว่านางคงไม่ช่วย บุรุษผู้นั้นก็แบกร่างของสหายเข้าไปด้านในเรือน ซูหนี่นางจึงเดินตามเขาไป เพื่อช่วยดูอาการของเขา“ถอดเสื้อของเขาออก แล้วเจ้
ซูหนี่นำออกมาอีกครั้ง แต่นางไม่ยื่นไปต่อหน้าเขา เปิดออกให้ดูบนมือของนางแทน โสมหัวใหญ่ถูกเปิดออกให้ดูเพียงชั่วครู่เดียวก็ทำให้หลงจู๊ตกตะลึงได้แล้ว“เชิญพวกเจ้าเข้าไปรอในห้องรับรองก่อน ข้าจะไปตามท่านหมอมาประเมินราคาให้” หลงจู๊เรียกเสี่ยวเอ้อให้พาทั้งสามเข้าไปนั่งรอให้ห้องรับรอง“ท่านป้า พี่หลาง อีกครู่พวกท่านเพียงนั่งนิ่งๆ ก็พอเจ้าค่ะ ข้าจะต่อรองเรื่องราคาเอง อย่าได้แสดงสีหน้าอันใดออกมาเด็ดขาด หากพวกท่านไม่อยากได้ราคาที่น้อยลง” ทั้งสองรีบพยักหน้ารับอบย่างเชื่อฟังป้าชงอดมองเด็กสาวตรงหน้าของเขาไม่ได้ นางใจกล้าถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน ตอนที่ต่อรองกับหลงจู๊นางไม่มีท่าทางที่ตื่นกลัวเลยสักนิดทั้งสามนั่งรอเพียงไม่นาน หลงจู๊ก็เดินนำท่านหมอเข้ามาด้านใน“ไหนเจ้าเอามาให้ข้าดูเสียหน่อย” เขาร้องถามอย่างตื่นเต้น หากหลงจู๊ไม่ได้มองผิดไปโสมหัวใหญ่เพียงนั้นย่อมมีราคาไม่น้อยกว่าห้าร้อยปีเป็นแน่ครั้งนี้ซูหนี่นางไม่ได้เล่นตัวแต่อย่างใด นางนำโสมขึ้นมาวางตรงหน้าของท่านหมอ เมื่อเขาได้เห็นก็อุทานออกมาทันที“สวรรค์ โสมพันปี เจ้า เจ้าไปเจอได้อย่างไร”“ท่านจะรับซื้อหรือไม่เจ้าคะ” นางไม่เอ่ยตอบเพราะไม่อยากเ
เพราะเหตุการณ์ในครั้งนั้น บิดาของซูหนี่ได้เข้าขวางกลุ่มชนเผ่านอกด่านไว้ เพื่อให้ทุกคนได้หลบหนี แต่มารดาของนางไม่ยอมทิ้งบิดาแล้วหนีไปเพียงลำพังจึงได้จบชีวิตลงไปด้วยอีกคน“ท่านป้าข้ามีอะไรจะให้ท่านเจ้าค่ะ” ซูหนี่ส่งห่อผ้าที่นางนำมาด้วยให้ป้าชง“สวรรค์ ของดีเช่นนี้ เจ้ามิเก็บไว้เอง” นางร้องออกมาอย่างตกใจ เมื่อเห็นว่าด้านในคือสิ่งใด“ข้ามีสองหัวเจ้าค่ะ แบ่งให้ท่านหนึ่งหัว เพื่อขอบคุณท่านที่ดูแลข้ามาเป็นอย่างดี” ซูหนี่นางจึงเล่าเรื่องว่านางพบโสมได้อย่างไรให้ป้าชงฟัง“เด็กดี อย่างน้อยสวรรค์ก็เมตตาเจ้าแล้ว” ซูหนี่ยิ้มไม่ออกร้องไห้ก็ไม่ได้ ไม่รู้ว่าที่นางมาที่นี่เป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้ายสำหรับนางกันแน่“ข้าจะเข้าไปขายโสมที่เมืองพรุ่งนี้ ท่านป้าจะไปพร้อมข้าหรือไม่”“ไปๆ” เพราะอาหารที่เรือนของนางก็เริ่มจะหมดแล้ว อย่างไรก็ต้องเดินทางเข้าเมืองอยู่ดี“ท่านป้า ทางที่ดีเรื่องโสม ท่านอย่าเพิ่งบอกผู้ใดนะเจ้าคะ” ซูหนี่นางกลัวว่าหากผู้อื่นรู้จะเข้ามาขโมยไปเสีย“ข้าเข้าใจแล้ว”เมื่อพูดคุยกันอีกเพียงไม่กี่ประโยคซูหนี่นางก็ขอตัวกลับเรือน เมื่อมาถึงเรือนนางก็เข้าไปพักในมิติทันทีรุ่งเช้าซูหนี่เก็บข้าวของที
ด้านหน้าของนาง ที่ใกล้ปากถ้ำ มีต้นโสมอยู่หลายหัว ในตอนแรกนางกลัวว่าตาจะฝาดไป จึงได้เดินเข้ามาดูใกล้ๆ“แล้วจะเก็บยังไง อะไรก็ไม่มีให้ขุด” เมื่อซูหนี่ยื่นมือออกไปที่โสมตรงหน้า ระหว่างที่นางใช้ความคิดว่าจะเอาสิ่งใดมาขุดโสม จึงไม่ได้ทันเห็นว่าโสมนับสิบหัวที่อยู่ในดินเมื่อครู่หายไปหมดแล้ว“เฮ้ยยย” นางร้องออกมาอย่างตกใจ พร้อมทั้งลุกขึ้น แล้วเดินหาว่าโสมหายไปได้อย่างไร นางขยี้ตาอยู่หลายหน พื้นดินตรงหน้าก็ยังว่างเปล่าอยู่เช่นเดิม“โสมของข้า” นางทรุดตัวลง แล้วร้องออกมาเสียงดังอย่างเสียใจแต่แล้วก็มีโสมโผล่ขึ้นมาอยู่ในมือของนางทันที เมื่อนางร้องเรียกโสมเสร็จ“เฮ้ยย” ซูหนี่โยนโสมทิ้งอย่างตกใจ นางก้มลงมองมือของนาง ก็ต้องแปลกใจ ที่เห็นแหวนหยกแบบเดียวกับที่นางได้มาจากร้านขายยาอยู่ที่นิ้วของนาง“คงไม่ใช่มั้ง” นางครุ่นคิด ก่อนจะคลานไปหยิบโสมที่นางโยนทิ้งไปกลับมาอีกครั้งในเมื่อไม่มีอะไรจะเสียแล้ว และอยากรู้ว่าสิ่งที่คิดไว้มีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด ซูหนี่จึงได้เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “เก็บ” นางเบิกตากว้างอย่างตกใจ เมื่อโสมในมือหายไปทันทีที่นางพูดจบนางทำเช่นเดิมอยู่หลายครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่คิดไว้
ซูหนี่แพทย์สาว เธอทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลชื่อดังในกรุงปักกิ่ง เพราะชื่อเสียงเรื่องการผ่าตัดของเธอทำให้มีคนไข้มากมายต้องการจะรักษากับเธอ แม้จะต้องรอคิวนับเดือนก็ตาม“หมอไป๋คะ วันนี้มีคิวผ่าตัดสามคิว คุณจะให้ฉันเตรียมห้องผ่าตัดเลยไหม” พยาบาลเดินเข้ามาหาไป๋ซูหนี่ที่ห้องทำงานของเธอเธอยกยิ้มที่มุมปาก เพราะเธอเพิ่งจะเดินทางมาถึง กาแฟสักแก้วก็ยังไม่ได้กิน จะตามให้เธอไปผ่าตัดเลยหรือไง แต่เธอก็ต้องตอบไปว่า“ได้ค่ะ ฉันพร้อมแล้ว”ในแต่ละวันของเธอไม่มีสิ่งใด มากไปกว่าอยู่ที่ห้องผ่าตัดและกลับไปพักที่ห้องพักข้างโรงพยาบาล เหตุผลที่เธอเลือกเรียนหมอ คงเป็นเพราะแม่ของเธอป่วยหนัก เธอที่ได้แต่ยืนมองพยาบาลเข็นแม่เธอเข้าห้องผ่าตัดไปโดยทำอะไรไม่ได้ครั้งนั้นแม่ของเธอไม่ได้ออกมาจากห้องแบบมีลมหายใจ เธอเสียชีวิตเพราะช็อกจากการผ่าตัด ทำให้ซูหนี่ตั้งมั่นไว้แล้วว่าเธอจะต้องเรียนหมอ เพื่อช่วยคนที่ป่วยเหมือนแม่ของเธอนอกจากที่เธอจะเลือกเรียนแพทย์ปัจจุบันแล้ว เธอยังสนใจเรื่องสมุนไพรของแพทย์แผนจีนไม่น้อย หลังจากที่มีเวลาว่างจากเรื่องเรียน เธอจะไปช่วยงานที่ร้านขายยาแผนจีน เพื่อหาความรู้และหาเงินเป็นค่าใช้จ่ายระหว่างที่