6
ผู้ประมูลคนใหม่
หญิงสาวปัดผมที่ปรกหน้าอยู่ออก นางยืนรับลมอยู่ริมระเบียงห้องพักวันนี้เป็นวันประมูลประจำเดือน เกรงว่าวันนี้คงจะมีคนมาร่วมประมูลมากกว่าทุกที เรื่องเล่าลือความงดงาม จริตมารยาอ่อนหวาน แต่ผู้ที่นางรอมีเพียงผู้เดียวเท่านั้น
“วันนี้พี่ลี่อินจะสวมอาภรณ์สีใด” ผิงผิงเอ่ยถามในมือก็นำอาภรณ์งดงามตัดใหม่ของลี่อินออกมาวางเรียงดู อาภรณ์ใหม่พี่สาวบุตรธรรมของนางเป็นผู้คิดขึ้นเอง ทั้งแปลกตา ทั้งงดงาม
ร่างบอบบางเดินกลับเข้ามาในห้องหยิบอาภรณ์สีม่วงขึ้นมาคลี่มันออกช้า ๆ วางมันลงบนเตียง อาภรณ์สีม่วงอ่อนท่อนบนเปิดหน้าท้องแผ่นหลัง ช่วงล่างส่วนมากมักเป็นผ้ายาวพริ้ว แต่นางให้ช่างทำเป็นกางเกงตัวใหญ่รัดข้อเท้า ติดกระพรวนเล็กตรงที่รัดข้อเท้า มีผ้าหนึ่งไว้ปิดไหล่เปลือย ผ้าปิดหน้าสีม่วงผืนบาง
“ตัวนี้แหละ เจ้าไปเตรียมฉินวันนี้ข้าจะเล่นฉิน”
“เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน อีกเดี๋ยวข้าจะมาช่วยพี่ลี่อินแต่งตัว” ผิงผิงว่าจบนางจึงเดินออกจากห้องไป หลายชั่วยามกว่าตะวันจะลับฟ้า เจ้าของห้องพักถือจอกชาเดินไปยังระเบียงอีกครั้ง ชมบึ้งน้ำหลังหอสุราที่มีกลีบดอกอิงฮวาลอยอยู่เหนือผิวน้ำใสสะอาดในบึ้ง เห็นแล้วนึกถึงตอนได้เดินกับบิดามารดานัก
“ท่านพ่อท่านแม่อีกไม่นานซิ่วอิงจะคืนความยุติธรรมให้แก่ตระกูลหวง” นางเทชาในจอกลงหลังระเบียงราวกับกำลังไว้ทุกข์ให้พ่อแม่อีกครั้ง ดวงตากลมสวยปริ่มน้ำหยดหนึ่ง ลี่อินเงยหน้ามองฟ้าสัญญากับตนเองหลังจากเสียน้ำตาครั้งใหญ่ตอนโดยฆ่าล้างตระกูลว่าจะไม่ร้องไห้อีก หากไม่ถึงวันที่คืนความยุติธรรมให้ตระกูลหวงทั้งตระกูลได้
หนึ่งชั่วยามก่อนพลบค่ำ
หญิงสาวสวมอาภรณ์สีม่วงอ่อนที่เลือกไว้ก่อน นั่งแต่งแต้มใบหน้าด้วยเครื่องประทินผิวหน้าคันฉ่องทองเหลืองบานใหญ่ นางหยิบผ้าคลุมหน้าขึ้นมาสวม จากนั้นเดินไปหยิบผ้าคลุมไหล่สีขาวผืนบางพาดไว้บนไหล่เปลือยเปล่าของตนเอง
ร่างบอบบางเดินย่ำไปบนพื้นไม้กลางโถงของหอสุรายามพลบค่ำ เสียงพูดคุยในคราแรกเงียบลง เมื่อนางปรากฎตัวขึ้นราวกับมีแสงคอยส่องให้นางโดดเด่นเหนือผู้อื่นในหอสุรา แขนเรียวเคลื่อนไหวหลังจากผีผาถูกบรรเลงขึ้น งดงาม อ่อนช้อย ยามนางขยับกายร่างกายพริ้วไหวดวงดาราต่างพากันเปล่งประกายระยิบระยับส่งให้ระบำยิ่งงดงาม
ระบำจบลง เสียงบรรเลงจบลง นางจึงเดินตรงไปที่แท่นไม้ยกสูงที่อยู่ไม่ห่างจากลานระบำ ผีผาอันเดียวกับที่ผิงผิงใช้บรรเลงเมื่อครู่ถูกหยิบขึ้นมาบรรเลง ทำนองเชื่องช้าอ่อนหวานชวนให้ผู้คนอ่อนไหวเคลิบเคลิ้ม บรรเลงได้ครู่เดียวนางก็ร้องคลอเสียงหวานใสไปกับทำนองผีผา
“ผู้ใดอยากร่วมการประมูล เชิญ ประมูลเริ่มที่แปดสิบตำลึง” หญิงวัยกลางคนกล่าวขณะยืนอยู่กลางลานระบำ เมื่อนางพูดผู้คนต่างเงียบฟัง ราคาเริ่มต้นของการประมูลเริ่มต้นด้วยราคาแปดสิบตำลึงเพราะการประมูลครั้งแรกมีผู้ร่วมประมูลไม่มาก แต่หลังจากการประมูลคราแรกจบลง ผู้คนเริ่มเล่าลือถึงความงดงามของลี่อิน ในตอนนี้จึงมักจบที่หลายร้อยตำลึง
“หนึ่งร้อยตำลึง”
“สองร้อยตำลึง”
“สามร้อยตำลึง”
“ห้าร้อยตำลึง”
“ห้าร้อยตำลึงทอง” เป็นท่านโหวน้อยตระกูลสวี่เพิ่มราคาสูงที่สุดในบรรดาผู้ร่วมประมูลทั้งหมด ครานี้คงเป็นท่านโหวน้อยอีกกระมังที่ได้นางคอยปรนนิบัติในค่ำคืนนี้ ผู้คนเงียบพากันเงียบรอฟังว่าจะมีผู้ใดสู้กับท่านโหวน้อย ผู้ดูแลการประมูลนับถอยหลังช้า ๆ ยังไม่ทันเคาะไม้หมดเวลาประมูล
“หกร้อยตำลึงทอง” เสียงทุ้มอ่อนโยน ผู้ถูกประมูลขมวดคิ้วเสียงนี้ฟังดูคุ้นหูนัก นางเงยหน้ามองไปบนระเบียงตรงกับทางเข้าหอชั้นล่าง ตรงนั้นมักเป็นห้องเจ้าของหอหรือสหายสนิท แต่ไม่เคยมีผู้ใช้งานมันมาก่อน
มู่โม่โฉวใช้สองมือเท้าระเบียงห้องพักมองลงไปยังลานระบำ จากนั้นมองเลยไปยังเล่นบรรเลงที่มีคณิกาอันดับหนึ่งนั่งอยู่ ผิดแผนการของแล้วอยู่ ๆ คุณชายมู่ก็มาร่วมประมูลด้วยเช่นนี้ นางหวังว่าท่านโหวน้อยผู้นั้จะเพิ่มราคาประมูลสู้ เพราะนางไม่รู้ว่าคุณชายมู่จริงจังกับการประมูลเพียงใด
“เช่นนั้นข้าให้เจ็ด” ท่านโหวน้อยเพิ่มราคาประมูลไม่ยอมแพ้ให้ผู้ประมูลคนใหม่ เขาไม่เคยเห็นหน้าบุรุษผู้นี้มาก่อนจึงมิอาจยอมให้นางได้ไปปรนนิบัติผู้อื่นได้
“คุณชายมู่อยากใส่ราคาเพิ่มหรือไม่” หญิงวัยกลางคนกล่าวกับบุตรชายเพียงคนเดียวของมู่ชิงอีเจ้าของหอสุราอิงฮวาแห่งนี้ เมื่อได้ยินว่าผู้ใส่ราคาประมูลแข่งเป็นทายาทหอสุราแห่งนี้ แม้จะประมูลมากเท่าใด ก็ยังเข้าตระกูลของเขา หากเขายังประมูลแข่งสู้ยอมแพ้ไปเสียยังดีกว่า
“หนึ่งพันตำลึงทอง”
สิ้นเสียงทุ้มลี่อินถอนหายใจเบา ๆ จบสิ้นแล้วแผนนางในวันนี้ คุณชายมู่นึกอย่างไรจึงมาร่วมประมูลในหอบ้านตนเองเช่นนี้ ท่านโหวน้อยเองก็คงไม่ประมูลเพิ่มมากว่านี้เป็นแน่ ตระกูลสวี่เองก็ร่ำรวยแต่หากจะให้ประมูลเจ้าของหอสุราก็ใช่เรื่อง
“หากไม่มีผู้ใดเพิ่มราคา ผู้ชนะวันนี้คือคุณชายมู่โม่โฉว เช่นนั้นเชิญทุกท่านชมการบรรเลงดนตรีของหญิงงามต่อ” การประมูลจบผู้ถูกประมูลเดินกลับไปยังห้องพักของตนเตรียมตัวไปปรนนิบัติคุณชายมู่ผู้มาเหนือความคาดหมาย เกินคาดของนางเสียจริง
“คุณชายมู่ ข้าขอเข้าไปได้หรือไม่”
“เข้ามา” ได้ยินเสียงอนุญาตเจ้าของห้องหญิงสาวในอาภรณ์สีม่วงอ่อนจึงผลักประตูไม้เข้าไปในห้องพัก เสียงกระพรวนเล็กดังขึ้นเมื่อนางย่างเท้าเปล่าเปลือยไปบนพื้นห้อง
ชายหนุ่มเจ้าของห้องเงยหน้ามองนาง มือหนึ่งก็เทสุราใส่จอกยกดื่ม เขาหันมายิ้มให้พร้อมกับนางทำท่าคารวะเขาเมื่อปิดประตูห้องลง
“ลี่อินคารวะคุณชายมู่”
“แม่นางลี่อิน อย่าได้เกรงใจนั่งลงเถิด ข้าเพียงอยากตอบแทนที่แม่นางช่วยชีวิตไว้เท่านั้น วันนี้เจ้ามิต้องปรนนิบัติผู้ใด ข้าจะปรนนิบัติเจ้าดื่มสุราเป็นการตอบแทนเอง” น้ำเสียงไม่จริงจังกล่าวด้วยความจริงใจ พอกล่าวจบเขาก็ดันแก้วสุราที่เทให้นาง หญิงสาวขบขันไม่น้อยแย้มยิ้มยกจอกสุราขึ้นดื่ม ไม่รู้ว่าเขาซื่อจริง ๆ หรือแค่แกล้งทำ แต่มันทำให้นางนึกขัน การตอบแทนจากบุรุษผู้นี้ช่างแปลกไม่เหมือนผู้ใดเลย
แม้จะรู้สึกผิดแผนไปเสียหน่อย ท่าทีสบายอกสบายใจไม่ระแวดระวัง เป็นกันเองเช่นนี้ของเขารับไว้ก็ไม่เป็นอันใด อย่างไรเสียเขาก็เป็นผู้ชนะ ส่วนเรื่องตระกูลสวี่ไว้คิดภายหลังย่อมได้
บทส่งท้ายของขวัญนี้ข้ามอบแด่ท่านเหมันตฤดูปีนี้แม้จะมีหิมะตกอยู่เสมอแต่กลับรู้สึกเย็นสบายไม่หนาวเท่าปีก่อน หิมะเกาะกิ่งไม้ ใบไม้จนกลายเป็นสีขาวทั่วบริเวณ หญิงสาวเปิดหน้าต่างห้องพักตนเองเพื่อรับลม ทั้งที่หิมะตกเช่นนี้บางครานางยังรู้สึกร้อนจนต้องเปิดหน้าต่างรับลมเช่นนี้“ฮูหยิน จะทำสิ่งใดหรือเจ้าคะ” ผิงผิงบ่าวคนสนิทเอ่ยถาม นางกำลังปักลายดอกท้อลงบนเสื้อแต่เสื้อนั้นกลับเล็กจนนางคิดว่าคงไม่มีผู้ใดในบ้านใส่ได้แน่ นางไม่ตอบเพียงหันมายิ้มอ่อนหวานให้สาวใช้เท่านั้น นางเพียรปักผ้าผืนนี้มาเกือบเจ็ดวันแล้วนางปักผ้าไปยิ้มไปใบหน้าบ่งบอกว่ามีความสุขกับสิ่งที่ทำอยู่มากนัก หากฮูหยินมีความสุขนางจะขัดไปใย นึกดี ๆ แล้วช่วงนี้ฮูหยินของนางอารมณ์ดีกว่าเมื่อก่อน เห็นสิ่งใดก็ดูดีดูงดงามไปเสียหมด“งามหรือไม่ผิงผิง”“งามเจ้าค่ะฮูหยิน แต่ผู้ใดจะใส่ได้หรือเจ้าคะ”“เดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง ท่านพี่อยู่ที่ใดห
31ให้ข้าอยู่กับเจ้าไปตลอดชีวิต“ซิ่วอิง เจ้านั่งอยู่ตรงนี้มานานแล้ว ไม่คิดทำสิ่งอื่นบ้างหรือ” มู่โม่โฉวเอ่ยถามหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงศาลาข้างสวนดอกไม้ นางนั่งอยู่ที่นี่มาเกือบสองชั่วยามแล้ว นานจนเขานึกเป็นห่วงกลัวนางต้องลมนานจะพาลป่วยไข้“ท่านว่าข้ายังมีสิ่งใดให้ทำอีกหรือ ข้าทวงความยุติธรรมให้ครอบครัวได้แล้ว ทุกสิ่งล้วนถูกที่ถูกทาง ก่อนนี้ข้าไม่เคยได้พัก ไม่เคยคิดเรื่องเหน็ดเหนื่อยสักครั้ง ยามนี้ไม่มีสิ่งใดต้องทำอีกแล้วข้าอยากพักสักหน่อย”“เจ้าว่าอย่างไรข้าก็ว่าอย่างนั้น เช่นนั้นให้ข้าอยู่ด้วยได้หรือไม่” นางละสายตาจากภาพทิวทิศน์เบื้องหน้ากลับไปมองผู้ที่ยืนพูดอยู่ด้านหลัง นึกสงสัยในคำกล่าวเมื่อครู่ มู่โม่โฉวไม่พูดสิ่งใดต่อทำเพียงยิ้มให้นาง“ท่านไม่มีสิ่งใดให้ทำหรือ มาอยู่กับข้าทั้งวันเช่นนี้ไม่เบื่อหรือ”“ข้าไม่เคยเบื่อคิดว่าเจ้าคงรู้ หากอยู่ด้วยจนตายได้ยิ่งดี” มู่โม่
30รางวัลหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่อยู่ห่างจากชานเมืองถูกเปลี่ยนเป็นโรงหมอ คอยรับผู้ป่วยจากในและนอกเมือง รับเพื่อไม่ให้เข้าไปแพร่เชื้อในเมือง ส่วนผู้อยู่ในเมืองที่ติดก็จำต้องออกมารับการรักษานอกเมืองโรงหมอในเมืองพากันปิดหมดเมื่อรู้ว่าผู้ที่มาหาหมอติดโรคประหลาด ด้วยวิชาแพทย์ที่แตกฉานของหวงเหว่ยถิงและลูกศิษย์สาวอย่างหวงซิ่วอิง โรคระบาดจึงมิได้ลุกลามไปไกลยังพอควบคุม รักษาได้ทันท่วงที คนเจ็บปวดได้รับการรักษาจนหายดี เด็ก ผู้ใหญ่ คนแก่ บุรุษ สตรี ล้วนได้รับการรักษาอย่างเท่าเทียมมิได้แบ่งแยกนางกักขังตนเองอยู่กับผู้ป่วยสามวันสามคืนจึงหาทางรักษาจนได้ ผู้ทดลองยามิใช่ใครอื่น มู่โม่โฉวกับสวี่เลี่ยงหรงล้วนติดโรคประหลาดจากการช่วยนางดูแลผู้ป่วยยากไร้นางคิดสูตรยาอยู่เกือบสามวัน ใช้อาการของโรคเทียบกับตัวยา ช่วงแรกที่มีอาการหนักนางรักษาไปตามอาการ ผลคือผู้ป่วยไม่ดีขึ้นเลย อาการยังคงเป็นเช่นเดิม จนสุดท้ายได้สูตรยามาแต่ไม่มีสิ่งใดรับรองว่ายานี้จะได้ผล ดังนั้นนา
29โรคระบาดการกลับคำของฮ่องเต้องค์ไม่ใช่เรื่องที่ควรทำ แต่การใส่ร้ายขุนนางซื่อสัตย์ไม่ใช่เรื่องถูกต้อง องค์จักรพรรดิทรงกล่าวกับนางเช่นนี้ ไม่นานจึงออกพระราชโองการลงโทษคนตระกูลสวี่ สวี่เฟยฮุ่ยและคนสนิทถูกประหาร ส่วนผู้อื่นถูกเนรเทศ สมบัติถูกริบเข้าคลัง ยศตำแหน่งถูกริบคืนทั้งหมด แม้แต่บุตรตระกูลสวี่ก็ถูกสั่งห้ามรับราชการอีกตลอดชีวิต ตำแหน่งจอหงวนของสวี่เลี่ยงหรงที่เพิ่งสอบได้ไม่นานก็ถูกยกเลิก“ข้านั้นอยากสั่งประหารสามชั่วโคตร แต่มีคำขอจากสตรีบอบบางผู้หนึ่ง นางกล่าวกับข้าว่าสวี่เลี่ยงหรงไม่ได้ทำผิดใดเขาเองก็ช่วยหาหลักฐานสำคัญเพื่อหยุดการกระทำของบิดา หากต้องโทษประหารไป ยังจะมีผู้ใดอยากทำสิ่งดีอีก ข้าจึงละเว้น เจ้าว่าข้าทำเช่นนี้เหมาะหรือไม่”“การกระทำของพระองค์ล้วนเหมาะสม หม่อมฉันขอขอบพระทัยที่พระองค์ทรงคืนความเป็นธรรมให้นาง”“เหตุใดเจ้าต้องขอบคุณแทนนาง รู้จักนางหรือ”“หม่อนฉันไม่รู้จัก
28ประทานรางวัลผู้คนล้วนรับรู้ว่าหวงกุ้ยเฟยเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้มากเพียงใด วันนี้จึงพากันมามอบของกำนัล อวยพร มู่โม่โฉวเองก็เช่นกันเขามาอวยพรหวงกุ้ยเฟยในฐานะตัวแทนตระกูลมู่“ข้าขออวยพรให้หวงกุ้ยเฟยมีสุขภาพแข็งแรงอายุยืนเป็นร้อยปี วันนี้ขอมอบระบำนี้ เพื่ออวยพรให้หวงกุ้ยเฟยและองค์จักรพรรดิ”“เช่นนั้นเจ้าเล่นฉินให้ข้าฟังด้วยได้หรือไม่ โฉวเอ๋อร์ข้าไม่ได้ฟังเพลงฉินของเจ้านานนัก”“หากเป็นประสงค์ข้าย่อมทำตาม” ข้าหลวงนำฉินมาวางกลางลานให้มู่โม่โฉวได้บรรเลง หวงซิ่วอิงค้อมตัวคารวะผู้สูงศักดิ์ตรงหน้าก่อนจะเริ่มระบำไปพร้อมเพลงฉินอันไพเราะ ทำนองเพลงฉินนี้ทั้งอ่อนหวานชวนเคลิบเคลิ้ม ระบำก็งดงามอ่อนช้อย ไม่มีผู้ใดละสายตาจากระบำตรงหน้าได้เลยความงดงามของนางระบำที่แม้จะปิดบังใบหน้าแต่กลับน่าค้นหา ทั้งหมดราวกับต้องมนตร์จนระบำจบลงมนตร์นี้จึงถูกคลาย“ดียิ่ง ดีจริง ๆ ข้าไม่เคยเห็นระบำงดงามเช่นนี้มาก่อน
27ไม่ได้ครอบครองหลังเตรียมอาหารเสร็จหวงซิ่วอิงและหวงเหว่ยถิงช่วยกันยกอาหารไปวางที่โต๊ะกลางลานบ้าน ผ่านไปไม่กี่เฟินสวี่เลี่ยงหรงก็ตามออกมา ท่าเดินโซซัดโซเซดูไม่มีแรงมากนัก“ท่านยังไม่หายดี ออกมาข้างนอกทำไมกัน” หวงซิ่วอิงเดินไปประคองสวี่เลี่ยงหรงไปนั่งที่โต๊ะกลางลานบ้าน หวงเหว่ยถิง และจางหย่งนั่งมองนิ่ง ไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกไป“คารวะท่านทั้งสอง” เป็นสวี่เลี่ยงหรงที่เอ่ยทั้งสองบุรุษที่โต๊ะกลางลานบ้านก่อน จางหย่งที่มักไม่ค่อยพูดยกมือขึ้นมาประสานรับคารวะแต่ไม่ได้กล่าวสิ่งใด หวงเหว่ยถิงพยักหน้ารับขยับชามโจ๊กไปให้คุณชายสวี่“กินข้าวเถอะ จะได้พักผ่อนท่านยังไม่หายต้องพักให้มากหน่อย ถ้าจะให้ดีไม่ควรฝืนขยับตัว”“พวกท่านกินกันไปก่อน ข้าจะเอาอาหารไปให้คุณชายมู่” กล่าวจบก็เดินถือถาดอาหารไปยังเรือนพักด้านข้าง ทิ้งให้บุรุษสามคนนั่งกินข้าวอยู่ด้วยกันเพราะมั่นใจว่าหวงเหว่ยถิงจะไม่ทำอันตรายสวี่เ